เจ้าของ: Watcher

[นอกเมืองเหอตง] ถ้ำไป๋หู่

[คัดลอกลิงก์]
โพสต์ 2021-9-9 23:58:20 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Fenyue เมื่อ 2021-9-10 08:17


⌜ 10 ⌟

บทที่ 3
ลูกเสือในถ้ำเสือ
ฉากที่ 5



            ในยามเช้าของวันที่ตั้งใจจะออกเดินทางต่อ เฟินเยว่ก็ยังคงตื่นแต่เช้าตรู่ก่อนที่ตะวันจะโผล่พ้นขอบฟ้า นางสำรวจอาการป่วยของตนเองก่อนเป็นอันดับแรก ไม่มีไข้แล้ว บาดแผลฟกช้ำใต้ร่มผ้าขึ้นเป็นรอยจ้ำเขียว ไม่เจ็บปวดอะไรหากไม่แตะต้องมันแรง ๆ ส่วนบาดแผลใหญ่ที่สุดบนศีรษะก็เริ่มตกสะเก็ดแห้งดี แต่ยังมีเลือดซึมออกมาเล็กน้อยคงต้องพันผ้าเอาไว้ก่อนอีกสักวัน

            ตัวนางแข็งแรงดีแล้วไม่มีอะไรที่น่าเป็นห่วง เหลือแต่เพียงอาชาขาวที่เป็นพาหนะคู่ใจ เด็กสาวเกรงว่าหากขนข้าวของไปเยอะจะยิ่งทำให้ไป๋ไป๋อาการทรุดหนักลงได้ เป็นไปได้ก็อยากทิ้งของจำพวกอุปกรณ์ทำอาหารเอาไว้ในถ้ำแห่งนี้ก่อนแล้วค่อยกลับมารับคืนทีหลังตอนขากลับไปฉางอัน อย่างไรเสียตอนเข้าเมืองลั่วหยางทำข้าวห่อใบบัวนางน่าจะขอยืมครัวจากพ่อค้าหวังจินได้ ติดแต่ว่าตงฮั่วจะว่าอะไรหรือเปล่า เรื่องนั้นค่อยเอาไว้ถามตอนที่อีกฝ่ายตื่นนอน

            เมื่อคืนได้ฟังเรื่องของเด็กหนุ่มที่พักอาศัยอยู่ในถ้ำมาบ้างเล็กน้อย ทำให้พอจะรู้ว่าเขาไม่ค่อยได้ทานของอร่อย ครั้นจะทำข้าวต้มอย่างเมื่อวานก็กลัวว่าอีกฝ่ายจะเบื่อ ไหน ๆ แล้วนางเคยทำงานร้านติ่มซำมาก่อนก็อยากจะลองแสดงฝีมือทำอาหารอย่างอื่นให้เขาดูบ้าง น่าเสียดายที่ฟืนไฟน่าจะไม่มากพอสำหรับตั้งหม้อนึ่ง ถ้าอย่างนั้นลองเปลี่ยนมาทำขนมเซาปิ่งที่เพียงแค่ผัดไส้กับทอดแป้งในกระทะก็น่าจะเพียงพอ

            สิ่งที่ต้องทำเป็นอันดับแรกก็คือแป้ง ในกระเป๋าสัมภาระยังพอมีแป้งเหลืออยู่ นางนำมานวดกับน้ำสะอาด และเนยละลาย ผสมลูกแป้งข้าวหมาก (ยีสต์) เข้าไปเล็กน้อยเพื่อให้นุ่มฟูยิ่งขึ้น แม้จะทานกันเพียงสองคนแต่ปริมาณที่เด็กสาวทำเอาไว้เท่ากับตอนทำงานที่หมีฟ่านกว่าน ช่วงที่นางเข้าลั่วหยางอาจกินเวลานานหลายวัน เป็นห่วงว่าเด็กหนุ่มจะไม่มีอะไรทานนอกจากการล่าสัตว์จึงทำขนมเซาปิ่วเอาไว้เยอะหน่อย อย่างไรก็เก็บไว้ได้หลายวัน กว่าจะเน่าเสียคงหมดก่อน

            แป้งที่ปั้นเสร็จแล้วนำใส่จานพักเอาไว้ จนกว่าจะถึงเวลาที่ลูกแป้งข้าวหมากขยายตัวเต็มที่ค่อยกลับมาผัดไส้แล้วห่อทอด ต่อมาจัดการแบ่งเนื้อที่เหลือจากเมื่อวานออกเป็นสองส่วน ส่วนแรกเอามาทำเป็นไส้ของขนมเซาปิ่ง ในส่วนนี้ต้องตัดหั่นเป็นเต๋าชิ้นเล็ก ๆ แทนการสับ ตงฮั่วยังไม่ตื่นนางยังไม่อยากทำเสียงดังรบกวนมากเกินไป กว่าจะหั่นหมูให้ละเอียดจึงกินเวลานานกว่าที่ควรเป็น เสร็จแล้วนำมาหมักทิ้งไว้ด้วยเกลือ ซีอิ๋ว พริกไทย และใช้น้ำตาลแทนน้ำผึ้งป่าที่หาไม่ได้

            ยังเหลือเนื้อส่วนที่สองที่ตั้งใจจะนำไปคลุกเกลือตากแห้งถนอมอาหารเพื่อที่จะเก็บรักษาไว้ทานในวันอื่น ๆ ขั้นตอนนี้นางค่อยบอกกับตงฮั่วอีกหนหนึ่งว่าให้เขาหมั่นเอาเนื้อออกมาตากแดดนอกถ้ำให้แห้งดี นางทำตอนนี้ไม่ได้เพราะยังเช้าตรูอยู่ หากรีบร้อนนำไปตากตอนนี้มีแต่ผึ่งลมโดนน้ำค้างยิ่งชื้นและเน่าเร็วไปกันใหญ่

            เตรียมอาหารเสร็จไปครึ่งขั้นตอนเฟินเยว่ก็ออกไปดูม้าที่ผูกเอาไว้ที่หน้าถ้ำ ไป๋ไป๋ยืนขึ้นได้แล้วและกำลังเล็มกินหญ้าเป็นอาหารเช้า ท่าทางของมันดูแข็งแรงดี แต่ก็ฟกช้ำไม่ต่างจากคนขี่หากวันนี้ค่อย ๆ เดินทางไปอย่างช้า ๆ ไม่รีบร้อน จะถึงลั่วหยางเย็นหน่อยก็ไม่เป็นไร ไป๋ไป๋ก็น่าจะไม่เหนื่อยมาก

            “กินเยอะ ๆ นะไป๋ไป๋ แล้วข้าจะพาไปรักษา”

            ม้าขาวหงกหัวรับแต่ไม่ส่งเสียงตอบแล้วเล็มหญ้าต่อ น่าเสียดายที่นางหาอาหารมาเลี้ยงมันดีกว่านี้ไม่ได้ พืชผักที่ตงฮั่วหามาก็หมดลงตั้งแต่เมื่อวาน

            เฟินเยว่ใช้เวลาอยู่ที่หน้าถ้ำเพื่อคิดทบทวนอะไรสักพัก แต่เด็กสาวที่ขยันขันแข็งก็อยู่นิ่งเฉยไม่ได้ หาท่อนไม้มาเขี่ยใบไม้ที่ร่วงโรยระเกะระกะให้กองสุมกันอย่างเป็นระเบียบ เผลอทำความสะอาดหน้าถ้ำโดยไม่จำเป็น นางเห็นเศษกิ่งไม้หักโค่นลงมาเป็นทาง คงเป็นจุดที่ตกลงมาเมื่อสองวันก่อน แหงนหน้ามองขึ้นไปก็เห็นเป็นหน้าผาสูงชัน น้ำลายเหนียวกลืนลงคออย่างยากเย็นเมื่อรู้ว่าตนยังมีชีวิตรอดอยู่ได้อย่างปาฏิหาริย์ ท่านพ่อ ท่านแม่ และท่านยายคงช่วยนางเอาไว้ หากเปลี่ยนตำแหน่งเพียงนิดเดียวเป็นจุดที่ไม่มีต้นไม้มารองรับนางและม้าคงไม่อยู่มีลมหายใจมาจนถึงวันนี้

            ดวงอาทิตย์เริ่มโผล่พ้นขอบฟ้าสาดแสงนวลตาย้อมท้องนภาเป็นสีไพลิน เป็นอีกหนึ่งสัญญาณว่าควรจะกลับไปดูแป้งที่พักไว้ได้แล้ว เฟินเยว่แง้มฝาถ้วยดูเล็กน้อย แป้งปั้นพองตัวใหญ่ขึ้นกว่าเดิมจนล้นชาม ปิดฝาเอาไว้ก่อนแล้วหันมาทำไส้ผัดดีกว่า โดยทั่วไปแล้วขนมเซาปิ่งนิยมทำเป็นไส้เผือก ไส้มัน แต่ก็สามารถใช้เนื้อทำเป็นของคาวเก็บไว้ทานแทนมื้ออาหารหลักได้ด้วยเช่นกัน

            เด็กสาวนำเนื้อหั่นละเอียดที่หมักเอาไว้มาผัดในกระทะ ขั้นตอนนี้เลี่ยงไม่ได้เลยที่จะไม่ให้กลิ่นหอมฉุยโชยไปเข้าจมูกคนที่นอนอยู่แล้วปลุกเขาให้ตื่นโดยไม่ตั้งใจ ได้ยินเสียงหาวหวอดมาจากอีกฝั่งก็รู้ได้ว่าซูตงฮั่วตื่นนอนขึ้นแล้ว

            “อรุณสวัสดิ์เจ้าค่ะคุณชายซู”

            เฟินเยว่เอ่ยทักอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงแจ่มใสปราศจากคราบของคนป่วยเมื่อวาน

            “อรุณสวัสดิ์” เด็กหนุ่มพยักหน้า เมื่อปรับสายตาได้เขาก็เดินมาดูทางนี้ “วันนี้ทำอะไรกินน่ะ หอมจัง”

            “ขนมเซาปิ่งไส้เนื้อน่ะเจ้าค่ะ”

            “ขนมเซาปิ่ง!” ตงฮั่วได้ยินก็ตื่นเต็มตา “เจ้ารู้ได้ไงว่าข้าชอบกินอะไร หม้อไฟก็ด้วย ขนมเซาปิ่งก็ด้วย” เด็กหนุ่มอยากจะพูดว่าไก่ขอทานก็ด้วย แต่สิ่งที่เขาได้ทานไม่ได้ปรุงสด ๆ ต่อหน้า ไม่รู้ว่าเด็กสาวเป็นคนปรุงเองหรือเปล่าจึงไม่ขอพูดในส่วนนั้น

            “จริงหรือเจ้าคะ บังเอิญจัง” เฟินเยว่ยิ้มอย่างดีใจ ยิ่งได้รู้ว่าเป็นอาหารจานโปรดของอีกฝ่ายยิ่งรู้สึกยินดี ดีที่ไม่เผลอไปทำสิ่งที่เขาไม่ชอบด้วย “ถ้าอย่างนั้นคุณชายซูต้องทานเยอะ ๆ แล้วล่ะเจ้าค่ะ”

            “แน่นอนสิ” ตงฮั่วกลั้วหัวเราะ เขามองไปยังหมูผัดในกระทะเหล็ก “นี่คือไส้เหรอ ทำเยอะจัง”

            “ทำเผื่อเอาไว้น่ะเจ้าค่ะ ขนมเซาปิ่งเก็บเอาไว้ทานได้หลายวัน ช่วงเวลาที่ข้าไม่อยู่ท่านจะได้มีเสบียงติดตัวไว้บ้าง”

            “เข้าใจล่ะ...”

            ตงฮั่วพยักหน้ารับ เด็กสาวเกริ่นเช่นนี้แปลว่านางพร้อมแล้วที่จะออกเดินทางในช่วงสาย และเขาก็ไม่มีเหตุใดที่จะร้ังตัวคนที่จับพลัดจับผลูมาเจอกันไว้ นึกเสียดายก็แค่ต้องกลับไปหาของป่าแบบเดิมกินประทังชีพ

            เฟินเยว่ผัดเนื้อกวางไม่ให้สุกจนเกินไปยังพอให้มีความชุ่มฉ่ำและแวววาวอยู่บ้าง เพราะเดี๋ยวจะต้องนำมายัดไส้และห่อทอดอีกทีหนึ่ง ในขั้นตอนนั้นเนื้อในจะสุกกำลังดีไม่แข็งกระด้างทานแล้วฝืดคือ นางนำไส้เนื้อใส่จานพักเอาไว้ก่อนที่จะลงมือปันแป้งเป็นก้อนเล็ก ๆ กดให้แบนสำหรับห่อ ด้วยทักษะการห่อติ่มซำมาเป็นเวลาสามปีทำให้นางเชี่ยวชาญการห่อแป้งทำขนมเซาปิ่งและจับจีบอย่างสวยงามราวกับเป็นแม่ครัวมืออาชีพ

            “จริงสิ เกือบลืมไปเลยเจ้าค่ะ หากว่าข้าขอฝากอุปกรณ์ทำครัวเอาไว้ก่อนแล้วค่อยกลับมารับคืนคุณชายซูจะว่าอะไรหรือเปล่าเจ้าคะ?”

            “ฝากไว้ก่อนอย่างนั้นเหรอ ข้านึกว่าเจ้าจะไปแล้วไปเลยเสียอีก”

            ไม่รู้จะนึกดีใจหรือเสียใจดีที่นางบอกจะกลับมา

            “เจ้าค่ะ ข้าคิดว่าไป๋ไป๋น่าจะยังไม่หายดีเลยไม่อยากให้เขาขนสัมภาระหนักเกินไปน่ะเจ้าค่ะ ที่ไปลั่วหยางก็เพียงภารกิจส่งของเสียด้วย ยังต้องกลับไปรับรางวัลที่ฉางอันน่ะเจ้าค่ะ”

            ไม่เพียงเท่านั้น วัตถุดิบต่าง ๆ ในการทำข้าวห่อใบบัวนางก็ต้องเป็นคนหามาเอง เฟินเยว่จำเป็นต้องกลับไปรับเงินส่วนนี้คืนมาสำหรับการใช้ชีวิตต่อไป คิดแล้วก็หัวเราะแหะ เพิ่งมานึกได้ว่าออกทุนไปก่อนล่วงหน้ามีสิทธิ์ถูกหลอกได้เสมอ แต่เถ้าแก่หวังดูเป็นคนอัธยาศัยดีและร่ำรวยเงินตรา ไม่น่าจะคดโกงชาวบ้านตาดำ ๆ ที่ไม่มีแม้แต่บ้านอยู่อาศัย

            “ได้สิ ข้าจะเก็บรักษาไว้ให้อย่างดีเลย”

            ตงฮั่วรับปากโดยไม่เงยขึ้นมามองหน้า สายตาเขากำลังจับจ้องการห่อแป้งของสุดยอดแม่ครัวที่ไม่น่าจะหาชมได้ในป่าเขา

            “ขอบพระคุณเจ้าค่ะคุณชายซู แล้วก็มีอีกเรื่องหนึ่ง.. ข้าหมักเนื้อส่วนที่เหลือของท่านทำถนอมอาหารเอาไว้ให้ ถ้าอย่างไรคุณชายซูช่วยนำมันออกมาตากแดดในช่วงกลางวันได้หรือไม่เจ้าคะ จะได้เก็บเนื้อไว้รับประทานได้นาน ๆ”

            “ทำเนื้อตากแห้งสินะ ได้สิ”

            “ส่วนเครื่องครัว ระหว่างที่ข้าไม่อยู่ท่านจะใช้งานก็ได้นะเจ้าคะ แต่ว่ามีเพียงแค่เนื้อตากแห้งจะพอหรือเปล่านะ...”

            เฟินเยว่ครุ่นคิด แต่เนื้อสัตว์เป็นสิ่งที่งายที่สุดสำหรับการรับประทานแล้ว เพียงแค่นำมาให้ความร้อนสักวิธี ไม่ว่าจะต้มหรือย่างก็สามารถทานได้ทันที

            สนทนาไปห่อแป้งไปในที่สุดก็ได้ขนมเซาปิ่งมาหลายลูก หากเขาไม่เบื่อเสียก่อนก็น่าจะมีส่วนที่เหลือเอาไว้ทานได้อีกหนึ่งวันเต็ม ๆ เด็กสาวเช็ดกระทะที่ผัดเนื้อแล้วใส่น้ำมันลงไปใหม่แต่เพียงเล็กน้อย ก่อนจะนำก้อนแป้งห่อไส้เนื้อกวางลงไปทอดจนแป้งสีขาวเริ่มเปลี่ยนสีเป็นเหลืองทองน่าทาน

.
.
.

            “ขนมเซาปิ่งก็อร่อย ดีจังที่ได้ทานอีก” ตงฮั่วพรูหายใจอย่างเป็นสุขเมื่อได้ทานอาหารอร่อยเสียจนเต็มพุง “หากได้สุราหรือชาเจียวกู่หลานสักนิดก็น่าจะดีสินะ”

            “ชาสินะเจ้าคะ ข้าเอามาด้วยเจ้าค่ะ” เฟินเยว่เปิดกระเป๋าหากระปุกชา แต่ค้นแล้วหลายรอบกลับหาไม่เจอ “เอ.. หายไปไหนกันนะ ทำหล่นตอนที่ร่วงลงมาอย่างนั้นเหรอ..”

            “ไม่เป็นไร ข้าก็บ่นไปอย่างนั้นแหล่ะ ดื่มแค่น้ำก็ได้เหมือนกัน”

            “เจ้าค่ะ”

            นางพยักหน้ารับ ส่วนในใจก็คิดแล้วว่าเมื่อเข้าลั่วหยางไปจะหาชาเจียวกู่หลานเป็นของตอบแทนที่ตงฮั่วช่วยชีวิตเอาไว้

            ระหว่างทานขนมเซาปิ่งเป็นอาหารเช้ากันแล้วเฟินเยว่ก็ได้ปรึกษาเรื่องการเดินทางไปลั่วหยางจากตงฮั่วไปด้วย

            “ข้าจะไปส่งเจ้าจนถึงถนนหลักแล้วเดินทางตามนี้ มุ่งหน้าลงใต้ไปเรื่อย ๆ จนถึงเมืองหงหนง จากนั้นก็ออกเดินทางต่อไปทางทิศตะวันออกก็จะถึงลั่วหยาง หากเดินทางไม่เร็วมากก็น่าจะถึงก่อนเย็นได้อยู่”

            “เจ้าค่ะ”

            เฟินเยว่พยักหน้ารับคำ หากดูตามแผนที่นางก็พอจะทราบเส้นทางที่ต้องไป เพียงแต่ว่าต้องหมั่นกวาดสายตาตรวจสอบให้มากกว่านี้จะได้ไม่หลงทิศหลงทางไปอีก

            เมื่อถึงเวลาเดินทาง ทั้งสองช่วยกันขนของขึ้นหลังม้านำไปที่จำเป็น ซึ่งที่แน่ ๆ สองสิ่งที่สำคัญนั้นคือข้าวสารที่เถ้าแก่หวังคนน้องให้มากับเปาเปาหมูป่าคู่ใจ เฟินเยว่จูงไป๋ไป๋ไปตามทางที่ตงฮั่วเดินนำ แล้วก็พยายามจดจำให้ดีจะได้ไม่หลงในขากลับที่แวะมาอีก ซึ่งไม่ได้ยากเย็นสักเท่าไร เพราะเดินไปไม่ไกลก็เข้าสู่ถนนหลักแล้ว เด็กสาวมองกลับเข้าไปในป่าอีกครั้ง จุดที่เดินออกมานี้มีต้นหลิวใหญ่เป็นเอกลักษณ์ยืนต้นอยู่พอดี

            “ขอบคุณคุณชายซูที่มาส่งนะเจ้าคะ แล้วถ้าเสร็จธุระแล้วข้าจะรีบกลับมาเจ้าค่ะ”

            เฟินเยว่ค้อมศีรษะลงขอบคุณก่อนที่จะพยุงตัวขึ้นขี่ม้า เด็กสาวสังเกตอาการไป๋ไป๋ไปด้วย ในตอนนี้ยังไม่มีอะไรมันดูแข็งแรงไม่ต่างจากปกติ

            “อืม เดินทางดี ๆ ล่ะ อย่าไปตกม้าที่ไหนอีก”

            เด็กหนุ่มเท้าเอวยืนส่ง คำแซวของเขาทำเอาเด็กสาวหัวเราะแหะอย่างไม่มีข้อโต้แย้ง เฟินเยว่ค้อมศีรษะลงอีกครั้งเป็นการบอกลาก่อนจะค่อย ๆ บังคับม้าลงไปทางทิศใต้ เมื่อม้าค่อย ๆ เคลื่อนจากไปเจ้าหมูป่าก็โผล่หน้าออกมาจากตะกร้า บอกลาเด็กหนุ่มผู้เคยเกือบจะเชือดมัน

            “อู๊ดดด”


.
.
.



ลักษณะนิสัยเห็นอกเห็นใจ
+20 EXP ทุกครั้งที่โรลเห็นอกเห็นใจช่วยเหลือผู้อื่น หรือ ทำงานช่วยเหลือ

[152] มอบ ขนมเซาปิ่ง ให้ ซู ตงฮั่ว



←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
พยัคฆ์ตงเทียน
หยกเชื่อมสัมพันธ์
พู่กันเหวิ่นเซ่า
ถุงหอมจูอวี๋
กลยุทธ์เล่ออี้
บทเพลงยิ้มเย้ยยุทธจักร
หน้ากากขาว
เกราะเกล็ดมังกร
ผ้าคลุมไท่หลง
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x40
x32
x1
x439
x500
x73
x500
x26
x498
x500
x10
x2
x9
x1
x400
x1
x1
x5
x28
x8
x591
x228
x228
x500
x2514
x18
x14
x1
x5
x1
x2
x100
x5
x50
x100
x3
x3
x10
x2
x47
x64
x6
x9
x2
x71
x1
x24
x95
x50
x86
x150
x260
x150
x150
x46
x46
x2
x2
x6
x2
x2
x34
x4
x1
x8
x1
x2
x7
x5
x8
x7
x110
x7
x74
x45
x3
x30
x63
x74
x79
x2
x71
x68
x6
x45
x50
x160
x316
x3
x220
x48
x35
x168
x12
x10
x25
x1
x13
x6
x4
x6
โพสต์ 2021-9-12 23:37:44 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Fenyue เมื่อ 2021-11-9 00:09


⌜ 13 ⌟

บทที่ 4
ภารกิจที่ลั่วหยาง
ฉากที่ 3



            ออกเดินทางจากลั่วหยางไปสู่เหอตงตามแผนการที่กำหนดไว้เป๊ะ แม้ว่าไป๋ไป๋จะหายดีแล้วแต่เฟินเยว่ก็ตัดสินใจแล้วว่านางจะไม่ซิ่งม้าอีก เพื่อไม่ให้เป็นภาระทางร่างกายของม้าขาวมากเกินไป และนางก็เข็ดจากอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น ตอนนี้แผลแห้งสนิทแล้วก็เลยถอดผ้าพันแผลออกได้ จัดผมปิดเอาไว้เสียหน่อยก็ไม่พบร่องรอยกลางกระหม่อมแล้ว
           
            ม้าขาววิ่งเหยาะไปตามเส้นทางด้วยความเร็วไม่มาก การเดินทางขากลับจะเรียกว่าขี่ม้ากินลมชมวิวก็ได้ แม้ทางไปเหอตงจะเป็นภูเขาสูงไม่ต่างจากอันติงแต่ก็ไห้ความรู้สึกที่แตกต่าง ระหว่างที่เพลิน ๆ อยู่นั้นเองก็รู้สึกว่าความเร็วม้าค่อย ๆ เพิ่มขึ้นจนเด็กสาวต้องดึงบังเหียนให้ความเร็วม้าลดลง
           
            “ฟรืด..”
           
            เสียงพรูลมหายใจอย่างหงุดหงิดดังออกมาจากไป๋ไป๋ เพราะถูกขัดจังหวะไม่ให้ออกวิ่งโจนทะยานด้วยความเร็วเต็มฝีเท้าอย่างที่มันชอบ
           
            “เอ๋.. ไม่พอใจเหรอ?” เฟินเย่กะพริบตาปริบ ๆ นางทำตัวไม่ค่อยถูกที่ม้าแสนเชื่องแสดงอาการกับนางเช่นนี้ “ขอโทษนะ แต่ว่าตอนนี้ยังวิ่งเร็วไม่ได้ เอาไว้ถ้าเจอทุ่งหญ้าข้าจะปล่อยเจ้าวิ่งให้เต็มที่เลยนะ”
           
            นางลูบคอเจ้าม้าขาว เหมือนมันจะรับฟังและสงบลง ออกวิ่งด้วยความเร็วคงที่ไปจนถึงหน้าถ้ำที่ซูตงฮั่วพักอาศัย เด็กสาวถอดอานม้าออกเพื่อให้ไป๋ไป๋ได้พักอย่างสบายตัว ก่อนที่จะเดินเข้าไปในถ้ำ
           
            “สวัสดีเจ้าค่ะคุณชายซู” น้ำเสียงหวานใสดั่งกระดิ่งลมเอ่ยทักออกไปแต่ทว่าไร้วี่แววตอบกลับ “ไม่อยู่อย่างนั้นเหรอ?”
           
            เฟินเยว่มองดูรอบ ๆ เครื่องครัวของนางยังตั้งอยู่แต่ไม่มีร่องรอยการใช้งาน มีเนื้อตากแห้งที่เหลืออยู่จำนวนเล็กน้อยเป็นเครื่องบ่งบอกว่าเขายังไม่ได้จากถ้ำนี้ไป บางทีตงฮั่วอาจจะออกไปเก็บผักหรือไม่ก็ล่าสัตว์เพิ่ม ดังน้้นเด็กสาวจึงตัดสินใจนั่งรออยู่ในถ้ำ แต่คนอย่างเฟินเยว่มีหรือจะอยู่รออย่างนิ่งเฉยได้นาน งานก็ไม่มีให้ทำ บ้านก็ไม่มีให้ดูแล มองตามพื้นไปเห็นรอยเท้าที่เดินออกไปข้างนอกอดใจไม่ไหวจึงตัดสินใจสะกดรอยตามไป
           
.
.
.
           
             ซู่…
           
            เมื่อเดินเข้าป่าตามรอยเท้าไปเรื่อย ๆ ก็ได้ยินเสียงน้ำตกดังมาแต่ไกล
           
            ‘ละแวกนี้มีน้ำตกด้วยสินะ..’
           
            เด็กสาวคิดในใจ พอจบต้นชนปลายแบบนี้ได้แล้วรู้สึกไม่ประหลาดใจเลย ภายในถ้ำก็มีตาน้ำผุดและน้ำเวียนอยู่ด้านใน บางทีอาจจะมีต้นกำเนิดเดียวกันคือน้ำตกที่อยู่ใกล้ ๆ
           
            “หวาว.. สวยจัง”

            มือเรียวเกี่ยวเส้นผมที่ปรกข้างแก้มขึ้นทัดใบหู เงยหน้ามองน้ำตกสูงตระหง่านที่ไหลลงมาจากยอดเขา เมื่อเข้าใกล้สายน้ำยิ่งให้ความรู้สึกเย็นสดชื่น นางหลับตาพริ้มรับฝอยน้ำที่สาดกระเซ็นลงมาอย่างชื่นใจ รู้สึกอยากทำตัวเป็นเด็กแล้วลงไปแช่น้ำเล่นเสียจริงเชียว แต่เด็กสาวก็รู้ดีว่ากุลสตรีอย่างนางไม่ควรทำเช่นนั้นกลางป่าเขาเพียงลำพัง
           
            และเมื่อลืมตาขึ้นกวาดสายตามองอย่างถ้วนทั่วก็เห็นเงาร่างหนึ่งของบุรุษที่กับลังฝึกยุทธ์อยู่ที่ราบใกล้ ๆ กัน วงแขนกำยำกวาดกระบี่ไปด้านหน้าอย่างดุดัน แม้เป็นเพียงแค่อากาศเขาก็ไม่ยอมอ่อนข้อให้ ภาพเหล่านั้นชวนให้เฟินเยว่นึกถึงพี่ชายคนโตที่มักจะฝึกกระบี่อยู่บ่อย ๆ
           
            “อ๊ะ คุณชายซูนี่นา”
           
            เฟินเยว่เดินไปหาอีกฝ่ายเงียบ ๆ ด้วยไม่ต้องการจะทำให้เด็กหนุ่มเสียสมาธิ และคิดว่าเสียงน้ำตกน่าจะกลบเสียงฝีเท้านางได้ แต่ไม่เลยตงฮั่วหันขวับมาทันทีเมื่อนางเข้าใกล้ระยะการได้ยิน
           
            “เจ้านี่เอง กลับมาแล้วรึ”
           
            ตงฮั่วเก็บกระบี่เข้าฝักทันทีเมื่อเห็นว่าเด็กสาวที่ขอตัวลาไปทำธุระได้กลับมาแล้ว ท่าทางว่าการมาของนางจะรบกวนการฝึกของเขาจริง ๆ เสียแล้ว เด็กสาวจึงได้แต่ยิ้มแหะแล้วค้อมศีรษะลงทักทาย
           
            “สวัสดีค่ะคุณชายซู ข้ากลับมาแล้วเจ้าค่ะ เอ่อ.. ข้ารบกวนการฝึกของท่านหรือไม่เจ้าคะ?”
           
            “สวัสดี” ตงฮั่วพยักหน้าเล็กน้อยเป็นการทักกลับ “ไม่นี่” อันที่จริงก็ใช่ เพราะการมาถึงของนางเขาจึงหยุดฝึกดาบต่อ แต่นี่ก็ใกล้เวลากลับไปถ้ำแล้ว วันนี้เลิกฝึกไวขึ้นหน่อยสักสองสามเค่อคงไม่เป็นไร “ข้าก็ตั้งใจว่าจะกลับถ้ำแล้ว”
           
            “เช่นนั้นเอง..” เด็กสาวพรูหายใจออกมาอย่างโล่งอกพร้อมกับยกมือทาบอกลูบปอย ๆ “ข้าซื้อวัตถุดิบทำหม้อไฟมาด้วยล่ะเจ้าค่ะ”
           
            และคำว่าหม้อไฟก็ทำให้ตงฮั่วหูตั้ง แม้ว่าเขาจะไม่ใช่คนที่โลภโมโทสัน แต่เมื่อได้ชิมหม้อไฟในครั้งก่อนแล้วเขาก็ติดใจอยากจะกินอีก ครั้งที่แล้วใช้เนื้อและผักตามมีตามเกิด แต่คราวนี้มีวัตถุดิบที่ซื้อหามาจากตลาดอีกจะอร่อยขนาดไหน
           
            “ป้ะ งั้นรีบกลับไปที่ถ้ำกันเถอะ”
           
            เด็กหนุ่มเดินนำลิ่ว ๆ กลับไปที่ถ้ำไป๋หู่ คนที่เห็นแบบนั้นก็พยายามกลั้นขำกับท่าทางที่ดูไร้เดียงสาของเขาแล้วเดินตามหลังไป
           
.
.
.
           
            “คราวนี้ตั้งใจจะทำหม้อไฟยูนนานล่ะเจ้าค่ะ”
           
            เด็กสาวเอ่ยบอกขณะก่อไฟให้ร้อนเตรียมตั้งหม้อ อย่าคิดดูถูกนางเชียวเพราะเฟินเยว่ถือเป็นหนึ่งในผู้เชี่ยวชาญการควบคุมไฟ มันเป็นทักษะสำคัญอีกอย่างที่แม่ครัวจำเป็นต้องรู้และฝึกให้เชี่ยวชาญ อาหารต้ม อาหารทอด อาหารนึ่ง อาหารผัด แต่ละอย่างใช้ไฟไม่เท่ากัน จะต้องรู้ว่าควรเพิ่มไฟให้แรงและลดไฟลงตอนไหน ในการทำหม้อไฟก็ควรจะใช้ไฟแรงในตอนต้นเพื่อเร่งน้ำให้เดือดก่อนจะลดไฟลงมาเพื่อใส่วัตถุดิบต่าง ๆ ลงไป กลิ่นหอมคละเคล้าไปทั่วทั้งถ้ำไป๋หู่กลบกลิ่นอับชื้นไปเสียหมดสิ้น
           
            “หม้อไฟยูนนาน.. อาหารทางตอนใต้งั้นเหรอ น่าจะอร่อยดีนะ”
           
            คนเหนืออย่างตงฮั่วไม่เคยทานหม้อไฟทางใต้ นับว่าโชคดีชะมัดที่วันนี้จะได้ลิ้มรสหาอาหารต่างถิ่นจากแม่ครัวที่พิสูจน์มาแล้วว่าทำอะไรไม่อร่อย เด็กหนุ่มมองเด็กสาวที่ก่อไฟเสร็จแล้วก็หย่อนวัตถุดิบต่าง ๆ ที่ล้างและหั่นสะอาดแล้วลงไปในหม้อน้ำแกงเดือดปุด วัตถุดิบส่วนมากจะเป็นเห็ดและเต้าหู้ ที่ขาดไม่ได้เลยคือพริกเจียวฮวา เพราะฉะนั้นวันนี้ก็เตรียมตัวที่จะต้องกินน้ำอีกหลายอึก
           
            “ข้าทำอาหารรายการนี้บ่อยเลยล่ะเจ้าค่ะ แต่อาจไม่ตรงสูตรนักนะเจ้าคะ บางอย่างข้าก็ดัดแปลงเพื่อให้ถูกปากตัวเอง”
           
            ที่นางพูดเช่นนั้นไม่ใช่เพราะว่าตนเคยเดินทางไปทางใต้ แต่เป็นเพราะตอนอยู่บ้านที่อันติงนางเก็บเห็ดประทังชีพ อาหารประเภทหม้อไฟมีส่วนผสมของน้ำเยอะ ถ้ายิ่งซดน้ำหมดก็จะยิ่งหนักท้อง และท่านยายแม่บ้านเฒ่าชราภาพมากแล้วทานอย่างอื่นที่เคี้ยวยากไม่ได้ เลยจำเป็นต้องทานแต่เต้าหู้และน้ำแกงอุ่น ๆ
           
            “จะสูตรไหนก็ช่างข้าเชื่อมือเจ้าอยู่แล้ว”
           
            ตงฮั่วยกนิ้วโป้งให้ ส่วนนางก็หัวเราะเสียงเล็กก่อนจะส่งถ้วยชามไปให้
           
            “หม้อไฟสุกแล้ว มาทานกันเถอะเจ้าค่ะ”
           
            ทั้งสองเริ่มทานหม้อไฟยูนนานกันเป็นมื้อเย็น ระหว่างนั้นก็เล่าเรื่องพูดคุยต่าง ๆ นานา ถึงเหตุการณ์ระหว่างสองวันนี้ที่ไม่ได้เจอหน้ากัน และนี่อาจเป็นครั้งสุดท้ายแล้วที่เฟินเยว่จะได้มาพบกับตงฮั่วอีก ก่อนที่จะเดินทางเข้าสู่ฉางอันในวันรุ่งขึ้น



.
.
.



ลักษณะนิสัยเห็นอกเห็นใจ
+20 EXP ทุกครั้งที่โรลเห็นอกเห็นใจช่วยเหลือผู้อื่น หรือ ทำงานช่วยเหลือ

[152] มอบ หม้อไฟยูนนาน ให้ ซู ตงฮั่ว


←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
พยัคฆ์ตงเทียน
หยกเชื่อมสัมพันธ์
พู่กันเหวิ่นเซ่า
ถุงหอมจูอวี๋
กลยุทธ์เล่ออี้
บทเพลงยิ้มเย้ยยุทธจักร
หน้ากากขาว
เกราะเกล็ดมังกร
ผ้าคลุมไท่หลง
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x40
x32
x1
x439
x500
x73
x500
x26
x498
x500
x10
x2
x9
x1
x400
x1
x1
x5
x28
x8
x591
x228
x228
x500
x2514
x18
x14
x1
x5
x1
x2
x100
x5
x50
x100
x3
x3
x10
x2
x47
x64
x6
x9
x2
x71
x1
x24
x95
x50
x86
x150
x260
x150
x150
x46
x46
x2
x2
x6
x2
x2
x34
x4
x1
x8
x1
x2
x7
x5
x8
x7
x110
x7
x74
x45
x3
x30
x63
x74
x79
x2
x71
x68
x6
x45
x50
x160
x316
x3
x220
x48
x35
x168
x12
x10
x25
x1
x13
x6
x4
x6
โพสต์ 2021-9-13 09:41:18 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Fenyue เมื่อ 2021-11-9 00:09


⌜ 14 ⌟

บทที่ 4
ภารกิจที่ลั่วหยาง
ฉากที่ 4



            รุ่งสางของวันที่ต้องเดินทางกลับ เฟินเยว่ก็ตื่นแต่เช้าขึ้นมาหุงหาอาหารเช่นเคย นางใช้ข้าวสารที่เหลือจากงานเถ้าแก่หวังหุงทำเป็นโจ๊กไก่สูตรเด็ดที่ใกล้เคียงกับโจ๊กที่ขายในร้านหมีฟ่านกว่าน ที่บอกว่าใกล้เคียงอนึ่งเพราะวัตถุดิบในการทำไม่ครบถ้วน และสองคือเฟินเยว่ไม่ทราบว่าสูตรที่แท้จริงว่าคืออะไรเพราะเถ้าแก่เนี้ยไม่ยอมเปิดเผย แล้วเมื่อนางไปทำงานที่ร้านที่ไรไม่ว่าจะเช้าขนาดไหนเถ้าแก่เนี้ยก็ปรุงวัตถุดิบทั้งหมดเรียบร้อยหมดแล้ว เหลือเพียงแค่เคี่ยวไปเรื่อย ๆ ให้โจ๊กเปื่อยยุ่ยและเนียนละเอียดราวกับน้ำแกงของชาวตะวันตก
            
            เห็นยาจกแบบนี้แต่เฟินเยว่ก็เคยทานอาหารของชาวจะวันตก ถึงจะพูดว่าเคยทานแต่กระนั้นความทรงจำก็ช่างเลือนลางเอามาก ๆ จำได้แค่ว่าตอนนั้นนางอายุได้เพียงห้าขวบ ที่บ้านยังร่ำรวยเงินทอง บิดาและมารดานางทำกิจการค้าขายผ้าไหมส่งออกขายทั้งในต้าฮั่นและแถบเส้นทางสายไหม ในตอนนี้บิดามีสหายชาวตะวันตกอยู่คนหนึ่ง เขามาเยี่ยมที่บ้านบ่อย ๆ และภรรยาของสหายบิดาก็เคยทำอาหารตะวันตกให้ครอบครัวได้ลองชิม
            
            เฟินเยว่หลับตานึกถึงรสชาติอาหารในวันนั้น ภายในภาพความจำแทบจะมองสิ่งใดไม่เห็นเลย ท่านพ่อและท่านแม่ของนางกำลังกินดื่มอะไรกันอยู่นะ? จำได้ว่ามีของเหลวสีแดงสดถูกบรรจุอยู่ในแก้วทรงสูง มีเนื้ออะไรสักอย่างวางอยู่ในจานเปลใบใหญ่ที่ไม่ใช่ของในบ้าน ตอนนี้นางเริ่มเห็นชัดแล้วว่าอาหารที่อยู่ตรงหน้าคืออะไร มันคือน้ำแกงของชาวตะวันตกสีข้นขาวที่ใส่เห็ดอยู่ข้างใน รสสัมผัสนั้นช่างเนียนนุ่มละมุนลิ้น เนียนยิ่งกว่าโจ๊กเสียอีก น่าเสียดาย.. หากนางโตกว่านี้อีกสักนิดคงขอให้นายหญิงชาวซีอวี้ (แดนตะวันตก) ช่วยสอนสูตรอาหารให้เสียแล้ว
            
            “อาโหร่ยหมายจ๊า”
            
            “อื้อ.. อาหย่อยมั่กเยยเจ้าก้ะ”
            
            “หนูเย่เอ๋อร์ชอบ xxx ที่ป้าทามห้ายหมาย?”
            
            “ช่อบเจ้าก้ะ เยว่เอ๋อร์ช่อบมั่ก ๆ เยว่เอ๋อร์ช่อบเห็กล่วย”
            
            “ถ้าชอบง้านก็ทานเยอะ ๆ หนาจ๊า”
            
            คิดถึงเรื่องเก่า ๆ เด็กสาวก็หัวเราะขำกับความไร้เดียงสาของตัวเอง น่าเสียดายที่ตั้งแต่โตมาก็ไม่ได้ทานอาหารของชาวซีอวี้อีกเลย

.
.
.
            
            สายขึ้นมาอีกหน่อยทว่าไม่ได้มากจนเกินไปตงฮั่วก็ตื่นนอน จะบอกว่าเขาตื่นสายก็ไม่ถูก เขาแค่ตื่นช้ากว่านางที่ตื่นเช้าเกินไป
            
            “อรุณสวัสดิ์เจ้าค่ะ คุณชายซู”
            
            “อรุณสวัสดิ์… หอมจัง อะไรน่ะ โจ๊กหรือ?”
            
            คาดว่าเขาน่าจะตื่นขึ้นมาเพราะกลิ่นอาหารอีกเช่นเคย เด็กหนุ่มรู้สึกว่าตั้งแต่ที่มีเด็กสาวเข้ามาในชีวิตตนเองก็กลายเป็นคุณชายชอบกล ตื่นขึ้นมาก็มีอาหารรออยู่ตรงหน้า… ดีจริง ๆ แต่วันนี้อาจจะเป็นวันสุดท้ายแล้วที่จะได้พบหน้าแล้วกลับไปใช้ชีวิตอย่างผู้ฝึกยุทธ์จริง ๆ จัง ๆ หวังว่าความสบายนี้จะไม่ทำให้ตนลืมความแค้นที่ต้องสะสางกับกลุ่มโจรผ้าเหลือง
            
             ...แต่ตอนนี้มีของอร่อยให้กินก็กินก่อนที่จะไม่ได้กินอีกก็แล้วกัน…

            แล้วมื้อเช้าของวันที่อากาศสดใสเหมาะแก่การเดินทางก็เริ่มต้นขึ้น ในระหว่างมื้ออาหาร คราวนี้ตงฮั่วเป็นฝ่ายเริ่มชวนสนทนา คงเพราะเขาเริ่มที่จะรู้สึกสนิทสนมกับเด็กสาวมากขึ้นแล้วก็เป็นได้

            “กลับไปฉางอันแล้วจะทำยังไงต่อ”

            “อื้ม..” เด็กสาวทำหน้าขบคิด “คิดว่าน่าจะหางานทำไปด้วยแล้วก็ตามหาท่านพี่ไปด้วยน่ะเจ้าค่ะ”
            
            เฟินเยว่ไร้ญาติขาดมิตร ไม่มีกระทั่งคนรู้จักที่ฉางอันเลยแม้แต่คนเดียว นับเป็นการบ้าบิ่นมากที่เป็นสตรีตัวคนเดียวแต่ออกเดินทางข้ามเมืองหวังไปตายเอาดาบหน้า หากไร้ร่องรอยเบาะแสของพี่ชายก็กลับไปบ้านเดิมไม่ได้เพราะถูกหลวงยึดคืนเหตุว่าไม่มีเงินจ่ายค่าภาษี หากโชคชะตากลั่นแกล้งคงไม่แคล้วได้เป็นขอทานนอนข้างถนน แต่เด็กสาวจะไม่ยอมให้เป็นอย่างนั้น อย่างน้อยนางก็จะหางานทำและอาจขอเถ้าแก่ร้านนอนเฝ้าแทนค่าจ้างส่วนหนึ่ง
            
            “แล้วคุณชายซูล่ะเจ้าคะ จะอยู่ที่ถ้ำนี้ตลอดไปเลยหรือเจ้าคะ?”
            
            เมื่อเอ่ยถามซูตงฮั่วก็ชะงักไปเล็กน้อยคล้ายกับว่ากำลังครุ่นคิดถึงตารางชีวิตในภายภาคหน้า
            
            “ก็อยู่ที่นี่ไปก่อน.. สักเดือนนึง สองเดือน หรือหนึ่งปี”
            
            เด็กหนุ่มตอบออกไปอย่างไม่แยแส ฟังแล้วคล้ายกับว่าเขากำลังล้อเล่นกับนางอยู่
            
            “หน่ะ.. หนึ่งปีเลยหรือเจ้าคะ...” เด็กสาวเหงื่อตก “เอาไว้ถ้าครบหนึ่งปีแล้วยังรู้ว่าท่านยังอยู่ที่นี่ จะทำป้ายชื่อบ้านเป็นของขวัญครบรอบให้นะเจ้าคะ”
            
            ได้ยินดังนั้นตงฮั่วก็ขำพรืด
            
            “ไม่เอาหรอก น่าขนลุกจะตาย ถ้าทำป้ายชื่อบ้านไว้หน้าถ้ำจริง ๆ แล้วมีพ่อค้าเร่มาเสนอขายของจะทำยังไงล่ะ”
            
            “อ๊ะ จริงด้วยสิเจ้าคะ”
            
            เด็กสาวยกมือขึ้นปิดปากอุทาน ตอนที่อยู่อันติงก็มีพ่อค้าเร่มาเสนอขายหินกรองน้ำกับเครื่องประผิวอยู่บ่อยครั้งเพราะคิดว่าบ้านของนางใหญ่น่าจะเป็นเศรษฐีที่ร่ำรวย แต่หารู้ไม่ว่าตระกูลซุนแห่งอันติงนั้นบัญชีติดตัวแดง แต่ด้วยความที่นางขี้เกรงใจและปฏิเสธใครไม่เก่งจึงมักจะแพ้ลูกตื๊อของพ่อค้าแม่ขายอยู่ร่ำไป
            
            “แม่นางซุนเฟินเยว่ช่างเป็นสตรีที่ประหลาดดีแท้”
            
            ตงฮั่วเห็นเช่นนั้นเขาก็ขำท่าทีของเฟินเยว่อีกรอบเพราะว่านางไม่มีจริตเสแสร้งแกล้งตามมุกแต่หน้าตาที่จริงจังบ่งบอกได้เลยว่าเด็กสาวคล้อยตามที่เขากล่าวจริง ๆ
            
            “เอ๋ ประหลาดหรือเจ้าคะ?”
            
            เด็กสาวทำตาโต ไม่รู้ว่าเผลอไปทำอะไรให้เขาคิดว่านางเป็นคนประหลาด แถมตงฮั่วยังเรียกชื่อเสียเต็มยศจนทำให้คิด ที่เขาบอกว่าแปลกก็คงเรื่องจริง
            
            “ก็.. หญิงสาวที่ไหนจะเดินทางคนเดียวไปกับหมูป่า” พอได้ยินคำว่าหมูป่าเปาเปาที่กำลังกินเศษผักเป็นอาหารเช้าก็หันมามอง “ขี่ม้าตกเขา แบกทวนกับธนูเดินไปมา แถมยังค้างแรมในถ้ำกับบุรุษสองต่อสองโดยไม่ระวังตัวอีก”
            
            “อ๊ะ..”
            
            เฟินเยว่ยกมือขึ้นปิดปากพร้อมกับอุทานออกมาอีกครั้ง ที่ตงฮั่วพูดมาก็ถูกหมดทุกอย่าง ไม่มีสตรีที่ไหนทำแบบนางจริง ๆ สตรีที่ดีควรอยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือน หน้าที่หลักคือดูแลบ้าน หุงหาอาหาร อยู่ว่าง ๆ ก็ปักผ้าหรือไม่ก็จัดดอกไม้ แม้นางจะทำทุกอย่างที่ว่ามาได้ก็เถอะ แต่ก็ผิดเรื่องธรรมเนียมเรื่องการตะลอนออกจากบ้านอยู่ดี เด็กสาวแทบจะไม่เคยคิดถึงเรื่องนั้นเลย เพราะตั้งแต่ที่อายุได้สิบขวบก็ต้องเดินเท้าเข้ามาทำงานในตัวเมืองแล้ว คำว่าอยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือนสำหรับเด็กสาวที่ชื่อว่าซุนเฟินเยว่นั้น ‘ไม่มีจริง’
            
            ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากันแน่น พวงแก้มก็ชักจะขึ้นสีด้วยความรู้สึกละอายใจ
                  
            “อา.. แบบนี้ข้าก็เป็นเจ้าสาวไม่ได้แล้วหรือเปล่านะ”
            
            เด็กหนุ่มเห็นสีหน้านั้นเขาก็อ้ำอึ้งพูดไม่ถูก จากแซวเล่นเล็ก ๆ น้อย ๆ กลายเป็นว่าคนตรงหน้ากับคิดจริงจัง
            
            “เปล่าสักหน่อย ได้สิ เจ้าต้องเป็นเจ้าสาวที่ดีได้อยู่แล้ว”
            
            ตงฮั่วตอบอย่างเลิกลั่ก เขาเป็นลูกผู้ชายที่ในหัวคิดถึงแต่เรื่องการแก้แค้น ไม่ค่อยได้ทำความรู้จักกับสตรี จึงไม่รู้ว่าควรต้องรับมืออย่างไร
            
            เมื่อเฟินเยว่ได้ยินเช่นนั้นนางก็ช้อนสายตาขึ้นมอง นัยน์ตากระจ่างใส่ประดุจแก้วสั่นไหวเต็มไปด้วยกระแสแห่งความกังวลใจ
            
            “จริงหรือเจ้าคะ.. ถ้าเป็นคุณชายซูจะรับได้หรือ?”
            
            ได้ยินคำถามนั้นทำเอาในหัวของเด็กหนุ่มที่ไม่ประสาเรื่องหนุ่มสาวหมุนติ้ว ประโยคที่นางพูดตีความได้หลายทาง
            
            ‘ถ้าเป็นเขาจะรับผู้หญิงคล้าย ๆ กับนางมาเป็นภรรยาได้หรือไม่?’ หรือว่า ‘ถ้าเป็นเขาจะรับนางเป็นภรรยาได้หรือไม่?’
            
            ตงฮั่วตั้งสติแล้วไตร่ตรองดูอีกครั้ง เขากับเฟินเยว่อาศัยร่วมถ้ำกันมาสี่คืนเห็นจะได้ แม้ไม่มีอะไรเกินเลยและไม่เคยแม้แต่คิดทว่ามันก็ผิดธรรมนองคลองธรรมอันดีงามที่บุรุษจะปฏิบัติกับหญิงสาวที่ไม่ได้เป็นภรรยา หากมีใครรู้เรื่องนี้เข้าแน่นอนว่าเด็กสาวจะเป็นฝ่ายเสียหาย และจะขายไม่ออกจริง ๆ ก็คราวนี้ เมื่อคิดได้แล้วเด็กหนุ่มก็ถามออกไปเสียงขรึม ใบหน้าจริงจังไม่แพ้กัน
            
            “เอ่อ...เจ้า อยากจะให้ข้ารับผิดชอบอย่างนั้นหรือ?”
            
            “เหะ..?”
            
            เฟินเยว่มองตาค้าง สีหน้าคล้ายกับตกตะลึงและไม่เชื่อรูหูในสิ่งที่อีกฝ่ายกล่าวออกมา ในใจของตงฮั่วคิดว่า ‘ฉิบหายแล้ว!’ นางแค่ถามว่าเขาจะรับผู้หญิงที่มีเรื่องราวคล้ายกับนางได้ไหมต่างหาก เมื่อรู้ว่าพลาดเขาชักอยากจะเอาหัวโขกผนังแล้วลืมบทสนทนาในเช้าวันนี้เสีย

            เฟินเยว่ติดสถานะชะงักอยู่นานก่อนจะมีสติเลิกลั่กตอบออกไป ดวงหน้าร้อนวูบวาบ ควบคุมมือไม้ไม่ถูกจึงประสานกันไว้ที่อกบ้าง ถูมือไปมาบ้าง ทำมือกำ ๆ แบ ๆ บ้าง สิบท่าในห้าวินาที
            
            “มะ.. ไม่ใช่นะเจ้าคะ ข้าไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น ไม่ได้ต้องการให้คุณชายซูรับผิดชอบจริง ๆ เจ้าค่ะ!”
            
            “รู้แล้ว ๆ” ตงฮั่วยื่นมือออกมาปรามไม่ให้เด็กสาวล่กมากไปกว่านี้ เขากระแอมไอบอกไปทีแล้วเบือนหน้าพูดกับผนัง “ไม่ใช่ว่าบุรุษทุกคนจะเป็นแบบข้า เพราะฉะนั้นก็ระวังตัวด้วย แล้วก็อย่าไปทำแบบนั้นกับคนอื่นล่ะ”
            
            “เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ ข้าจะไม่ให้เกิดเรื่องแบบนี้อีกเป็นหนที่สองเจ้าค่ะ!”
           
            เด็กสาวหลับตาปี๋พร้อมกับให้สัญญาด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ก่อนจะค่อย ๆ เปิดตาขึ้นมองอีกฝ่ายทีละข้าง ยังคงเห็นแต่เพียงใบหน้าด้านข้างของเขา นางไม่รู้ว่าเขาคิดกับนางอย่างไร รู้แต่ว่าคุณชายซูที่นางรู้จักเป็นคนดี เป็นสุภาพบุรุษ และเป็นสหายที่ดีสำหรับนาง ชั่วชีวิตนี้ไม่ว่าจะได้เจอกับเขาอีกครั้งหรือไม่ก็ตามแต่ตั้งใจไว้ว่าจะไม่ลืมชื่อ ‘ซูเสวียนจิน’ ไปจนวันตาย
            

.
.
.
            

            ได้เวลาออกเดินทางไม่ให้มันสายไปมากกว่านี้ แม้มื้ออาหารจะจบลงด้วยความเก้อเขินของเด็กหนุ่มเด็กสาว แต่ตงฮั่วก็ยังมีน้ำใจช่วยเฟินเยว่เก็บสัมภาระทั้งหมดขึ้นบนหลังม้า สำรวจถ้ำจนถ้วนทั่วว่าไม่ลืมอะไร ใช่.. ไม่มีของที่ลืมทิ้งไว้ในถ้ำแต่เฟินเยว่ก็เกือบลืมเรื่องหนึ่งไปเลย
            
            “อ๊ะ เกือบลืมไปเลย ข้าได้สุราขวดหนึ่งมานี่นา..” เฟินเยว่เปิดกระเป๋าสัมภาระแล้วหยิบขวดสุราดอกบัวสีขาวพิสุทธิ์มอบให้เด็กหนุ่ม “เป็นของขวัญแทนการขอบคุณเจ้าค่ะ”
            
            “เดี๋ยว เจ้าจะให้ข้าจริงหรือ? มันดู… ไม่ใช่ของราคาถูกเลยนะ”
            
            ตงฮั่วยังไม่กล้าที่จะรับเอาไว้ แม้เขาจะเป็นหนี้ชีวิตนาง แต่แค่ได้ทานอาหารอร่อยเกือบทุกวันติด ๆ กันก็ถือว่าบุญคุณนั้นได้ทดแทนเรียบร้อยแล้ว
            
            “สุราขวดนี้ข้าชิงโชคได้มาเจ้าค่ะ” เด็กสาวคลี่ยิ้มจนตาปิด หวนคิดถึงว่าได้มาอย่างไรก็อดดีใจไม่ได้ทุกที “อีกอย่างข้าไม่ดื่มสุราด้วย พกเอาไว้ก็มีแต่จะเสียเปล่าน่ะเจ้าค่ะ”
            
            “งั้นเหรอ… งั้นก็ได้ ถือว่าเจ้าม้านี่จะได้ไม่ต้องแบกน้ำหนักเพิ่ม”
            
            ในที่สุดตงฮั่วก็ตัดสินใจรับสุราดอกบัวมาโดยที่เขาไม่รู้ว่ามันคือเหล้าชนิดไหน และแทบจะลืมไปเสียแล้วด้วยซ้ำว่าตนเคยบ่นว่าอยากดื่มสุรา
            
            “ขอบคุณมากนะเจ้าคะ เดี๋ยวข้าต้องไปแล้ว ถ้าอย่างไรคุณชายซูก็ดูแลสุขภาพด้วยเจ้าค่ะ ถ้าท่านยังอยู่ที่นี่แล้วข้ามีเวลาว่างจะมาเยี่ยมใหม่นะเจ้าคะ”
            
           ถึงจะบอกว่า ‘ถ้ามีเวลาว่าง’ ก็ตามที แต่เฟินเยว่ไม่รู้เลยว่าเวลานั้นคือเมื่อไร
            
            “เจ้าเองก็ด้วย ดูแลตัวเองด้วยล่ะ”
            
            สิ้นคำบอกลาของทั้งสอง เด็กสาวก็ค้อมศีรษะลาอีกฝ่ายด้วยความนอบน้อมอีกเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่จะคุมมาควบอย่างระมัดระวังไปทางทิศตะวันตก มุ่งหน้าสู่ฉางอัน


.
.
.



ลักษณะนิสัยเห็นอกเห็นใจ
+20 EXP ทุกครั้งที่โรลเห็นอกเห็นใจช่วยเหลือผู้อื่น หรือ ทำงานช่วยเหลือ

[152] มอบ สุราดอกบัว ให้ ซู ตงฮั่ว




←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
พยัคฆ์ตงเทียน
หยกเชื่อมสัมพันธ์
พู่กันเหวิ่นเซ่า
ถุงหอมจูอวี๋
กลยุทธ์เล่ออี้
บทเพลงยิ้มเย้ยยุทธจักร
หน้ากากขาว
เกราะเกล็ดมังกร
ผ้าคลุมไท่หลง
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x40
x32
x1
x439
x500
x73
x500
x26
x498
x500
x10
x2
x9
x1
x400
x1
x1
x5
x28
x8
x591
x228
x228
x500
x2514
x18
x14
x1
x5
x1
x2
x100
x5
x50
x100
x3
x3
x10
x2
x47
x64
x6
x9
x2
x71
x1
x24
x95
x50
x86
x150
x260
x150
x150
x46
x46
x2
x2
x6
x2
x2
x34
x4
x1
x8
x1
x2
x7
x5
x8
x7
x110
x7
x74
x45
x3
x30
x63
x74
x79
x2
x71
x68
x6
x45
x50
x160
x316
x3
x220
x48
x35
x168
x12
x10
x25
x1
x13
x6
x4
x6
โพสต์ 2021-9-14 10:02:08 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Fenyue เมื่อ 2021-9-14 23:07


⌜ 16 ⌟

บทที่ 5
ข่าวลือที่ซีเหอ
ฉากที่ 1



            “สวัสดีเจ้าค่ะ ได้พบกันอีกแล้วนะเจ้าคะคุณชายซู”

            “....” ตงฮั่วมองไปยังเด็กสาวที่ยืนยิ้มแห้งอยู่หน้าถ้ำไป๋หู่ เมื่อวานทั้งสองบอกลากันเสียดิบดีแต่ไฉนวันนี้อีกฝ่ายกลับมาที่นี่อีก “ไหงกลับมาเร็ว? อย่าบอกนะว่าหลงทาง”

            “โอ้ไม่ ไม่เจ้าค่ะ ข้าไม่ได้หลงทางอะไรเลย” เฟินเยว่โบกมือทั้งสองข้างไปมาเป็นการปฏิเสธ “คือว่า.. เอ่อ แวะผ่านทางน่ะเจ้าค่ะก็เลยมาเยี่ยม”

            “แวะผ่านมา? เดี๋ยวก่อน ไม่ใช่ว่าเจ้าต้องไปตามหาพี่ชายที่ฉางอันหรอกหรือ” ยิ่งฟังยิ่งงง เด็กหนุ่มร่างกายกำยำกอดอกถาม สีหน้าของเขามีแต่ความฉงนสงสัย “หรือไปรับงานอะไรเข้าอีก?”

            “โอ้ไม่ ไม่เจ้าค่ะ ข้าไม่ได้รับงานมาเจ้าค่ะ” เฟินเยว่ยกมือขึ้นโบกไปมาพร้อมกับเอ่ยประโยคเดิมซ้ำครั้งที่สอง บางทีเข้าเรื่องอธิบายเลยน่าจะดีกว่า “คือว่าข้าได้เบาะแสของพี่ชายคนรองมาแล้วน่ะเจ้าค่ะ เจ้านายเก่าของท่านพี่บอกว่าเขาถูกส่งไปทำงานที่ซีเหอน่ะเจ้าค่ะ”

            เฟินเยว่เล่าให้ฟังด้วยน้ำเสียงสดใสทว่าเด็กหนุ่มที่รับสารกลับหางคิ้วกระตุกขึ้นเล็กน้อย เพราะว่าซีเหอเป็นภูมิลำเนาเดิมของตนเองและมีความหลังฝังใจกับที่นั่นอยู่เล็กน้อย.. ไม่สิ.. ไม่เล็ก... มันมากเลยทีเดียว ถ้าไม่มากเขาก็คงไม่ออกมาพเนจรเช่นนี้

            คนเล่าเห็นอีกฝ่ายสีหน้าเคร่งเครียดจึงคิดว่าบางทีอีกฝ่ายอาจจะหิวหรือเปล่า เมื่อเช้านางไม่ได้หุงหาอาหารให้เขาเด็กหนุ่มจึงต้องหากินเอาเอง หรือบางทีถ้าแย่ที่สุดอาจจะยังไม่มีอาหารอะไรเลยตกลงถึงท้อง เฟินเยว่จึงเปิดกระเป๋าเสบียงแล้วหาดูว่ามีอะไรที่จะช่วยประทังหิวให้เด็กหนุ่มได้บ้าง ก็พบว่ามีไก่ขอทานอยู่หนึ่งตัวที่นางเพิ่งซื้อตุนเอาไว้ก่อนออกเดินทาง

            “หิวหรือเจ้าคะ ถ้าอย่างนั้นทานรองท้องไปก่อนนะเจ้าคะ”

            เด็กสาวยื่นอาหารให้อีกฝ่ายไปโดยอัตโนมัติ ซึ่งเด็กหนุ่มเองก็มีปฏิกิริยาตอบรับได้ตามความคุ้นชินเช่นเดียวกัน

            “ขอบใจนะ.. เอ้ย! ไม่ใช่ ข้าไม่ได้หิวสักหน่อย แต่ก็ไม่ขอปฏิเสธน้ำใจก็แล้วกัน”

            ถึงจะพูดเช่นนั้นแต่ตงฮั่วก็รับไก่ขอทานมาแล้วฉีกกินส่วนน่องในทันที

            “ซีเหอยังอยู่อีกไกล วันนี้เดินทางไปรวดเดียวไม่ถึงหรอก” ตงฮั่วนิ่งไปเล็กน้อย ได้ข่าวว่าเมื่อวานเพิ่งคุยเรื่องความเหมาะสมที่อยู่ด้วยกันสองต่อสองไปเอง “เอ่อ.. เจ้าจะพักที่นี่.. คืนนี้?”

            “โอ้ไม่ ไม่เจ้าค่ะ” เฟินเยว่ปฏิเสธท่าเดิมเป็นหนที่สาม นางก็คิดเช่นเดียวกันกับอีกฝ่ายเลยกะเอาไว้ว่าจะไปนอนพักในตัวเมือง “คือว่าข้าวางแผนเอาไว้ว่าจะไปค้างแรมที่โรงเตี๊ยมแถวผูโจว หรือถ้ายังไม่มืดจนเกินไปอาจจะมุ่งไปให้ถึงเจียเหลียงน่ะเจ้าค่ะ”

            “อ้อ เข้าใจล่ะ” ตงฮั่วพยักหน้าเห็นด้วย ถ้าขืนได้พักแรมด้วยกันอีกในคืนนี้ เขาอาจจะมองหน้านางไม่ติดเพราะด้วยเรื่องที่เคยสนทนา “ก็ดีแล้วที่เจ้าได้เบาะแสของพี่ชายมาเพิ่ม”

            “ใช่เจ้าค่ะ ช่วงนี้ข้ารู้สึกว่าตัวเองดวงดีจังเลย จับของรางวัลมาได้แล้วยังทราบเบาะแสของท่านพี่เพิ่มอีก อาจจะได้เจอกันที่ซีเหอแล้วก็ได้นะเจ้าคะ”

            เฟินเยว่ยิ้มตาปิด นางเกือบลืมอีกอย่างไปเลย พอได้ยินชื่อซีเหอก็นึกถึงแต่เด็กหนุ่มคนนี้ แต่ดูเหมือนว่าเขาจะมีปัญหาอะไรบางอย่างที่เมืองนั้น ไม่รู้ว่าเด็กหนุ่มทะเลาะกับครอบครัวหรือเปล่าจึงออกมาใช้ชีวิติอยู่คนเดียว หากเป็นเช่นนั้นจริงก็อยากจะช่วยโน้มน้าวไกล่เกลี่ย เพราะสำหรับนางครอบครัวถือเป็นสิ่งสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นครอบครัวตนเองหรือคนอื่นนางก็ไม่อยากให้เกิดความแตกแยก

            เรื่องทั้งหมดเป็นสิ่งละเอียดอ่อนนางจึงลำบากใจมัวแต่อ้ำ ๆ อึ้ง ๆ ไม่ยอมพูดต่อเสียที

            “เอ่อ..”

            “อะไรรึ? เจ้ามีอะไรจะพูดหรือเปล่า?” เด็กหนุ่มเอียงใบหน้ามองนาง ท่าทีอึกอักนั้นคาดว่าคงจะเกรงใจเขา “มีอะไรก็พูดมาตรง ๆ เถอะ ผิดถูกค่อยว่ากันอีกที”

            ในเมื่อเขาบอกให้พูดมาตรง ๆ นางก็ถอนหายใจและเล่าสิ่งที่อยู่ในหัวออกไปจนหมดเปลือก

            “คือว่าพอได้ยินว่าท่านพี่อยู่ซีเหอ ข้าก็นึกถึงคุณชายซูเป็นคนแรกเลยน่ะค่ะ ท่านเคยอาศัยอยู่ที่ซีเหอใช่ไหมล่ะเจ้าคะ…” เด็กสาวก้มหน้าลง ริมฝีปากบางเม้มหากันแน่น กลัวว่าหากพูดต่อไปจะไปขัดใจเข้า กว่าจะเอ่ยต่อได้จึงใช้เวลา “แบบว่า... ข้าก็คิดเอาเองว่าคุณชายซูเคยคิดอยากจะกลับไปที่บ้านเกิดบ้างหรือเปล่า แต่..ข้าก็ไม่รู้อะไรมาก ไม่รู้ว่าท่านอยากจะกลับไปไหมด้วยน่ะเจ้าค่ะ”

            เฟินเยว่สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนที่จะค่อย ๆ พรูออกอย่างช้า ๆ เพื่อรวบรวมความกล้า มือที่ประสานไว้ด้านหน้าบีบกันแน่น นางค่อย ๆ เงยมองคนที่สูงกว่าพยายามคุมน้ำเสียงไม่ให้ประหม่า กลัวว่าหากไปจี้ใจอีกฝ่ายเข้าจะเสียเพื่อนไป

            “หากอยากกลับบ้าน ท่านจะเดินทางมาด้วยกันกับข้าก่อนสักระยะก็ได้นะเจ้าคะคุณชายซู”
            
            ตงฮั่วมองท่าทางประหม่านั้นก็ยิ้มนิด ๆ ที่มุมปาก น่าเสียดายนักที่เขายังไม่อยากที่จะกลับไปเหยียบบ้านเกิดในตอนนี้ ทว่าในอนาคตที่ไม่อาจคาดเดาอาจทำให้เขาเปลี่ยนใจและเดินทางออกจากถ้ำก็เป็นได้

            “หืม...เรื่องนั้น แม้เจ้าจะเป็นคนจิตใจดี ข้าคิดว่าไว้ใจเจ้าได้ แต่ขอคิดดูอีกหน่อยก่อนแล้วกันนะ แต่ถ้าเจ้าจะนัดข้าก็ส่งจดหมายมาได้เสมอ”

            เห็นท่าทางไม่โกรธเคืองเฟนเยว่ก็โล่งใจ บางทีนางอาจจะพะวงไปเอง ด้วยความไม่รู้เรื่องนี่แหล่ะจึงทำให้ยังคงเป็นห่วงสหายคนนี้อยู่เสมอ เด็กสาวยิ้มรับแล้วตอบกลับไป

            “ได้สิเจ้าคะ ข้าจะส่งจดหมายมาให้คุณชายซูอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ” นางค้อมศีรษะลง “ถ้าอย่างไรข้าขอตัวเดินทางไปต่อก่อนนะเจ้าคะ ดูแลตัวเองด้วยนะเจ้าคะคุณชายซู”

            ขึ้นขี่อาชาแล้วมุ่งหน้าขึ้นเหนือ วันนี้ยังทำเวลาได้ดีไม่แน่ว่าอาจจะถึงเจียเหลียงก่อนตะวันตกดินตามที่วางแผนเอาไว้ก็เป็นได้

.
.
.



ลักษณะนิสัยเห็นอกเห็นใจ
+20 EXP ทุกครั้งที่โรลเห็นอกเห็นใจช่วยเหลือผู้อื่น หรือ ทำงานช่วยเหลือ

[152] มอบ ไก่ขอทาน ให้ ซู ตงฮั่ว
และลองชักชวนให้ติดตามมาด้วยกัน




←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
พยัคฆ์ตงเทียน
หยกเชื่อมสัมพันธ์
พู่กันเหวิ่นเซ่า
ถุงหอมจูอวี๋
กลยุทธ์เล่ออี้
บทเพลงยิ้มเย้ยยุทธจักร
หน้ากากขาว
เกราะเกล็ดมังกร
ผ้าคลุมไท่หลง
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x40
x32
x1
x439
x500
x73
x500
x26
x498
x500
x10
x2
x9
x1
x400
x1
x1
x5
x28
x8
x591
x228
x228
x500
x2514
x18
x14
x1
x5
x1
x2
x100
x5
x50
x100
x3
x3
x10
x2
x47
x64
x6
x9
x2
x71
x1
x24
x95
x50
x86
x150
x260
x150
x150
x46
x46
x2
x2
x6
x2
x2
x34
x4
x1
x8
x1
x2
x7
x5
x8
x7
x110
x7
x74
x45
x3
x30
x63
x74
x79
x2
x71
x68
x6
x45
x50
x160
x316
x3
x220
x48
x35
x168
x12
x10
x25
x1
x13
x6
x4
x6
โพสต์ 2021-9-15 20:07:50 | ดูโพสต์ทั้งหมด

งานรับจ้าง
ขนส่งแร่จำนวนมาก
เทียนหลงเดินทางมาเรื่อยๆจนมาถึงยังถ้ำแห่งนี้ หากจำมิผิดถ้าแห่งนี้เหมือนจะมีเรื่องเล่าขานเกี่ยวกับเสือหรืออะไรซักอย่างที่มาทำรังไว้ แต่นั่นมิใช่เรื่องสำคัญเพราะในตอนนี้เขาเพียงแค่ต้องการพักอยู่หน้าถ้ำเพียงเท่านั้น เพราะครั้งก่อนเขาได้เข้าไปข้างในมาบ้างแล้วจึงมิจำเป็นต้องไปอีก

"เหนื่อยหน่อยนะเจ้ามาขาว"

เทียนหลงกล่าวขึ้นพร้อมกับลูบไปที่หลังม้าของตน ซึ่งมันเป็นม้าตัวอรกเลยที่เขาได้มา การที่ต้องมาเสี่ยงอะไรเช่นนี้คงจะคุ้มค่าในภายหลังอย่างแน่นอน

"ตอนนี้ก็ยามซีว์แล้ว อีกซักพักพวกเราก็ต้องรีบออกไปแล้วหละ"

เทียนหลงกล่าวขึ้นก่อนจะนั่งลงข้างๆเกวียนของตน ก่อนจะหลับตาลงซักพัก

.
.
.

เทียนหลงค่อยๆลืมตาขึ้นมาหลังจากพักผ่อนไปได้ซักพัก ก่อนจะปีนขึ้นไปบนหลังม้าของตนและเริ่มเดินทางต่อ


อ้วนท้วม
+25 ความเครียด จากการทำงาน หรือ เดินทางไกล

←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
หวีเซียวเฉิน
ตำราตงฟางซั่ว
ยาสมานแผลขั้นต้น
ตะเกียงซือซานเยวี่ย
ทวนสามพยัคฆ์
ม้าขาว
บทเพลงยิ้มเย้ยยุทธจักร
หน้ากากขาว
เกราะเกล็ดมังกร
ผ้าคลุมไท่หลง
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x20
x1
x1
x1
x1
x45
x1
x6
x2
x5
x984
x5
x50
x30
x2
x10
x8
x2
x8
x12
x24
x2
x7
x50
x5
x5
x5
x5
x5
x5
x5
x4
x6
x2
x2
x15
x40
x1
x6
x6
โพสต์ 2021-9-19 13:50:37 | ดูโพสต์ทั้งหมด


⌜ 28 ⌟

บทที่ 6
สิ่งที่ต้องทำต่อ
ฉากที่ 3


            มาถึงเหอตงด้วยม้าซิ่งความเร็วสูงก็เข้าสู่ช่วงบ่ายแก่ ๆ จวนเจียนจะเย็นเต็มที เจ้าม้าน้ำตาลตัวนั้นก็ยังตามติดมาจนถึงเมืองด้วยอย่างไม่ย่อท้อ ตอนแรกเฟินเยว่คิดว่ามันจะหันกลับไปหลางทาง แต่ที่ไหนได้ตามมาซะราวกับว่าเป็นม้าเลี้ยงอีกตัว เด็กสาวไม่มีปัญหาที่จะดูแลมันหรอก ดีเสียอีกที่หากมีม้าเปลี่ยนใช้งานจะได้ลดภาระของไป๋ไป๋ เมื่อถึงเมืองเด็กสาวจึงลองเข้าไปทำความรู้จักกับมันแต่ทว่าเจ้าน้ำตาลกลับหวงตัวไม่ให้แตะต้อง เดาใจคนว่ายากแล้ว เดาใจสัตว์ยิ่งยากกว่า แล้วมันตามมาทำไมหากไม่อยากรับใช้ เรื่องนี้ยังคงเป็นปริศนาอยู่
            
            “เอาเป็นว่าถ้าอยู่ด้วยกันถึงไม่ให้จับก็ต้องมีชื่อนะ.. ข้าเฟินเยว่ ส่วนเจ้าอะไรดี...” เด็กสาวทำท่าครุ่นคิดเอานิ้วแตะแก้ม เปาเปา ได้ชื่อนั้นเพราะว่าตอนที่นางเจอมันยังคงเป็นลูกหมูตัวน้อย ๆ ส่วนไป๋ไป๋ได้ชื่อนั้นเพราะเถ้าแก่เนี้ยตั้งชื่อตามสี ถ้าอย่างนั้นนางตั้งชื่อมันตามสีบ้างล่ะจะเป็นอย่างไร “ถังถัง.. ดีไหม?”
            
            “....”
            
            ม้าน้ำตาลเข้มนิ่งเงียบไม่ให้คำตอบ หากจะบอกว่าไป๋ไป๋คือม้าเงียบ เจ้าตัวนี้ก็น่าจะเป็นม้าใบ้
            
            “อื้อ ถังถังก็น่ารักดีนะตกลงเอาชื่อนี้แหล่ะ ตกลงนะถังถัง” เด็กสาวพูดกับตัวเอง ก่อนที่จะหันไปเอ่ยบอกกับม้าขาว “ไป๋ไป๋ ฝากเจ้าดูแลถังถังด้วยนะ ข้ากับเปาเปาจะไปที่โรงเตี๊ยมก่อน”
            
            อาชาขาวรุ่นพี่ก็ไม่ได้ตอบบทสนทนา มันเพียงแค่เชิดหน้าขึ้นสูงเพียงเท่านั้น ถือว่ายังดีที่อย่างน้อยก็มีปฏิกิริยาตอบรับมาบ้างไม่เหมือนม้าใหม่อีกตัว แต่ก็เข้าใจได้ว่ามันคงยังไม่คุ้นคนเลยไม่ออกอาการสนิทสนม
            
            เฟินเยว่ไปขอเช่าห้องพักที่โรงเตี๊ยม พร้อมกับขอยืมครัวสำหรับทำอาหารไปฝากตงฮั่ว เด็กสาวคิดอยู่นานว่าจะทำอะไรไปฝากดี หากเป็นหม้อไฟที่อีกฝ่ายชอบก็ควรจะทำทานสด ๆ กันตรงนั้น คิดอีกทีอีกฝ่ายไม่น่าจะรู้ว่าวันนี้นางมาเยี่ยม และตอนนี้ก็เย็นแล้ว บางทีเขาอาจจะมีมื้อเย็นเตรียมไว้อยู่แล้วก็ได้ ดังนั้นนางจึงเลือกทำอาหารที่ทานง่าย เก็บรักษาง่าย และยังอร่อยแม้ไม่ร้อน
            
            เลยนึกถึงกับแกล้มเหล้าอย่างไก่ต้มเหล้าขาวที่เป็นสูตรเย็น และหากมีกับแกล้มแล้วก็ควรจะมีสุราพกไปด้วย เด็กสาวจึงขอซื้อเหล้าที่โรงเตี๊ยมแล้วได้สุราหลูโจวมา เสี่ยวเอ้อร์แนะนำสรรพคุณเป็นอย่างดีว่าตัวเหล้าหมักด้วยสมุนไพรนานาชนิดที่รักษาโรคภัยไข้เจ็บได้ ฟังดูแล้วก็น่าจะดีต่อมนุษย์ถ้ำอย่างตงฮั่วโรคภัยไข้ป่าจะได้ไม่เข้ามาย่างกราย อันที่จริงหากได้ทานคู่กับหม้อไฟมองโกลก็จะนับว่าถูกกันมาก น่าเสียดายที่เด็กสาวไม่อาจทำหม้อไฟให้เขาได้ แต่ไก่ต้มเหล้าขาวก็น่าจะไม่ได้แตกต่างสักเท่าไร
            
            แม้จะเพิ่งผ่านเรื่องร้าย ๆ มา แต่เมื่อได้ลงมือทำงานอดิเรกที่ชื่นชอบก็ทำให้เด็กสาวหายจดจ่อกับสิ่งที่เพิ่งเกิด จิตใจสบายคลายตัวลง และเมื่อเตรียมของทุกอย่างครบแล้วเฟินเยว่ก็เดินทางไปหาสหายหนุ่มที่หน้าถ้ำไป๋หู่ เมื่อเด็กหนุ่มได้เจอหน้านางเขาก็เลิกคิ้วขึ้นก่อนจะแสดงสีหน้าขำ
            
            “เจ้าเนี่ยน้า.. ไปได้ไม่กี่วันก็กลับมาอีกแล้วหรือ”
            
            “แหะ ๆ พอดีว่าข้ารับงานไปส่งของที่ฉางอันกับลั่วหยางน่ะเจ้าค่ะ ผ่านทางมาก็เลยเอาเสบียงอาหารมาฝาก”

            เด็กสาวชะโงกหน้าเข้าไปดูในถ้ำ เห็นว่าอีกฝ่ายกำลังก่อไฟจะย่างปลา คาดว่าน่าจะเพิ่งตกมาจากแหล่งน้ำด้านใน
            
            “ขอบใจนะ แต่ว่าไม่ต้องตามหาพี่ชายแล้วหรือไง?”
            
            ตงฮั่วถามไปตรง ๆ ไม่แปลกใจที่เขาจะคิดเช่นนั้น
            
            “ตามหาแล้วเจ้าค่ะ” เด็กสาวพองแก้มตอบ นางไม่ได้งอน ไม่ได้ไม่พอใจ แต่พอรู้ว่าเขาแซวจึงแสดงปฏิกิริยาไปโดยอัตโนมัติ “แล้วก็รู้ว่าท่านพี่อยู่ที่ซีเหอจริง แต่จำเป็นจะต้องออกไปทำธุระที่นอกด่านนานหนึ่งเดือน ก็เลยไม่ทันได้พบหน้าน่ะเจ้าค่ะ ข้าก็เลยว่าง ๆ หางานทำ อย่างไรเสียต้องนอนโรงเตี๊ยมทุกวันก็มีค่าใช้จ่ายใช่ไหมล่ะเจ้าคะ”
            
            “ถ้าอยากประหยัดก็หาถ้ำอยู่แบบข้าสิ อยู่สบาย ไม่ต้องจ่ายค่าห้อง ค่าภาษี”
            
            ตงฮั่วผายมือไปยังถ้ำที่เขายึดเป็นถิ่นฐานใช้หลับนอนมาค่อนเดือน เมื่อได้รับคำแนะนำเช่นนั้นมาเด็กสาวก็รีบส่ายหน้าพั่บ ๆ อันที่จริงให้ใช้ชีวิตติดดินแบบนี้นางก็ไม่มีปัญหา แต่ติดที่เรื่องอื่นมากกว่า
            
            “คราวที่แล้วเพิ่งจะคุยกันเองว่าเป็นผู้หญิงไม่ควรจะเอาตัวไปเสี่ยงอยู่ในสถานที่อันตรายไม่ใช่หรือเจ้าคะ”
            
            ได้ยินเช่นนั้นเด็กหนุ่มก็ชะงักไปเล็กน้อย ถูกต้องเขาพูดเอง โดยเฉพาะไปอยู่สองต่อสองกับบุรุษถือเป็นเรื่องที่ไม่ควร โดยเฉพาะชายอื่นที่ไม่รู้ว่าจะไว้ใจได้ไหม แต่ตงฮั่วไม่ตำหนิตัวเองเพราะเขาไม่เคยมีเจตนาร้ายเยี่ยงชายหื่นกาม
            
            ถึงเฟินเยว่จะกล่าวเช่นนั้นออกไป ทว่าตั้งแต่ที่ห่างกันกับอีกฝ่ายแล้ว นางก็นำตัวเองไปในสถานที่อันตรายถึงสองหน แม้ว่าหนึ่งในนั้นจะเป็นเหตุสุดวิสัยจากหมูป่าชักนำ หรือจับพลัดจับผลูเจอกับเหตุบังเอิญโดยไม่ตั้งใจ ครั้งแรกเจอบัณฑิตหนุ่มที่ขอใช้ปัญญาเจรจาก็มองว่าดีไปก่อนได้ ...แต่ครั้งที่สองที่เพิ่งเจอสด ๆ ร้อน ๆ เนี่ยสิ นางพบกับโจรโพกผ้าเหลืองที่หมายจะประทุษร้ายร่างกาย ยังดีที่มีม้าดีอย่างไป๋ไป๋ช่วยชีวิตเอาไว้
            
            เรื่องนี้จะบอกกับอีกฝ่ายไม่ได้อย่างเด็ดขาด ถ้าเขารู้จะต้องไม่สบายใจอย่างแน่นอน เฟินเยว่จึงได้แต่อมยิ้มเงียบ ๆ ทำเนียนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นแม้ในใจยังหวาดกลัว
            
            “แล้วก็ถ้าอยู่ถ้ำจะทำอาหารลำบากด้วยนะเจ้าคะ อย่างสุราแบบนี้จะหมักขึ้นมาเองได้อย่างไรกันล่ะเจ้าคะ”
            
            กล่าวออกมาแล้วยื่นไหสุราหลูโจวพร้อมห่อกับแกล้ม ตงฮั่วมีท่าทีชะงักเล็กน้อยเหมือนกับว่าไม่อยากรับแม้ว่าสุราชั้นดีจะเป็นหนึ่งในอาหารที่เขาโปรดปรานมากก็ตาม
            
            “เอ่อ.. เหล้าอะไรน่ะ ใช่แบบเดียวกับครั้งที่แล้วไหม?”
            
            “ไม่ใช่เจ้าค่ะ นี่คือสุราหลูโจว คนขายบอกว่ามีสรรพคุณทางยาน่าจะช่วยป้องกันโรคภัยไข้เจ็บได้น่ะเจ้าค่ะ” ท่าทีแบบนี้เด็กสาวไม่เคยเห็นมาก่อน ปกติตงฮั่วมักจะปรีดาเมื่อได้รับอาหารที่นางให้เขา “ทำไมหรือเจ้าคะ? สุราครั้งที่แล้วรสชาติแย่หรือเจ้าคะ? เพราะว่าเป็นของรางวัลจับฉลากหรือเปล่านะ.. เลยเอาของไม่ดีมาให้”
            
            “ปล๊าววว” ตงฮั่วตอบเสียงสูงตะกุกตะกัก ฟังดูมีพิรุธ “รสชาติน่ะดี แต่.. แต่ว่ามันไม่ค่อยถูกลิ้นข้าเท่าไรล่ะ แบบว่ามันละมุนไป ข้าชอบสุราที่มีคุณสมบัติทางยามากกว่า”
            
            ตั้งแต่เกิดมาเด็กหนุ่มแทบไม่เคยโกหก มีเพียงแค่เรื่องนี้เท่านั้นที่ต้องปกปิดห้ามให้สตรีที่ไหนรู้เข้า เพราะว่าเหล้าดอกบัวที่เฟินเยว่ให้มาในครั้งที่แล้วมีสรรพคุณที่ทำเอาเขาแทบแย่ แม้จะพยายามรวบรวมลมปราณ นั่งสมาธิสงบจิตใจแล้ว แต่ก็ยังห้ามร่างกายตนเองไม่ให้รู้สึกไม่ได้ เล่นเอาเสียข่มตานอนไม่หลับเกือบทั้งคืน
            
            “จริงหรือเจ้าคะ..” เด็กสาวหรี่ตาจ้อง แม้แต่คนซื่ออย่างซุนเฟินเยว่ก็ยังจับสังเกตได้ แต่ก็มาคิดตัดบทไปเองเสร็จสรรพว่า ไม่มีอะไรหรอก ถึงอีกฝ่ายจะโกหกนาง แต่นั่นน่าจะไม่ใช่เจตนาร้าย เพราะว่าคุณชายซูเป็นคนดี จึงปรับสีหน้าเป็นยิ้มหวานให้อีกฝ่ายแทน “ถ้าอย่างนั้นข้าขอตัวก่อนนะเจ้าคะ มืดกว่านี้ไปอาจจะไม่ดีเจ้าค่ะ”
            
            “นั่นสินะ เจ้ารีบกลับดีกว่า”
            
            พูดจบตงฮั่วก็เดินนำไปส่งเด็กสาวที่ถนนใหญ่อย่างที่เคยทำทุกครั้ง
            
            “พรุ่งนี้ก่อนไปฉางอันข้าจะแวะเอาอาหารเช้ามาให้อีกทีนะเจ้าคะ”
            
            “เจ้ากับข้าจะไม่ได้ร่ำลากันเกินสัปดาห์จริง ๆ สินะ”
            
            เด็กหนุ่มเอ่ยแซวพลางกลั้วหัวเราะ
            
            “แล้วแบบนั้นดีหรือไม่ล่ะเจ้าคะ” นางยิ้มตอบก่อนจะขึ้นขี่ม้าที่จูงมาจนถึงทาง “ดูแลสุขภาพด้วยนะเจ้าคะคุณชายซู ขอให้อร่อยกับอาหารเย็นเจ้าค่ะ”
            
            “อื้อ เดินทางดี ๆ ล่ะ”

            และทั้งคู่ก็ร่ำลากันอีกครั้ง แต่ดูเหมือนว่าจะไม่เคยได้แยกห่างกันจริง ๆ จัง ๆ เสียที


.
.
.



ลักษณะนิสัยขยัน
-20 ลดความเครียดเมื่อทำงานหรือทำกิจกรรมใด ๆ

ลักษณะนิสัยเห็นอกเห็นใจ
+20 EXP ทุกครั้งที่โรลเห็นอกเห็นใจช่วยเหลือผู้อื่น หรือ ทำงานช่วยเหลือ

[152] มอบ สุราหลูโจว ให้ ซู ตงฮั่ว




←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
พยัคฆ์ตงเทียน
หยกเชื่อมสัมพันธ์
พู่กันเหวิ่นเซ่า
ถุงหอมจูอวี๋
กลยุทธ์เล่ออี้
บทเพลงยิ้มเย้ยยุทธจักร
หน้ากากขาว
เกราะเกล็ดมังกร
ผ้าคลุมไท่หลง
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x40
x32
x1
x439
x500
x73
x500
x26
x498
x500
x10
x2
x9
x1
x400
x1
x1
x5
x28
x8
x591
x228
x228
x500
x2514
x18
x14
x1
x5
x1
x2
x100
x5
x50
x100
x3
x3
x10
x2
x47
x64
x6
x9
x2
x71
x1
x24
x95
x50
x86
x150
x260
x150
x150
x46
x46
x2
x2
x6
x2
x2
x34
x4
x1
x8
x1
x2
x7
x5
x8
x7
x110
x7
x74
x45
x3
x30
x63
x74
x79
x2
x71
x68
x6
x45
x50
x160
x316
x3
x220
x48
x35
x168
x12
x10
x25
x1
x13
x6
x4
x6
โพสต์ 2021-9-20 11:53:10 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Fenyue เมื่อ 2021-9-20 14:48


⌜ 29 ⌟

บทที่ 6
สิ่งที่ต้องทำต่อ
ฉากที่ 4


            วันรุ่งขึ้นเฟินเยว่ตื่นแต่เช้ามาขอยืมครัวของโรงเตี๊ยมเพื่อทำอาหารเช้าให้ตงฮั่ว นางทำซาลาเปาหลากหลายไส้ไว้ให้เขาทานได้ไม่เบื่อ ทั้งไส้หมูสับ ไส้ไข่เค็ม ไส้เห็ด ไส้ผัก ไส้ถั่วเหลือง ไส้ถั่วดำ หากไม่ทานจนหมดในมื้อเดียวก็น่าจะพอแบ่งเป็นมื้อเที่ยงได้ และยังทำขนมเซาปิ่งที่อีกฝ่ายเคยบอกว่าชอบไปฝากด้วย คราวนี้เเปลี่ยนจากเนื้อเป็นไส้เผือกและไส้ถั่วกวน เมื่อจัดแจงเรื่องอาหารเช้าเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ไปชำระเงินที่เถ้าแก่พร้อมกับขอบคุณที่ให้ยืมครัว
            
            “แล้วนี่จะเดินทางไปไหนต่อหรือขอรับแม่นางน้อย”
            
            เถ้าแก่โรงเตี๊ยมชวนลูกค้าสาวที่ออกเดินทางเพียงคนเดียวสนทนาไปตามอัธยาศัยไมตรีที่ดีในระหว่างคิดคำนวนเงิน การสร้างความประทับใจให้ลูกค้าถือเป็นการตลาดที่ชาญฉลาดอย่างหนึ่งเพื่อให้ลูกค้าเก่าได้แวะเวียนมาพักอีกเมื่อผ่านทางมา
            
            “อ๋อ ข้าต้องไปทำงานต่อที่ฉางอันน่ะเจ้าค่ะ”
            
            เด็กสาวค้อมศีรษะตอบกลับด้วยรอยยิ้มสุภาพ
            
            “พรุ่งนี้เป็นวันจงชิวเจี๋ย ที่ฉางอันน่าจะมีจัดงานใหญ่เหมือนทุกปี ถ้าแม่นางน้อยว่าง ๆ ก็ลองไปร่วมงานที่ศาลเจ้าเทพธิดาฉางเอ๋อสิขอรับ”
            
            “ฟังดูน่าสนใจดีนะเจ้าคะ เอาไว้ข้าจะลองดูเจ้าค่ะ”
            
            โดยปกติเฟินเยว่ไม่ค่อยได้ร่วมเที่ยวงานเทศกาล จะมีก็เพียงแต่กราบไหว้บรรพบุรุษตามพิธีการเท่านั้น เพราะวันนั้นลูกค้าจะมาใช้บริการที่ร้านเยอะเป็นพิเศษตั้งแต่เช้าจนจวบค่ำ อย่าว่าแต่เที่ยวเลย แค่เวลาพักหายใจก็แทบจะไม่มี ดังนั้นเมื่อได้ฟังคำแนะนำดังกล่าว เด็กสาวก็ตั้งใจไว้ว่าจะต้องไปร่วมงานอย่างแน่นอน
            
            ‘น่าเสียดายที่ไม่มีใครไปเที่ยวเป็นเพื่อนนอกจากเปาเปา หากได้ไปงานกับพวกท่านพี่และท่านยายก็ดีสิ…’
            
            นางยิ้มเหงา ๆ ออกมาแต่ก็ทำใจปลงได้ในเวลาอันรวดเร็ว เมื่อจัดการจ่ายเงินเรียบร้อยแล้วก็ไปรับม้ามา ถังถังยังอยู่กับไป๋ไป๋ ผ่านไปคืนนึงดูมันทั้งสองสนิทกันมากแล้ว แต่ก็ยังไม่ยอมให้เด็กสาวได้แตะต้องอยู่ดี ในเมื่อขี่ม้าน้ำตาลยังไม่ได้ ดังนั้นนางจึงขึ้นไป๋ไป๋แล้วให้ถังถังตามมา
            
            
.
.
.
            
            
            “เดี๋ยวนะ.. เมื่อวานเจ้าขี่ม้ามาตัวเดียวนี่”  นั่นคือคำทักทายแรกของซูตงฮั่วเมื่อพบหน้าเด็กสาวในเช้าวันนี้ เขาชี้ไปที่ม้าขาวสลับกับม้าน้ำตาล “ไหงจู่ ๆ มันก็งอกออกมาเป็นสองตัวได้”
            
            “มะ.. ม้าไม่ได้งอกออกมาเองได้สักหน่อยเจ้าค่ะ”
            
            เฟินเยว่คนซื่อจินตนาการภาพตามแล้วหน้าเหวอ ภาพในหัวคือถังถังงอกออกมาจากท้องของไป๋ไป๋เป็นม้าจิ๋ว แล้วในชั่วข้ามคืนมันก็โตกลายเป็นม้าตัวใหญ่ มันชวนสยองมากกว่าน่ารัก นางรีบแก้ตัวให้ไป๋ไป๋เป็นพัลวัน
            
            “ข้าไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น” เด็กหนุ่มกุมขมับพร้อมถอนหายใจ เผลอคิดไปเล็กน้อยว่าตกลงคนตรงหน้าเป็นคนฉลาดหรือว่าโง่กันแน่ แต่ข้อสรุปเอนเอียงไปอย่างหลัง จากการกระทำต่าง ๆ ที่เขารับรู้มา มีแต่คนโง่เท่านั้นที่ทำแบบนาง “หมายถึง.. ม้าอีกตัวมันมาได้ยังไง”
            
            “อ๋อ ถังถังหรือเจ้าคะ พอดีว่า...” เด็กสาวยกมือทาบอก โล่งใจว่าอีกฝ่ายไม่ได้คิดไปอย่างภาพจินตนาการในหัว เฟินเยว่อ้าปากจะเล่าแต่ก็นึกถึงเหตุการณ์น่ากลัวเมื่อวาน รอยยิ้มหวานที่เคลือบบนใบหน้าก็เฝื่อนลงเล็กน้อย เอาเป็นว่านางเล่าเท่าที่จำเป็นจะดีกว่า “ระหว่างทางไปซีเหอกับอีกเมืองนึงจะมีทุ่งหญ้ากว้าง ๆ ใช่ไหมล่ะเจ้าคะ ข้าเอาไป๋ไป๋ลงไปวิ่งเล่นในนั้นแล้วอยู่ ๆ ถังถังก็ตามมาน่ะเจ้าค่ะ แต่ว่ามันยังไม่ยอมให้ข้าได้แตะตัวเลย”
            
            ตงฮั่วพยักหน้าเออออไปตามบท เขาเดินวนดูรอบม้าน้ำตาลก่อนที่จะกระโดดขึ้นหลังมันทั้งที่ไม่มีเครื่องม้า ถังถังดูจะตกใจที่อยู่ ๆ ก็มีคนขึ้นขี่ มันกระสับกระส่ายไปมาทำตัวไม่ถูกแล้วเตรียมจะดีดมนุษย์ลงจากหลัง ไม่ใช่แค่ม้าแต่เฟินเยว่เองก็ตกใจกลัวว่าอีกฝ่ายจะเป็นอันตรายเลยได้แต่ยกมือยกไม้เก้ ๆ กัง ๆ
            
            เด็กหนุ่มตบที่เถาคอม้าน้ำตาลเบา ๆ แล้วลูบมือไปบนขนสากช้า ๆ เพียงแค่ครู่เดียวถังถังก็สงบนิ่งลง เฟินเยว่ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเขา แต่ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะมีความเข้าใจและรับมือกับม้าได้ดีพอสมควร
            
            “เนี่ย ไม่เห็นจะยากเลย”
            
            คนบนหลังม้ายักไหล่ด้วยท่าทียียวนเมื่อปราบม้าได้สำเร็จ
            
            “เอ๋ อะไรน่ะขี้โกงนี่นา ขอข้าจับบ้างสิถังถัง”
            
            แต่พอเฟินเยว่ยื่นมือไปจะลูบมันบ้าง เจ้าถังถังกลับเอี้ยวคอหนีไม่ให้จับ ทำเอาเด็กหนุ่มหัวเราะพรืด
            
            “ท่าทางว่ามันจะชอบข้ามากกว่าเจ้าเสียแล้วนะ” พูดจบเด็กหนุ่มก็กระโดดลงมาจากหลังอาชาสีน้ำตาลเข้ม “แต่ว่าโชคดีชะมัดเลยนะที่ได้ม้าเหลียงมาใช้งานน่ะ”
            
            “เอ๋ ม้าเหลียงหรือเจ้าคะ?”
            
            “อืม.. ถ้าข้าดูไม่ผิดก็น่าจะม้าเหลียงนั่นแหล่ะ”
                        
            เด็กสาวเคยได้ยินแต่ชื่อว่าม้าเหลียงเป็นอาชาชาตินักรบที่ขุนพลชาวเหลียงโจวมักฝึกมันเพื่อทำสงคราม แต่ว่านางก็ไม่เคยเห็นมันตัวเป็น ๆ เสียด้วย.... ไม่สิ อาจจะเคยเห็นก็ได้แต่ว่านางไม่มีความรู้ในการแยกพันธุ์ม้า จะมีก็แต่ความรู้เรื่องอาหารและการดูแลสัตว์ พอมาได้ยินทีหลังแบบนี้ทำให้รู้สึกเสียชาติเกิดชะมัดที่เป็นคนอันติง
            
            สาวน้อยมองถังถังสลับกับตงฮั่วอยู่ครู่หนึ่ง ในใจคิดว่าควรจะยกอาชาให้เขาไปดีไหม แต่เมื่อพิจารณาถึงสิ่งต่าง ๆ แล้วถังถังยังไม่มีเครื่องม้าเลย แม้จะขึ้นขี่ได้แต่ก็อาจจะยังคุมม้าไม่สะดวก และอีกอย่างการดูแลม้ามีมากกว่าที่คิด กลัวว่าให้ไปแล้วจะเป็นภาระต่ออีกฝ่ายเสียมากกว่า
            
            “อ๊ะ.. เกือบลืมไปเลย คุณชายซู อาหารเช้าเจ้าค่ะ”
            
            เฟินเยว่ส่งห่อซาลาเปาและขนมเซาปิ่งไปให้อีกฝ่าย ตงฮั่วก็รับเอาไว้ทันทีด้วยความเกินจุดที่ต้องมานั่งเกรงใจกัน เขาเปิดห่อแล้วหยิบซาลาเปาก่อนหนึ่งเข้าปากทานเคี้ยวหยับ ๆ
            
            “ไส้ผักงั้นเหรอ?”
            
            เขามองดูไส้สีเขียวในซาลาเปาขณะที่ปากก็เคี้ยวไปด้วย
            
            “เอ๋… ทำไมหรือเจ้าคะ ไม่ชอบไส้ผักอย่างนั้นหรือ?”
            
            “เปล่า” เด็กหนุ่มตอบสั้น ๆ ก่อนจะยัดส่วนที่เหลือเข้าปากไปทั้งคำ ฟังจากคำปฏิเสธแล้วช่างแตกต่างจากตอนที่รับสุราเมื่อวาน “จะบอกว่า.. แม้แต่ไส้ผักก็ทำได้อร่อยดีแฮะ”
            
            จากคนหน้าเจื่อนที่กลัวว่าอีกฝ่ายจะไม่ชอบอาหารที่ทำ ก็ยิ้มแฉ่งขึ้นมาทันควันหลังได้รับคำชม
            
            “ขอบพระคุณนะเจ้าคะ แล้วก็มีขนมเซาปิ่งด้วย คราวนี้ทำไส้เผือกและถั่วกวนมาให้น่ะเจ้าค่ะ”
            
            “อืม ยังไงก็ขอบใจนะ ต้องรบกวนเจ้าเรื่องของกินอยู่เรื่อยเลย”
            
            “ฮิฮิ ไม่เป็นไร ข้ายินดีเจ้าค่ะ” แค่ได้ยินคำชมกับท่าทางการกินที่เพลิดเพลินคนทำอาหารก็ดีใจจนยิ้มแก้มปริ “ตอนแรกกะจะทำขนมเยว่ปิ่งให้ด้วยแต่ส่วนผสมยังไม่ครบเอาไว้ข้าจะเอามาให้ทีหลังนะเจ้าคะ”
            
            “เยว่ปิ่ง? ใกล้เทศกาลจงชิวเจี๋ยแล้วสินะ... ได้สิ ข้าจะรอก็แล้วกัน”
            
            เฟินเยว่ยิ้มมองตงฮั่วเปลี่ยนมาทานขนมเซาปิ่งกินเค็มสลับหวานด้วยความเอ็นดู แต่ก็อดเศร้าใจแทนไม่ได้ ที่คนหนุ่มอายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับนางกลับต้องมาอยู่ถ้ำเพียงลำพังไม่กลับบ้านไปเยี่ยมครอบครัว และไม่ได้แม้แต่ไปเที่ยวงานเทศกาลที่ปีนึงจะจัดสักหน เด็กสาวคิดแทนว่าเขาจะเหงาไหมนะ จะท้อใจในโชคชะตาของตนเองหรือเปล่า เขาปรารถนาที่จะอยู่เพียงลำพังจริงหรือ แต่การที่เขายอมสนทนากับนางก็แปลว่าไม่ได้หันหลังให้โลกไปเสียทั้งหมด
            
            ...และมันจะดีแค่ไหนกันนะหากว่าเขาได้ทานขนมในงานมากกว่ารับของหลังวัน...
            
            “เอ่อ.. ถ้ายังไง… ไปเที่ยวงานเทศกาลจงชิวเจี๋ยด้วยกันไหมเจ้าคะ?”
            
            เด็กสาวลองเอ่ยชวนไป มือเรียวกำกระโปรงที่ข้างตัวเอาไว้แน่น ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมหัวใจถึงเต้นแรง ก็แค่หวังดีอยากให้เขาได้ไปเปิดหูเปิดตาแท้ ๆ เอง...           
           
            ดวงเนตรคมดุจพยัคฆ์ทว่าอ่อนโยนลงเมื่อได้สนทนากับสหายที่เริ่มจะสนิทกันมากขึ้นทุกวัน เขายิ้มขำเมื่อมองท่าทางที่ดูประหม่าของคนชวน แม้จะไม่ชอบสถานที่ที่คนเยอะ แต่นานทีปีหนเข้าเมืองสักหน่อยคงไม่เป็นไร
            
            “พรุ่งนี้เจอกันที่หน้าถ้ำนี้...ไปพร้อมกัน”
            
            “อ๊ะ ได้เจ้าค่ะ! แล้วพรุ่งนี้เช้าเจอกันนะเจ้าคะ! ข้าจะทำอาหารเช้ามาด้วยเจ้าค่ะ”
            
            ได้ยินคำตอบก็ทั้งโล่งใจแล้วก็ใจเต้นแรงยิ่งกว่าเดิม นี่น่าจะเป็นการเที่ยวชมงานกับมิตรสหายเป็นครั้งแรก ดูท่าว่าจะต้องเตรียมตัวดี ๆ หน่อยเสียแล้ว


.
.
.



ลักษณะนิสัยเห็นอกเห็นใจ
+20 EXP ทุกครั้งที่โรลเห็นอกเห็นใจช่วยเหลือผู้อื่น หรือ ทำงานช่วยเหลือ

[152] มอบ ขนมเซาปิ่ง ให้ ซู ตงฮั่ว
และชวนไปเ̶ด̶ท̶ชมงานไหว้พระจันทร์ด้วยกัน




←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
พยัคฆ์ตงเทียน
หยกเชื่อมสัมพันธ์
พู่กันเหวิ่นเซ่า
ถุงหอมจูอวี๋
กลยุทธ์เล่ออี้
บทเพลงยิ้มเย้ยยุทธจักร
หน้ากากขาว
เกราะเกล็ดมังกร
ผ้าคลุมไท่หลง
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x40
x32
x1
x439
x500
x73
x500
x26
x498
x500
x10
x2
x9
x1
x400
x1
x1
x5
x28
x8
x591
x228
x228
x500
x2514
x18
x14
x1
x5
x1
x2
x100
x5
x50
x100
x3
x3
x10
x2
x47
x64
x6
x9
x2
x71
x1
x24
x95
x50
x86
x150
x260
x150
x150
x46
x46
x2
x2
x6
x2
x2
x34
x4
x1
x8
x1
x2
x7
x5
x8
x7
x110
x7
x74
x45
x3
x30
x63
x74
x79
x2
x71
x68
x6
x45
x50
x160
x316
x3
x220
x48
x35
x168
x12
x10
x25
x1
x13
x6
x4
x6
โพสต์ 2021-9-21 09:39:44 | ดูโพสต์ทั้งหมด


⌜ 30 ⌟

บทที่ 7
เทศกาลชงจิวเจี๋ย
ฉากที่ 1


            ถึงแม้ว่าเมื่อคืนเด็กสาวจะตื่นเต้นกับงานเทศกาลในวันรุ่งขึ้นจนนอนหลับช้ากว่าปกติ ทว่านางก็ยังคงตื่นเช้าเวลาเดิมและขอยืมโรงเตี๊ยมที่ลั่วหยางทำอาหารเช้าง่าย ๆ ไปฝากตงฮั่ว ด้วยความที่โรงเตี๊ยมอยู่ในเมืองและต้องต้อนรับแขกเหรื่อที่เดินทางมาจากทั่วทุกสารทิศนางจึงจำต้องทำของที่ใช้เวลาน้อยเพื่อไม่ให้รบกวนเวลาการทำงานของคนครัว

            เช้านี้เด็กสาวเปลี่ยนบรรยากาศไปทำอาหารเส้นบ้าง จากทุกทีที่ไม่เป็นข้าวก็แป้งนึง นางทำเร่อกันเมี่ยนหรือบะหมี่แห้งอู่ฮั่นรสชาติเปรี้ยวเค็มเผ็ด ทานคู่กับเนื้อสัตว์และผักดองห้าอย่างที่ทั้งทำง่ายอร่อยจัดจ้านไปฝากเด็กหนุ่ม เฟินเยว่ทำไปทั้งหมดสองห่อ ขนาดปกติสำหรับของตนเองและเพิ่มเส้นพิเศษทานจุก ๆ เป็นของอีกคน น่าเสียดายที่น้ำซุปไม่สะดวกสำหรับจัดเก็บระหว่างเดินทางจึงไม่ได้ทำมาด้วย

            เมื่อจัดการงานครัวยามเช้าเสร็จเด็กสาวก็เก็บข้าวของออกจากห้องแล้วชำระเงินค่าโรงเตี๊ยมรีบรุดไปที่ถ้ำไป๋หู่ในทันที

.
.
.

            ควบม้าด้วยความเร็วที่ค่อนข้างมากเพียงหนึ่งชั่วยามก็เดินทางมาถึงอาณาบริเวณของเมืองเหอตง เด็กสาวลงจากม้าขาวแล้วเข้าไปทักทายเด็กหนุ่มในถ้ำที่กำลังเตรียมตัวออกเดินทาง

            “อรุณสวัสดิ์เจ้าค่ะคุณชายซู ตื่นนานหรือยังเจ้าคะ”

            เด็กสาวเอ่ยทักเสียงใสพร้อมกับรอยยิ้มหวานบนใบหน้า

            “สวัสดี ข้าตื่นได้สักพักแล้วน่ะ”

            เด็กหนุ่มตัวโตจัดการห่อสัมภาระใบจิ๋วของตัวเองเสร็จพอดี ดูแล้วไม่น่าจะพกพาข้าวของไปมากสมกับเป็นหนุ่มผู้รักสันโดษ

            “หิวหรือยังเจ้าคะ วันนี้ข้าทำเร่อกันเมี่ยนมาล่ะเจ้าค่ะ อาจจะเผ็ดนิดนึงนะเจ้าคะ แต่ว่าข้าเบาพริกให้แล้วเจ้าค่ะ”

            “พูดว่าใส่พริกแบบนี้เหมือนกับว่าดูถูกข้าอยู่เลยนะ”

            เด็กหนุ่มพูดพลางยิ้มขำ เขารับเอาห่อบะหมี่ที่ใหญ่กว่าของแม่ครัวเป็นเท่าตัวมา และเมื่อเปิดห่อออกก็ร้องโอ้โห ไม่รู้ว่าทึ่งด้วยปริมาณหรืออาหารน่าทานกันแน่


            เฟินเยว่ที่ได้ฟังคำกล่าวนั้นก็หัวเราะแหะพลางครุ่นคิดไปด้วยว่า สรุปแล้วตงฮั่วต้องการให้นางทำในความเผ็ดเท่าเดิมหรือว่าใส่พริกเยอะ ๆ เพิ่มระดับความท้าทายกันแน่ แต่ทว่าเด็กสาวก็ไม่ได้ถามออกไปเมื่อได้เห็นเขาทานบะหมี่คำแรกเข้าปากก็กระดกน้ำตามเสียแล้ว

            ‘เอาเป็นว่าทำเผ็ดประมาณนี้แต่ไม่ต้องบอกว่าลดพริกก็แล้วกันเนอะ’

            สาวเหลียงโจวคีบบะหมี่ทานบ้าง สำหรับนางแล้วรสชาติโดยรวมกำลังดี แต่หากทานเองนางจะใส่พริกมากกว่านี้เพิ่มอีกสักหน่อย ทานไปก็ชวนสนทนาเรื่องแผนการเดินทางในวันนี้ด้วย เพราะว่าเด็กสาวเป็นคนชวนก็ควรจะต้องแจ้งเรื่องที่นางต้องไปทำปลาราดพริกส่งให้เถ้าแก่หวังเย่าด้วย

            “คุณชายซูเจ้าคะ สำหรับวันนี้น่ะเจ้าค่ะ.. เราน่าจะถึงฉางอันกันประมาณบ่าย ๆ ยังเหลือเวลาอีกหลายชั่วยามกว่าจะได้เวลางานที่ยามไห่ ท่านอยากจะไปเดินดูตลาดก่อนหรือไม่เจ้าคะ หรือว่าจะพักอยู่ที่โรงเตี๊ยมดี”

            “โรงเตี๊ยมเหรอ? ไม่ต้องให้สิ้นเปลืองขนาดนั้นก็ได้มั้ง”

            ตงฮั่วพูดไปก็ซู้ดเส้นบะหมี่ต่อ ดูเหมือนเขาจะเริ่มชินกับความเผ็ดแล้วแต่ยังมีอาการเหงื่อไหลอยู่บ้าง

            “คือว่าอย่างนี้น่ะเจ้าค่ะ เวลางานเริ่มตอนยามไห่กว่าจะจบก็เลยเที่ยงคืน ข้าคิดว่าคงกลับมาส่งท่านที่ถ้ำไม่ทัน และครั้นจะไปหาถ้ำใหม่ที่ฉางอันในการหลับนอน ก็ไม่น่าจะเหมาะนะเจ้าคะ ไหน ๆ แล้วข้าเป็นคนเอ่ยปากชวนเองก็ต้องรับผิดชอบในส่วนนี้ นะ..แน่นอนว่าแยกห้องเจ้าค่ะ!”

            จะลุกลี้ลุกลนที่ท้ายประโยคทำไมก็ไม่รู้ ดูเหมือนว่านางกินปูนร้อนท้องบอกไม่ถูก

            “อ้อ.. เข้าใจแล้ว” เด็กหนุ่มพยักหน้ารับทราบและไม่ได้แย้งเพิ่มในจุดนั้น “ขอดูก่อนก็แล้วกัน”

            “เจ้าค่ะ แล้วอีกเรื่องที่ต้องแจ้งก็คือข้ามีงานส่งของที่ฉางอันด้วย เป็นงานทำอาหารน่ะเจ้าค่ะ แล้วก็กะว่าจะทำขนมเยว่ปิ่งถวายเทพีฉางเอ๋อด้วย ช่วงนั้นอาจจะต้องให้คุณชายซูรอที่โรงเตี๊ยมก่อนจะเป็นไรหรือเปล่าเจ้าคะ?”

            “ไม่นะ.. ไปด้วยกันนี่แหล่ะ”

            “เอ๋.. เอ่อ จะดีหรือเจ้าคะ?”

            “ทำไมล่ะ หรือว่าเจ้ากลัวว่าข้าจะเป็นตัวถ่วง?”

            “เปล่านะเจ้าคะ ข้าไม่เคยคิดอย่างนั้นเลยเจ้าค่ะ” เฟินเยว่เลิกลั่กโบกไม้โบกมือปฏิเสธเป็นการใหญ่ “ข้าเกรงใจน่ะเจ้าค่ะ อีกอย่างอยากให้คุณชายซูได้พักผ่อนมากกว่า..”

            “แค่ได้ไปฉางอันก็ถือว่าได้พักแล้วล่ะน่า อีกอย่างชวนด้วยกันมาทั้งทีแต่จะหนีไปทำอะไรคนเดียวแบบนี้มันขี้โกงนา”

            “อ่า..” เด็กสาวยังมีท่าทีเกรงอกเกรงใจอยู่มาก แต่ก็คงต้องยอมแล้วหากว่าเขาพูดแบบนั้น “รับทราบเจ้าค่ะ ถ้าอย่างนั้นตอนที่ทำครัวก็รบกวนด้วยนะเจ้าคะ” นางค้อมศีรษะลงให้กับผู้ช่วยมือใหม่

            “หึหึ เชื่อมือได้เลย!” ตงฮั่วยกนิ้วโป้งให้เป็นการรับปาก ที่ผ่านมาไม่เคยเห็นเด็กหนุ่มทำอาหารเลย เมื่อวันก่อนก็เห็นแค่ว่าเขากำลังจะก่อกองไฟเพื่อย่างปลา ไม่รู้ว่าฝีมือจะดีแค่ไหน แต่ดูจากที่เขาโหยหาของอร่อยขนาดนั้นก็แปลว่าอาจจะทำออกมาไม่ค่อยดีนักใช่หรือไม่ “แล้วมีอะไรที่ข้าต้องรู้อีกไหม?”

            “อ้อ มีเจ้าค่ะ ถ้าคุณชายซูตกลงว่าจะมาช่วยในครัวด้วยแล้วล่ะก็จะเป็นแบบนี้เจ้าค่ะ” เฟินเยว่หยิบกิ่งไม้มาขีดพื้นเพื่ออธิบายแผนการคร่าว ๆ เป็นตัวอักษร “เริ่มออกเดินทางหลังทานอาหารเสร็จ.. ไปถึงฉางอันเที่ยงวัน.. หาโรงเตี๊ยมก่อนเป็นอันดับแรกเพราะงานเทศกาลคนน่าจะเยอะ.. พักรับประทานอาหารกลางวันอาจจะที่โรงเตี๊ยมหรือร้านอะไรก็ได้ตามใจคุณชายซู.. แล้วค่อยทำอาหารและขนมเยว่ปิ่งแล้วก็ส่งงาน...”

            ไม้ที่เขี่ยพื้นหยุดอยู่ที่ตรงนี้ นางเงยหน้าขึ้นมองเด็กหนุ่มหลังจากที่พูดคนเดียวมานาน

            “ถึงตรงนี้น่าจะเสร็จทุกอย่างประมาณยามเซิน จะมีเวลาพักผ่อนทำธุระส่วนตัวสองชั่วยามก่อนจะเริ่มเดินงานเทศกาลในยามไห่เจ้าค่ะ เอ่อ.. มีตรงไหนที่อยากจะแย้งหรือเปล่าเจ้าคะ”

            “มีสิ” เด็กหนุ่มตีขรึมใส่ทั้งน้ำเสียงและใบหน้าก็ดุขึ้น “ตรงที่เจ้าบอกว่าอะไรก็ได้ตามใจข้าน่ะ ทำไมไม่ทำตามใจตัวเองบ้างล่ะ”

            “เอ๋.. ข้าก็แค่อยากจะตามใจคุณชายซูเท่านั้นเอง ไม่ได้หรือเจ้าคะ?”

            เห็นเขาทำหน้าจริงจังแบบนี้กลับรู้สึกผิดว่าตัวเองทำอะไรผิดไปตรงไหนหรือเปล่า และอีกอย่างนางเป็นคนอะไรก็ได้ง่าย ๆ ไม่ได้อยากได้อยากมีอะไรเป็นพิเศษ การตามใจอีกฝ่ายจึงเป็นเรื่องที่ง่ายกว่า

            “ตามใจไปเสียทุกเรื่องแบบนี้ บางทีก็แอบคิดว่าเจ้ากำลังเกี้ยวข้าอยู่หรือเปล่า”

            “!!?!!”

            ได้ยินคำพูดแบบนั้นเฟินเยว่ก็หน้าเหวอ ทำตาโต อ้าปากค้างพะงาบ ๆ ส่งเสียงงื้ดง้าดในลำคอไม่เป็นภาษา พวงแก้มขึ้นสีแดงจัดจนลามไปทั้งใบหู นั่นสิ.. จะว่าไปที่เด็กสาวกระทำก็ดูจะเอาใจเด็กหนุ่มมากผิดปกติจริง ๆ แต่ในความเป็นจริงแล้วนางก็มักจะตามใจและทำเช่นนี้กับทุกคน ยิ่งคนที่มีบุญคุณก็ยิ่งอยากตอบแทนให้ถึงที่สุด แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าใจแอบหวิว ๆ ไม่เหมือนกับตอนที่อยู่กับผู้อื่น สตรีที่ออกตัวก่อนมักจะดูไม่ดีในสังคม เด็กสาวจึงรู้สึกผิดอยู่ไม่น้อยเลยว่าอาจจะเป็นคนไม่ดีในสายตาเขา

            ตอนแรกตงฮั่วก็ว่าจะแกล้งอำไปขำ ๆ แต่กลายเป็นว่าตัวเองก็เป็นฝ่ายทำตัวไม่ถูกเองไปด้วยเมื่อเห็นท่าทางแบบนั้นของเด็กสาว

            “ล้อเล่นน่า! ข้าก็แค่อำเจ้าเล่น อย่าคิดจริงจังซี่!”

            “อะ.. อำเล่นสินะเจ้าคะ ขะ.. เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ ขะ..ข้าไม่คิดมากหรอกเจ้าค่ะ” มือทั้งสองข้างยกขึ้นกุมแก้ม มันร้อนฉ่าไปหมดจนไม่รู้ว่ามือนางเย็นหรือว่าแก้มตัวเองร้อน กว่าจะปรับสีหน้าได้ก็ครู่หนึ่ง “อะแฮ่ม.. มันเป็นนิสัยของข้าน่ะเจ้าค่ะ บางทีก็ตัดสินใจเลือกเองไม่ได้ ถ้าสหายชอบสิ่งไหนก็อยากจะตามใจมากกว่าน่ะเจ้าค่ะ”

            เฟินเยว่เม้มริมฝีปากแน่น อาการเขินยังไม่หายไปเสียทั้งหมด นางพยายามพูดอธิบายอีกฝ่ายจะได้ไม่เข้าใจผิด

            “อืม เอาเป็นว่าข้าเข้าใจในเรื่องนั้นแล้ว เอาไว้เจอร้านน่ากินเราค่อยแวะกัน ตกลงตามนั้น” ตงฮั่ววางมาดเข้มจริงจังกว่าปกติเพื่อเป็นการฟันธง ส่วนหนึ่งก็เพื่อกลบเกลื่อนว่าเมื่อครู่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น “ถ้างั้นรีบกินให้หมดแล้วออกเดินทางกันเถอะ”

            “จะ.. เจ้าค่ะ!”

            ด้านเด็กสาวก็ขานรับเสียงหนักแน่น แล้วรีบลงมือทานบะหมี่อู่ฮั่นต่อจนหมด จากนั้นทั้งคู่ก็ขี่ม้ากันคนละตัว แล้วเข้าฉางอันเพื่อให้ทันกำหนดการที่วางไว้คือตอนเที่ยง


.
.
.



ลักษณะนิสัยเห็นอกเห็นใจ
+20 EXP ทุกครั้งที่โรลเห็นอกเห็นใจช่วยเหลือผู้อื่น หรือ ทำงานช่วยเหลือ




←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
พยัคฆ์ตงเทียน
หยกเชื่อมสัมพันธ์
พู่กันเหวิ่นเซ่า
ถุงหอมจูอวี๋
กลยุทธ์เล่ออี้
บทเพลงยิ้มเย้ยยุทธจักร
หน้ากากขาว
เกราะเกล็ดมังกร
ผ้าคลุมไท่หลง
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x40
x32
x1
x439
x500
x73
x500
x26
x498
x500
x10
x2
x9
x1
x400
x1
x1
x5
x28
x8
x591
x228
x228
x500
x2514
x18
x14
x1
x5
x1
x2
x100
x5
x50
x100
x3
x3
x10
x2
x47
x64
x6
x9
x2
x71
x1
x24
x95
x50
x86
x150
x260
x150
x150
x46
x46
x2
x2
x6
x2
x2
x34
x4
x1
x8
x1
x2
x7
x5
x8
x7
x110
x7
x74
x45
x3
x30
x63
x74
x79
x2
x71
x68
x6
x45
x50
x160
x316
x3
x220
x48
x35
x168
x12
x10
x25
x1
x13
x6
x4
x6
โพสต์ 2021-10-1 18:06:55 | ดูโพสต์ทั้งหมด
หลังจากเดินทางมาได้ระยะหนึ่งทั้งสองก็ตกลงกันว่าจะหาที่พักเหนื่อยเพียงครู่ ซุนหยางเองไม่อยากจะเข้าเมืองให้เปลืองเวลามาก ระหว่างทางทั้งสองต่างถกเถียงกันเรื่องแวะพักที่ใดระหว่างวัน

จ้าวเพ่ยต้องการจะพักโรงเตี๊ยม แต่นางหารู้ทางไม่จึงเป็นประโยชน์แก่ผู้ติดตามนางที่จะพานางเดินทางตามนอกเมืองให้พอร่นระยะเวลาลงไปบ้าง หากทำตามความประสงค์ของนาง จ้าวเพ่ยคงจะเอาแต่ประดับประดาตัวนางไม่ก็เอาแต่อาบน้ำในโรงอาบน้ำเป็นแน่

"พักที่นี่ก่อนก็ได้ ช่วยก่อไฟให้ข้าหน่อยสิ จะได้นั่งจิบน้ำชาให้หายเหนื่อยลงบ้าง" จ้าวเพ่ยกล่าวขณะหาที่นั่งพักภายในถ้ำให้ หาที่ๆพอจะไม่เลอะกี่เพ้าของนางเพื่อจะนั่งลงพลางเปิดย่ามขึ้นมาเพื่อเตรียมจะชงชาสำหรับพักดื่มในยามนี้

"ที่นี่เหมือนจะมีคนมาอยู่ก่อนนะ" ซุนหยางกล่าวขณะก่อไฟและนำหินมาวางรอบๆเพื่อป้องกันไม่ให้ไฟลามออกไป ผู้ติดตามนางตั้งหม้อเต็มไปด้วยน้ำสะอาดขณะมองจ้าวเพ่ยแกะห่อชาเพื่อเทลงไปในหม้อขณะรอให้น้ำร้อนขึ้น ก็คงจะไม่พ้นที่จะนั่งสนทนาแก้เบื่อไปพลาง

"เป็นอย่างไรบ้าง อารมณ์ดีขึ้นหรือยัง" ชายผู้ติดตามถามจ้าวเพ่ยขณะนางใช้ผ้าจับหม้อให้พอสามารถตั้งได้โดยไม่ล้ม เขามองนางจับผมลู่ลงปิดใบหน้าขึ้นมาทัดหูพลันหันไปมองทางอื่น เมื่อเห็นว่าจ้าวเพ่ยไม่สนใจคำถามเขาเลย มัวแต่ใจจดใจจ่อกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า

"เมื่อกี้เจ้าว่าอะไรนะ" จ้าวเพ่ยหันกลับไปถามซุนหยางก่อนจะล้มตัวนั่งข้างๆอีกฝ่าย มือจับผ้าสองผืนมารวมกันและวางไว้ข้างๆตัวเพื่อเตรียมจะจับหม้ออีกครั้งหากน้ำเดือดขึ้นมา

"ข้าถามว่า ตอนนี้เจ้า.. อารมณ์ดีขึ้นบ้างหรือยัง" ถอนหายใจออกมาจนหญิงสาวสัมผัสได้ถึงความเหนื่อยหน่าย จ้าวเพ่ยขมวดคิ้วสงสัยพลางหันกลับไปมองต้มน้ำทั้งเอนหลังพิงถ้ำ

"ข้าไม่ได้อารมณ์ไม่ดีเสียหน่อย เจ้าก็กล่าวไปเรื่อย" นางกล่าวขึ้นมาพลันหลับตาลงเพื่อจะพักสายตาลงเสียหน่อย ซุนหยางมองไปทางจ้าวเพ่ยครู่หนึ่งพรู้ว่านางไม่ได้หลับลงจริงๆก็เอ่ยหาบทสนทนาต่อ

"เจ้ามีชายที่พอจะชอบคอกันหรือไม่" ซุนหยางพูดขึ้นมาทั้งยังมองใบหน้าด้านข้างของจ้าวเพ่ยต่อ "หรือชายที่หมั่นหมายกับเจ้าเอาไว้"

"ไม่มีหรอก.. เห็นเช่นนี้ข้าก็เลือกนะ แต่คงเลือกมาไปหน่อยอายุปูนนี้แล้วยังไม่มีชายใดมาหมายปองเลย"

คำตอบของจ้าวเพ่ยดังขึ้นให้เขาได้ยิน นางยังคงหลับอยู่เช่นนั้นเหมือนเปิดโอกาสบางอย่างให้กับอีกฝ่าย ชายผู้ติดตามยื่นใบหน้าเข้าใกล้อีกฝ่าย บรรยากาศโดยรอบช่างเป็นใจ เสียงแตกของถ่านดังขึ้นเป็นระยะเคล้ากับเสียงเดือดของกาต้มน้ำเป็นสัญญาณว่าให้จ้าวเพ่ยลุกขึ้นมาจัดการน้ำชาต่อให้เสร็จ

"ข้าไม่ชอบการผิดประเวณี…" จ้าวเพ่ยเอ่ยขึ้นมาดื้อๆให้ผู้ติดตามหนุ่มชักสีหน้าเสียดายเมื่อใกล้กันเพียงนี้ ก่อนจะผละตัวออกไป หญิงสาวค่อยๆเปิดตาขึ้นและลุกไปให้หม้อต้มน้ำชารินลงที่ถ้วยเล็กๆและเดินมายื่นน้ำาร้อนๆและนั่งลงที่เดิม

"ชารสชาติอย่างไรบ้าง" นางเอ่ยถามขึ้นมาหลังจากที่เห็นซุนหยางลิ้มรสน้ำชาที่นางต้มให้ก็รอผลตอบรับอย่างใจจดใจจ่อ

"ก็ดี.. เพียงแต่จืดไปหน่อย"

"จืดหรอ.. ข้าคงจะใส่น้ำเยอะไป ไม่เป็นไร คราวหน้าจะทำให้ดีกว่านี้" จ้าวเพ่ยขิบน้ำชาบ้างแต่ทันทีที่ลิ้มรสทำเอานางเผลอมองซุนหยางอีกที รสชาติของชากลับปกติดีทุกอย่างไม่จืด ซ้ำยังส่งกลิ่นหอมขึ้นมาเป็นเอกลักษณ์ อาจจะเป็นเพราะลิ้นรับรสคนละอย่างกัน กับซุนหยางที่ดื่มแต่เหล้าคงจะรับรสแรงจนไม่สามารถลิ้มรสความอ่อนนุ่มของเหล่าชาที่นางชอบดื่มได้

พอมาคิดอย่างนี้พึ่งจะรู้ว่าความชอบมันสวนทางตั้งแต่ชนิดน้ำที่ชอบดื่มแล้ว

ความเงียบเข้าครอบคลุมไปทั่วบริเวณทำเอาซุนหยางเองก็อึดอัดไม่น้อย เห็นหญิงงามข้างๆคอยแต่จิบน้ำชาราวกับว่าที่นี่คือบ้านก็ไม่รู้ว่าชาที่นางชอบนักชอบหนามันมีดีตรงไหน สายตามองผ่านใบหน้าไล่ลงไปมองชุดกี่เพ้ารุ่มร่าม นางทำตัวคล้ายว่าเป็นคุณหนูผู้ดีแต่ตอนนี้ก็เป็นเพียงชาวบ้านธรรมดาๆคนหนึ่งเท่านั้น ซุนหยางไม่รู้ว่าก่อนที่จะมาพบกันกำพืดนางเป็นเช่นไร เป็นลูกเต้าเหล่าใคร นางเป็นสตรีลึกลับคนหนึ่งผู้ที่ไม่เหลือญาติมิตรหรือแม้แต่บ้านที่จากมา นี่คือสิ่งเดียวที่ซุนหยางรู้

"จ้าวเพ่ย.." เขาเอ่ยเสียงแผ่วพลางใช้มือปัดผมยาวที่ปรกใบหน้าให้เห็นหน้าชัดๆ หญิงสาวยังถือน้ำชามองอีกฝ่ายตาไม่กระพริบขณะยังถือน้ำชาด้วยมือสองข้างไหล่บางถูกจับทั้งดึงชุดนอกของหญิงสาวออกอย่างช้าๆภายในถ้ำกลางวันแสกๆ "ข้าคิดว่า..."

"เจ้าเป็นบ้าอะไร" เพียงคำพูดเดียวจากจ้าวเพ่ยทำเอาชายหนุ่มนิ่งเงียบลง หญิงสาวผลักอีกฝ่ายให้พ้นจากตัวนางพลางจัดชุดให้เรียบร้อยเฉกเช่นเดิม "ตั้งแต่ครั้งที่อยู่ในป่าแล้ว เห็นข้าไม่พูดอะไรก็เอาใหญ่เลยหรือไง.. หากกำหนัดมากนักข้าจะได้พาไปลงที่หอโคมไม่ใช่ลงที่ข้า"

จ้าวเพ่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดนางก้มเก็บถ้วยน้ำชาไปเททิ้งและเก็บใส่ย่าม พลางเดินออกไปรอม้าข้างนอกเพื่อไม่ให้เป็นอันตรายกับตนเมื่ออยู่กับชายผู้นี้มากเกินไป ซุนหยางนิ่งเงียบครู่หนึ่งกับคำพูดของจ้าวเพ่ยที่ด่าตนเมื่อครู่นี้

เขาไม่ได้ปลดปล่อยในฐานะลูกผู้ชายมาตั้งแต่ออกจากหอโคมแห่งนั้น เพราะความอัดอั้นสะสมจนทำให้เริ่มหน้ามืดตามัวเกือบจะเคลมนายหญิงของเขาเสียแล้ว อดีตชายโพกผ้าเหลืองถอนหายใจขึ้นมาพลันเดินลึกเข้าไปในถ้ำอีกหน่อยพอที่จะหาที่ที่เป็นส่วนตัวได้บ้าง

ทางด้านจ้าวเพ่ยก็ยืนรอซุนหยางหายไปในถ้ำได้เพียงสักใหญ่ๆ นางเห็นอีกฝ่ายเดินกลับออกมาก็ปีนขึ้นบนหลังอาชาทันที นางเลือกที่จะทิ้งระยะห่างการเดินม้าให้พออยู่ในระยะปลอดภัยจนกว่าซุนหยางจะกลับมาเป็นปกติกับนางได้อีกครั้ง ค่อยจะเพิ่มความไว้ใจขึ้นใหม่อีกครั้ง

แต่คงไม่ใช่ยามนี้แน่นอน

มอบ ชาเจียวกู่หลาน ให้กับ ซุนหยาง (ผู้ติดตาม)
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
กระบี่ร้อยกฎ
มุกพณาหวาซวี
ม้าเหลียง
กลยุทธ์เล่ออี้
บทเพลงยิ้มเย้ยยุทธจักร
หน้ากากขาว
เกราะเกล็ดมังกร
ผ้าคลุมไท่หลง
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x2
x7
x4
x10
x10
x13
x13
x13
x12
x11
x202
x1
x1
x1
x11
x22
x15
x30
x1
x100
x100
x9
x2
x5
x6
x8
x10
x2
โพสต์ 2021-10-3 05:36:04 | ดูโพสต์ทั้งหมด
"หยุดขบวนเสีย นี่คือการปล้น…"

เสียงเหล่าโจรโพกผ้าเหลืองกล่าวขึ้นมาเมื่อดักทางขบวนเสบียงสำเร็จ ซุนหยางหยุดม้าที่นำขบวนลงทำให้ทุกขบวนหยุดลงทันที ทำเอาจ้าวเพ่ยต้องบังคับม้ามายังข้างหน้าของขบวนด้วยความสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น

สายตาที่ปรากฏต่อหน้านางคือโจรโพกผ้าเหลืองผู้กำลังยกอาวุธจ่อขบวนตนทำให้นางหันไปมองซุนหยางทันที นางถอนหายใจเล็กน้อยเมื่อไม่คิดว่าจะมีพวกนี้เข้ามาขวางทาง ขณะที่ซุนหยางเริ่มลงจากหลังม้าและหยิบง้าวของจ้าวเพ่ยขึ้นมาเพื่อเตรียมต่อสู้กับเหล่าโจรกลุ่มนั้น

เหล่าทหารบางส่วนเริ่มจะจับอาวุธแต่จ้าวเพ่ยห้ามเอาไว้ก่อน นางอยากจะเห็นชัดเจนว่าซุนหยาวพัฒนาไปถึงไหนแล้ว จากชายที่สู้สตรีอย่างนางไม่ได้สู้ชายที่ฆ่าสหายได้ถึงสามคนพร้อมกันในครั้งนี้นางอยากจะรู้ว่าผู้ติดตามนางจะสู้กับคนพวกนี้ได้หรือไม่

แจ่สุดท้ายชายผู้เดียวก็เกือบจะสู้กลุ่มโจรโพกผ้าเหลืองไม่รอด จ้าวเพ่ยลงจากหลังม้าเมื่อเห็นว่าเหล่าทหารชักอาวุธขึ้นมาทำเอาโจรที่อ่อนแรงพวกนั้นสั่นผวา หญิงสาวเดินไปหาซุนหยางสะบักสะบอมตรงหน้าก็จับแขนอีกฝ่ายพาดบ่านางเพื่อยกพาไปพักยังถ้ำที่อยู่ใกล้ๆที่นี่ ก่อนจะผละตัวออกไป

เหล่าทหารต่างหยุดขบวนเพื่อเข้ามาช่วยเหลือซุนหยางตามวิธีของพวกเขาแม้จะไม่เป็นอะไรมากนักแต่ก็แทบจะหายใจไม่ออก พลันตะลุกขึ้นหนีจากเหล่าชายๆที่ไม่น่าพิศวงเสียเลยอยู่ๆทหารต่างแทรกให้หญิงงามย่างกรายเข้ามาหาตนช้าๆ จ้าวเพ่ยยกยิ้มขึ้นมาพลางใช้ผ้าชุบน้ำสะอาดเช็ดคราบเลือดที่ติดใบหน้าของซุนหยางให้ เขารับรู้ถึงสายตาอำมหิตของกลุ่มหนึ่งส่งมาเมื่อได้จับเนื้อต้องตัวจ้าวเพ่ยโดยตรง ยิ่งรู้สึกหวั่นๆขึ้นมา หญิงสาวหันกลับไปทำให้กลุ่มทหารพวกนั้นวกหันกลับทันที

"ข้าคิดว่ามีบาดแผลก็เป็นห่วงแทบแย่ ที่ไหนได้เลือดโจรหมดเลยหรือ" นางกล่าวขึ้นมาทำเอาซุนหยางนึกขำกับคำพูดของจ้าวเพ็ญ ก่อนเขาจะกล่าวอะไรขึ้นมา เสียงของทหารนายหนึ่งดังขึ้นทำเอานางต้องหันไปและวิ่งไปหาเสียงๆนั้นทันที

"ท่าน…" ชายทหารที่คุยกันที่ป่าได้นอนจับขาด้วยความเขจ็บปวดทำเอานางขมวดคิ้วสงสัยทันที จ้าวเพ่ยไม่เข้าใจว่าชายคนนี้เขาโดนอะไรมา แต่เพื่อนทหารนายนี้กลับรีบเข้ามาหาและประคองตัวทันที

"เมื่อครู่ข้าเห็นงูมันไปทางนั้น อาจจะถูกงูกัดก็ได้"

"งู!!" นางร้องแล้วรีบรุดเข้าไปหาทหารนายนั้นทันที หญิงสาวดึงรองเท้าและขากางเกงขึ้นจรเห็นหน้าแข็งแดงจากแรงกระแทกขึ้นมา

นี่หรือรอยงูกัด ช่างแปลกยิ่งนัก

"แม่นางรีบๆสิ สหายข้าจะแย่เอานะ"

"จ.. เจ้าค่ะ" ความเร่งรีบทำให้นางไม่มีเวลาคิดมาก หญิงสาวจะนำผ้าเปียกน้ำในมือมาจะมัดแต่ถูกทหารอีกนายห้ามเอาไว้ก่อน

"มันสกปรกนะแม่นาง พึ่งจะเช็ดเลือดมาไม่ใช่หรือ"

"ก็..." นางทิ้งผ้าเปียกน้ำลงและหยิบผ้าผืนประจำตัวมารัดเหนือบาดแผลทันที รอยแดงเริ่มเกิดเป็นสีเขียวขึ้นมาขณะหญิงสาวกำลังงุนงงว่าควรจะทำอย่างไรต่อไป ซุนหยางกลับปรากฏข้างหลังนาง ทำให้เหล่ากลุ่มทหารพวกนั้นเริ่มเขม่นขึ้นมาทันที

"ข้าปฐมพยาบาลเป็น ให้ข้าจัดการเถอะ"

"ฝากด้วย…" เมื่อได้ยินซุนหยางเสนอจ้าวเพ่ยก็หลีกทางให้ผู้ติดตามนางจัดการต่อ หญิงสาวเดินออกไปกลุ่มทหารที่เข้ามาดูก็แยกย้ายกันไปเตรียมตัวจะออกเดินทางอีกครั้งเพราะรู้ว่าประเดี๋ยวก็ได้ออกเดินทางกันแล้ว

ซุนหยางยิ้มให้ทหารนายนั้นพลางหยิบผ้าเปียกน้ำที่จ้าวเพ่ยทิ้งเอาไว้มาแปะแผลช้ำอีกฝ่ายและกดเอาไว้จนทหารนายนั้นนิ่วหน้าขึ้นมา

"ข้าไล่พิษงูออกให้แล้ว อย่าเอาผ้าออกล่ะ..เอาล่ะเดินทางต่อกัน" ผู้ติดตามจ้าวเพ่ยพูดทั้งกัดฟันก่อนจะผละตัวออกและตะโกนบอกเหล่าทหารเริ่มออกเดินทางอีกครั้ง จ้าวเพ่ยเห็นซุนหยางเดินมาก็หันไปมองทหารนายนั้นทันที

"หายดีแล้วหรือ"

"ใช่.. ข้าบอกแล้วว่าปฐมพยาบาลเป็น" ซุนหยางกล่าวทั้งยิ้มกว้างให้กับจ้าวเพ่ย หญิงสาวพยักหน้าเข้าใจก่อนจะขึ้นมาเพื่อเตรียมให้ซุนหยางเดินนำขบวนไปเพื่อให้นางไล่ท้ายหลังสุดในกองทหารชุดนี้

Side Quest Update :: เควสช่วยกองทหารโข่วซือ 1

←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
กระบี่ร้อยกฎ
มุกพณาหวาซวี
ม้าเหลียง
กลยุทธ์เล่ออี้
บทเพลงยิ้มเย้ยยุทธจักร
หน้ากากขาว
เกราะเกล็ดมังกร
ผ้าคลุมไท่หลง
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x2
x7
x4
x10
x10
x13
x13
x13
x12
x11
x202
x1
x1
x1
x11
x22
x15
x30
x1
x100
x100
x9
x2
x5
x6
x8
x10
x2
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง เข้าสู่ระบบ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

อย่าลืมเข้าสู่ระบบนะจ๊ะ เข้าสู่ระบบตอนนี้ หรือ ลงทะเบียนตอนนี้

เว็บไซต์นี้ มีการใช้คุกกี้ 🍪 เพื่อการบริหารเว็บไซต์ และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานของท่าน (เรียนรู้เพิ่มเติม)

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้