[นอกเมืองเหอตง] ถ้ำไป๋หู่

[คัดลอกลิงก์]
ไม่ระบุชื่อ  โพสต์ 2021-8-15 21:37:14 |โหมดอ่าน




ถ้ำไป๋หู่


{ นอกเมืองเหอตง }






【ถ้ำหู่บายี】
'ไม่เข้าถ้ำเสือ ใยจะได้ลูกเสือ?'
โพรงถ้ำหินแกร่งขนาดกลางตั้งอยุ่ทางตะวันออกของเมืองเหอตง
ในอดีตถูกเรียกว่ารังเจ้าพยัคฆ์ เพราะเสือโคร่งขาวตัวหนึ่งที่เคยออกอาละวาดในบริเวณนี้
ปัจจุบันแม้ไม่มีเสือหรือสัตว์ร้ายตัวใดมาอาศัยอยู่ แต่ก็ยังมีมนุษย์แวะเวียนมาอาศัยค้างแรมอยู่เป็นระยะ
บางอุโมงค์ถ้ำมีนกนางแอ่นมาทำรังอาศัย นับว่าเป็นแหล่งรายได้ของชาวบ้านในละแวกนี้




{ วิถีชีวิตคนสันโดษ }

[ดูคู่มือการเก็บทรัพยากรส่วนตัว]

(1) ติดตั้ง "เบ็ดตกปลา" ชนิดใดก็ได้ (สามารถหาซื้อได้จากร้านอุปกรณ์)

(2) เขียนโรลตกปลาตามคู่มือด้านบน
(3) ระบุท้ายโพสต์เลือกปลาที่จะตก โดยแต่ละพื้นที่จะมีปลาแตกต่างกัน

{ โบนัสพิเศษ }
(1) หากเป็นคนลักษณะนิสัยสันโดษ ได้รับโบนัส x2

{ ปลาที่พบบริเวณนี้ }
(1) ปลากง
(2) ปลาดุก


โพสต์ 2021-9-2 13:09:41 | ดูโพสต์ทั้งหมด
      หลังจากการเดินทางมาได้ซักพักเขาเองนั้นสังเกตเห็นว่าม้าของตนนั้นดูเหนื่อยหอบจากการวิ่งติดต่อกัยมาเป็นระยะเวลานานจึงเลือกที่จะหาที่พักชั่วคราวซักหน่อย ซึ่งประจวบเหมาะกับตอนนี้ที่เขาได้เดินมาเจอถ้ำแห่งนี้อย่างพอดิบดีจึงเดินเข้าไปสำรวจด้านในโดยให้ม้าของตนพักอยู่ปากถ้ำ

      ทันทีที่ก้าวเท้าเข้ามาด้านในบรรยากาศโดยรอบนั้นชั่งวังเวงเป็นอย่างมาก ความกว้างขวางของมันชั่งชวนให้แสนโดดเดียวอย่างหน้าประหลาด

      "นี่ข้าควรเข้าไปจริงๆใช่ไหม" เทียนหลงเริ่มมิแน่ใจกับความคิดของตน แต่เมื่อมาถึงขนานนี้แล้วก็มิมีอะไรต้องเสียอีกต่อไป...

      เทียนหลงเริ่มเดินเล่นต่อไปเรื่อยๆเท่าที่จะทำได้ เขามิรู้ความลึกของถ้ำนั้นมีมากแค่ไหนเพียงแค่เห็นบางคนมาค้างแรมบ้างเพียงเท่านั้น

      "เอาหละกลับดีกว่าน่าจะไม่มีอะไร" เทียนหลงได้เริ่มเดินกลับออกมาแต่ในจังหวันั้นเขาก็สะดุดล้มเข้ากับร่างของคนๆหนึ่งที่นอนอยู่

      "ขอโทษข้ามิตั้งใจ"

      "ไม่เป็นไรหรอกพี่ชายข้าผิดเองที่มานอนผิดที่" บุรุษแปลกหน้าค่อยลุกขึ้นอย่างช้าๆพร้อมกับปัดฝุ่นตามตัวออก

      "พี่ชายพึ่งมาใหม่สินะ อยากฟังเรื่องเล่าของถ้ำแห่งนี้ไหม" บุรุษแปลกหน้าพลันกล่าวขึ้นด้วยท่าทีตื่นเต้น หากดูจากรูปร่างหน้าตาแล้วคงอ่อนกว่าเทียนหลงมิมาก

      "ได้สิยังไงตอนนี้ข้าก็ว่างอยู่" เทียนหลงพลันกล่าวขึ้นมาด้วยความสงสัยว่าจะมีเรื่องอะไรกัน

      "ถ้ำแห่งนี้คือถ้ำไป๋หู่ ครั้งอดีตเคยมีรังของเจ้าพยัคฆ์ เพราะเสือโครงขาวเคยออกอาละวาดในบริเวณนี้ แต่ตอนนี้มิมีเหลือแล้ว"

      "เป็นไงหน้าสนใจใช่ไหม" บุรุษแปลกหน้ากล่าวออกมาพร้อมกับด้วยตาที่เป็นประกายว่าอีกใ่ายต้องอึ่งแน่ๆเมื่อได้ฟังเรื่องนี้

      "แน่นอน ขอบคุณมากสำหรับเรื่องราวเช่นนี้" เทียนหลงกล่าวออกมาพร้อมกับสีหน้าที่สุดแสนธรรมดา ก่อนจะเดินออกไปทิ้งให้บุรุษผู้นั้นอยู่ในถ้ำต่อไป

      "เอาหละเราพักมามากพอแล้วรีบไปกันเถอะ" เทียนหลงพลันบอกกล่าวแก่มาของตน ก่อนจะรีบควบมาเพื่อออกเดินทางไปยังจุดหมายต่อ...
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
หวีเซียวเฉิน
ตำราตงฟางซั่ว
ยาสมานแผลขั้นต้น
ตะเกียงซือซานเยวี่ย
ทวนสามพยัคฆ์
ม้าขาว
บทเพลงยิ้มเย้ยยุทธจักร
หน้ากากขาว
เกราะเกล็ดมังกร
ผ้าคลุมไท่หลง
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x20
x1
x1
x1
x1
x45
x1
x6
x2
x5
x984
x5
x50
x30
x2
x10
x8
x2
x8
x12
x24
x2
x7
x50
x5
x5
x5
x5
x5
x5
x5
x4
x6
x2
x2
x15
x40
x1
x6
x6
โพสต์ 2021-9-2 13:57:37 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Tienlong เมื่อ 2021-9-2 13:58

      เทียนที่ตอนแรกได้เริ่มออกเดินทาง แต่แล้วจู่ๆในวินาทีนั้นได้มีโจรโพกผ้าเหลืองตัวหนึ่งได้พุงมาดักทางของม้าเขาไว้จนตกจากหลังม้า

      "ฮิๆๆ หนุ่มน้อยเจ้านี่มันกระจอกจริงๆเลยนะ แค่นี้ก็ตกจากหลังม้าเสียแล้ว!!!" สิ้นเสียงกล่าวโจรโพกผ้าเหลืองพุ่งตรงใส่ร่างของเทียนหลงที่นอนอยู่กับพื้น มันตั้งใจจะขโมยม้าและทรัพย์สินของเทียนหลง เลยเล็งช่วงเวลานี้ไว้ก่อนแล้ว

      "อย่าหวัง!!" เทียนหลงพลันดีดร่างของตัวเองขึ้นก่อนจะยกดาบฟันปลาของตนขึ้นมากันการโจตมตีของอีกฝ่าย และในจังหวะนั้นเองเขาก็ถีบเข้าที่ร่างของมันจนเซถอยหลังไปสองสามเก้า
   
      "แค่นี้ไม่เท่าไหร่หรอก!!" มันเริ่มเข้ามากระหน่ำดาบใส่เทียนหลงอย่างรวดเร็ว ต้องถือว่ามันเก่งกกว่าเทียนหลงอยู่เล็กน้อย

      "ให้มันได้อย่างที่พูดละกัน!!" เทียนหลงจำดาบในมืออย่างแน่นพร้อมกับพยายามปัดป้องการโจมตีต่างๆของโจรโพกผ้าเหลือง ถึงแม้จะมีบาดแผลเกิดขึ้นบนร่างของเขาบ้าง แต่นั่นมิใช่เรื่องน่ากังวลแต่อย่างใด

      "อย่า!!" คมดาบของเทียนหลงตัดเข้าที่แขนข้างที่ถือดาบของมัน มันพยายามที่จะใช้มืออีกข้างต่อสู้แต่มิเคยได้ฝึกฝนมาจึงมิอาจทำอะไรเทียนหลงในตอนนี้ได้

      "ลาขาดเจ้าพวกโจรสวะ" เทัยนหลงใช้ดาบฟันปลดตัดเข้าที่ลำคอของมันจนหลุดออกจากบ่า

      "เอาหละไปกันต่อเถอะ" เทียนหลงกล่าวขุ้นโดยลูบอาชาทมิฬของตนให้สงบลงก่อนจะควบมันเดินทางไปยังเป้าหมายต่อ



ทะเยอทะยาน
+2 Point จากโรลการต่อสู้

←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
หวีเซียวเฉิน
ตำราตงฟางซั่ว
ยาสมานแผลขั้นต้น
ตะเกียงซือซานเยวี่ย
ทวนสามพยัคฆ์
ม้าขาว
บทเพลงยิ้มเย้ยยุทธจักร
หน้ากากขาว
เกราะเกล็ดมังกร
ผ้าคลุมไท่หลง
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x20
x1
x1
x1
x1
x45
x1
x6
x2
x5
x984
x5
x50
x30
x2
x10
x8
x2
x8
x12
x24
x2
x7
x50
x5
x5
x5
x5
x5
x5
x5
x4
x6
x2
x2
x15
x40
x1
x6
x6
โพสต์ 2021-9-4 00:14:25 | ดูโพสต์ทั้งหมด
ชายหนุ่มค่อยๆนำกองขนเสบียงให้ค่อยๆไปต่อไป

จนตอนนี้มาถึงเมืองเหอตงจนได้ ทุกอย่างดูราบรื่นดี จนไม่น่าจะมีอะไร..

แต่ว่ายังวางใจไม่ได้

ชายหนุ่มคิดในใจ
'....ขบวนสินค้าขนาดนี้ต้องมีพวกโจรมองเห็นแน่ๆ กองกำลัง 25 คน จะว่าเล็กก็เล็กจะว่านัอยก็น้อย" ชายหนุ่มรำพึงในใจ


'บางทีถ้าเราเจอเจ้าโจรพวกนี้ บางทีเราอาจจะยังพอจัดการพวกมันได้ แต่ถ้ามากันหลายคนล่ะก็ ตัวเรายังไม่แกร่งขนาดนั้น แต่ก็น่าจะพอมีทางอยู่' ชายหนุ่มคิดพลางถอนใจ…


'ถ้าเกิดลองใช้สมองของเราทำการ เจรจาก็น่าจะพอผ่านพ้นได้...หรือไม่ถ้าเกิดวางอุบายบางอย่างก็น่าจะพอไหว..'

ชายหนุ่มถอนหายใจ..


คิดมากไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา…


"ไปกันต่อเถิด พี่น้อง อีกไม่นานเท่านั้น…!" มันกล่าวก่อนจะค่อยๆ นำพาขบวนให้ไปต่อข้างหน้า สู่เมืองถัดไป…


←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
อริยสัจสี่
กลยุทธ์เล่ออี้
ม้าเหลียง
หน้ากากขาว
เกราะเกล็ดมังกร
เตากำยาน
ดาบใบหลิว
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x8
x8
x8
x21
x8
x17
x28
x8
x18
x18
x38
x16
x8
x8
x8
x18
x10
x4
x17
x5
x8
x21
x13
x2
x19
x12
x16
x16
x5
x2
x6
x16
x20
x15
x1
x10
x15
x1
x7
x6
x53
x1
x1
x3
x3
x3
x68
x1
x28
x5
x9
x1
x26
x11
x5
x2
 เจ้าของ| โพสต์ 2021-9-4 22:21:05 | ดูโพสต์ทั้งหมด
  
.: แขกผู้แวะพักที่นี่ :.

กติกาการโรลเพลย์สนทนาทำความรู้จักขุนพลโจร
(1) 1 โรลเพลย์ สามารถเจอได้แค่ 1 คนเท่านั้น ยกเว้นมีระบุว่า xx นั่งกับ xx
(2) ในโรลเพลย์สร้างสถานการณ์พบเจอครั้งแรกได้อิสระ โดยไม่แหกนิสัย NPC
(3) นอกจากทำความรู้จัก พูดคุย ใน 1 โรลเพลย์สามารถมอบของขวัญให้ 1 ชิ้นเท่านั้น
(4) การชักชวนเข้ากองกำลัง บาง NPC ไม่จำเป็นต้องหัวใจเต็ม 10 ดวงเสมอไป นอกจากอยู่ที่การให้ของแล้ว การพูดคุย โรลทิ้งท้ายไว้ และ กำกับว่า "ชักชวน"
ทางทีมงานจะมาคอมเม้นท์ว่าชวนสำเร็จหรือไม่ ถ้าสำเร็จคุณจะได้โต้วาทีกับเขา ถ้าชนะแสดงว่าเขายอมรับใช้คุณ


ความสำคัญก่อนโรลสร้างความสัมพันธ์ NPC
(1) สำคัญมาก ที่คุณจะต้องตรวจเช็ค (ลักษณะนิสัยขัดแย้งกันหรือไม่ สามารถเช็คได้จากที่นี่ คลิก)
(2) รองลงมา ตรวจเช็ต ธาตุวันเกิด และ ปีนักษตร ชงกันหรือไม่ สามารถเช็คได้ที่นี่ (คลิก)
(3) ทุก ๆ การโรลเพลย์ที่มีความขัดแย้งในด้านนิสัย และ ธาตุหรือปีนักษัตรชงกัน เนื้อหาโรลเพลย์คุณจะต้องสร้างให้สมเหตุสมผล
เมื่อความสัมพันธ์ต้องลบลงในโรลเดียวกับจีบ ที่ความสัมพันธ์เพิ่ม โดยการครีเอทสร้างสถานการณ์โรลเพลย์ไม่ถึงกับทะเลาะ ขัดแย้งกัน
แต่ให้คุณเผลอทำอะไรที่ไม่ดี หรือใช้คำพูด หรือ บางอย่างเกี่ยวกับนิสัย ตัวคาร์คุณในโรลนั้นด้วย เพื่อให้มีความเมคเช้นส์ในการลดความสัมพันธ์









←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x1
x2
x12
x5
x636
x241
โพสต์ 2021-9-6 23:26:00 | ดูโพสต์ทั้งหมด
เฉินเซียวเฟิงเดินทางมาถึงเมืองเหอตงเขาไม่ได้คิดแวะพักเมืองเพราะไม่มีความจำเป็นเลยกะผ่านเลยไปเลย แต่ในยามนั้นฝนกลับตกลงมาทำให้เฉินเซียวเฟิงเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องแวะพักที่ถ้ำไป่หู่เพื่อหลบฝน


"เอาล่ะ พักที่นี้รอฝนหยุดค่อยออกเดินทางกันต่อ"


เฉินเซียวเฟิงสั่งพวกทหารก่อนจะแยกย้ายไปพัก ในขณะที่เฉินเซียวเฟิงลองสำรวจถ้ำเพื่อดูว่าปลอดภัยรึเปล่าก็พบชายปริศนาคนหนึ่งที่นอนพักอยู่


"เจ้าเป็นใครนะ?"


เฉินเซียวเฟิงเอ่ยถามชายที่นอนอยู่ก่อนที่เขาจะค่อยๆลืมตาแล้วบิดขี้เกียจนิดหน่อย


"เจ้าต่างหากเป็นใคร ที่นี้นะก็แค่ที่แวะงีบหลับประจำของข้าเท่านั้นเอง"


ชายคนนั้นตอบกลับ เมื่อเฉินเซียวเฟิงสังเกตุดีๆก็พบว่าเป็นเด็กหนุ่มที่อายุเพียง 15 - 16 ปีเท่านั้น


"เช่นนั้นขออภัยด้วยที่รบกวนน้องชาย พวกข้าเพียงมาหลบฝนเมื่อฟ้าใสแล้วจะรีบจากไปคงไม่ว่าอะไรใช่ไหม?"


เฉินเซียวเฟิงที่เห็นอีกฝ่ายไม่มีท่าทีคุกคามอะไร จึงคลายการระวังตัวและพูดดีด้วย


"ไม่จำเป็นต้องขออนุญาติข้าหรอก ถ้ำแห่งนี้ไม่ใช่ของผู้ใดจะอยู่นานแค่ไหนก็เชิญเลย"


เด็กหนุ่มพูดตอบกลับอย่างตรงไปตรงมาเช่นกัน ก่อนจะมีเสียงท้องร้องดังขึ้นมาจากเขา


"ฮะๆ น้องชายดูท่าเจ้าจะหิวน่าดูนะ"


เฉินเซียวเฟิงหัวเราะขำเบาๆจนเด็กหนุ่มดูเขินอายนิดหน่อย


"ข้าแค่ลืมนำเสบียงมาทานด้วยเพราะรีบร้อนมาฝึกยุทธ์ต่างหาก.. ไว้ฝนซาแล้วข้าค่อยกลับไปหาของทานก็ยังไม่สาย"


เด็กหนุ่มรีบแก้ตัวจนเฉินเซียวเฟิงได้แต่อมยิ้มบางๆ


"เอาเถอะ การที่พบกันครั้งนี้อาจเป็นโชคชะตาก็ได้ถ้าเจ้าไม่รังเกียจจะแบ่งเสบียงข้าไปทานบ้างไหม?"


เฉินเซียวเฟิงว่าจบก็หยิบห่ออาหารที่ส่งกลิ่นน่าทานมา แล้วยื่นให้เด็กหนุ่ม


"ข้าไม่ต้องการของจากคนแปลกหน้าหรอก.. เดี่ยวนะ กลิ่นนี้มัน"


เด็กหนุ่มที่ตอนแรกจะปฏิเสธ หลังได้กลิ่นห่ออาหารก็รีบคว้ามาเปิดดูในทันที


"เป็นไก่ขอทานจริงๆด้วย!"


เด็กหนุ่มตาลุกวาวเมื่อเห็นไก่อวบอ้วนที่อยู่ตรงหน้าจนเก็บอาการแทบไม่อยู่


"ฮะๆ ว่าไงล่ะ อาหารนี้เจ้าพอจะรับได้รึเปล่า"


เฉินเซียวเฟิงหัวเราะเบาๆเมื่อเห็นอาการอีกคน


"ก็.. ข้าจะรับไว้ก็ได้ ขอบคุณท่านมาก"


สุดท้ายเด็กหนุ่มก็ยอมแพ้ให้กับของกินที่ชอบ ก่อนจะลงมือทานอย่างเอร็ดอร่อยด้วยความหิว


"ค่อยๆกินก็ได้ไม่ต้องรีบ ไม่มีใครแย่งเจ้าหรอก แต่ทำไมเด็กหนุ่มเช่นเจ้าถึงได้มาฝึกยุทธ์ในถ้ำเช่นนี้รึ?"


เฉินเซียวเฟิงถามดู ก่อนเด็กหนุ่มจะชะงักไปเล็กน้อยแล้วตอบกลับมา


"ข้ามีความแค้นที่ต้องชำระอยู่.. เพื่อการนั้นข้าต้องการแข็งแกร่งขึ้น!"


เด็กหนุ่มพูดด้วยความเดือดดาลแววตาเต็มเปี่ยมด้วยความอาฆาต


"เช่นนี้เอง ข้าเองก็พอเข้าใจความรู้สึกนั่นอยู่นะหวังว่าน้องชายจะบรรลุเป้าหมายได้ล่ะ"


เฉินเซียวเฟิงยิ้มตอบและอวยพรให้เด็กหนุ่มโชคดีก่อนจะสังเกตุว่าฝนหยุดตกแล้ว


"ถึงเวลาที่ข้าควรไปแล้วสิ ถ้าเช่นนั้นไว้พบกันใหม่นะน้องชาย"


เฉินเซียวเฟิงบอกลาเด็กหนุ่มเตรียมไปนำขบวนเดินทางต่อ


"เดี่ยวก่อน.. ข้าขอทราบนามท่านหน่อยได้ไหม?"


เด็กหนุ่มร้องเรียกจนเฉินเซียวเฟิงชะงักก่อนจะหันกลับมามอง


"ข้าเฉินเฟิง.. เจ้าล่ะชื่ออะไรน้องชาย?"


เฉินเซียวเฟิงถามกลับไปบ้าง ก่อนเด็กหนุ่มจะยืนตัวตรงจ้องมองมาที่เฉินเซียวเฟิงด้วยความองอาจผิดกับเด็กหนุ่มทั่วไป


"ข้าตงฮั่ว.. ยินดีที่ได้รู้จักท่านเฉินเฟิง"


ตงฮั่วแนะนำตัวเองอย่างเรียบง่าย


"เช่นกันตงฮั่ว ไว้ครั้งหน้าเจ้าเลี้ยงข้าบ้างแล้วกันนะ ฮะๆ"


เฉินเซียวเฟิงหัวเราะเบาๆ ก่อนจะจากไปเรียกทหารเตรียมตัวเพื่อออกเดินทางไปที่ ด่านฉีกวน


[มอบไก่ขอทานให้ตงฮั่ว 1 ea]








←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
เตากำยาน
หน้ากากยักษา
ดาบไท่จี๋
ม้าขาว
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x3
x35
x44
x35
x10
x10
x11
x20
x15
x1
x15
x27
x60
x3
x7
x6
โพสต์ 2021-9-7 18:53:18 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Fenyue เมื่อ 2021-9-10 08:13


⌜ 6 ⌟

บทที่ 3
ลูกเสือในถ้ำเสือ
ฉากที่ 1


          เฟินเยว่ออกเดินทางแต่เช้าตรู่ด้วยความที่นางไม่รู้เส้นทางอาจจะต้องกะเวลาไว้มากหน่อยเผื่อหลงทาง ก่อนจะออกจากฉางอันนางลองถามเส้นทางจากพี่ ๆ ทหารยามดูแล้ว พวกเขาให้คำแนะนำว่าให้ออกไปทางประตูเมืองตะวันออก ผ่านด่านตงกวน เมืองหงหนง และด่านหานกู่กวน ตรงมาเรื่อย ๆ ก็จะถึงลั่วหยาง

          “แค่ตรงไปเรื่อย ๆ ก็ถึงแล้ว เดินทางปลอดภัยแม่นางน้อย”

          ลุงทหารยามคนหนึ่งกล่าวเอาไว้เช่นนั้น..

          และในตอนนี้เฟินเยว่ก็ควบม้ามาถึงเมืองหงหนงแล้วเป็นเวลาเที่ยงวันพอดี นางจึงหยุดพักม้าให้อาหารไป๋ไป๋และหาอะไรใส่ท้องของตัวเอง รู้สึกว่าตั้งแต่ออกเดินทางมานางจะมีอาหารกลางวันเพิ่มมาด้วยหนึ่งมื้อ ไม่คิดเลยว่าเพียงแค่ขี่ม้าจะทำให้ท้องหิวได้ถึงเพียงนี้ หลังจากพักพอหายเหนื่อยก็ไม่รีรอที่จะออกเดินทางต่อ

          อนิจจา.. สาวน้อยที่ออกเดินทางเพียงลำพังในครั้งแรกดูแผนที่ผิด แทนที่จะมุ่งหน้าต่อทางทิศตะวันออกแต่นางกลับขึ้นไปทิศเหนือจนถึงเมืองเหอตง

          “แปลกจัง นี่ด่านหานกู่กวนอย่างนั้นเหรอ?”

          นางคลี่แผนที่ออกมาดูอีกครั้งแต่สายตาไม่ได้มองกวาดไปยังด้านบนของเมืองหงหนงเลยแม้แต่น้อยจึงทำให้เข้าใจผิดเต็มเปา

          “ใช่แหล่ะเนอะ ถึงเป็นด่านแต่อาจจะหน้าตาเหมือนเมืองก็ได้”

          เด็กสาวเอ่ยกับม้า มันไม่แสดงท่าทีใด ๆ ส่วนหมูป่าก็เอาแต่นอนหลับอยู่ในตะกร้า

          “เอาล่ะ ไปกันต่อเถอะ”

          มือน้อย ๆ กุมบังเหียนม้าอีกครั้งแล้วมุ่งต่อไปด้านหน้ายังทิศทางที่เป็นจุดหมาย ทว่ายิ่งออกนอกเมืองที่คิดว่าเป็นด่านกลับเข้าเขตป่าเขามากกว่าจะเห็นความเจริญของเมืองหลวงใหม่ เฟินเยว่นึกเอะใจทว่ายังไม่หันหัวม้ากลับไปตอนนี้ นางไม่รู้ว่าลั่วหยางเป็นอย่างไร บางทีอาจเป็นเมืองใหญ่ในหุบเขา

          “ฮรี้!!!”

          จู่ ๆ ไป๋ไป๋ก็ร้องดังจนนางตกใจ แถมยังยกขาหน้าขึ้นอย่างกระทันทัน ความเร็วที่ควบมากอปรกับเส้นทางขรุขระทำให้ม้าเสียการทรงตัว

          “ปะ..ไป๋ไป๋ เป็นอะไ--...”

          ยังไม่ทันจะพูดจบภาพหุบเหวด้านหน้าก็ปรากฏแก่สายตา เบื้องหน้าเป็นทางขาดและนางก็กำลังจะร่วงลงไป

          “กรี๊ดดดดด!!”

          โครม!!!

          เฟินเยว่หลับตาปี๋ ภาพที่นางเห็นจึงมีเพียงแค่สีดำ ทว่ารู้สึกถึงแรงกระแทกซ้ายทีขวาทีจากกิ่งไม้ที่นางหล่นทับลงมา และความรู้สึกสุดท้ายคือความจุกอย่างรุนแรงเมื่อร่างร่วงหล่นลงมาถึงพื้น

          “โอย..”

          แม้แต่ส่งเสียงครางออกมายังทำไม่ไหว เมื่อลืมตาขึ้นมองภาพเบื้องหน้าก็พร่าเลือนไปหมด นางได้รับบาดเจ็บทว่าความรู้สึกมึนและชาเข้ามาแทนจนไม่ทันรู้สึกถึงความเจ็บปวด ภาพสุดท้ายก่อนจะหมดสติคือขาของใครบางคนที่กำลังเดินมาทางนี้...

.
.
.

          “เฮ้! เฮ้! แม่นางเจ้าได้ยินข้าหรือไม่?”

          เสียงบุรุษเพศดึงเด็กสาวให้กลับมามีสติอีกครั้งหนึ่ง ดวงตาสีน้ำค้างยามเช้าค่อย ๆ ปรือขึ้นมาพลางกะพริบถี่ปรับภาพพร่ามัวให้กระจ่างชัดยิ่งขึ้น ความมึนหายไปแล้วและเมื่อสติกลับมาครบความเจ็บปวดก็กลับคืนมาด้วย

          “โอ๊ย..จะ..เจ็บจัง”

          เฟินเยว่ยกมือขึ้นแตะที่ศีรษะที่ปวดร้าวแต่กลับสัมผัสถูกหลังมืออุ่น ๆ ของอีกคนแทน

          “ว้าย!”

          หลุดอุทานเสียงเล็กออกมาด้วยความตกใจ แต่ก็รีบปิดปากตัวเองไว้ ปกติแล้วนางไม่ใช่สตรีขี้โวยวายหากไม่มีเรื่องให้น่าตกใจจริง ๆ เฟินเยว่ช้อนสายตาขึ้นมองบุคคลตรงหน้าอีกครั้ง เขาเป็นเด็กหนุ่มร่างกายกำยำสมชายชาตรี คาดการณ์อายุน่าจะรุ่นราวคราวเดียวกันแต่ไม่ผอมแห้งแรงน้อยเหมือนคนในเมือง ในตอนนี้พวงแก้มนางเริ่มขึ้นสี ไม่รู้เป็นเพราะเลือดที่ไหลออกหัว หรือว่าขวยเขินที่ได้แตะตัวบุรุษคนอื่นที่ไม่ใช่พี่ชาย

          “ขออภัย.. เจ้าหัวแตกน่ะ กดเอาไว้ก่อนสิ”

          เมื่อเห็นว่าเด็กสาวน่าจะฟื้นสติมาได้แล้วบุรุษปริศนาก็ละมือออกแล้วบอกให้นางกดผ้าห้ามเลือดที่ศีรษะไว้แทน

          “ขะ.. ขอบคุณเจ้าค่ะ”

          เฟินเยว่รับผ้ามากดต่อ นางมองไปรอบ ๆ สถานที่แห่งนี้เป็นถ้ำ และนางก็กึ่งนั่งกึ่งนอนพิงผนังถ้ำอยู่โดยมีกองไฟเล็ก ๆ ให้ความอบอุ่นเพียงเท่านั้น เด็กสาวพยายามไล่เรียงความคิดในหัวว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ นางควบม้าไปลั่วหยาง ทว่ากลางทางจำต้องขึ้นเขาและเจอทางขาด และนางกับสรรพสัตว์ผู้ติดตามก็ร่วงลงมา

          “อ๊ะ! ไป๋ไป๋กับเปาเปาล่ะ!”

          เฟินเยว่โพลงขึ้นมาด้วยความร้อนใจ สำหึกตัวจะลุกขึ้นแต่ก็ปวดร้าวไปทั้งตัวจนลุกขึ้นไม่ไหว ได้แต่ชะเง้อคอมองออกไปนอกถ้ำด้วยสีหน้าร้อนรน

         “ไป๋ไป๋กับเปาเปา.. หมายถึงนี่เหรอ?”

          เด็กหนุ่มผู้นั้นหิ้วคอลูกหมูป่าขึ้นมาด้วยมือข้างเดียว ส่วนอีกมือกำมีดเตรียมเชือดหมู เขาไม่รู้ว่านี่คือไป๋ไป๋หรือเปาเปา แต่สำหรับเด็กหนุ่มเขาเรียกมันว่า 'อาหาร'

          “อู๊ดดดดด!!”

          เปาเปาดิ้นทุรนทุราย ขาสั้น ๆ ปัดป่ายไปมาด้านหน้าสุดชีวิต แต่ถึงอย่างไรก็ออกไปจากเงื้อมือของมัจจุราชไม่ได้

         “ว้าย!! หยุดก่อนเจ้าค่ะ นั่นคือสหายของข้าเอง”

          เด็กสาวรีบร้องห้าม ดวงตาเบิกโตด้วยความตกใจ จะลุกไปรับเปาเปามาก็ไม่มีปัญญา ได้แต่เพียงห้ามด้วยวาจาเท่านั้น หนุ่มผู้นั้นเบนสายตามองไปที่ลูกหมูป่าอีกครั้ง แววตาเจือความลังเล

          “แต่ข้าหิวนี่ แถมเจ้านี่เนื้อเยอะน่าจะกินได้หลายมื้อ”

          “มะ..ไม่ได้นะเจ้าคะ ข้าขอร้องล่ะ ในกระเป๋ายังมีเสบียงอยู่อีกหากท่านหิวจะทานของในกระเป๋าข้าก่อนก็ได้”

          “งั้นเหรอ..” เด็กหนุ่มกลอกตาคิด ก่อนจะเก็บมีดแล้วปล่อยหมูป่าลง เมื่อได้รับอิสระเปาเปาก็รับเข้ามามุดหลังเฟินเยว่ “เจ้าบอกแล้วนะ เพราะฉะนั้นไม่ถือว่าข้าลักขโมย”

          “เจ้าค่ะ..”

          หลังรับคำแล้วหนุ่มผู้นั้นก็เปิดกระเป๋าสัมภาระของเด็กสาว เขาคงหยิบเข้ามาด้วยหลังจากที่มันกระเด็นกระดอนไปคนละทิศละทาง สีหน้าบุรุษค่อนข้างตกตะลึงเมื่อพบสิ่งของด้านใน

          “นี่เจ้าย้ายบ้านอย่างนั้นเหรอ..”

          เขากล่าวออกมาคล้ายกับพึมพำกับตนเองมากกว่าต้องการคำตอบ เฟินเยว่ได้แต่หัวเราะแห้ง อาจจะจริงก็ได้เพราะตอนนี้นางไม่มีบ้านให้พักอาศัยแล้วจึงขนเอาข้าวของเครื่องใช้จำเป็นติดตัวมาเยอะ และสิ่งที่เด็กสาวคิดว่าจำเป็นคือเรื่องปากท้อง ดังนั้นนางจึงพกจานชามหม้อไหกระทะมาเต็มที่ เท่าที่มองดูเด็กหนุ่มผู้นั้นนำมันออกมาแล้วน่าจะไม่ได้รับความเสียหายตอนตกกระแทก

          “เอ่อ.. พอจะเห็นม้าของข้าหรือไม่เจ้าคะ?”

          เด็กสาวถามเสียงแผ่วเบาริมฝีปากเม้มแน่นสนิท เท่าที่กวาดสายตาดูไม่มีวี่แววของไป๋ไป๋ในถ้ำเลย หวังว่ามันจะไม่เป็นอะไรไม่อย่างนั้นนางคงกลับไปมองหน้าเถ้าแก่เนี้ยหมีไม่ติด

          “ม้าอยู่นอกถ้ำ มันบาดเจ็บไม่มากแต่คงวิ่งไม่ได้สักพัก”

          ได้ยินคำตอบเด็กสาวก็โล่งใจ น่าจะเป็นเพราะกิ่งไม้ที่ช่วยลดแรงกระแทกให้ไม่บาดเจ็บหนัก ทว่านางก็ไม่รู้ว่าบาดเจ็บไม่มากที่ชายหนุ่มว่าหมายถึงเท่าไหน

          “งั้นเหรอ ดีจัง แต่ว่าแบบนี้..”

          “คงเดินทางไม่ได้สักระยะนั่นแหล่ะ”

          คำตอบของเด็กหนุ่มทำให้เฟินเยว่ใจเสีย ทั้งการเดินทางตามหาพี่ชายต้องหยุดชะงักลงชั่วคราว แต่นั่นยังไม่แย่เท่ากับไปการนำอาหารไปส่งไม่ทัน แบบนี้พี่ชายของเถ้าแก่หวังจะเป็นอย่างไร และเขาจะคิดว่านางเป็นขโมยไหม ความคิดเหล่านั้นทำให้เด็กสาวเป็นกังวล หากเข้าฉางอันไปอีกครั้งแล้วเห็นป้ายแปะประกาศรายชื่อหัวขโมยมีรายนามของ ซุนเฟินเยว่ นางคงไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน

          อีกอย่างหนึ่ง.. หากว่าเดินทางต่อไปไม่ได้สักระยะหมายความว่านางจำต้องพักอาศัยร่วมชายคาเดียวกันกับบุรุษที่ไม่คุ้นหน้ากันสองต่อสองอย่างนั้นหรือ เพียงแค่คิดก็แทบจะเป็นลมสลบไปอีกรอบหนึ่ง

          “ไก่ขอทานอีกแล้วงั้นเหรอ.. อาหารยอดนิยมในต้าฮั่นหรืออย่างไรนะ”

          เสียงเด็กหนุ่มบ่นเปาะ แต่ท่าทางเขาไม่ได้รังเกียจอาหารรายการนี้ แต่นั่นก็พอจะทำให้เฟินเยว่รู้ได้ว่าเคยมีคนเดินทางมาที่นี่และมอบไก่ขอทานให้แก่เขา

          “ทานได้หรือเปล่าเจ้าคะ หากไม่ได้ข้าจะทำอาหารอื่นให้”

          “ไม่ ๆ เจ้าน่ะนอนไปเถอะ”

          เขารีบปรามเมื่อเห็นว่าเด็กสาวที่กำลังบาดเจ็บพยายามจะลุกขึ้นมาหุงหาอาหารให้ เมื่อได้ยินดังนั้นก็จำต้องพิงผนังถ้ำลงไปตามเดิม

          “ข้า.. ซุนเฟินเยว่นะเจ้าคะ” ไหน ๆ น่าจะต้องพักอาศัยอยู่ที่นี่กับเขาแล้วก็ควรจะรู้จักกันไว้บ้าง อย่างน้อยจะได้เรียกชื่อกันถูก “ขอโทษด้วยนะเจ้าคะที่มารบกวน แล้วก็.. ขอบพระคุณเจ้าค่ะที่ช่วยชีวิตข้าเอาไว้”

          บุรุษถ้ำฉีกไก่ขอทานกินอย่างเอร็ดอร่อย เขากลืนเนื้อคำโตลงคอก่อนจะแนะนำตัวตามธรรมชาติอย่างเลี่ยงไม่ได้

          “ข้า ซู เสวียนจิน เจ้าบาดเจ็บอยู่ข้าไม่ถือสาหรอก”

          ซู ตงฮั่ว หรือนามรอง เสวียนจิน เป็นคนรักสันโดษ ไม่ชอบพูดจาสุงสิงกับผู้คน แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ อีกอย่างเขาคงใจร้ายไส้ระกำขับไล่สตรีที่กำลังตกยากออกจากถิ่นฐานไม่ลง

          แม้จะได้คำตอบแบบนั้น แต่เฟินเยว่ก็คิดว่าตนเองไม่ควรที่จะรบกวนอีกฝ่ายมากเกินไปหรือทำอะไรเป็นการรบกวนเนื่องด้วยยังไม่รู้จักนิสัยกันดี เด็กสาวจึงพยายามเจียมเนื้อเจียมตัวมากกว่าเก่า สายตาลอบมองบุรุษที่กำลังเพลิดเพลินกับเนื้อไก่จนใกล้หมด อย่างน้อยความประทับใจแรกก็เป็นเชิงบวก เพราะว่าเขาช่วยนางเอาไว้ทั้งที่เลือกจะไม่แยแสปล่อยให้ตายกลางป่าแล้วชิงทรัพย์ไปก็ได้ นั่นก็แปลว่าเขาน่าจะเป็นคนดี ต่อให้ดีจริงหรือไม่นางก็เลือกจะเชื่ออย่างนั้นเอาไว้ก่อน

          “หืม.. เจ้าเองก็คงหิวสินะ”

          เห็นเด็กสาวมองมาลูกผู้ชายอย่างตงฮั่วก็มีน้ำใจที่จะแบ่งปันให้ เขาบิเนื้อไก่ส่วนที่ยังเหลือใส่จานกระเบื้องแล้วเลื่อนออกมาให้นาง เฟินเยว่นิ่งอึ้งไปสักพักก่อนที่นางจะหัวเราะขำออกมา

          “ไม่หรอกเจ้าค่ะ ข้าเพิ่งทานอาหารมา.. แต่ถ้าไว้วานสักนิดจะได้หรือไม่เจ้าคะ?”

          “อะไรล่ะ?”

          ตงฮั่วเลิกคิ้วขึ้นถาม

          “ในกระเป๋าข้ามีป้ายบรรพบุรุษอยู่สามป้ายกับม้วนคำภีร์ รบกวนคุณชายซูช่วยหยิบมาให้ข้าหน่อยได้หรือเปล่าเจ้าคะ”

          พูดไปก็เกรงใจ คิดไว้ว่าจะเจียมเนื้อเจียมตัวแต่ก็รบกวนเข้าอีกแล้ว

          “ของพวกนี้น่ะเหรอ?”

          ตงฮั่วเช็ดมือกับผ้าหยาบ ๆ ก่อนจะหาของในกระเป๋าและส่งของที่นางต้องการมาให้

          “ขอบพระคุณเจ้าค่ะ”

          เฟินเยว่รับของทั้งหมดมา ตั้งแผ่นป้ายชื่อบิดา มารดา และแม่บ้านเฒ่าที่เคยเลี้ยงดู ก่อนจะวางเนื้อไก่ที่ถูกแบ่งไว้ที่หน้าแผ่นป้ายทั้งสาม แล้วหลับตาภาวนา ขอให้เทพเจ้าคุ้มครองให้การเดินทางครั้งนี้ปลอดภัย รวมถึงขอพรให้ช่วยปกปักรักษาพี่ชายทั้งสองของนาง อวยพรให้ร้านหมีฟ่านกว่าน และที่สำคัญคือนางยังขอพรเผื่อบุรุษที่เพิ่งเจอกันในถ้ำแห่งนี้ด้วย

          ตงฮั่วมองการกระทำของเด็กสาวแล้วก็ได้แต่เลิกคิ้วฉงน แทนที่จะทานอาหารเองแต่กลับนำไปเซ่นไหว้บรรพบุรุษก่อนเป็นอันดับแรก ซึ่งตามหลักความเชื่อแล้วการกระทำของนางเป็นสิ่งดีงาม เขามองภาพนั้นแล้วก็หลุดยิ้มออกมา

.
.
.

          หลังจัดการกับอาหารหมดตงฮั่วก็ขยับเข้ามาดูอาการ ผ่านไปหลายชั่วยามเลือดที่ศีรษะน่าจะหยุดไหลแล้ว

          “เอามือออก ขอข้าดูหน่อย”

          “เอ๋.. จะ..เจ้าค่ะ”

          เขาว่าอย่างไรนางก็ทำตามอย่างว่าง่าย แม้จะทำตัวไม่ถูกอยู่บ้างเมื่อต้องเข้าใกล้บุรุษอีกครั้ง ผ้าในมือชุ่มโชกไปด้วยเลือดที่เริ่มแห้งกรัง สังเกตดี ๆ ผ้าผืนนั้นมาจากชายแขนเสื้อของนางเอง ตงฮั่วน่าจะฉีกออกมาซับเลือดตอนที่นางไม่ได้สติ แม้เสื้อผ้าจะขาดไปแต่นางไม่ว่าอะไร ของแบบนี้แค่ซ่อมแซมก็เอากลับมาใช้ใหม่ได้ เพียงแค่ว่าคราบเลือดนั้นจะซักออกยากหน่อย

          มือของบุรุษจับแหวกเกศา เด็กสาวทำตัวไม่ถูกได้แต่ตัวเกร็งหลับตาปี๋ใบหน้าร้อนวูบวาบ

          “เลือดหยุดแล้ว แต่ยังไม่สนิทดี ไม่ต้องกดห้ามเลือดแล้วก็ได้ แต่ว่าต้องหาผ้ามาโพกศีรษะ”

          “จะ.. เจ้าค่ะ”

          เฟินเยว่ยื่นแขนเสื้ออีกข้างให้โดยไม่เปิดตามอง ให้เขาฉีกเอาจากตรงนั้นแหล่ะจะได้ขาดสองข้างอย่างเท่าเทียม นางไม่เห็นภาพอะไรนอกจากเสียงหัวเราะของบุรุษและเสียงผ้าขาดแควก ตามมาด้วยสัมผัสแผ่วเบาบนศีรษะ ถึงเด็กหนุ่มจะพยายามเบามือแค่ไหนแต่แรงสะเทือนก็เผลอทำให้เด็กสาวส่งเสียงแปลกประหลาดฟังไม่ได้ศัพท์ในลำคอ

          “เสร็จ..”

          เมื่อปฐมพยาบาลเสร็จเรียบร้อยตงฮัวก็รีบกระโดดผึงออกไปยังฝั่งตรงกันข้ามห่างไกลหลายวา ลืมตาขึ้นมาเฟินเยว่ก็เห็นเขานั่งชิดกับผนังถ้ำฝั่งตรงกันข้ามแล้ว

          “ขอบคุณเจ้าค่ะคุณชายซู”

          นางเพิ่มน้ำเสียงให้ดังขึ้นเพื่อให้คนอยู่ไกลได้ยินแต่ก็ไร้ข้อความตอบกลับ ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะได้ยินหรือไม่ จะขอบคุณอีกครั้งแต่ตงฮั่วก็เอนตัวลงนอนเสียก่อนจึงยั้งปากเอาไว้ไม่อยากรบกวน

          ราตรีร่วงโรยเข้ามา เหลือแต่เพียงแสงจากกองไฟเท่านั้นที่ยังส่องสว่าง เฟินเยว่ครุ่นคิดว่าจากนี้ควรจะทำเช่นไรต่อไป จนกระทั่งนางม่อยหลับไปด้วยความอ่อนเพลีย


.
.
.



ลักษณะนิสัยเห็นอกเห็นใจ
+20 EXP ทุกครั้งที่โรลเห็นอกเห็นใจช่วยเหลือผู้อื่น หรือ ทำงานช่วยเหลือ

[152] มอบ ไก่ขอทาน ให้ ซู ตงฮั่ว

เปิดใช้ โองการฟ้า




←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
พยัคฆ์ตงเทียน
หยกเชื่อมสัมพันธ์
พู่กันเหวิ่นเซ่า
ถุงหอมจูอวี๋
กลยุทธ์เล่ออี้
บทเพลงยิ้มเย้ยยุทธจักร
หน้ากากขาว
เกราะเกล็ดมังกร
ผ้าคลุมไท่หลง
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x40
x32
x1
x439
x500
x73
x500
x26
x498
x500
x10
x2
x9
x1
x400
x1
x1
x5
x28
x8
x591
x228
x228
x500
x2514
x18
x14
x1
x5
x1
x2
x100
x5
x50
x100
x3
x3
x10
x2
x47
x64
x6
x9
x2
x71
x1
x24
x95
x50
x86
x150
x260
x150
x150
x46
x46
x2
x2
x6
x2
x2
x34
x4
x1
x8
x1
x2
x7
x5
x8
x7
x110
x7
x74
x45
x3
x30
x63
x74
x79
x2
x71
x68
x6
x45
x50
x160
x316
x3
x220
x48
x35
x168
x12
x10
x25
x1
x13
x6
x4
x6
โพสต์ 2021-9-8 08:46:01 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Fenyue เมื่อ 2021-9-10 08:14


⌜ 7 ⌟

บทที่ 3
ลูกเสือในถ้ำเสือ
ฉากที่ 2


             แม้บาดเจ็บทว่าเด็กสาวผู้ขันแข็งก็ยังคงตื่นเช้าเช่นเดิม เมื่อได้สติความเจ็บปวดก็จู่โจมเข้าสู่ร่างกายอีกครั้งและตอนนี้นางรู้สึกปวดระบมทั่วทั้งร่างยิ่งกว่าเมื่อวาน ลมหายใจสีขาวพรั่งพรูออกมาเป็นละอองสาย เฟินเยว่แตะมือที่หน้าผากของตนเองก็รู้สึกถึงไอร้อนผ่าวบนผิวเนื้อ ประเดี๋ยวก็รู้สึกร้อนสลับหนาวจนตัวสั่น แต่นั่นไม่ใช่ข้ออ้างที่จะมานอนขดแทนที่จะลุกขึ้นมาหุงหาอาหาร

             เฟินเยว่ฝืนร่างกายยันตัวลุกขึ้นก็พบว่ามีเสื้อผ้าของตนเองอีกชุดคลุมร่างแทนผ้าห่ม หากจำไม่ผิดก่อนนอนนางไม่ได้นำสิ่งใดออกจากกระเป๋านอกเสียจากแผ่นป้ายบูชาที่ออกมากราบกรานอย่างเช่นทุกวัน เพราะฉะนั้นนี่อาจจะเป็นความหวังดีจากอีกหนึ่งคนที่อาศัยใต้ร่มเงาของถ้ำหินที่เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่มาให้ นางขยับยิ้มบางมองไปทางเด็กหนุ่มที่นอนกอดอกอยู่อีกฟากหนึ่ง

             “ขอบคุณนะเจ้าคะคุณชายซู..”

             ขยับริมฝีปากเอื้อนเอ่ยคำขอบคุณแผ่วเบาด้วยเกรงจะรบกวนคนนอน เอาไว้เมื่อเขาตื่นค่อยพูดขอบคุณอีกหนก็ยังไม่สาย

             ได้เวลาเตรียมอาหารเช้า สำหรับนางที่รู้สึกปวดเนื้อตัวไปทั่วจนไม่เกิดความรู้สึกอยากอาหาร ได้ทานข้าวต้มเพียงสองสามคำก็เพียงพอ แต่สำหรับเด็กหนุ่มที่ทานไก่ขอทานหนึ่งตัวหมดในเวลารวดเร็วแล้ว คาดคะเนไว้ว่าน่าจะเป็นคนกินจุ ทำเพียงข้าวต้มกับอาหารแห้งจะเพียงพอหรือไม่นะ

             เด็กสาวเดินกะเผลกไปที่กระเป๋าสัมภาระ ข้าง ๆ กันนั้นมีข้าวสารของเถ้าแก่หวังที่ให้มาด้วย ข้าวสารจำนวนหกถุงเกินพอสำหรับข้าวห่อใบบัว และมากเกินไปเสียด้วยซ้ำจนนางไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงให้มามากมาย เอาเป็นว่าในสถานการณ์ฉุกเฉินแบบนี้ขอใช้ข้าวสารมาหุงก่อนสักถุงแล้วค่อยซื้อใช้คืน

             ในถ้ำมีแหล่งน้ำเล็ก ๆ ที่ใสสะอาดสามารถนำน้ำเหล่านั้นมาต้มประกอบอาหารได้เพราะเป็นน้ำไหลไม่ใช่น้ำนิ่ง ปกติอยู่บ้านต้องไปตักน้ำในบ่อเป็นถัง ๆ มาบริโภคเองทุกวันอย่างขันแข็ง ทว่าวันนี้เพียงแค่ตักน้ำใส่หม้อยังมือสั่นทำมันหกกระฉอกเรี่ยราดตามทาง บางส่วนก็เปียกเสื้อผ้าจนชุ่ม รู้สึกไม่มีแรงเลยแต่ก็หอบหิ้วหม้อใส่น้ำมาตั้งไฟจนได้ ใส่ข้าวสารลงไปมากกว่าทุกครั้งที่หุงทานคนเดียวแล้วออกแรงคนเรื่อย ๆ ไม่ให้มันติดหม้อ

             เสียงก๊อกแก๊กยามเช้าปลุกให้เด็กหนุ่มตื่นขึ้น เขาลุกขึ้นบิดขี้เกียจซ้ายทีขวาทีพลางหาวหวอด ๆ ท่าทีเหมือนยังไม่ตื่นเต็มตา น่าจะยังไม่ถึงเวลาปกติที่ตื่นนอน ตงฮั่วขยี้ตามองไปยังต้นเสียงเห็นเด็กสาวกำลังลงมือทำอาหารอยู่กลางถ้ำ

             “นั่นเจ้าทำอะไร?”

             ตงฮั่วเอ่ยถามไปทั้งที่ทราบคำตอบอยู่แล้ว

             “อรุณสวัสดิ์เจ้าค่ะคุณชายซู..” เอ่ยทักเสียงแหบแห้งจนต้องกระแอมไอไล่เสลด “ข้ากำลังทำข้าวต้มอยู่น่ะเจ้าค่ะ มีเนื้อรมควันและไข่เค็มด้วย ท่านพอจะทานได้หรือเปล่าเจ้าคะ” ประโยคถัดมาน้ำเสียงดีขึ้นทว่ายังแหบพร่าอยู่ คนได้ฟังถึงกับคิ้วขมวด

             “ไม่ต้องลุกขึ้นมาทำก็ได้นี่ ฝืนตัวเองเปล่า ๆ”

             “แต่.. ข้าไม่ได้ฝืนอะไรนี่เจ้าคะ”

             ได้ยินแล้วเด็กสาวก็ส่ายหน้า เคยมีคนทักนางว่า ‘ฝินตัว’ มาหลายครัง แต่สำหรับเฟินเยว่แล้ว คำว่า ‘ฝืน’ คืออะไรนางไม่รู้จัก รู้แค่ว่าสิ่งที่นางทำอยู่คือเรื่องปกติที่จำเป็นต้องกระทำเป็นกิจวัตรไม่ว่าร่างกายแม้ว่าจะอ่อนแอหรือเหนื่อยล้าเพียงไหน มิเช่นนั้นแล้วใครเล่าจะทำ จะให้ตงฮั่วคอยดูแลไปตลอดก็ไม่ใช่เรื่อง นางไม่อยากเป็นภาระของคนแปลกหน้าแม้ว่าเขาจะเต็มใจช่วยหรือไม่ก็ตาม

             เด็กหนุ่มหรี่ตามองอย่างไม่เชื่อสายตากระนั้นเขาก็ไม่ได้แย้งอะไรนาง เพราะถึงแย้งไปก็เป็นการโต้เถียงที่ไม่เกิดประโยชน์อันใดอีก ตงฮั่วลุกไปยังที่ต้นน้ำแล้วล้างหน้าล้างตาของเขาให้สะอาด เดินมาดูอีกทีข้าวต้มในหม้อก็บานได้ที่จวนจะเสร็จแล้ว เขาดูจะสนใจอาหารในหม้อเป็นพิเศษเนื่องด้วยไม่ได้ทานอาหารปรุงสุกใหม่ ๆ มาเป็นเวลานานแม้ว่านั่นจะเป็นเพียงแค่ข้าวต้มง่าย ๆ ก็ตาม

             “หิวหรือยังเจ้าคะคุณชายซู ท่านจะทานอาหารเช้าเลยไหมเจ้าคะ?”

             “ถ้าทำเสร็จแล้วกินเลยก็ได้”

             เมื่อชายหนุ่มตอบกลับเด็กสาวก็จัดแจงตักข้าวต้มใส่ชามกระเบื้องแล้วยื่นให้เขา กับแกล้มมีเพียงแค่ไข่เค็มและเนื้อรมควันเพียงสองอย่าง ทว่ายังจัดเรียงใส่จานอย่างสวยงามตามวิสัยของเสี่ยวเอ้อร์ คิดถูกจริง ๆ ที่นำจานชามมาด้วย แม้ไม่เคยคิดว่าจะได้นำมาใช้ประกอบอาหารกลางป่าจริง ๆ

             “ข้าวต้มมีเยอะ คุณชายซูเติมอีกเยอะ ๆ ก็ได้นะเจ้าคะ”

             เฟินเยว่ว่าพลางก็ตักข้าวต้มใส่ชามตนเองบ้าง พุ้ยข้าวเข้าปากเพียงสามคำก็วางตะเกียบลง ทานอะไรไม่ลง ไม่รู้รส แม้แต่กับก็ไม่อยากทาน ตรงกันข้ามกับตงฮั่วที่ทานเอา ๆ แม้ว่าอาหารจะไม่ได้เลิศหรูระดับภัตตาคาร เขาเห็นเด็กสาวซึมไปจึงเปลี่ยนความสนใจไปที่บุคคล เห็นนางใบหน้าซีดเผือดนั่งตัวโอนไปเอนมา วันที่สองแผลจะอักเสบ ไข้คงขึ้นเต็มที่

             “ไม่ไหวก็นอนพักก่อน”

             “ข้ายัง.. ไม่ได้ให้อาหารเปา...กับไป๋...เล--..”

             น้ำเสียงคนป่วยยานคางจนฟังแทบไม่รู้เรื่อง แต่เด็กหนุ่มก็พอจะจับใจความได้ เขาไม่รู้ตัวตัวไหนคือเปาตัวไหนคือไป๋แต่นั่นหมายถึงหมูป่าและม้าของนางอย่างแน่นอน

             “ข้าจะช่วยดูแลให้ ส่วนเจ้าพักผ่อนซะ”

             ตงฮั่วหยิบถ้วยข้าวมาจากมือนางแล้วใช้สายตาบังคับให้นอนลง ตอนนี้เฟินเยว่คิดสิ่งใดไม่ออกแล้วนางจึงทำได้เพียงแต่เอนตัวลงนอนแล้วดึงชุดคลุมมาห่อตัวโดยมีลูกหมูมาเข้ามาซุกให้ความอบอุ่นอยู่ข้างกาย


.
.
.





ลักษณะนิสัยเห็นอกเห็นใจ
+20 EXP ทุกครั้งที่โรลเห็นอกเห็นใจช่วยเหลือผู้อื่น หรือ ทำงานช่วยเหลือ




←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
พยัคฆ์ตงเทียน
หยกเชื่อมสัมพันธ์
พู่กันเหวิ่นเซ่า
ถุงหอมจูอวี๋
กลยุทธ์เล่ออี้
บทเพลงยิ้มเย้ยยุทธจักร
หน้ากากขาว
เกราะเกล็ดมังกร
ผ้าคลุมไท่หลง
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x40
x32
x1
x439
x500
x73
x500
x26
x498
x500
x10
x2
x9
x1
x400
x1
x1
x5
x28
x8
x591
x228
x228
x500
x2514
x18
x14
x1
x5
x1
x2
x100
x5
x50
x100
x3
x3
x10
x2
x47
x64
x6
x9
x2
x71
x1
x24
x95
x50
x86
x150
x260
x150
x150
x46
x46
x2
x2
x6
x2
x2
x34
x4
x1
x8
x1
x2
x7
x5
x8
x7
x110
x7
x74
x45
x3
x30
x63
x74
x79
x2
x71
x68
x6
x45
x50
x160
x316
x3
x220
x48
x35
x168
x12
x10
x25
x1
x13
x6
x4
x6
โพสต์ 2021-9-8 23:51:25 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Fenyue เมื่อ 2021-9-10 08:15



⌜ 8 ⌟

บทที่ 3
ลูกเสือในถ้ำเสือ
ฉากที่ 3


             ตื่นขึ้นมาอีกครั้งดวงตะวันก็เคลื่อนคล้อยลอยต่ำใกล้เข้าสู่ช่วงเย็น เฟินเยว่รีบลุกขึ้นมาหันซ้ายแลขวาทว่าไร้เงาของตงฮั่วภายในถ้ำ มีแต่เพียงเสียงกีบเท้าลูกหมูกระโดดโลดเต้นไล้จับผีเสื้อ เขาจากไปแล้วอย่างนั้นหรือ? เมื่อไม่เห็นเด็กหนุ่มภายในกรอบสายตานางจึงเดินตามหาจนทั่ว สัมภาระบางส่วนของบุรุษยังคงอยู่ที่นี่ทว่าคันธนูและลูกศรของเฟินเยว่กลับหายไปแทน

             “คุณชายซูไปไหนกันนะ”

             หลังจากที่ได้พักผ่อนอย่างเต็มอิ่มมาหลายชั่วยาม พิษไข้ก็ทุเลาเบาลงแต่แลกมาด้วยเสื้อผ้าที่เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ อาการบาดเจ็บยังคงหลงเหลืออยู่บ้างนับว่าฟื้นตัวดีกว่าที่คิดเอาไว้มาก ตอนนี้รู้สึกเหนียวตัวไม่ใช่น้อย หากได้เช็ดตัวผลัดผ้าเป็นชุดใหม่ก็น่าจะดี เฟินเยว่จึงใช้โอกาสที่เด็กหนุ่มไม่อยู่นี้ชำระร่างกาย ฮันฝูสีฟ้าอ่อนปักระบายด้วยดิ้นเงินเป็นลวดลายดอกโบตั๋นฝีมือตนเองถูกสวมใส่แทนที่ชุดเก่าที่ชายแขนเสื้อทั้งสองข้างขาดวิ่น นางยังไม่กล้าถอดผ้าพันแผลที่ศีรษะออก แม้ผ่านมาหลายชั่วยามเลือดน่าจะแห้งสนิทแล้วก็ตาม

             เดินออกไปดูที่หน้าถ้ำเห็นไป๋ไป๋นอนอยู่ข้างกองหญ้าที่ถูกตัดมาให้เป็นอาหาร บนผิวหนังของอาชาขาวเต็มไปด้วยบาดแผลรอยขีดข่วนของกิ่งไม้ เฟินเยว่เห็นสภาพดังกล่าวก็นิ่วหน้าเจ็บปวดแทนจึงเดินเข้าไปลูบที่ศีรษะม้าเบา ๆ

             “ข้าขอโทษนะที่ขี่เจ้าไม่ระวัง”

             ไป๋ไป๋ไม่ตอบอะไร มีเพียงแค่เสียงหายใจของสัตว์ใหญ่ในจังหวะปกติ มันถูหน้าซุกอุ้งมือนุ่มแทนคำพูด ราวกับอยากจะบอกว่า ‘เจ็บนิดหน่อยแต่ไม่เป็นอะไรหรอก’ ก่อนที่จะลุกขึ้นยืนเต็มสี่ขา ทว่าขาหลังยังกะเผลกอยู่เล็กน้อย สงสัยว่าเมื่อเดินทางไปถึงลั่วหยางคงต้องขอให้คอกม้าประจำเมืองช่วยรักษาดูแล

             “อาการดีขึ้นแล้วเหรอ?”

             เสียงทักถามดังมาจากด้านหลัง และเมื่อผินใบหน้ากลับไปมองก็เห็นร่างของเด็กหนุ่มเจ้าของถ้ำเดินออกมาจากพงหญ้า บนบ่าแบกตะกร้าของนางที่ในนั้นบรรจุพืชผักที่เก็บมาได้จากชายป่า ในมือหนึ่งข้างถือธนูของนาง ส่วนอีกข้างหิ้วชิ้นเนื้อของสัตว์บางอย่างที่ถูกแล่ออกมาจากการล่า เนื้อตัวของตงฮั่วเลอะเทอะมอมแมมและเต็มไปด้วยคราบเลือด ทำเอาเฟินเยว่ตกใจเมื่อเห็นเขาในสภาพเช่นนี้ เด็กสาวอ้าปากพะงาบ ๆ อยากจะเอ่ยถามว่า ‘บาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า’ แต่ก็พูดไม่ออก อีกฝ่ายคงตีความสีหน้านั้นได้จึงชิงตอบมาเอง

             “เนื้อกวางน่ะ แล้วนี่ก็ไม่ใช่เลือดข้า”

             “กวางเหรอ.. กวางนี่เอง” เฟินเยว่ลูบอกตัวเองปอย ๆ ในเมื่อบุรุษชิงบอกแล้วว่าเขาไม่เป็นอะไรนางก็ยิ้มหวานให้ “แหะ ๆ”

             เด็กหนุ่มเมินเสียงหัวเราะแห้งแล้วเดินหายกลับเข้าไปในถ้ำแล้ววางทุกอย่างลงใกล้กองไฟ เฟินเยว่เดินตามเขาเข้าไป วัตถุดิบที่ตงฮั่วล่ามานำมาทำอาหารดี ๆ ได้หนึ่งมื้อ และอาหารที่นางนึกออกมาเป็นรายการแรกก็คือหม้อไฟมองโกล เนื้อที่ล่ามามีค่อนข้างมาก ไม่น่าจะรับประทานวันเดียวหมด เนื้อพวกนี้เก็บไว้นานเกินไปไม่ค่อยดี ควรแบ่งบางส่วนเอาถนอมอาหารอย่างการตากแห้ง

             “วัตถุดิบเยอะแยะเชียวเจ้าค่ะ ถ้าอย่างไร.. เย็นนี้ทานหม้อไฟกันดีหรือไม่เจ้าคะ?”

             “หม้อไฟอย่างนั้นเหรอ!”

             เด็กหนุ่มหันขวับดวงตาเป็นประกาย หม้อไฟคือหนึ่งในอาหารโปรดที่เขาไม่ได้ลิ้มชิมรสมานาน เพียงได้ยินชื่อก็รู้สึกโหยหาจนท้องร้องครืด ๆ

             “อุ๊ย..” เฟินเยว่รีบยกมือขึ้นปิดปากกลั้นเสียงอุทานที่หลุดออกมา สายตาเลื่อนมองไปที่เด็กหนุ่มอีกครั้งรู้สึกไม่ชินกับสภาพสมบุกสมบันของอีกฝ่ายเลย “ถ้าอย่างไร คุณชายซูไปทำความสะอาดเนื้อตัวก่อนดีหรือไม่เจ้าคะ”

             “ทำความสะอาด?” ตงฮั่วมองสภาพตัวเองไล่ลงไปจนถึงปลายเท้า เขาแทบจะไม่รู้ตัวเลยว่าตนเองชุ่มเลือดแค่ไหน “เช่นนั้นเดี๋ยวข้ามา”

             เด็กหนุ่มเดินหายไปทางต้นน้ำทิ้งให้นางอยู่ตรงนี้เพียงลำพัง เด็กสาวจึงถลกแขนเสื้อขึ้นเพื่อจัดเตรียมอาหารเย็น โดยใช้น้ำที่ตักมาทำความสะอาดวัตถุดิบจนสะอาดก่อนเริ่มปรุง

             การทำหม้อไฟนั้นไม่ยาก อันดับแรกก็ต้องจัดเตรียมเนื้อสัตว์ เฟินเยว่แล่เนื้อกวางออกเป็นแผ่นบาง ๆ ขนาดพอดีคำ เพื่อให้ได้รสสัมผัสที่นุ่มลิ้นและชุ่มลิ้นมากที่สุด อันดับสองคือเตรียมน้ำแกงสำหรับหม้อไฟ นางเลือกที่จะใส่เครื่องเทศนานาชนิดและเครื่องยาลงไปเพื่อช่วยดับกลิ่นคาวของกวาง และวัตถุดิบสำคัญคือน้ำมันพริกหมาล่าที่ให้รสเผ็ดซ่าตัดเลี่ยนได้ดี ทานแกล้มกับผักต้มที่เก็บมาเพื่อให้ได้สารอาหารที่ครบถ้วน

             การเตรียมการเบื้องต้นเสร็จเรียบร้อย น้ำแกงมองโกลกำลังเดือดปุด ส่งกลิ่นหอมฉุยไปทั่วทั้งถ้ำ แม้แต่ลูกหมูป่ายังมาเกาะแข้งเกาะขาชะเง้อคอมอง ไม่เพียงแค่หมู แม้แต่คนก็รีบตามมาด้วยทนฟ้าร้องในท้องของตนไม่ไหว ตงฮั่วชำระร่างกายของเขาไปแล้วส่วนหนึ่งแต่ยังใส่ชุดเดิมอยู่ ดูท่าแล้วน่าจะไม่มีชุดใหม่เปลี่ยน เห็นแบบนี้นางก็อยากจะแบ่งเสื้อผ้าชุดสวยให้เด็กหนุ่มได้ใส่สบายตัว ติดแต่ว่ามันเป็นชุดสตรีที่ปักระบายลวดลายน่ารักเอาไว้เขาต้องไม่ยอมใส่แน่ ๆ

             “แดงจัง”

             เขาผงะไปเล็กน้อยเมื่อเห็นสีน้ำซุปแดงฉานจากสีของหมาล่า เฟินเยว่ไม่ทราบว่าเดิมทีอีกฝ่ายมีภูมิลำเนามาจากไหน แต่ส่วนมากชายเหลียงโจวก็ทานเผ็ดเช่นนี้กันเป็นประจำ

             “อุ๊ย! ประทานโทษเจ้าค่ะ ข้าลืมคิดไปเสียสนิทว่าท่านอาจจะทานรสเผ็ดไม่ได้” เด็กสาวเม้มริมฝีปากแน่น สายตาเลิกลั่ก คิดหาทางแก้ เครื่องยาทำน้ำแกงยังเหลืออยู่ หากทำใหม่ก็คงทัน แต่เสียดายวัตถุดิบที่ใส่ลงไปตามประสาคนจน “เดี๋ยวข้าจะเปลี่ยนน้ำแกงใหม่ใหม่นะเจ้าคะ เอาเป็นหม้อไฟยูนนานน่าจะดีกว่า”

             “ไม่ต้อง ๆๆ” ตงฮั่วรีบปราม “ไม่เป็นไรหรอกน่า ถึงจะเพิ่งกินเป็นครั้งแรกแต่ก็น่าอร่อยดีออก”

             เขาพูดพลางชูนิ้วโป้งขึ้นแต่เฟินเยว่ยังคงลังเล กระนั้นแล้วเขาก็ยืนยันจะลองทาน นางเองก็ไม่ขัด เอาไว้หากไม่ไหวค่อยให้เขาอมน้ำตาลแก้เผ็ดไปแทน

             “เช่นนั้นก็เริ่มทานกันเลยเจ้าค่ะ”

             เด็กสาวยิ้มพร้อมกับส่งถ้วยชามไปให้อีกฝ่าย


.
.
.




ลักษณะนิสัยเห็นอกเห็นใจ
+20 EXP ทุกครั้งที่โรลเห็นอกเห็นใจช่วยเหลือผู้อื่น หรือ ทำงานช่วยเหลือ

[152] มอบ หม้อไฟมองโกล ให้ ซู ตงฮั่ว




←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
พยัคฆ์ตงเทียน
หยกเชื่อมสัมพันธ์
พู่กันเหวิ่นเซ่า
ถุงหอมจูอวี๋
กลยุทธ์เล่ออี้
บทเพลงยิ้มเย้ยยุทธจักร
หน้ากากขาว
เกราะเกล็ดมังกร
ผ้าคลุมไท่หลง
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x40
x32
x1
x439
x500
x73
x500
x26
x498
x500
x10
x2
x9
x1
x400
x1
x1
x5
x28
x8
x591
x228
x228
x500
x2514
x18
x14
x1
x5
x1
x2
x100
x5
x50
x100
x3
x3
x10
x2
x47
x64
x6
x9
x2
x71
x1
x24
x95
x50
x86
x150
x260
x150
x150
x46
x46
x2
x2
x6
x2
x2
x34
x4
x1
x8
x1
x2
x7
x5
x8
x7
x110
x7
x74
x45
x3
x30
x63
x74
x79
x2
x71
x68
x6
x45
x50
x160
x316
x3
x220
x48
x35
x168
x12
x10
x25
x1
x13
x6
x4
x6
โพสต์ 2021-9-9 08:23:13 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Fenyue เมื่อ 2021-9-10 08:16

⌜ 9 ⌟

บทที่ 3
ลูกเสือในถ้ำเสือ
ฉากที่ 4


             หม้อไฟชุดใหญ่ถูกทานเรียบไม่เหลือแม้แต่น้ำแกงเผ็ดร้อนฉบับมองโกล สิ่งที่อยู่ก้นหม้อมีเพียงแค่เครื่องยาที่ไม่สามารถเคี้ยวกลืนได้เท่านั้น

             ตอนแรกเฟินเยว่เป็นกังวลใจเหลือเกินกลัวว่าตงฮั่วหรือที่นางรู้จักเขาในนามว่า ‘ซู เสวียนจิน’ จะทานอาหารรสชาติเผ็ดร้อนไม่ไหว ซึ่งครั้งแรกก็เป็นเช่นนั้นจริง ๆ เด็กหนุ่มทั้งหน้าแดงและเหงื่อท่วมวิ่งหาน้ำบริสุทธิ์ดื่มเป็นพัลวัน แต่ไป ๆ มา ๆ เขากลับฟาดหม้อไฟรสจัดจ้านจนเกลี้ยงหม้อได้อย่างหน้าตาเฉย แม้ปากจะชินรสแล้วแต่ท้องไส้จะทานความร้อนแรงของเครื่องเทศเหลียงโจวไหวหรือไม่ต้องมาดูกันอีกครั้งในวันพรุ่งนี้

             ทางด้านฝ่ายเฟินเยว่ พอได้ทานน้ำแกงรสเผ็ดชาซ้ำยังอุดมไปด้วยสารอาหารและเครื่องยาช่วยรีดเหงื่อออกมาได้อีกครั้ง น้ำแกงที่ร้อน ๆ หอมอร่อยคล่องคอทำให้นางรู้สึกหายเจ็บไข้แทบจะเป็นปลิดทิ้ง

             หลังทานอาหารเสร็จเด็กหนุ่มสาวก็ช่วยกันล้างจานชามสำหรับใช้งานในมื้อเช้าวันถัดไป

             “ได้กินของอร่อยปรุงสุกใหม่ ๆ แบบนี้ดีชะมัด เป็นไปได้ก็อยากจะกินของแบบนี้ทุกวันเลยสิ”

             “อยากจะทานทุกวันเลยหรือเจ้าคะ?” เฟินเยว่เงยหน้ามอง มือที่ล้างจานก็พลอยหยุดชะงักไปด้วย นางขบคิดคำพูดของอีกฝ่ายอยู่ชั่วครู่ก่อนจะเอ่ยต่อไป “แต่ว่า.. หม้อไฟค่อนข้างแพงเลยนะเจ้าคะ จะให้ล่าสัตว์ทุกวันก็..”

             เด็กสาวมีท่าทีอึกอัก ปกติแล้วนางจับต้องเนื้อสัตว์ในงานครัวเป็นปกติวิสัยโดยไม่ได้คิดมาก ทว่าพอรู้ที่มาก็รู้สึกสงสารสัตว์ที่ถูกฆ่าอย่างจับใจ

             “ไม่ ไม่ใช่แค่หม้อไฟหรอก กับข้าวต้มเมื่อเช้าก็เหมือนกัน”

             ได้ยินแบบนี้เฟินเยว่ก็ร้อง ‘อ๋อ’ ในใจพลางรู้สึกโล่งอกว่าด้วยอีกฝ่ายไม่ได้ฟุ่มเฟือยอยากจะทานแต่ของแพง ๆ

             “แต่ว่าข้าวต้ม.. ข้าเพียงแค่หุงข้าวเองนะเจ้าคะ ส่วนไข่เค็มกับเนื้อตากแห้งเป็นเสบียงพกพา”

             “นั่นแหล่ะ ข้าวหุงใหม่ย่อมดีกว่าหมั่นโถวแข็งๆ ค้างวันค้างคืน” ตงฮั่วคว่ำชามที่เพิ่งล้างเสร็จบนโขดหินก่อนจะเงยหน้ามาสบตากับเด็กสาวผู้ประสบภัย “เจ้าทำอาหารอร่อยนะ”

             “ขอบพระคุณเจ้าค่ะ แค่ได้รู้ว่าคุณชายซูชื่นชอบข้าก็ดีใจแล้ว” เฟินเยว่ขยับรอยยิ้มกว้างเสียจนตาหยี นางค้อมศีรษะลงขอบคุณอีกฝ่ายที่ชมเชย “เพราะว่าก่อนหน้านี้ข้าทำงานที่ร้านติ่มซำน่ะเจ้าค่ะ”

             ชามใบสุดท้ายถูกล้างจนเสร็จ คว่ำทิ้งเอาไว้อย่างนี้รอจนกว่าจะเช้าน่าจะแห้งพอดี เมื่อหมดธุระกับต้นน้ำแล้วก็พากันไปนั่งผิงไฟให้คลายหนาว เปาเปาเองก็คงหนาว เมื่อเฟินเยว่นั่งลงมันก็กระโดดขึ้นมาบนตักแล้วขดตัวนอน

             “ถึงว่าล่ะ ข้าไม่ประหลาดใจเลย.. ถ้าแบบนี้ก็หมายความว่าเจ้าทำติ่มซำเป็นด้วยสิเนี่ย?”

             “เป็นแต่ว่าไม่ได้เก่งเท่าไรหรอกเจ้าค่ะ ก็แค่ช่วยเถ้าแก่เนี้ยจัดเตรียมของแล้วก็ห่อแป้งเท่านั้นเอง”

             “เท่าที่ฟังก็ทำแทบจะทั้งหมดแล้วไม่ใช่หรือไง?” ตงฮั่วพูดไปก็จินตนาการ ติ่มซำมีหลายประเภท แค่นึกถึงว่าบนโต๊ะเต็มไปด้วย ซาลาเปา ฮะเก๋า ขนมจีบ เกี๊ยวซ่า ฝั่นโก๋ และอื่น ๆ อีกมากมาย สมองก็หลั่งสารทำให้เสาะท้องหิวขึ้นมาอีกครั้ง ไม่เอา ๆ เขาคิดถึงเรื่องอื่นแทนดีกว่า “แล้วเหตุใดสาวน้อยร้านติ่มซำอย่างเจ้าถึงขี่ม้าตกเขาได้เล่า?”

             จะว่าไปตั้งแต่ใช้ชีวิตอยู่ร่วมถ้ำด้วยกันมาสองวันสองคืนนางก็ยังไม่เคยเล่าที่มาที่ไปของตนเองให้อีกฝ่ายได้รับรู้เลย และนางเองก็ไม่รู้เรื่องของเขาด้วยเช่นกันว่าเหตุใดเด็กหนุ่มผู้นี้ถึงกลายเป็นเจ้าของถ้ำไปได้ เอาเป็นว่านางจะเล่าเรื่องของตนเองก่อนแล้วค่อยซักถาม แต่เรื่องมันยาว ควรจะเริ่มจากตรงไหนดีนะ...

             “เดิมทีข้าเป็นชาวอันติงเจ้าค่ะ แล้วก็ทำงานที่ร้านติ่มซำอย่างที่เล่าไปเมื่อครู่.. เมื่อห้าปีที่แล้วพี่ชายทั้งสองของข้าเดินทางมาทำงานที่ฉางอันแต่จู่ ๆ ก็ขาดการติดต่อไป ข้าทำอะไรไม่ได้เลยใช้ชีวิตอยู่กับท่านยายเพียงสองคน พอท่านยายเสียข้าไม่เหลือญาติที่บ้านเกิดอีกก็เลยคิดว่าจะออกตามหาพี่ชายน่ะเจ้าค่ะ อยากจะรู้ว่าพวกเขาเป็นอยู่สุขสบายดีหรือไม่เจ้าค่ะ”

             ตงฮั่วพยายามจับใจความตามที่นางเล่า แม้ไม่รู้รายละเอียดทั้งหมดแต่ก็พอจะเข้าใจขึ้นมาบ้างว่าเด็กสาวที่อยู่ตรงหน้าเป็นคนสิ้นไร้ไม้ตอก ขาดครอบครัวที่พึ่งพิง หากเขาไม่ช่วยนางไว้ก็จะไม่มีใครออกตามหา และอาจสิ้นชีวาไปพร้อม ๆ กับป้ายชื่อบรรพบุรุษที่นางพกติดตัวมาด้วย

             “เจ้ากล้าหาญมาก แต่ข้าไม่ค่อยพอใจสิ่งที่พี่ชายของเจ้าทำสักเท่าไร”

             เด็กหนุ่มกล่าวออกมาอย่างตรงไปตรงมาท่าทีของเขาแม้ดูสงบอยู่แต่ก็มีความฉุนเฉียวเล็ก ๆ ติดอยู่ในน้ำเสียง

             “ยะ...อย่าว่าท่านพี่เลยเจ้าค่ะ ท่านพี่ไม่ใช่คนแบบนั้น ข้าคิดว่าอาจจะเกิดอะไรขึ้นกับเขามากกว่า.. อ๊ะ! ไม่สิ ข้าไม่ควรจะคิดเช่นนั้นเลย” เฟินเยว่ส่ายหัวไปมา แต่ด้วยอาการบาดเจ็บที่ศีรษะทำให้นางเลิกส่ายไปเอง “....ให้พวกเขาอยู่ดีมีสุขและลืมครอบครัวที่อันติงไปยังจะดีเสียกว่าเจ้าค่ะ ที่ข้าออกมาตามหาก็แค่อยากจะเห็นว่าพวกเขาสบายดีก็เท่านั้น”

             “อย่างนั้นเหรอ?” ตงฮั่วพรูหายใจออกมาแต่ก็ไม่แย้งนางต่อ เหตุผลที่แท้จริงจะเป็นอย่างไรไม่มีใครรู้ และถ้านางยืนยันจะคิดเช่นนั้นก็ปล่อยให้นางคิดต่อไป อาจจะดีกับตัวหญิงสาวเองมากกว่า “เฮ้อ.. เอาเถอะ”

             “แล้วคุณชายซูล่ะเจ้าคะ เหตุไฉนท่านจึงมาอาศัยอยู่ในถ้ำได้หรือเจ้าคะ?”

             คราวนี้ถึงตาเฟินเยว่ถามออกไปบ้าง

             “ข้าน่ะเหรอ?” ตงฮั่วเลิกคิ้วขึ้นพลางชี้หน้าตัวเอง เห็นอีกฝ่ายพยักหน้าหงึก ๆ ก็ตอบไปอย่างลวก ๆ “เพราะว่าชอบยังไงล่ะ”

             “เอ๋.. จริงหรือเจ้าคะ”

             เด็กสาวกะพริบตาปริบ ๆ สีหน้าบ่งบอกได้ชัดว่าไม่เชื่อ

             “ก็ได้ ๆ”

             จนสุดท้ายฝ่าชายก็ยอมแพ้ เล่าเรื่องของตนเองบ้างเพื่อความเท่าเทียม “ข้าเป็นชาวซีเหอ ครอบครัวทำกิจการร้านผ้าไหม แต่อยู่มาวันหนึ่ง..”

             เด็กหนุ่มเงียบไป ปากที่อ้าค้างจะเล่ากลับปิดสนิทลง แววตาที่เป็นมิตรถูกแทนที่ด้วยไฟแค้นสุมทรวง บรรยากาศมาคุขึ้นทันตาจนเฟินเยว่เองก็รู้สึกได้ อาจมีเหตุที่เขาไม่อยากเล่า เพราะฉะนั้นนางไม่คะยั้นคะยอจะดีกว่า

             “ไม่เป็นไรเจ้าค่ะคุณชายซู ถ้าข้าเผลอทำให้นึกถึงเรื่องไม่ดีก็ขอโทษด้วยนะเจ้าคะ”

             เด็กสาวก้มลงกราบขอขมาใบหน้าแทบจะติดพื้น เห็นดังนั้นเด็กหนุ่มก็หลุดจากความคิดคั่งแค้นเป็นห้ามไม่ให้นางก้มกราบแทน

             “ไม่ต้องขอโทษถึงขนาดนั้น เจ้าไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย” เห็นทางท่างก็ทำตัวไม่ถูก เด็กหนุ่มจึงยกมือไม้ขึ้นมาเกาท้ายทอยตนเองแทน “แต่ก็ขอบคุณที่เจ้าเข้าใจแล้วไม่ซักไซ้ต่อ”

             “แต่ว่าข้าก็ไม่อยากจะให้ใครต้องจมอยู่กับความรู้สึกแย่ ๆ นี่เจ้าคะ”

             เฟินเยว่รู้ดีว่าเมื่อจมอยู่กับความเศร้ามันหนักหน่วงแค่ไหน ทั้งร่างกายและจิตใจดำดิ่งเกินห้ามไหว กว่าจะฉุดรั้งตนเองขึ้นมาได้ไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ เลยทีเดียว

             “แล้วข้าทำให้เจ้ารู้สึกแย่หรือเปล่า?”

             ตงฮั่วถามกลับ เพราะเท่าที่ฟังมาชีวิตนางมีแค่ความสูญเสีย ทั้งญาติผู้ใหญ่และพี่ชาย แม้ไม่ต้องเล่าถึงบิดามารดาเขาก็พอจะคาดเดาได้จากป้ายบรรพบุรุษ

             “ไม่เลยเจ้าค่ะ เห็นแบบนี้แต่ข้าไม่ค่อยคิดถึงเรื่องแย่ ๆ หรอกนะเจ้าคะ!”

             เด็กสาวยิงฟันยิ้มหวานตอบกลับไปให้อีกฝ่ายเลิกคลายกังวล และเมื่อเด็กหนุ่มเห็นท่าทางนั้นแล้วก็หลุดขำ เขาเชื่อว่านางช่างจิตใจเข้มแข็งเสียจริง ๆ เพราะไม่เคยรู้สึกถึงความเศร้าหมองในแววตา

             “เข้าใจแล้ว” บุรุษผินใบหน้ามองเปลวไฟที่พลิ้วไหวยามสายลมพัดผ่าน เขากอดตัวเองไว้หลวม ๆ ประทังความหนาวสั่นที่ผิวกาย “แต่ทำไมตามหาที่ฉางอันกลับเลยมาถึงป่านอกเมืองเหอตงได้ล่ะ?”

             “เอ๋ เหอตงหรือเจ้าคะ?” เฟินเยว่หลุดอุทานพร้อมทำตาโต นางเอื้อมมือไปหยิบกระเป๋าสุดแขน ลุกไม่ได้เพราะมีเปาเปานอนทับตักอยู่ นางหยิบแผนที่ออกมากางดู แล้วไล่สายตาหาตัวอักษรที่ชื่อว่า เหอตง จนพบว่ามันคือเมืองทางเหนือของหงหนง “แล้วข้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรกันล่ะ ก็มาถูกทางแล้วไม่ใช่หรือ?”

             เห็นเด็กสาวนักเดินทางงงกับแผนที่ตัวเขาเองก็งงไม่ต่าง จนบัดนี้ยังจับต้นชนปลายไม่ถูกเลยว่าคนที่มาจากเมืองทางทิศตะวันออกอย่างอันติงไหนเลยจะมาถึงเหอตงโดยไม่ข้ามผ่านฉางอันได้ หรือบางทีอาจเป็น..

             “ประเดี๋ยว.. เจ้ากำลังจะบอกว่าหลงทาง? ตกลงว่าจะไปที่ใดกันแน่?”

             “ข้ากำลังจะไปลั่วหยางน่ะเจ้าค่ะ..” นึกขึ้นได้เฟินเยว่ก็อ้าปากร้อง ‘อ๋อ’ โดยไม่ส่งเสียง นางยังไม่ได้เล่าให้เขาฟังเรื่องภารกิจจับพลัดจับผลูจนทำให้นางตกเขา “คือเรื่องเป็นอย่างนี้เจ้าค่ะ.. ข้าเดินทางถึงฉางอันมาโดยสวัสดิภาพแล้ว แต่ว่าถูกไหว้วานจากเถ้าแก่ท่านหนึ่งให้ไปส่งของที่ลั่วหยางน่ะเจ้าค่ะ”

             “เจ้าก็เลยต้องไปลั่วหยางแต่ว่าหลงทางมาเหอตงสินะ”

             ตงฮั่วทำทีเข้าใจทว่าเขากลับไม่เข้าใจเลยสักนิดว่าทำไมอยู่ ๆ คนที่ออกมาตามหาพี่ชายถึงรับงานส่งของในพื้นที่ ๆ ไม่รู้จัก หากคนตรงหน้าไม่เป็นคนดีเกินไปก็น่าจะเพี้ยนจนบ้า.. จากที่ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันมาก็พอจะทำให้เด็กหนุ่มรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นคนอย่างไร ถ้าให้เดาคิดว่านางน่าจะกระโดดเข้าไปช่วยเหลือผู้อื่นโดยไม่ลังเลทั้งที่ตนเองกำลังลำบาก

             “ให้ตายสิ.. นี่ต้องให้ข้าไปส่งถึงลั่วหยางด้วยไหม?”

             เด็กหนุ่มเกิดเวทนาขึ้นมา หากให้นางเดินทางต่อเพียงลำพังคงไม่แคล้วว่าจะหลงทางอีก แต่เขาไม่ค่อยอยากจะเข้าเมืองไปเจอผู้คนสักเท่าไร ถึงได้ออกมาปลีกวิเวกใช้ชีวิตอย่างสงบอยู่ที่นี่

             “ไม่เป็นไรหรอกเจ้าค่ะ คือว่าข้าเกรงใจมากเลย ตอนนี้รู้ทางแล้วก็เดินทางไปลั่วหยางได้ไม่ยาก”

             แค่พูดดูเหมือนจะง่ายแต่อย่างแรกต้องออกไปจากป่าแห่งนี้ให้ได้ก่อนเถอะ ไม่รู้ว่านางเผลอทำตัวอวดเก่งเกินไปหรือไม่ แต่เกรงใจคือเรื่องจริง แก้ตัวไปก็มีแต่แย่เฟินเยว่จึงได้แต่หัวเราะแห้งแหะ ๆ

             “ตามใจ”

             ถึงจะพูดแบบนั้นแต่ตงฮั่วก็ตั้งใจเอาไว้แล้วว่าจะทำอย่างไรกับกรณีนี้

             “แต่ว่าไปส่งของช้าแบบนี้ เถ้าแก่จะคิดว่าข้าเบี้ยวงานหรือเปล่านะ” มือเรียวยกขึ้นทาบแก้มอย่างคิดไม่ตก นางควรรีบออกเดินทางโดยเร็วที่สุดเพื่อสะสางงานไหว้วานและพิสูจน์ตัวเองว่าไม่ใช่ขโมย “ถ้าพรุ่งนี้เช้าไป๋ไป๋เดินไหวข้าคิดว่าจะเดินทางต่อเลยเจ้าค่ะ อยากพามันไปให้หมอรักษาดูอาการด้วย”

             “จะไปแล้ว? จะไหวเหรอ?”

             ตงฮั่วยิงคำถาม ความจริงยิ่งเด็กสาวไปจากที่นี่เร็วเท่าไรเขาก็จะยิ่งได้อยู่เพียงลำพังได้อย่างสบายใจเร็วขึ้นเท่านั้น การมีอยู่ของเด็กสาวในชุดสีฟ้าอ่อนทำให้เขาต้องเปิดปากพูดมากที่สุดในรอบเดือน ทั้งเป็นสิ่งน่าอัศจรรย์และรำคาญใจได้พร้อม ๆ กัน แต่หากนางไปแล้วก็จะไม่มีอาหารอร่อย ๆ กิน แม้จะเผลอคิดถึงผลประโยชน์ของตัวเองอยู่บ้าง แต่รวม ๆ ก็คือเขาแค่กลัวว่าอีกฝ่ายจะไปตกน้ำตกเขาที่ไหนอีก แต่จะรั้งอีกฝ่ายไว้ก็ใช่เรื่อง

             “ตามใจเจ้านั่นแหล่ะ”

             “เจ้าค่ะคุณชายซู แล้วก็ขอบพระคุณมากเลยนะเจ้าคะที่ช่วยชีวิตข้าเอาไว้”

             “อ้อ.. เรื่องนั้นเอง ไม่เป็นไรหรอก ถือว่าแลกกับอาหารอร่อย ๆ ก็ได้”

             ในที่สุดก็ได้ขอบคุณเรื่องนี้เป็นจริงเป็นจังเสียที ความรู้สึกตกค้างในใจก็คลายลงไปมาก และเมื่อปราศจากความเครียด หนังท้องตึง หนังตาหย่อน ความง่วงจึงถามหา สำแดงอาการแรกคือทำให้หาวนอน

             “ถ้าจะเดินทางพรุ่งนี้ คืนนี้ก็รีบนอนเถอะ”

             พูดจบตงฮั่วก็แยกไปยังมุมประจำแล้วเอนหลังนอนเป็นตัวอย่าง เรียกเสียงขำจาง ๆ จากอีกคนได้

             “ถ้าอย่างนั้นก็ราตรีสวัสดิ์นะเจ้าคะคุณชายซู”

             เฟินเยว่ช้อนตัวหมูป่าน้อยออกจากตักแล้วจัดแจงที่นอนให้มันดี ๆ ก่อนที่จะนอนลงข้าง ๆ แล้วดึงชุดคลุมขึ้นมาห่มคลายหนาว เมื่อหลับตาลงความคิดต่าง ๆ ก็แล่นไหลเข้ามาในหัว ทั้งเรื่องในอดีต แผนการเดินทางในวันพรุ่งนี้ และเรื่องของตงฮั่วที่ได้รับรู้มา

             ‘ที่บ้านทอผ้าไหมอย่างนั้นหรือ… ดูเหมือนว่าเราจะมีอะไรที่คล้ายกันมากกว่าที่คิดนะเจ้าคะ’

             บอกกับอีกคนในฝันก่อนที่สติจะวูบดับและเข้าสู่นิทราโดยสมบูรณ์



.
.
.




ลักษณะนิสัยเห็นอกเห็นใจ
+20 EXP ทุกครั้งที่โรลเห็นอกเห็นใจช่วยเหลือผู้อื่น หรือ ทำงานช่วยเหลือ




←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
พยัคฆ์ตงเทียน
หยกเชื่อมสัมพันธ์
พู่กันเหวิ่นเซ่า
ถุงหอมจูอวี๋
กลยุทธ์เล่ออี้
บทเพลงยิ้มเย้ยยุทธจักร
หน้ากากขาว
เกราะเกล็ดมังกร
ผ้าคลุมไท่หลง
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x40
x32
x1
x439
x500
x73
x500
x26
x498
x500
x10
x2
x9
x1
x400
x1
x1
x5
x28
x8
x591
x228
x228
x500
x2514
x18
x14
x1
x5
x1
x2
x100
x5
x50
x100
x3
x3
x10
x2
x47
x64
x6
x9
x2
x71
x1
x24
x95
x50
x86
x150
x260
x150
x150
x46
x46
x2
x2
x6
x2
x2
x34
x4
x1
x8
x1
x2
x7
x5
x8
x7
x110
x7
x74
x45
x3
x30
x63
x74
x79
x2
x71
x68
x6
x45
x50
x160
x316
x3
x220
x48
x35
x168
x12
x10
x25
x1
x13
x6
x4
x6
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง เข้าสู่ระบบ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

อย่าลืมเข้าสู่ระบบนะจ๊ะ เข้าสู่ระบบตอนนี้ หรือ ลงทะเบียนตอนนี้

เว็บไซต์นี้ มีการใช้คุกกี้ 🍪 เพื่อการบริหารเว็บไซต์ และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานของท่าน (เรียนรู้เพิ่มเติม)

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้