เจ้าของ: ไม่ระบุชื่อ

[นอกเมืองซีเหอ] ตำหนักตู่จิ้นกง

[คัดลอกลิงก์]
โพสต์ 2021-12-11 17:36:38 | ดูโพสต์ทั้งหมด
          สายลมเอื่อยๆพัดพาเอาความหนาวเย็นโลมเลียใบหน้ายามได้อยู่นอกเมืองซีเหอ สตรีงามถูมือเข้าหากันหวังเพื่อจะเพิ่มความอุ่นให้นางขึ้นมาบ้าง แม้ว่าจะถูกมองจากผู้ติดตามของนางอยู่ไม่ไกลแต่นางก็หาได้สนใจมากเท่าตำหนักตรงหน้าไม่

          การกระทำของจ้าวเพ่ย แน่นอนว่าซุนหยางย่อมไม่เห็นด้วยอยู่แล้ว เพียงแต่เขาทำอะไรมากไม่ได้ เพียงสตรีเอาแต่ใจผู้นี้ดื้อรั้นกว่าที่เขาจะคาดเดาได้เสียอีก ชายหนุ่มดุนลิ้นกับกระพุ้งแก้มราวกับใช้ความคิดเมื่อมองจ้าวเพ่ยเดินไปยังหน้าตำหนัก

          คราวนี้เลือกที่จะไม่รอเฉกเช่นทุกที ผู้ติดตามเช่นเขาเดินตามนางไปยังหน้าทางเข้าตำหนัก สายตาของทหารยามเฝ้าหน้าประตูมองมาทางเขาส่งผลให้จ้าวเพ่ยพึ่งจะรู้ตัว หญิงสาวหันมามองคนด้านหลังก็เห็นว่าซุนหยางเดินมาด้วยกันตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่ทราบ

          "พวกเจ้ามีธุระอันใด" ทหารยามยังคงทำหน้าที่ในการเฝ้าดูความปลอดภัยได้อย่างดี ดูเหมือนคราวนี้จะไม่โชคดีเหมือนครั้งแรกที่ได้มาเลยแม้แต่น้อย

          จ้าวเพ่ยเองไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไรให้สมเหตุสมผลดี เพราะซุนหยางเองก็เดินตามมาถึงที่นี่จะใช้ข้ออ้างมารยาของสตรีก็ดูท่าว่าจะเกิดผลได้ยาก นางทำได้เพียงกัดริมฝีปากเพื่อใช้ความคิด แม้ลังเลที่จะตอบออกไปจนเกิดเป็นความเงียบชั่วครู่

          "นางต้องการเข้าพบตู่จิ้นกง" ซุนหยางกล่าวแทนให้แก่จ้าวเพ่ยเมื่อเห็นว่านางเงียบนิ่งอยู่ สายตาของนางหันมามองราวกับต้องการจะตำหนิ แต่เขาก็ไม่รู้สึกผิดแต่อย่างใด

          "ได้นัดหมายมาก่อนหรือไม่.."

          "ไม่.." คำตอบเพียงสั้นๆห้วนๆแต่ได้ใจความเปล่งออกมาจากริมฝีปากสีทับทิมสดของจ้าวเพ่ย หญิงสาวทำใจเอาไว้แล้วว่าคงจะไม่ได้เข้าพบแน่ๆ ข้อมือถูกจับรวบเบาๆจากซุนหยางเพื่จะให้นางเดินออกไปจากจุดนี้ด้วยกัน

          "แม่นางต้องการพบท่านตู่ มีธุระอันใด" เสียงเรียกดังขึ้นจากบุคคลที่จ้าวเพ่ยไม่เคยแม้จะเห็นหน้า แม้น้ำเสียงจะห้วนขาดแต่มันจะสร้างความสนใจแก่สตรีงามผู้นี้ได้ไม่น้อย "เป็นลูกสาวขุนนางบ้านใดหรือ"

          "พวกข้าหาได้มีเชื้อสายขุนนางไม่.. เป็นเพียงชาวบ้านธรรมดา" ซุนหยางกล่าวเพื่อไม่ให้บุรุษคนนี้เข้าใจผิดไปมากกว่านี้

          สายตามองมาที่จ้าวเพ่ยไล่ลงเห็นลูกแมวสีดำที่อยู่กับนาง ดูอย่างไรก็เป็นสัตว์เลี้ยงตัวน้อยๆของสตรีผู้นี้เป็นแน่

          "แล้วมีเรื่องอันใด ถึงได้มาถึงที่นี่"

          "เรื่องคดีของ…" จ้าวเพ่ยอยากจะกล่าวให้จบๆไปแต่นางก็ชั่งใจเล็กน้อย หากกล่าวออกมาถึงคดีของมือปราบคงจะถูกไล่เหมือนครั้งที่ไปจวนผู้ว่าแน่ๆ แต่เมื่อเผลอหลุดปากพูดออกมาถึงครึ่งทาง นางเองก็พยายามนึกคำแถออกมาระหว่างทางจนเสียงพูดนั้นกระตุกระหว่างการสนทนา

          "คดีของนักโทษเจิ้ง..?"

          อยู่ๆคำกล่าวถึงคดีที่ถูกตัดสินจนจบความไปแล้วก็ถูกกล่าวขึ้นมา จ้าวเพ่ยนิ่งเงียบเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำพูดนั้น สายตาของชายผู้นั้นมองราวกับต้องการคำตอบจากคำถามของเขา

          "ก็คงจะประมาณนั้น"

          เมื่อได้ยินคำพูดของจ้าวเพ่ย บุรุษผู้นั้นมองนางตั้งแต่หัวจรดเท้า เขาส่งภาษากายให้ทหารยามปล่อยให้พวกนางเข้ามายังในตำหนักเพื่อพูดคุยอะไรบางอย่าง แม้ว่าทั้งจ้าวเพ่ยและซุนหยางจะไม่เข้าใจแต่นางทำเพื่อไปตามน้ำก่อน เพียงแค่ต้องการหาจังหวะเหมาะสมที่จะพบตู่จิ้นกงและขอให้เขาช่วยนางในเรื่องคดีของมือปราบหวังเพียงเท่านั้น

          "ท่านคือผู้ใดหรือ ตอนข้ามาที่นี่คราที่แล้วไม่เคยได้พบหน้าท่านเลย"

          "ข้าคือผู้ดูแลตำหนักที่นี่.." เขากล่าวโดยไม่มีท่าทีร้อนรนอะไร สายตาไม่ได้มองไปที่คู่สนทนานอกจากลูกแมวตัวสีดำที่มาด้วยเลย "หากมาเพื่อเรื่องของนักโทษเจิ้ง ตอนนี้ใต้เท้าตู่ไม่สะดวกจะพบผู้ใด"

          "มาได้อีกทีเมื่อใด"

          "เป็นเพียงชาวบ้านธรรมดาเหตุใดต้องการคุยกับท่านตู่จิ้นกงเรื่องคดีของนักโทษเจิ้ง พวกเจ้าทำงานอะไรกัน"

          เมื่อถูกพาดพิงถึงการงานที่ทำ จ้าวเพ่ยก็หันไปมองซุนหยางทันทีเหมือนต้องการให้อีกฝ่ายตอบแทนตนอีกครา

          "พวกข้าแค่ทำรับงานทั่วไปเท่านั้น นางถนัดเรื่องทำอาหารอยู่บ้าง"

          "ข้าพอเข้าใจแล้ว" เหมือนจะได้ยินคำพูดของซุนหยางก็เหมือนจะนึกอะไรได้ โดยที่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นเพียงชาวบ้านก็ไม่จำเป็นต้องต้อนรับอะไรอย่างดีสักเท่าไหร่ "คดีของนักโทษเจิ้งคงจะมารับงานสินะ ท่านตู่จิ้นกงได้ส่งคนไปตรวจสอบชายแดนแต่ไม่พบนักโทษเจิ้งหลันที่มีความผิดร้ายแรง บางทีนางอาจหนีไประหว่างทางส่งตัว"

          คำอธิบายจากปากของบุรุษผู้ดูแลตำหนักผู้นี้ทำเอาจ้าวเพ่ยงุนงงจนไปต่อไม่เป็น หญิงสาวเองยังจำได้ดีเกี่ยวกับการตัดสินคดี คงจะเป็นช่วงที่ตู่จิ้นกงกลับไปก่อนจะตัดสินคดีใหม่จึงได้คิดว่านางถูกส่งตัวไปทำงานยังกำแพงหมื่นลี้เป็นแน่

          แต่ไม่มีเหตุผลใดที่ตู่จิ้นกงจะต้องส่งคนไปหาแม่นางเจิ้งถึงที่นั่น นัยน์ตาของจ้าวเพ่ยผุดทั้งความกังวลและความกลัวขึ้นมาอย่างชัดเจนเมื่อได้ยินคำอธิบายจากปากของชายตรงหน้า

          "ไปตามหาและจับมาหาใต้เท้าตู่ที่นี่ แล้วท่านจะมอบเงินรางวัลให้อย่างงามและอาชาชั้นดีจากทางซีอวี้ของแคว้นต้าหว่านให้ เพื่อเป็นการตอบแทนที่ท่านช่วยทางการจับกุมตัวคนร้ายหลบหนี"

          "จะหลบหนีได้อย่างไร ก็การตัดสินคดี แม่นางเจิ้งถูกส่งตัวให้ทำงานกับใครบางคน ไม่ใช่ไปที่ชายแดนเสียหน่อย" หาใช่ว่านางจะหลุดปากไปแต่นางต้องการสร้างความเจ้าใจใหม่แก่ชายผู้นี้เมื่อคิดว่าแม่นางเจิ้งหลบหนีคดี ที่แท้จริงแล้วอาจจะไม่ใช่เช่นนั้น

          "ข้าเองก็อยู่ในการตัดสินคดีนั้น.. มีจดหมายส่งมาหลังจากใต้เท้าตู่กลับไป เพื่อขอตัวนางไปทำงานกับ.. ใครสักคน"

          บุรุษได้ยินคำพูดของจ้าวเพ่ยก็เหมือนจะเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่เห็นสีหน้าสตรีงามผู้นี้กลับเหมือนว่านางพูดอย่สงจริงจังไม่ตะกุกตะกักสักนิด

          "กับผู้ใด"

          "ข้าไม่รู้.." จ้าวเพ่ยไม่รู้ว่าผู้นั้นคือใคร นางไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสตรีผู้ยื่นจดหมายเป็นผู้ใด เป็นเพียงผู้อยู่ในเหตุการณ์เท่านั้น เรื่องเช่นนี้คิดว่าทุกอย่างจบลงไปแล้วจึงไม่ได้นำมาใส่ใจ "แต่ที่ข้าใคร่รู้ยามนี้.. เหตุใดจึงต้องส่งคนไปหาแม่นางเจิ้งล่ะ"

          "พวกข้ามีธุระด่วน ขอพานางกลับไปก่อนขอรับ"

          "..."

          "ต้องการจะทำอะไรกันแน่!.. หรือว่าคดีของมือปราบหวังก็เกี่ยวข้องใช่หรือไม่.. "

          จ้าวเพ่ยแทบจะโวยวายเมื่อนางเริ่มปะติดปะต่อเชื่อมโยงกันโดยไม่คิดไตร่ตรองอะไรถี่ถ้วนเลย หญิงสาวถูกกอดดึงจากผู้ติดตามเพื่อให้รีบออกไปจากตรงนี้ เสียงชายหนุ่มเอ่ยเรียกพยายามทำให้นางเงียบลงเพื่อไม่ให้ถูกหมายหัวและลากออกไปจากที่นี่ราวกับหมูหมา

          "กลับไปก่อน อย่าพึ่งมีเรื่องกันยามนี้"

          "เพราะมือปราบทำคดีของแม่นางเจิ้งจึงถูกใส่ความ.. ใช่อย่างที่ข้าคิดใช่หรือไม่!!"

          ความวุ่นวายเกิดขึ้นมากลายเป็นความชุลมุน เสียงแมวน้อยร้องขึ้นมาและกระโดดวิ่งออกไปจากตำหนักก่อน จ้าวเพ่ยมองหน้าบุรุษผู้นั้นทำหน้าราวกับไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไร เขาหันกลับไปราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นและเดินออกไปโดยที่จ้าวเพ่ยเองยังคงคุกกรุ่นทั้งเกิดคำถามมากมายขณะถูกดึงตัวออหจากตำหนักเพื่อไปยังจุดจอดม้าของพวกนางไม่ไกลจากนี้

          "จะดึงข้าออกมาทำไม!"

          "คิดอะไรอยู่จึงไปขึ้นเสียงใส่คนอื่นเช่นนั้น.."

          "เจ้าไม่เห็นหรือไงว่าตู่จิ้นกงต้องการทำอะไร ข้า.. ข้าเชื่อว่ามันต้องเกี่ยวข้องกับคดีของมือปราบหวังแน่ๆ.."

          นางกล่าวทั้งเสียงสั่นราวกับโกรธ หญิงสาวกัดฟันแน่นเมื่อตอนนี้ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรต่อไปดี แม้จะไม่รู้ว่าตู่จิ้นกงมีอิทธิพลเท่าไหร่ แต่ดูจากที่ชาวบ้านเกรงกลัวก็คงจะมีอำนาจไม่น้อย

          "แล้วเจ้าจะทำอะไรได้.."

          ครั้นคิดเรื่องนี้กลับยิ่งรู้สึกมืดแปดด้านยิ่งกว่าเดิมจนไม่รู้ว่าควรจะหาทางออกอย่างไรดี ซุนหยางจะกล่าวต่อว่ากลับชะงักเมื่อเห็นใบหน้าแต่งแต้มด้วยเครื่องประทินโฉมตอนนี้กลับเริ่มมีน้ำตาไล้ลงอาบแก้ม

          "จ้าวเพ่ย…" ยื่นมือหวังจะเช็ดน้ำตาให้แต่กลับถูกนางสวมกอดเข้าอย่างจัง แม้จะรู้ว่าอย่างไรนางเพียงแค่ต้องการที่พึ่งตอนนี้ซุนหยางทำได้เพียงแค่ลูบผมปลอบเบาๆเท่านั้น

          "พาข้าไปที่จี้โจวที.. ได้โปรด.. พาข้าไปที่นั่น" เสียงสะอื้นไห้ทั้งขอร้องอย่างหมดหวัง แม้ว่าแยากจะห้ามสตรีผู้นี้ว่าให้หยุดทุกอย่างเพียงเท่านี้ก็ตาม แต่เมื่อได้ยินเสียงอ่อนแรงกลับยิ่งทำให้ใจอ่อนจนไม่รู้ว่าจะขัดใจสตรีผู้นี้เช่นไรดี

←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
กระบี่ร้อยกฎ
มุกพณาหวาซวี
ม้าเหลียง
กลยุทธ์เล่ออี้
บทเพลงยิ้มเย้ยยุทธจักร
หน้ากากขาว
เกราะเกล็ดมังกร
ผ้าคลุมไท่หลง
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x2
x7
x4
x10
x10
x13
x13
x13
x12
x11
x202
x1
x1
x1
x11
x22
x15
x30
x1
x100
x100
x9
x2
x5
x6
x8
x10
x2
โพสต์ 2022-6-4 22:52:48 | ดูโพสต์ทั้งหมด
ระยะทางจากลั่วหยางมาซีเหอทำให้เว่ยปิ่นรู้สึกอ่อนเพลียเล็กน้อย แต่ไม่นานรถม้าก็หยุดลงหน้าตำหนักใหญ่ประจำเมือง เว่ยปิ่นก้าวลงจากรถม้าอย่างไม่เร่งรีบก่อนจะเดินไปที่ทางเข้าตำหนัก


"หยุดเดี๋ยวนี้!!"เสียงของทหารยามหยุดขบวนของเขาก่อนจะถึงประตู "ที่แห่งนี้คือตำหนักของตู่จิ้นกงคนนอกห้ามเข้าโดยไม่ได้รับอนุญาติ"

เว่ยปิ่นแสดงสีหน้าไม่พอใจ "ข้ามีธุระกับจิ้นกงแล้วข้าเชื่อว่าต่อให้จิ้นกงอยู่ตรงนี้ก็คงไม่กล้าเสียมารยาทต่อข้า" ทหารยามได้ยินก็เริ่มรู้สึกว่ามีอะไรแปลกๆคนตรงหน้าถ้าไม่มีเบื้องหลังที่ใหญ่โตคงไม่กล้ากล่าวเช่นนี้



"มีเรื่องอะไรกัน" เสียงหวานกล่าวขึ้นมาข้างหลังของทหารยาม เมื่อมองดูดีๆจะพบหญิงสาววัยกลางงดงามจิ้มลิ้มคนนึงทหารยามทั้งสองหันกลับไปคาราวะอย่างน้อบน้อม "นายหญิง" ทันใดนั้นเว่ยปิ่นก็นึกออกทันที หญิงสาวตรงหน้าไม่ใช้ใครอื่นแต่คือองค์หญิงในฮ่องเต้พระองค์ก่อน ปัจจุบันเป็นภรรยาของจิ้นเฉาหรือตู่จิ้นกง นามหลิวชิว


"ที่แท้ก็องค์หญิงหม่อมฉันคาราวะเจ้ามะคะ" เว่ยปินคาราวะตามแบบพิธีของขันทีในวังคำนับเชื้อพระวงศ์


"กงกงมิต้องมากพิธีหรอกตัวเราหาใช่องค์หญิงผู้สูงศักดิเหมือนเมื่อก่อนแล้ว" ขณะพูดภายในดวงตาก็หม่นหมองลงบ่งบอกถึงความเศร้าภายในคำพูด


"องค์หญิงอย่าได้ทรงตรัสเช่นนั้นเลยยังไงเสียองค์หญิงก็คือเชื้อพระวงศ์ของราชวงศ์ฮั่นพระสวามีก็เป็นจิ้นกงของต้าฮั่น ต่อให้พระองค์จะแต่งไปยังต่างแดนหม่อมฉันที่เป็นบ่าวเมื่อพบก็ต้องทำตามประเพณี" เมื่อพูดก็ยื่นแขนออกมาให้หลิวชิงใช้พยุงตามฉบับสตีในวังหลัง


หลิวชิวมองไปที่แขนก่อนจะเอื้อมมือไปจับไว้ ด้วยสีหน้าปิติยินดี "กงกงมาพบสวามีข้า ข้าในฐานะเจ้าบ้านจะนำท่านไปเอง"  ทั้งสองเดินผ่านไปโดยที่ทหารไม่กล้าหยุดไว้


"เสียดายที่ข้าแต่งออกมาก่อนที่จะได้พบเจ้าไม่เช่นนั้นข้าคงทูลขอเสด็จพ่อให้นำเจ้าติดตามมารับใช้ข้ายังซีเหอด้วย" หลิวชิวกล่าวออกมาขณะอยู่บนทางเดินโดยชมตนไม้ภายในตำหนัก


"หม่อมฉันไม่มีวาสนาได้ติดตามองค์หม่อมฉันต่างหากที่ต้องเสียดายมากกว่า"


"เจ้านี่ชั่งปากหวานไว้มาเยี่ยมข้าที่จวนบ่อยๆเดินชมตำหนักกับเจ้าทำให้ข้านึกถึงวังหลวงสมัยเป็นองค์หญิง" เว่ยปิ่นเห็นว่าหลิวชิวจะเศร้าอีกก็รีบพูดตัดบท


"ไว้หม่อมฉันจะมาเยี่ยมพระองค์บ่อยๆ เสียดายที่เวลาน้อย หม่อมฉันต้องขอตัวก่อน" พูดจบก็เดินเข้าไปห้องหนังสือด้านหน้า


ภายในห้องหนังสือถูกตกแต่งอย่างงดงามแสดงถึงความมั่งคั่งของเจ้าของตำหนัก ตรงกลางมีชายสองคนกำลังคุยกันอยู่ด้วยสีหน้าจริงจัง เว่ยปินพยักหน้าให้กับคนใช้ที่เฝ้าหน้าประตูเป็นสัญญาณให้เข้าไปแจ้งผู้เป็นนาย


ตู่จิ้นกงเมื่อได้รับเรื่องก็เงยหน้าขึ้นมาสบตากับเว่ยปิ่น เว่ยปิ่นแสดงสีหน้ายิ้มแย้มก่อนจะเดินเข้ามาคำนับ


"คาราวะจิ้นกง ข้าน้อยหลิงเว่ยต้องขออภัยที่ไม่ได้แจ้งจิ้นกงล่วงหน้า ชั่งหน้าขายหน้ายิ่งนัก"


"กงกงอย่าได้พิธีอะไรมาก ไม่ทราบจางกงกงยังสบายดีอยู่หรือไม่" ตู่จิ้นกงยิ้มแย้มออกมาอย่างเป็นกันเองก่อนจะถามถึงจางยั่ง


"พ่อบุญธรรมยังสบายดี ทั้งยังฝากถามไถ่ถึงจิ้นกงด้วย"


"ที่แท้ท่านก็ลูกบุญธรรมของจางกงกงนี่เองหาใช่คนอื่นคนไกลไม่"


"จิ้นกงสุภาพไปแล้ว ข้าเสียมารยาทไม่ได้แจ้งว่าจะมาล่วงหน้า หวังว่าจิ้นกงจะรับของไว้ถือเป็นการขอโทษจากข้า" เว่ยปิ่นพูดจบก็นำมุกราตรีจิ้งสู่ออกมามอบให้ ตู่จิ้นกงเมื่อพินิจดูเสร็จก้พยักหน้าแล้วยื่นให้สีจิ้นฉาง ที่ยืนข้างๆ


"ท่านก็ทำเหมือนเราเป็นคนห่างคนไกลกันไปได้ ว่าแต่ท่านมาหาข้าถึงซีเหอคงจะไม่ใช่แค่นี้กระมั้ง"


"ปกปิดจิ้นกงไม่ได้จริงๆข้าพึ่งจะได้รับมอบหมายให้ปกของเว่ยหนานที่มาที่นี่ก็ เพื่อจะมาขอแบ่งปันความมั่งคั่งจากจิ้นกงบ้างก็เท่านั้น ฮ่าๆ " พูดพลางวางหนังสือที่จางยรั่งมอบให้มา เมื่อตู่จิ้นกงเปิดอ่านก็พยักหน้าอีกครั้งก่อนจะยื่นให้สีจิ้นฉางไปจัดการเหมือนเดิม


"ท่านมิต้องกังวลข้าจะจัดการให้ท่านทันทีระหว่างนี้ท่านไม่เที่ยวเล่นแดนซีเหอของข้าซักหน่อยเหล่า"


"ข้าก็อยากอยู่ดูหลักการบริหารของจิ้นกงเพื่อนำไปเป็นแบบอย่างติดตรงว่าไม่กี่วันก่อนเกิดโจรบุกปล้นเว่ยหนานข้าที่ไม่มีทหารได้แต่จำยอม คิดแล้วก็แค้นใจนัก"


"เกิดเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไรกันขุนพลสานซีเป็นง่อยกันไปหมดแล้วหรือถึงปล่อยให้เกิดเหตุการแบบนี้ได้ เสียดายส่านซีเกินอำนาจของข้าไม่เช่นนั้นข้านี่แหละจะบุกเดี่ยวกวาดร้างพวกมันด้วยตัวเอง"


เว่ยปิ่นกับตู่จิ้นกงคุยกันอย่างสนุกสนานด้วยเว่ยปิ่นเป็นคนอ่อนตามลมทำให้คุยกับตู่จิ้นกงอย่างไหลลื่นจวบจนเลยเวลามามากเว่ยปิ่นจึงขอตัวกลับก่อน




มอบ มุกราตรีจิ้งสู่ 211] ตู่จิ้นกง (ตู่ ซือหลง)





เจ้าเล่ห์/เสแสร้ง

+4 Point จากการโรลวางแผนใช้อุบาย


ประจบสอพลอ

+2 Point จากการโรลใช้กลอุบาย

+5% มีโอกาสได้เงิน 10 - 300 ตำลึงทองถ้าประจบสำเร็จ


-20 สูญเสียความเครียดจากกาโรลประจบ

ขันที

+3 Point เมื่อโรลใช้แผนและกลอุบาย


หูดี

+2 Point จากการโรลใช้แผนการหรือกลอุบาย
+15 ความสัมพันธ์กับคนที่คุยด้วย

อัจฉริยะ
+5 Point จากการโรลใช้แผนการและกลอุบาย







←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
รถม้าใหญ่
กระบี่
ซัวเหวินเจี่ยจื้อ
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x3
x1
x1
x1
x2
x6
x2
x20
x3
x1
x1
x17
x16
x2
x1
x4
x4
x1
x8
x40
x10
x3
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง เข้าสู่ระบบ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

อย่าลืมเข้าสู่ระบบนะจ๊ะ เข้าสู่ระบบตอนนี้ หรือ ลงทะเบียนตอนนี้

เว็บไซต์นี้ มีการใช้คุกกี้ 🍪 เพื่อการบริหารเว็บไซต์ และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานของท่าน (เรียนรู้เพิ่มเติม)

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้