[นอกเมืองซีเหอ] สุสานปราชญ์ตงฟางซั่ว

[คัดลอกลิงก์]
ไม่ระบุชื่อ  โพสต์ 2021-10-9 23:16:15 |โหมดอ่าน


สุสานปราชญ์ตงฟางซั่ว
{ นอกเมืองซีเหอ }







【สุสานปราชญ์ตงฟางซั่ว】

สุสานของท่านอดีตซินแสตงฟางซั่วผู้ที่เคยช่วยเหลือ
จักรพรรดิฮั่นอู่ตี้สร้างรากฐานบัลลังก์มั่นคง ตัวสุสานตั้งอยู่บนเขาแห่งหนึ่ง
นอกเมืองซีเหอ อยู่ใกล้กับกำแพงหมื่นลี้และบ้านเก่าของท่านเอง
ทางขึ้นไปสักการะสุสานถูกถางทางเอาไว้อย่างดีและปูด้วยไม้หมอนกันลื่น
เป็นขั้นบันไดขึ้นไป สองข้างทางประดับตกแต่งไปด้วยดอกไม้นานาชนิด
อาทิ ดอกจื่อเหยี่ยน ดอกจิ่นช่าย ดอกหูเตี๋ย และอื่น ๆ
ตัวสุสานเป็นป้ายหินขนาดใหญ่จารึกตัวอักษร 【 ตงฟางซั่ว 】 ซึ่งเป็นนามเจ้าของสุสาน
แผ่นหินหันหลังหาน้ำตกที่ทอดตัวลงยาวเป็นลำธารไหลผ่านหล่อเลี้ยงชาวเมือง
นอกจากนี้ยังมีแผ่นหินจารึกคุณงามความดีของซินแสตงฟางไว้เคียงคู่กัน
และคำกลอนบทหนึ่งที่แต่งขึ้นเพื่อสดุดีมีข้อความว่า

หนึ่งซินแสทรงปัญญาค้ำจุนฮั่น
ชี้แสงนำทางไปสู่จุดหมาย
ต้านอริศัตรูคิดกล้ำกลาย
มิมลายไปด้วยคุณงามและความดี

❈✦❈

แม้จันทร์ลับตะวันลามาศตวรรษ
ท่านฟูมฟักเอ็นดูห่วงลูกหลาน
คำสอนนี้จงจำให้ยืนนาน
ชื่อเสียงขานสืบไปไม่มีลืม







โพสต์ 2021-10-10 03:24:35 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Fenyue เมื่อ 2021-11-9 00:46

   
⌜84⌟
   
บทที่ 14
คราวดีในเคราะห์ร้าย
ฉากที่ 6
                    
          ก่อนจะไปสร้างสุสานบัณฑิตเหลียงเสนอให้ไปตลาดซื้อของสำหรับเซ่นบูชามาก่อน เฟินเยว่จึงเกิดความคิดซื้อต้นไม้มาปลูกรอบ ๆ บริเวณสุสานเพื่อความสวยงาม ลูกหลานที่มาสักการะก็จะได้ชื่นชมความงามสองข้างทางจนเกิดเป็นคำบอกเล่าปากต่อปาก ผู้คนที่เคารพท่านจะได้มากราบไหว้กันมากขึ้น ซึ่งชายหนุ่มเองก็ชอบสิ่งสวย ๆ งาม ๆ อยู่เป็นทุนเดิม เขาจึงไม่ห้าม มีแต่สนับสนุน
         
          “ดอกจื่อเหยี่ยนก็ดี ดอกจิ่นช่ายก็สวย ดอกหูเตี๋ยก็ชอบ เหมาหมดเลยก็แล้วกัน ลดให้หน่อยก็แล้วกันนะแม่ค้า”
         
          ส่วนใหญ่ต้าซิ่นจะเป็นคนต่อราคาสินค้า และด้วยความชาญฉลาดของบุรุษทำให้ได้ต้นไม้ราคาถูกกว่าปกติมาหลายต้น เมื่อเตรียมของไหว้ทั้งหมดแล้วทั้งสองก็เดินขึ้นไปบนภูเขาจุดตั้งบ้านร้างหนทางรกครึ้มไปด้วยหญ้า เด็กสาวนำทวนที่พกติดตัวตลอดเวลามาแทนมีดดายหญ้าเอาไว้ก่อน จุดไหนที่ปีนขึ้นยากก็ช่วยกันกับบัณฑิตเหลียงยกหินยกขอนไม้มาวางเรียงเป็นขั้นบันไดทางขึ้นไป
         
          “ตรงนี้น่าจะดีนะเจ้าคะ”
         
          เฟินเยว่ชี้จุดทำสุสาน เป็นทางเดินริมผาที่เป็นที่ราบและมีลานกว้างให้ได้สักการะบูชาจำนวนหนึ่ง บริเวณนั้นมีหินก้อนใหญ่อยู่พอดีน่าจะเอามาทำเป็นป้ายหลุมศพได้ เด็กสาวผู้แรงดีกว่าออกแรงขุดหลุมที่หน้าก้อนหินใหญ่ ฝ่ายบุรุษที่แรงน้อยกว่าแต่ลายมือสวยทำการสลักก้อนหินพร้อมกับทาสีทับลงไปให้เด่นชัดเป็นชื่อของซินแสตงฟางซั่ว
         
          “หนึ่งซินแสทรงปัญญาค้ำจุนฮั่น… ชี้แสงนำทางไปสู่จุดหมาย… ต้านอริศัตรูคิดกล้ำกลาย… มิมลายไปด้วยคุณงามและความดี... แม้จันทร์ลับตะวันลามาศตวรรษ… ท่านฟูมฟักเอ็นดูห่วงลูกหลาน… คำสอนนี้จงจำให้ยืนนาน… ชื่อเสียงขานสืบไปไม่มีลืม”
         
          บัณฑิตร่ายบทกลอนออกมาก่อนที่จะสลักตัวอักษรเป็นข้อความสดุดีเจ้าของสุสานแห่งนี้
         
          “คุณชายเหลียงเก่งจังเลยเจ้าค่ะ นี่แต่งกลอนสดเลยหรือเจ้าคะ?”
                    
          “ไม่ได้เก่งขนาดนั้นหรอก การแต่งกวีก็เป็นคุณสมบัติพื้นฐานของบัณฑิตทั่วไป หากข้ามีเวลาก็อยากที่จะเกลาคำให้ดูสละสลวยมากยิ่งขึ้น แต่คำที่ออกมาจากใจในทันทีมันก็มีความหมายที่ตรงไปตรงมาดีนะเจ้าว่าไหมล่ะ”
         
          “เห็นด้วยเจ้าค่ะ แต่ก็น่าเสียดายนะเจ้าคะที่ฉุกละหุกเกินไปหน่อย แล้วก็.. ข้ายังไม่ค่อยรู้เรื่องของซินแสตงฟางเท่าไรเลยเจ้าค่ะ”
         
          “ไม่รู้อย่างนั้นสินะ ท่านเป็นปราชญ์คนสำคัญเป็นคู่คิดที่เสนอแนวทางช่วยองค์ฮั่นอู่ตี้หลาย ๆ เรื่อง เอาเป็น.. ข้าเล่าตำนานเกี่ยวกับท่านซินแสให้เจ้าฟังบทหนึ่งก็แล้วกัน”
         
          เฟินเยว่พยักหน้าหงึก ๆ รอคนเล่านิทานตาใส ต้าซิ่นเห็นใบหน้านั้นก็นึกถึงน้องสาวที่บ้านเกิดขึ้นมาไม่น้อย
         
          “เป็นตำนานของเทศกาลหยวนเซียวน่ะ วันหนึ่งท่านซินแสตงฟางได้ไปพบกับสาวน้อยนางหนึ่งที่เป็นสาวใช้ในวังนามว่า ‘หยวนเซียว’ นางคิดสั้นกระโดดน้ำฆ่าตัวตายเพราะคิดถึงบ้านอยากกลับไปทดแทนบิดามารดาแต่ไม่ได้โอกาส ท่านซินแสอยากช่วยเหลือจึงคิดอุบายตั้งโต๊ะเร่ดูดวงแก่ชาวบ้าน ซึ่งทุกคนได้รับคำทำนายเดียวกันเกี่ยวกับไฟไหม้ครั้งใหญ่ในวันที่สิบห้า
         
          “เพียงไม่นานข่าวลือนี้ก็แพร่สะพัดไปทั่ว ทุกคนต่างเกรงกลัวเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้น ซินแสจึงทำนายต่อไปว่าในวันที่สิบสามจะมีเทพธิดาชุดแดงลงมาเผาเมืองตามคำสั่งของเทพแห่งเปลวเพลิง ในวันนั้นให้หยวนเซียวปลอมตัวเป็นเทพธิดาองค์ดังกล่าวแจ้งแก่ชาวบ้านว่าหากอยากระงับเหตุจะต้องจับองค์ฮ่องเต้กลับไป”
         
          “ชาวบ้านจึงนำความนี้เขาทูลกับฮ่องเต้ฮั่นอู่ตี้ พระองค์ทรงเป็นกังวลกับเหตุการณ์นี้จึงขอคำปรึกษาจากซินแสตงฟางจนได้ความว่า เทพเจ้าแห่งไฟชอบกินทังหยวน ฮ่องเต้จึงมีพระดำรัสสั่งให้ชาวบ้านทุกครัวเรือนทำขนมทังหยวนบูชาเทพแห่งเปลวเพลิง แขวนโคมแดงและจุดประทัด ทั้งคนในวังและชาวบ้านจะต้องออกจากบ้านถือโคมไฟเดินไปตามท้องถนน ด้วยอุบายนี้ทำให้แม่นางหยวนเซียวได้พบหน้ากับบิดาและมารดาอีกครั้ง เมื่อจบเรื่องทั้งหมดซินแสจึงกราบทูลความจริงแก่ฮ่องเต้ พระองค์ทรงทราบซึ้งใจจึงจัดให้มีเทศกาลหยวนเซียวเกิดขึ้นทุกปี”
         
          “เรื่องเป็นแบบนี้เองสินะเจ้าคะ ค่อนข้างจะแตกต่างจากที่ข้าเคยรับรู้มาเยอะอยู่เหมือนกันนะเจ้าคะ”
         
          เรื่องราวของเทศกาลหยวนเซียวที่เฟินเยว่เคยได้ยินมาจะเป็น ช่วงเวลาของการบูชาเทพเจ้าไท่อี่ แห่งท้องฟ้า เชื่อกันว่าเทพแห่งฟากฟ้านี้คือผู้กุมโชคชาตะชีวิตของมนุษย์ ท่านมีมังกรสิบหกตัว ยามที่เกิดภัยแล้ง พายุ โรคระบาด ก็จะต้องเรียกให้ท่านช่วย โดยที่ฮ่องเต้ก็จะขอให้เทพเจ้าไท่อี่ดลบรรดาลให้อากาศดี และทุกคนมีสุขภาพแข็งแรง
         
          “เรื่องนี้มันเป็นตำนานแหล่ะนะ ไม่มีใครรู้ว่าข้อเท็จจริงเป็นเช่นไรเพราะเรื่องก็ผ่านมาเป็นร้อยปีแล้ว แต่ข้าเลือกที่จะเชื่อในมุมนี้ว่าเป็นไปได้มากกว่าเรื่องราวของเทพเจ้าไท่อี่เสียอีก”
         
          “จะว่าไปก็จริงนะเจ้าจะ หากเป็นเช่นนั้นจริงก็นับว่าท่านซินแซเป็นคนมีเมตตาและยึดถือความกตัญญูเป็นสำคัญ ขอบคุณคุณชายเหลียงมากเลยนะเจ้าคะที่เล่าเรื่องนี้ให้ข้าฟัง ได้ความรู้เยอะมากเลยทีเดียวเจ้าค่ะ”
         
          เฟินเยว่ยิ้มแฉ่งราวกับว่ารอยยิ้มของนางจะเป็นแสงสว่างนำทางแทนพระอาทิตย์ที่กำลังจะตกดินได้ หลังฟังเรื่องตำนานของเทศกาลหยวนเซียวต้าซิ่นก็เล่าเรื่องคุณงามความดีของซินแสตงฟางอีกมากมายราวกับว่าเขาเป็นผู้คลั่งใคล้ในตัวซินแสก็ไม่ปาน แต่หากความชื่นชอบนั้นทำประโยชน์ได้เด็กสาวก็พร้อมจะสนับสนุนและไม่มองว่าเป็นเรื่องที่ไร้สาระ จนกระทั่งช่วยกันจัดสุสานจนเสร็จเรียบร้อยสวยงามและเต็มไปด้วยดอกไม้ที่ปลูกไว้นานาพันธุ์ แต่ก็ยังเหลือต้นไม้อยู่อีกพอสมควรเพราะว่าซื้อมาเยอะ เอาไว้ปลูกแซมรายทางเพื่อความสวยงามก็น่าจะดี
         
          เมื่อทำทุกอย่างเสร็จเด็กสาวและชายหนุ่มก็จุดธูปพนมมือไหว้สุสานตั้งจิตอธิษฐานขอให้ดวงวิญญาณของซินแสตงฟางช่วยเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์คลี่คลายวิกฤตของบ้านเมือง ด้วยการถวายอาหารสามอย่างอันประกอบด้วยไก่ขอทาน ข้าวอบเผือก และสุราเก๊กฮวย เท่าที่หาได้ตามกำลังทรัพย์ที่มี เมื่อเสร็จธุระทุกอย่างแล้วทั้งคู่ก็ลงมาจากเขาพร้อมกับที่ปลูกดอกไม้รายทางไปด้วย
         

.
.
.
            

ลักษณะนิสัยรักสงบ
-10 ลดความเครียด

ลักษณะนิสัยขยัน
+2 Point ทุกครั้งที่โรลเรียนรู้
-20 ลดความเครียดเมื่อทำงานหรือทำกิจกรรมใด ๆ

ลักษณะนิสัยเห็นอกเห็นใจ
+20 EXP ทุกครั้งที่โรลเห็นอกเห็นใจช่วยเหลือผู้อื่น หรือ ทำงานช่วยเหลือ

อัตลักษณ์อัจฉริยะ
+5 Point จากการโรลเรียนรู้

อัตลักษณ์ผิวเป็นฝ้ากระ
+15 EXP จากการโรลทำงาน หรือ โรลเดินทางช่วงค่ำ (เรียลไทม์)

------------------------------------------------------

ถวายของเซ่นไหว้สุสาน อย่างละ 1 ชุด ดังนี้
ไก่ขอทาน, สุราเบญจมาศ และข้าวอบเผือก

และตกแต่งสุสานด้วยดอกไม้ อย่างละ 10 ต้น ดังนี้
ดอกเก๊กฮวย, ดอกเหมยกุ้ย, ดอกหงฮวา, ดอกหลันฮวา,
ดอกมะลิ, ดอกเชียนรื่อหง, ดอกโบตั๋น และดอกหงอนไก่
         
รางวัลการสร้างสุสาน
2) หาฮวงจุ้ยดี ๆ ทำสุสานให้ พร้อมป้ายสุสาน และ หน้าหลุมศพ (เลือกภาพอวตาร์ได้เลย) (เสนอปักสถานที่)
+25-70 EXP และ 5-20 Point (ตามความสวยงามของสุสาน)



←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
พยัคฆ์ตงเทียน
หยกเชื่อมสัมพันธ์
พู่กันเหวิ่นเซ่า
ถุงหอมจูอวี๋
กลยุทธ์เล่ออี้
บทเพลงยิ้มเย้ยยุทธจักร
หน้ากากขาว
เกราะเกล็ดมังกร
ผ้าคลุมไท่หลง
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x40
x32
x1
x439
x500
x73
x500
x26
x498
x500
x10
x2
x9
x1
x400
x1
x1
x5
x28
x8
x591
x228
x228
x500
x2514
x18
x14
x1
x5
x1
x2
x100
x5
x50
x100
x3
x3
x10
x2
x47
x64
x6
x9
x2
x71
x1
x24
x95
x50
x86
x150
x260
x150
x150
x46
x46
x2
x2
x6
x2
x2
x34
x4
x1
x8
x1
x2
x7
x5
x8
x7
x110
x7
x74
x45
x3
x30
x63
x74
x79
x2
x71
x68
x6
x45
x50
x160
x316
x3
x220
x48
x35
x168
x12
x10
x25
x1
x13
x6
x4
x6
ไม่ระบุชื่อ  โพสต์ 2021-10-20 10:17:55
  
วีรชนที่หลับใหล น้ำแข็งถูกละลายโดย จี๋เทียนเต้า
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x1
x2
x12
x5
x636
x241

1

主题

4

回帖

1010万

积分

ผู้ดูแลระบบ

积分
10100080

VIP Admin

STR
72+0
INT
200+0
POL
200+0
LEA
62+0
CHA
103+0
VIT
88+0
หลี่ มู่
เลเวล 1
 เจ้าของ| โพสต์ 2021-10-28 21:02:21 | ดูโพสต์ทั้งหมด
โพสต์นี้มีการป้องกันรหัสผ่านไว้ กรุณากรอกรหัสผ่าน 
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x1
x2
x12
x5
x636
x241
โพสต์ 2021-11-5 20:13:23 | ดูโพสต์ทั้งหมด

รอคอยข่าวยังซีเหอ
วันที่ห้า
.
.

          มีเรื่องหนึ่งที่ค้างคาใจจิ้นอิ๋งมาตั้งแต่ที่มาพักยังเรือนหิมะได้สักพัก นั่นคือเส้นทางขึ้นเขาใกล้เรือนที่แต่ก่อนนางจำได้ว่าไม่ได้ถูกปูด้วยไม้หมอนเอาไว้ เส้นทางที่นำเดินราวกับมีใครบางคนได้มาจัดเอาไว้ให้อย่างสวยงามด้วยดอกไม้ประดับรับด้านข้าง มาในวันนี้ที่เด็กสาวจึงตัดสินใจเดินขึ้นไปตามทางนั้นเพื่อไขข้อความสงสัยในใจนาง

          ซึ่งเดินขึ้นเขาไปได้ไม่นานจิ้นอิ๋งก็สังเกตเห็นถึงป้ายหินสลักชื่อของใครบางคนที่ทำให้นางต้องเดินเข้าไปดูใกล้ ๆ และยามได้เห็นนามของเจ้าของพื้นที่ฝังได้ชัดเจน เด็กสาวก็พลันค้อมคารวะหลุมศพนั้นด้วยความนอบน้อม ที่แท้เป็นที่ฝังของอดีตเจ้าของบ้านที่นางได้ทำการซื้อต่อมาแล้วนั่นเอง นางแทบแนบหน้าผากมนจรดพื้นดินเบื้องหน้าป้ายหินพร้อมพึมพำกล่าวขออนุญาตหาแก่อีกฝ่ายถึงบ้านเก่าของท่านนักปราชญ์เพื่อขอใช้พำนักอาศัยต่อไป ก่อนนางจะพลันผละใบหน้าขึ้นมาจนเพียงนั่งคุกเข่าและมีเสียงของอีกสตรีดังขึ้นเรียกความสนใจให้ผินมอง

          " มาไหว้หลุมศพท่านปราชญ์ตงฟางด้วยเช่นกันหรือเจ้าคะ "

          น้ำเสียงหวานนั้นเอ่ยอย่างเป็นมิตร พร้อมดวงหน้างามก็เผยรอยยิ้มหวานเย้ายวนอย่างธรรมชาติหาจิ้นอิ๋งจนเผลอมองค้างไปครู่หนึ่ง เด็กสาวพลันหลุบตาหลบอย่างเขินอายกับเสน่ห์ที่เปิดเผยออกไม่รู้ตัวของคนตรงหน้า ก่อนจะผงกศีรษะรับหาแทนคำตอบ ซึ่งสตรีแปลกหน้าผู้นั้นก็ไม่ได้ถือสาอะไรที่ได้รับการตอบรับเพียงท่าทาง ทั้งยังขยับมานั่งเคียงกับดรุณีน้อยก่อนวางมอบยังดอกไม้ลงด้านหน้าป้ายของตงฟางซั่วให้จิ้นอิ๋งต้องค้นย่ามของนางเพื่อเอาดอกไม้วางตามไปด้วย

          ดอกโบตั๋นหกดอกถูกวางข้างดอกไม้ของอีกสตรี ก่อนจะตามด้วยกระบอกใส่ชาที่ยังอุ่นอยู่ถูกนำออกมาพร้อมกับรินส่งให้แก่สตรีแปลกหน้าผู้นั้นจนอีกฝ่ายแทบส่งรอยยิ้มอย่างติดฉงนคืนแก่เด็กสาว

          " พอดี.. ข้าได้ยินเสียงลมหายใจท่าน… ไม่รู้ป่วยหรือไม่ แต่ชาเจียวกู่หลานนี้ช่วยบำรุงสุขภาพท่านได้เจ้าค่ะ " สิ้นเสียงดรุณีน้อย อีกสตรีก็หัวเราะแว่วหวานออกมาอย่างรู้สึกขอบคุณ ก่อนอีกฝ่ายจะรับถ้วยชานางไปจิบดื่มทั้งรอยยิ้ม

          " ขอบคุณแม่นางสำหรับชามากเจ้าค่ะ ข้ามีนามว่าฝูเอินนะเจ้าคะ "

          ได้ยินคำตอบรับมาเช่นนั้นโดยไม่ได้ถูกเอ่ยขยายความต่อถึงเรื่องป่วย ทำเอาจิ้นอิ๋งพอรับรู้ได้ว่าอีกสตรีคงไม่ได้อยากพูดถึงนัก ซึ่งเด็กสาวก็ไม่ได้ขยั้นขยอต่อ ไหนจะโดนเปลี่ยนประเด็นเป็นทักทายแนะนำชื่อกันไปอีก ดรุณีน้อยจึงยอมกล่าวถึงเรื่องที่ถูกนำกล่าวต่อไปแต่โดยดี

          " กู่จิ้นอิ๋งเจ้าค่ะ ยินดีที่ได้พบท่านฝูนะเจ้าคะ "

          " ยินดีที่ได้พบเช่นกันเจ้าค่ะแม่นางกู่ " ฝูเอินตอบรับทั้งรอยยิ้มหวานเอกลักษณ์ก่อนหยิบเอาเครื่องดนตรีหร่วนข้างกายขึ้นมาคล้ายเตรียมบรรเลง " ปกติข้าจะมาเล่นดนตรีคลายเครียดที่นี่น่ะเจ้าค่ะ เนื่องด้วยเงียบสงบดี และถือโอกาสเล่นให้ท่านตงฟางซั่วได้ฟังด้วย ..แม่นางกู่อ่านหนังสือได้หรือไม่เจ้าคะ? "

          คำถามที่ไม่คิดว่าจะได้รับทำเอาจิ้นอิ๋งแทบตาปริบราวกับตามไม่ทัน ท่าทางเป็นมิตรของอีกฝ่ายที่แสดงออกทั้งจากสีหน้ายิ้มแย้มและน้ำเสียงชวนคล้อยนั้นทำเด็กสาวเผลอพยักหน้าตอบรับไปอย่างไม่รู้ตัว ก่อนมือเรียวของคนที่กำลังจะจับสายหร่วนเมื่อครู่พลันผายออกสู่แผ่นหินอีกอันที่วางเคียงราวกับให้เด็กสาวได้ดูตามตัวอักษรบนแผ่นหินนั้น

          " พอดีข้ารู้เพียงเป็นหลุมศพท่านตงฟางซั่ว แต่มิรู้ว่าผู้ที่มาทำไว้ให้ได้เขียนอะไรลงอีกแผ่นป้ายนี้ พอจะอ่านให้ข้าฟังได้หรือไม่เจ้าคะ "

          ความใคร่รู้ในน้ำเสียงนั้นทำให้จิ้นอิ๋งไม่อาจปฏิเสธ นางอ่านประวัติคุณงามความดีของเจ้าของหลุมศพนี้ให้แก่ฝูเอินได้ฟังอย่างตั้งใจ ซึ่งอีกสตรีที่เฝ้าฟังก็พลันเลื่อนมือบรรเลงหร่วนคลอให้บรรยากาศรอบข้างดูนุ่มนวลลงไปอีกหลายส่วนที่แฝงความอาลัยอยู่ในทีไปด้วย ในยามที่จิ้นอิ๋งอ่านถึงส่วนของบทกลอนที่เขียนลงโดยผู้ที่ทำการสร้างหลุมศพนี้ขึ้นมาให้

          ดรุณีน้อยจึงไม่ได้อ่านอย่างร้อยแก้วเช่นบทความก่อนหน้า แต่เอื้อนเอ่ยขับขานลำนำกลอนนั้นให้เคล้าคลอไปกับเสียงหร่วนที่ถูกบรรเลงอยู่ น้ำเสียงหวานคล้ายยิ่งช่วยขับกล่อมบรรยากาศจนแม้แต่ผู้ที่บรรเลงเครื่องดนตรียังเผลอหลับตาลงรับสดับหา จนเฝ้าขับขานลงบรรทัดสุดท้ายของแผ่นหิน เสียงเพลงและการขับร้องที่สอดคลอก็พลันหยุดลงพร้อมกันให้ทั้งสองเผลอผินสายตาสบมองกัน ก่อนรอยยิ้มของจิ้นอิ๋งจะเผยออกด้วยความชอบใจ

          " ท่านฝูบรรเลงหร่วนได้ไพเราะมากเลยเจ้าค่ะ "

          " แม่นางก็ขับขานกลอนได้ดีเช่นกันเจ้าค่ะ น่าประทับใจมากทีเดียว "

          เด็กสาวที่ได้ยินเช่นนั้นก็พลันโบกมือปฏิเสธอย่างถ่อมตัว เพราะอย่างไรนางก็เพียงอ่านยังบทกวีที่ถูกบันทึกยังแผ่นหินก็เท่านั้น ซึ่งหลังจากนั้นตัวฝูเอินก็ได้ทำการบรรเลงหร่วนต่ออย่างที่ตั้งใจขึ้นมายังสุสานของตงฟางซั่ว โดยมีจิ้นอิ๋งดื่มชาเคียงพร้อมรับฟังเสียงบรรเลงหร่วนไปด้วย ดรุณีน้อยได้รอกระทั่งเสียงเพลงบรรเลงจบลงนางถึงได้เอ่ยสนทนาแทรกหาขึ้นมา

          " ท่านฝูว่า.. แม่นางเจิ้งที่ถูกดำเนินคดีอยู่ จะถูกช่วยรื้อฟื้นคดีให้พ้นข้อหาที่นางไม่ได้ทำได้หรือไม่เจ้าคะ "

          จิ้นอิ๋งกล่าวขึ้นติดเหม่อลอยขณะผินสายตามองเหม่อยังทิวทัศน์บื้องหน้าไปไกลโพ้นราวกับตัวนางอยากจะเห็นถึงอนาคตใดก็ตามถึงสตรีที่นางกล่าวถึงนั้นจะปลอดภัยและได้รับโทษที่เหมาะสมกับความผิดที่นางได้กระทำจริง ๆ ซึ่งสิ้นเสียงของเด็กสาว มือของอีกสตรีที่เตรียมบรรเลงหร่วนในบทเพลงต่อไปก็พลันชะงักงัน ฝูเอินคล้ายมองตามทิศของเด็กสาวไปด้วยขณะเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงเจือความคาดหวังขึ้นมาไม่ต่างกัน

          " ข้ามิรู้หรอก.. แต่ข้าก็หวังให้นางได้รับโทษที่เหมาะสมกับการกระทำผิดของนางนะเจ้าคะ "

          ดวงตาหวานโศกพลันผินหาอีกสตรี ร่องรอยความจริงใจฉายชัดยังแววตาของฝูเอิน เรียกรอยยิ้มของจิ้นอิ๋งให้ส่งหากลับดูขอบคุณไม่น้อยที่ยังมีคนอื่น ๆ เห็นด้วยกับการพิจารณาคดีใหม่ให้แก่สตรีแซ่เจิ้งผู้นั้น ก่อนนางจะพลันเอ่ยปากร้องขอแทนให้สตรีฝูเอินได้เล่นดนตรีต่อ ซึ่งคนโดนขอก็คล้ายพยักหน้ารับด้วยความเต็มใจ ทั้งยังดูยินดีไม่น้อยที่วันนี้ได้มีแขกผู้อื่นมาร่วมฟังนางเล่นหร่วนไปด้วย

          ทั้งจิ้นอิ๋งไม่ได้นั่งฟังเงียบ ๆ ในบางคราก็เอ่ยร้องเพลงคลอไปด้วยกัน จนบริเวณสุสานปราชญ์ตงฟางซั่วในเพลานี้ปรากฏเสียงไพเราะของสตรีและเครื่องดนตรีประเภทสายชนิดหนึ่งคลอแว่วให้ได้ยินอย่างเพลิดเพลินไม่น้อยเลย..



กู่จิ้นอิ๋งมอบ ดอกโบตั๋น 6 ดอก วางหน้าป้ายหลุมศพปราชญ์ตงฟางซั่ว

ลักษณะแต่กำเนิดตัวหอม
+20 ความสัมพันธ์กับคนที่คุยด้วย
.
[168] มอบ ชาเจียวกู่หลาน ให้
สถานะธาตุหลัก : +5 ความสัมพันธ์ [168] ธาตุดินเหมือนกัน
ค่าชื่อเสียง : -5 ความสัมพันธ์เมื่อเจอคนหัวคลั่ง
และ +10 ความโหดเมื่อเจอคนหัวมาร/หัวคลั่ง

←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
บทเพลงเฟิ่งฉิวหวง
ถุงหอมจูอวี๋
กระบี่
พู่หยกเลือดหงส์
กลยุทธ์เล่ออี้
ม้าเหลียง
หน้ากากขาว
เกราะเกล็ดมังกร
ผ้าคลุมไท่หลง
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x3
x3
x3
x3
x3
x3
x3
x5
x2
x2
x1
x2
x2
x2
x1
x1
x27
x2
x38
x40
x50
x50
x40
x40
x50
x3
x22
x19
x31
x10
x50
x5
x5
x5
x1
x12
x1
x2
x5
x2
x9
x1
x8
x6
x6
x1
x3
x2
x2
x1
โพสต์ 2021-11-8 14:28:56 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Fenyue เมื่อ 2021-11-10 11:14

   
⌜127⌟
   
บทที่ 20
เรื่องวุ่นวายที่ซีเหอ
ฉากที่ 10
      
          เช้าวันรุ่งขึ้นสามสหายออกเดินทางไปทิศตะวันตกเฉียงใต้ไปอันติโดยมีจุดหมายแรกคือแวะสักการะสุสานตงฟางซั่ว ทว่าต้องไปซื้อผลหมากรากไม้ในตลาดมาบูชาเสียก่อนแล้วจึงไปเยือนสุสานที่อยู่บนเขาใกล้กับกำแพงหมื่นลี้และบ้านเก่าของท่านซึ่งบัดนี้มีผู้ซื้อต่อไปปรับปรุงซ่อมแซมใหม่แล้ว
         
          “พวกเจ้าขึ้นไปก่อนขอข้าพักสักประเดี๋ยว”
         
          บัณฑิตหนุ่มร่างกายบอบบางเอ่ยขึ้นขณะที่ตัวเขานั่งลงหอบแฮกทั้งที่ขึ้นเขามาได้ยังไม่ทันถึงเครื่องทาง น่าเสียดายที่ทางขึ้นเขาแคบเกินกว่าจะขี่ม้าขึ้นไปได้จึงจำต้องผูกไว้ด้านล่างตีนเขา เฟินเยว่ไม่ใช่คนรีบร้อน นางรอสหายได้เสมออยู่แล้วทว่า…
         
          “อืม”
         
          ตงฮั่วขานตอบสั้น ๆ ก่อนที่จะหอบหิ้วสัมภาระทั้งหมดเดินนำขึ้นเขาไปลิ่ว ๆ
         
          “เอ๊ะ! ตะ..ตงฮั่วเจ้าคะ”
         
          เด็กสาวตาลีตาลานสลับมองบัณฑิตหนุ่มที่นั่งพักสลับกับสหายที่รุดหน้าเดินขึ้นไปก่อน ตัดสินใจไม่ถูกว่าควรจะทำอย่างไรดี
         
          “เจ้าขึ้นไปก่อนเถอะ ไม่เป็นไร ไม่ต้องห่วงข้า”
         
          ต้าซิ่นโบกมือหวอย ๆ บอกเด็กสาวให้ขึ้นไป
         
          “เอ่อ.. ถ้าอย่างนั้น แล้วเจอกันด้านบนนะเจ้าคะคุณชายเหลียง”
         
          ในเมื่ออีกฝ่ายบอกว่าไม่เป็นไรนางก็รีบตามตงฮั่วขึ้นไปด้านบนภูเขาโดยมีเจ้าหมูป่าเปาเปาวิ่งตามดิ๊ก ๆ หลังป่วยไข้ได้ออกกำลังเดินขึ้นเขาแบบนี้ก็ทำให้รู้สึกดีไม่น้อย แม้ลมหนาวที่สูดเข้าไปจะบาดลึกจนแสบปอด แต่ทว่าหากควบคุมจังหวะการหายใจดี ๆ ไม่รีบร้อนจนเกินไปก็จะสามารถรับความชื่นฉ่ำของขุนเขาได้เต็มเปา
         
          เด็กสาวร่างกายแข็งแรงก้าวเดินอย่างคล่องแคล่วประเดี๋ยวเดียวก็เดินตีคู่กับตงฮั่วได้ทัน แต่ใช่ว่าจะไม่เหนื่อย เฟินเยว่หอบน้อย ๆ เมื่อเห็นท่าทางดังกล่าวเด็กหนุ่มจึงผ่อนฝีเท้าลงให้เดินไปด้วยกันอย่างช้า ๆ และเมื่อมาถึงด้านบนทั้งสองก็ช่วยกันจัดเรียงเครื่องเซ่นไหว้ อาทิ ไก่ขอทาน สุรา สุราเบญจมาศ น้ำมะพร้าว กล้วย แก้วมังกร และช่อดอกไม้หลากสี แม้จะมีของที่ซ้ำกันกับคราวที่แล้วอยู่บ้าง ทว่าสังเกตดูจานเครื่องเซ่นเก่าหายไป แสดงว่ามีผู้ที่มาสักการะและคอยดูแลสุสานแห่งนี้เช่นกัน ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นผู้ที่อยู่อาศัยในบ้านเบื้องล่างนี้ก็ได้
         
          เฟินเยว่และตงฮั่วยังไม่จุดธูปเส้นไหว้บรรพชน ทั้งสองรอให้ต้าซิ่นมาถึงก่อนถึงจะสักการะพร้อมกัน ระหว่างนี้จึงเป็นช่วงพักให้หายเหนื่อย
         
          “อู๊ดดดด”
         
          เจ้าหมูป่าน้อยวิ่งเล่นไปเรื่อยอย่างไร้เดียงสาตามประสาลูกสัตว์ มันวิ่งนำไปที่แผ่นหินและเมื่อสายตามองตามไปก็ปรากฏเรือนร่างสีพิสุทธ์ที่กำลังจ้องมองแผ่นป้ายเบื้องหน้า
         
          “เอ๊ะ..?”
         
          เฟินเยว่กะพริบตา เมื่อครู่จำได้ว่ายังไม่มีใครอยู่ตรงนี้ แต่เพียงแค่พริบตาเดียวกลับมีร่างบุรุษที่คุ้นตา นามของเขายังคงเป็นปริศนารู้เพียงแค่ว่าเป็นผู้เฝ้ามอง
         
          “หืม มีอะไรหรือ?”
         
          ตงฮั่วเห็นเด็กสาวอุทานออกมาจึงผินใบหน้าหันไปมอง
            
          “ตงฮั่ว… เห็นคนผู้นั้นหรือไม่เจ้าคะ?”
         
          เด็กสาวถามให้แน่ใจ เพราะทุกครั้งที่นางได้พบกับผู้เฝ้ามองมักจะเกิดเหตุประหลาดเหมือนความฝัน และตอนนั้นนางก็มักอยู่เพียงลำพังตัวคนเดียว เมื่อเฟินเยว่ถามเช่นนั้นบุรุษจึงมองตามสายตาของนางไป
         
          “ผู้ชายชุดขาว ผมขาว?” คิ้วพยัคฆ์ขมวดมุ่นเข้าหากัน ตงฮั่วเองก็ตกอยู่ในอาการประหลาดใจไม่แพ้กัน เมื่อครู่ตอนที่จัดโต๊ะบูชาจำได้ว่าไม่มีใครบนนี้ อย่างน้อยหากเป็นผู้มาเยือนทีหลังเขาก็ควรจะได้ยินเสียงฝีเท้าอยู่บ้าง “มาตอนไหน?”
         
          “ตงฮั่วก็เห็นเหมือนกันสินะเจ้าคะ โล่งอกไปทีนึกว่าเป็นผีสางเสียอีก”
         
          เด็กสาวลูบอกอย่างโล่งใจ หากว่าอีกฝ่ายเห็นเหมือนกับนางแสดงว่าบุรุษผมขาวราวหิมะผู้นั้นไม่ใช่ทั้งเทพไป๋จี้ถุนและผีสางเทวดาเจ้าป่าเจ้าเขา เมื่อพูดถึงตรงนี้ชายคนดังกล่าวค่อย ๆ ผินใบหน้าหันมามองด้วยสีหน้าที่ไม่แสดงซึ่งความรู้สึกราวกับว่าอยู่เหนือความทุกข์และกฎเกณฑ์ทุกอย่างของโลกใบนี้
         
          “อ่า..เราเจอกันอีกแล้ว เจ้ามาที่นี่ก็คงเพราะเรื่องราวบางอย่างสินะ”
         
          “สวัสดีนะเจ้าคะ”
         
          เด็กสาวค้อมศีรษะพร้อมพรายยิ้มตอบ
         
          “เจ้าเคยเจอเขามาก่อนอย่างนั้นเหรอ?”
         
          ซูตงฮั่วได้แต่ทำสีหน้างุนงง ไม่รู้เลยว่าเด็กสาวไปพบกับบุรุษชุดขาวมาจากที่ไหน ได้ยินดังนั้นผู้เฝ้ามองก็อมยิ้มนิด ๆ ครั้งแรกสุดมีเด็กหนุ่มในเหตุการณ์ทว่าในตอนนั้นเขากำลังม่อยหลับอยู่ก็เท่านั้นเอง
         
          “เคยพบกันสองครั้งเจ้าค่ะ” เฟินเยว่ตอบคำถามสหายแล้วจึงค่อยเงยใบหน้าสบตาถามร่างสีขาวตรงนั้น “เจ้าค่ะ ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องเดียวกันหรือไม่ แต่ว่าข้ามาที่นี่ด้วยเรื่องของพี่ชายเจ้าค่ะ”
         
          “หากมาเพราะเรื่องพี่ชายคงเป็นเหตุบังเอิญที่ทำให้เจ้าต้องรู้เห็นเหตุการณ์นั้น..”
         
          “เหตุการณ์นั้น?” เฟินเยว่สบสายตากับสหาย ไม่เข้าใจว่าผู้เฝ้ามองกำลังกล่าวถึงเรื่องอะไรกันแน่ ทว่าหากเป็นเหตุการณ์สำคัญในช่วงนี้อาจจะเป็น.. “เรื่องของแม่นางเจิ้งหลันหรือเจ้าคะ?”
         
          “ถูกแล้ว”ผู้เฝ้ามองพยักหน้าด้วยรอยยิ้มบางเบาและช่างดูเลือนลางเสียเหลือเกินราวกับอยู่ในม่านหมอก “กับพวกเจ้ามีความคิดเห็นเช่นไรกับสถานการณ์นี้กันล่ะ?”
         
          “มีความเห็นเป็นเช่นไรหรือเจ้าคะ..”
         
          เด็กสาวอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ ไม่รู้ว่าควรจะตอบอย่างไรดีเพราะนางเป็นชาวบ้านธรรมดาที่ไม่มีส่วนรู้เห็นกับคดีความเลยแม้แต่น้อยเกรงไม่เหมาะสมหากต้องออกความคิดเห็นไป
         
          “เถอะหน่า ตอบมาเถอะ ข้าไม่ใช่คนทางการปลอมตัวมาล้วงคอเจ้าชะหน่อย ข้าไม่ไปบอกใครหรอก”
         
          ผู้เฝ้ามองกลั้วขำ ไม่ประหลาดใจว่าทำไมเด็กสาวถึงอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ ส่วนหนึ่งคงเพราะความกลัวที่จะแสดงความคิดเห็นอาจจะซึ่งขัดกับความเป็นธรรมที่ถูกต้อง แต่ว่าสิ่งใดคือความถูกต้องอันแท้จริงกันล่ะ แม้เด็กสาวจะเป็นคนฉลาดและหัวไวทว่ายังคงมึนตึงกับปรัชญาที่หาคำตอบอย่างแจ่มชัดไม่ได้ ทว่ากลับมีอะไรบางอย่างมาสะกิดใจให้อยากตอบตามความคิดเห็น
           
          “สิ่งที่ข้าคิดไม่รู้ว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้องและสมควรหรือไม่ ข้าโล่งอกเป็นอย่างมากที่แม่นางเจ้าไม่ถูกประหารและได้รับโทษตามสมควรที่นางได้รับเจ้าค่ะ แต่อย่างไรเลยข้าไม่สนับสนุนความรุนแรงตั้งแต่ต้น หากเจรจาถ้อยทีถ้อยอาศัยกันตั้งแต่แรกได้คงไม่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้...”
         
         “เจ้าช่างเต็มไปด้วยความเมตตา แต่บางครั้งความเมตตาไม่อาจใช้ได้ในบางสถานการณ์ หลายครั้งเจ้าต้องยอมฝืนกลั้นกระทำสิ่งที่ไม่ชอบบ้าง เจ้ารู้ใช่ไหม” ผู้เฝ้ามองกล่าวแนะนำก่อนจะเดินไปนั่งบนโขดหินอย่างผ่อนคลาย “ในกลียุคเช่นนี้ความเมตตาเป็นสิ่งที่ดี มันจะช่วยดึงใจขุนพลมีความสามารถมากมายในไต้หล้ามารับใช้ แต่เจ้าจะมีจิตใจคุณธรรมเพียงอย่างเดียวไม่ได้ ในบางสถานการณ์เจ้าต้องมีความโหดในตัว พร้อมทำสิ่งที่โหดร้ายเพื่อมิให้เป็นภัยแก่เจ้า”
      
          เด็กสาวฟังแล้วก็ได้แต่กะพริบตาปริบ ๆ
         
          “แต่ว่า… ข้าไม่อยากได้ขุนพลมารับใช้หรอกเจ้าค่ะ การได้ใช้ชีวิตสงบสุขเฉกเช่นชาวบ้านธรรมดาข้าก็พึงพอใจมากแล้วเจ้าค่ะ”
         
          ผู้เฝ้ามองยกมือปรามขึ้นให้เด็กสาวหยุดแสดงความคิดเห็นชั่วคราว
         
          “ข้าขอหยิบยกคำของจางเลี่ยงที่เคยกล่าวกับหลิวปังครั้งนึงเมื่อครั้งที่เขาต้องตัดสินใจระหว่างมีน้ำใจและโหดเหี้ยมฝืนใจทำตามหานซิ่น”
         
          ผู้เฝ้ามองกล่าวก่อนจะเป่าบางอย่างใส่เด็กสาวจนต้องหลับตาปี๋ ทว่าเมื่อลืมตาขึ้นนางกลับพบว่าตนเองยืนอยู่คนเดียวกลางหุบเขา ภาพเบื้องหน้าค่อย ๆ ปรากฏเงาหนึ่งร่างแต่ไร้วี่แววของตงฮั่วและผู้เฝ้ามอง นั่นทำให้นางตกใจมิใช่น้อย
   
      


        
          “ย้ากกกก ทำไมเจ้าทำกับข้าอย่างนี้ ข้าไม่อยากทำร้ายน้องเซี่ยงอวี่ ข้าหลิวปังจำทำอย่างไรดี!?”
         
          บุรุษผู้หนึ่งตะโกนร้องด้วยความกลัดกลุ้มเต็มหัวใจ เขาพูดถึงเซี่ยงอวี่อ๋องแคว้นฉู่ และแทนตัวเองว่าหลิวปัง ภาพเหล่านี้คือภาพในอดีตของหลิวปังอย่างนั้นหรือ? ร่างเงาอีกร่างปรากฏกายขึ้น หลิวปังผู้นั้นรีบวิ่งไปหาด้วยใจอย่างพึ่งพิงใครสักคนที่ไว้ใจได้
         
          “เสนา.. เสนาจางท่านกลับมาก็ดีแล้ว ข้าห่วงเจ้าแทบแย่ เดี๋ยวหานซิ่นทำร้ายเจ้านะ เจ้าน่ะเป็นคนเฉลียวฉลาดนะ แล้วนี่เจ้าไปไหนมาล่ะ”
         
          “ข้าออกมาศึกษาภูมิประเทศน่ะขอรับ”
         
          “ห๊ะ! เจ้ามาทำงานให้หานซิ่นอย่างนั้นเหรอ!?”
         
          หลิวปังหน้าถอดสีเมื่อเสนาจางกล่าวเช่นนั้นออกมา
         
          “หานซิ่นจะไล่ล่าเซี่ยงอวี่ให้จนมุม เพื่อสร้างชื่อเสียงให้ตนเอง เพื่อให้ประวัติศาสตร์จารึกเขาไว้ จะไม่ให้จางเลี่ยงพลาดโอกาสได้อย่างไรล่ะขอรับ”
         
          “อย่างน้อยก็ดีแล้วล่ะ เมียข้าหักหลังข้าแล้ว พวกเขาเข้าข้างหานซิ่นกันทั้งนั้นแหล่ะ ข้ารู้สึกว่าคนเหล่านั้นมันช่างโหดเหี้ยม เลือดเย็นเหลือเกิน”
         
          หลิวปังเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ แสดงภาวะในจิตใจของเขาที่ยากจะแบกรับปัญหาไว้ได้อีก
         
          “โลกนี้ไม่เที่ยง ทุกอย่างต้องเปลี่ยนแปลงไป แม้แต่ต้นหญ้าเมื่อเปลี่ยนฤดูมันก็ต้องเปลี่ยนแปลงตนเองเช่นกัน”
         
          จางเลี่ยงเอ่ยปรัชญาให้ขบคิด เฟินเยว่มองภาพเหตุการณ์มาถึงตรงนี้แล้วราวกับว่านางเองก็ถูกสั่งสอนด้วยเช่นกัน ทว่าหากตั้งอยู่ในความดีแล้วอยู่ยากนางก็ลำบากใจเหลือเกินถ้าต้องทำชั่ว ปรับตัวไปตามสังคมที่เสื่อมทราม
         
          “เจ้าอย่ามามัวพูดเรื่องนี้อยู่เลย ใช้มันสมองของเข้ายับยั้งเรื่องพวกนั้นก่อนนะ”
         
          “ข้าน้อยศึกษาและฟังความประชาชนมามากและได้บันทึกเอาไว้เพื่อให้ท่านประกอบกับการปกครองในวันหน้า”
         
          “ปกครองวันหน้างั้นเหรอ?” หลิวปังชะงัก คำพูดแนะนำของเสนาอำมาตผู้ที่เขาไว้ใจที่สุดกล่าวเช่นนั้นออกมา นั่นหมายถึงว่าอย่างไร “เจ้าจะให้ข้าปกครองแผ่นดินนี้อย่างนั้นเหรอ? ข้าตกลงกับน้องเซี่ยงอวี่แบ่งแผ่นดินเป็นสอง ข้าลงนามในสัญญาแล้วนะ!”
         
          “ท่านอ๋องกำจัดฉู่เด็ดขาดเป็นสิ่งที่ฟ้าดินกำหนดเอาไว้แล้ว ข้าติดตามท่านอ๋องมาด้วยเหตุนี้ การพูดอย่างทำอย่างแม้จะดูน่าเกลียดแต่ว่านี่ก็เป็นกลยุทธ์นะขอรับ”
         
          “หา!! เจ้าเห็นด้วยให้ข้าพูดอย่างทำอย่างงั้นเหรอ?!”
         
          “ข้าน้อยไม่เห็นด้วยตั้งแต่ทีแรก แต่หานซิ่นกุมอำนาจทหารไว้ในมือคนเดียว ดังนั้นเรื่องไม่เห็นด้วยต้องพักเอาไว้ก่อน ข้าน้อยจำเป็นต้องคล้อยตามลิขิต เหมือนกฎธรรมชาติฝนฟ้าจะตกมันก็ต้องตก มนุษย์ไม่สามารถยับยั้งสิ่งที่จะเกิดได้”
         
          จางเลี่ยงอธิบายให้ท่านอ๋องฟังอย่างใจเย็นและฉลาดเฉลียว เพียงเขาพูดจบฟ้าที่เคยสดใสก็หมองดำด้วยเมฆฝน สายฟ้าคำรามลั่นจนทำให้ทั้งเฟินเยว่และหลิวปังสั่นผวา
         
          “แต่เจ้าเป็นคนเฉลียวฉลาด เจ้าต้องช่วยน้องเซี่ยงอวี่นะ!”
         
          “จะท่านอ๋องก็เถอะจะเซี่ยงอวี่ก็เถอะ จะหานซิ่นหรือว่าจางเลี่ยง ตัวละครทุกตัวที่เอ่ยชื่อมาเป็นแค่หมากในกระดานจำต้องทำตามสวรรค์ลิขิตอยู่ดีนั่นแหล่ะ!”
         
          “เหลวไหลสิ้นดี! พูดอย่างทำอย่างชั่วช้า! สวรรค์หรือลิขิต! สวรรค์จะชั่วช้าเช่นนั้นเหรอ!!”
         
          “ท่านอ๋องพูดได้ดีมาก คุณธรรมอยู่ในใจ สถานการณ์เป็นอีกเรื่องหนึ่ง อย่ามาถามใครถูกใครผิดตอนนี้ข้าไม่กล้าเอ่ยปากหรอก รู้แต่ต้องคล้อยตามทุกอย่างท่านอ๋องโปรดเห็นใจด้วย”
         
          หยาดเม็ดฝนเทลงมาไม่ขาดสาย ชำระภาพทุกอย่างจนพร่าเลือน ฉากสุดท้ายที่จางเลี่ยงพูดราวกับว่าเขาหันมาพูดกับนางมิใช่อ๋องแห่งฮั่น
         
          มีคุณธรรมอยู่ในใจ คล้อยตามสถานการณ์
         
         


          “เยว่เอ๋อร์ เจ้าเป็นอะไรไป”
         
          คนเรียกสติของเด็กสาวให้กลับคืนมาคือสหายหนุ่มที่อยู่เคียงข้าง เขาเห็นนางนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งอย่างผิดสังเกตจึงเข้าไปเขย่าตัว
         
          “เมื่อกี้นี้มัน...”
         
          เด็กสาวนวดหว่างคิ้ว รู้สึกจับต้นชนปลายไม่รู้กับสถานการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้น เมื่อครู่นี่นางหลับในหรือ หรือว่าอาการป่วยไข้ยังไม่หายดีจนหน้ามืด
         
           “'ขอให้เจ้านำบทเรียนครั้งนี้ไปเรียนรู้ ในภายหน้าเจ้าอาจพบเจอสถานการณ์เช่นหลิวปัง”
         
          “อ๊ะ..”
         
          เด็กสาวเงยใบหน้ามองผู้เฝ้ามอง เห็นเพียงแค่รอยยิ้มให้กำลังใจ นางงุนงงไปหมดแล้ว มีเพียงนางเท่านั้นหรือที่เห็นภาพเหตุการณ์ของหลิวปังและจางเลี่ยง
            
          “แล้วเจ้าล่ะซูตงฮั่ว?”
         
          “ข้า?” เด็กหนุ่มเลิกคิ้วขึ้นมองถาม แต่แล้วก็เกิดอารามตกใจขึ้นบนสีหน้า “เฮ้ย! เจ้ารู้ชื่อจริงของข้าได้ยังไง!?”
         
          เขาแทบจะไม่เปิดเผยนามนี้แก่ใคร ทว่าบุรุษตรงหน้าทำไมจึงรู้นามเขา หรืออีกฝ่ายเป็นคนจากพรรคกระยาจกอย่างนั้นหรือ?
         
          “อย่าได้สงสัยเรื่องนั้นเลย เพราะว่าข้าคือผู้เฝ้ามอง เรื่องของทุกคนข้ารู้ดี”
         
          หนุ่มคิ้วพยัคฆ์หน้าซีด แม้จะยังไม่เข้าใจอะไรดีแต่ทว่าเมื่อลองจับต้นชนปลายดูแล้วทุกสิ่งล้วนแล้วแต่แปลกประหลาด มันชวนสงสัยตั้งแต่ที่เฟินเยว่เอ่ยถามเขาว่ามองเห็นชายผู้นั้นหรือไม่ตั้งแต่แรกแล้ว และไหนจะอาการนิ่งชะงักราวกับต้องมนตร์ของสหายสาวอีก
         
          “ตกลงว่าอย่างไร เจ้าคิดเช่นไรกับเรื่องนี้”
         
          คำถามคาดคั้นขอคำตอบถูกส่งมาอีกชุด หากไม่มีอันตรายร้ายแรงอันใดคงไม่เหนื่อบ่ากว่าแรงหากจะตอบคำถามประเด็นนั้น
         
          “คนทำผิดต่อให้เป็นคนดีก็ต้องรับโทษทัณฑ์ของการกระทำผิดไม่มีข้อยกเว้น มิเช่นนั้นจะมีกฎหมายไปเพื่ออะไร แค่อ้างความดีก็ล้างความผิดได้แล้วงั้นเหรอ ข้าคิดว่ามันไม่ถูกต้อง”
         
          บุรุษผมขาวเผยรอยยิ้มราวกับว่าถูกใจกับคำตอบตรงไปตรงมาของเด็กหนุ่ม
         
          “เจ้าช่างเป็นคนที่ยึดมั่นอย่างมีหลักการดีแท้ หากภายหน้าเจ้าได้เป็นใหญ่ แผ่นดินนี้คงมีความหวังใหม่ที่ก้าวสู่ความถูกต้อง เป็นตัวอย่างแก่อารยชนรอบต้าฮั่น”
         
          “ไร้สาระ เป็นใหญ่อะไร ข้าไม่เคยมีความคิดเช่นนั้น จุดมุ่งหมายของข้ามีเพียงอย่างเดียว… ไม่ดิ แค่สองอย่างก็เท่านั้น”
         
          ตอนแรกจะตอบว่ามีจุดหมายเดียวคือการแก้แค้นจนเกือบลืมไปว่าการแต่งงานหลังการแก้แค้นก็ถือเป็นจุดมุ่งหมายอีกอย่างด้วยเช่นกัน
         
          “แต่เจ้าคงรู้ใช่ไหม บางครั้งกฎหมายก็ไม่อาจคุ้มครองคนไร้อำนาจได้ หากวันที่เจ้าครองไต้หล้านี้และมีเหตุการณ์เช่นนั้นเจ้าจะทำเช่นไร”
         
          ผู้เฝ้ามองดูจะไม่ฟังคำกล่าวเมื่อครู่ของตงฮั่ว ทว่ามองเข้าไปในแววตาของเด็กหนุ่มที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่น
      
          “ก็บอกแล้วไงล่ะว่าไม่คิดเป็นใหญ่เป็นโต!”
         
          “บางครั้งเรื่องราวก็ไม่เป็นตามที่ข้าคิดไว้เสมอไป จากประสบการณ์ข้าที่พบเจอเรื่องราวมามากมาย มักจะมีสถานการณ์บางอย่างที่เจ้าต้องเลือก…” ผู้เฝ้ามองกล่าวสอน แล้วเดินไปนั่งบนโขดหินด้วยท่าทีผ่อนคลาย “หากเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นมาอีกครั้งตอนที่เจ้าเป็นใหญ่ เจ้าคิดว่าจะแก้ไขปัญหานี้ยังไง เพราะหลายครั้งใช่ว่าพวกเขาจะสามารถฟ้องร้องทางการได้เสมอไป ดีไม่ดีพวกเขาเองอาจถูกจับหรือฆ่าปิดปาก ต่อให้เป็นเมืองหลวงก็ยากจะเชื่อใจขุนนางเมื่อความเชื่อใจติดลบ และต่อให้หลังจากเจ้ารื้อคดีและไตร่สวนโทษความผิดคนสำคัญที่ตายไปสมควรรับโทษ แต่มือสังหารเจ้าคิดจะหาโทษสถานเบาให้ ซึ่งขุนนางทั้งราชสำนักเกือบทั้งหมดไม่เห็นด้วย คัดทานเจ้าประหารผู้ที่สังหารขุนนางชั้นผู้ใหญ่ หากเจ้าไม่ฟังขุนนางย่อมหลีกหนีไม่พ้นที่จะเกิดกบฎจากตระกูลเหล่านั้น”
         
          “ชิ! ข้าขี้เกียจจะพูดกับเจ้าแล้วนะ”
         
          เด็กหนุ่มเดาะลิ้น รู้สึกกรรมตามสนองที่เคยทำทีเมินเฉยถ้อยคำบัณฑิต เมื่อถูกเมินบ้างความรู้สึกมันเป็นเช่นนี้นี่เอง เฟินเยว่ที่อยู่ข้างกันได้แต่ลูบแขนสหายหนุ่มให้ใจเย็นลงและได้แต่ยิ้มแหย ๆ ให้
           
          “ขอให้เจ้าพึงจำไว้ ใจคนยากหยั่งถึง และ หนทางที่เจ้าเลือกเดินไม่อาจย้อนกลับมาได้แล้ว อย่าได้ให้กฎหมายเข้มงวดมาบีบรัดจนหายใจไม่ออกเสียเอง เฉกเช่นฉินซีหวงตี้ที่ปรารถนาจะให้แผ่นดิน ผู้คนเป็นระเบียบ แต่ท้ายสุดก็โดนความเข้มงวดในการปกครองทำร้ายจนราชวงศ์ฉินอยู่ได้แค่สองรุ่น”
         
          “ขอบพระคุณนะเจ้าคะ ถึงแม้ว่าข้ากับสหายจะยังไม่เข้าใจในวันนี้ แต่คำสอนของท่านไป๋จี้ถุน.. เอ้ย ท่านผู้เฝ้ามองได้สอนแง่คิดแก่พวกข้าไม่น้อยเลยทีเดียวเจ้าค่ะ”
         
          เด็กสาวเป็นฝ่ายกล่าวแทนแม้เป็นบทของบุรุษ แต่เพื่อกันความหัวร้อนไม่ให้มากไปกว่านี้นางจำต้องนำตัวเข้ามาแทรกแซง
         
          “เอาล่ะ นี่ก็ใกล้เวลาของข้าแล้ว ข้ามีของขวัญเล็กน้อยจะให้เจ้าไว้ตั้งตัวในภายหน้า”
         
          บุรุษสีขาวกล่าวบอก ก่อนจะชี้ไปยังใต้ต้นไม้ด้านหลัง ที่มีหีบใบหนึ่งปรากฏขึ้นมาตอนไหนก็ไม่รู้
         
          “เอ๋ หะ..หีบ.. หีบอีกแล้วหรือเจ้าคะ?”
         
          เด็กสาวยิ้มแหย เมื่อหันหลังไปมองก็เห็นหีบใบหนึ่งอยู่ใต้ต้นไม้ และเปาเปาก็ดูจะสนุกสนานอยู่กับการแทะหีบใบนั้น
         
          “หีบอีกแล้ว? เจ้าหมายถึง”         
         
          “อื้ม.. ที่นำตกในผูโจวน่ะเจ้าค่ะ ที่ข้าบอกว่าได้หีบมาเป็นค่าไถ่บ้านพอดี ข้าก็ได้มันมาจากท่านผู้เฝ้ามองผู้นี้”
         
          “หา!?”
         
          เด็กหนุ่มกล่าวด้วยอารามตกใจเป็นครั้งที่เท่าไรแล้วก็ไม่รู้ แม้จะต้องการคำตอบทว่าเฟินเยว่กลับส่ายหน้าอย่างจนปัญญาจะอธิบาย เรื่องที่เกิดขึ้นล้วนแล้วแต่พิศดารราวปาฏิหาริย์ทว่าทั้งหมดมันคือเรื่องจริง
           
          “ขอให้เจ้าสำเร็จปณิธานใหญ่ที่ปรารถนา และหวังว่าจะไม่ล้มเหลวเพราะตัวเอง จงจำไว้ ปรับใช้ตามสถานการณ์ บางครั้งเจ้าอาจต้องฝืนทำสิ่งที่ไม่อยากทำ แม้จะเครียดไปอย่างมากก็ตาม สถานการณ์ในแผ่นดินไม่เป็นดั่งใจเสมอ”
         
          ผู้เฝ้ามองกล่าวให้พรก่อนที่เขาจะลุกขึ้นจากหินแล้วเดินลงเขาหายวับไปจากกรอบสายตา
         
          “....”
         
          “....”
         
          เด็กหนุ่มเด็กสาวต่างมองหน้ากันโดยไร้ซึ่งคำพูด เรื่องทั้งหมดที่บุรุษสีขาวเอ่ยออกมาช่างฟังดูไกลตัวจากทั้งสองเป็นอย่างมากจนไม่รู้ว่าควรจะเก็บเอามาใส่ใจดีหรือไม่ แต่ในเมื่อได้หีบมาแล้วและเจตจำนงของอีกฝ่ายคือเพื่อสนับสนุนการสำเร็จปณิธานในอนาคต ของตงฮั่วคือการกำราบกลุ่มโจรผ้าเหลือง ของเฟินเยว่คือให้ชาวฮั่นอยู่ดีกินดี เด็ก ๆ เติบโตขึ้นมาอย่างดีไม่อดอยาก ดังนั้นเงินจำนวนนี้ก็ขอเก็บเอาไว้เป็นทุนการศึกษาแก่เด็กยากไร้ก็แล้วกัน
         
          ผ่านไปไม่ถึงหนึ่งอึดใจเหลียงต้าซิ่นก็เดินมาถึงสุสานยอดนักปราชญ์ บุคคลทั้งสามจึงจุดธูปสักการะท่านตงฟางซั่วพร้อมเพรียงกัน...
         
.
.
.
         

   

ตัวละครหลัก ซุน เฟินเยว่

ลักษณะนิสัยรักสงบ
-10 ลดความเครียด

ลักษณะนิสัยขยัน
+2 Point ทุกครั้งที่โรลเรียนรู้
-20 ลดความเครียดเมื่อทำงานหรือทำกิจกรรมใด ๆ

ลักษณะนิสัยเห็นอกเห็นใจ
+20 EXP ทุกครั้งที่โรลเห็นอกเห็นใจช่วยเหลือผู้อื่น
หรือ ทำงานช่วยเหลือ

อัตลักษณ์อัจฉริยะ
+5 Point จากการโรลเรียนรู้

อัตลักษณ์ผิวเป็นฝ้ากระ
-20 EXP จากการโรลทำงานในช่วงกลางวัน
หรือ โรลเดินทางช่วงกลางวัน (เรียลไทม์)
+15 ความเครียด เมื่อต้องทำอะไรก็ตามในช่วงเวลากลางวัน

อัตลักษณ์ขาดความรอบคอบ
-20 ความเครียดจากการโรลบริจาคให้ผู้อื่นอย่างไม่คิดหน้าคิดหลัง

เอฟเฟคความสัมพันธ์
[152] ซู ตงฮั่ว [มาร]
+10 ความสัมพันธ์ จากการคนธาตุและปีเดียวกัน
+10 ความสัมพันธ์กับขุนนางในสภา (ขยัน)
+15 ความสัมพันธ์กับคนที่คุยด้วย (หูดี)
-10 ความสัมพันธ์กับขุนนางในสภา (ผิวเป็นฝ้ากระ)
+10 ความโหดเมื่อเจอคนหัวมาร

-------------------------------------------------------

ถวายของเซ่นไหว้สุสาน อย่างละ 1 ชุด ดังนี้
ไก่ขอทาน, สุราเบญจมาศ, มะพร้าว,
กล้วย 1 หวี (10 ผล), แก้วมังกร 10 ผล

และช่อดอกไม้หลากสีรวมดอกไม้ อย่างละ 5 ดอก ดังนี้
ดอกเก๊กฮวย, ดอกเหมยกุ้ย, ดอกหงฮวา, ดอกหลันฮวา,
ดอกมะลิ, ดอกเชียนรื่อหง, ดอกโบตั๋น และดอกหงอนไก่

-------------------------------------------------------

ผู้ติดตามและสัตว์เลี้ยงที่เลือกให้ค่าประสบการณ์
[ [152] ซู ตงฮั่ว [มาร] ] +2 Level up , +10 Point
[เปาเปา] +2 Level up , +10 Point



ใช้งาน [152] ซู ตงฮั่ว [มาร]

ลักษณะนิสัยรักสันโดษ
-10 ความสัมพันธ์กับผู้อื่น

อัตลักษณ์แข็งแรง
+5 ความสัมพันธ์กับคนที่ให้ความสนใจ

อัตลักษณ์แผลเป็น
+5 ความสัมพันธ์กับผู้ที่สนใจ

+10 คุณธรรมเมื่อเจอคนหัวดี








































←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
พยัคฆ์ตงเทียน
หยกเชื่อมสัมพันธ์
พู่กันเหวิ่นเซ่า
ถุงหอมจูอวี๋
กลยุทธ์เล่ออี้
บทเพลงยิ้มเย้ยยุทธจักร
หน้ากากขาว
เกราะเกล็ดมังกร
ผ้าคลุมไท่หลง
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x40
x32
x1
x439
x500
x73
x500
x26
x498
x500
x10
x2
x9
x1
x400
x1
x1
x5
x28
x8
x591
x228
x228
x500
x2514
x18
x14
x1
x5
x1
x2
x100
x5
x50
x100
x3
x3
x10
x2
x47
x64
x6
x9
x2
x71
x1
x24
x95
x50
x86
x150
x260
x150
x150
x46
x46
x2
x2
x6
x2
x2
x34
x4
x1
x8
x1
x2
x7
x5
x8
x7
x110
x7
x74
x45
x3
x30
x63
x74
x79
x2
x71
x68
x6
x45
x50
x160
x316
x3
x220
x48
x35
x168
x12
x10
x25
x1
x13
x6
x4
x6
โพสต์ 2021-11-8 19:47:25 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย ZhaoPei เมื่อ 2021-11-8 19:52

          กว่าจะหาสุสานตงฟางซั่วเจอก็ต้องถามชาวบ้านอยู่หลายคน เพราะเป็นสุสานที่พึ่งสร้างขึ้นมาใหม่จากบุคคลปริศนา ซุนหยางจึงไม่รู้ด้วยซ้ำว่าที่ซีเหอได้ตั้งสุสานตงฟางซั่วตั้งแต่เมื่อไหร่ สองสหายกับแมวอีกหนึ่งได้เดินเข้ามาสำรวจพื้นที่สุสานแห่งนี้ด้วยความใคร่รู้

          ยังดีที่พวกนางเลือกที่จะมาก่อนเวลาเพื่อหาพื้นที่ให้เจอ ไม่เช่นนั้นก็คงไม่เป็นตามนัดไปเสียก่อนเพราะมัวแต่หาสถานที่นัดพบ โดยไม่ถามเจ้าตัวมาก่อนหน้านี้ ตัวเสี่ยวเฮยเองเมื่อยามได้เห็นธรรมชาติไร้ผู้คนก็พลันคิดจะกระโดดลงจากอ้อมแขนของนายมันเพื่อลงสำรวจพื้นที่ สี่เท้าน้อยๆวิ่งนำนางไปตามพื้นทางเดินอย่างดีอกดีใจทร่ได้พบสถานที่ได้รับการตกแต่งสวยงามเช่นนี้

          "มีคนมาก่อนพวกเรานะ.. ข้าว่าเรากลับก่อนหรือไม่จะรบกวนเขาเสียเปล่า"

          "ใครหรือ?" จ้าวเพ่ยได้ยินคำพูดของซุนหยางก็ละสายตาจากแมวตัวน้อยเพื่อมองไปยังด้านหน้า นางพบกับบุรุษผู้หนึ่งกำลังยืนมองยังป้ายหินขนาดใหญ่ตรงหน้า

          จ้าวเพ่ยมั่นใจว่านางเคยพบบุรุษผู้นี้มาก่อน คราวนี้ซุนหยางกับพบเจอเขาทั้งๆที่ก่อนหน้านี้นางคิดว่าแค่เพ้อฝันไปสองครา หญิงสาวหันหน้าไปมองผู้ติดตามของนาง เมื่อคิดถึงเห็นการณ์ในน้ำตกครั้งนั้นนางก็ค่อยๆก้าวไปเพื่อที่จะทักทายอีกฝ่ายแต่กลับถูกซุนหยางเรียกชื่อนางเอาไว้เสียก่อน

          "จ้าว.."

          "ข้าเคยพบเขา.." จ้าวเพ่ยกล่าวกับซุนหยางก่อนจะเดินเข้าไปหาอย่างช้าๆ ข้อมือนางถูกดึงรั้งเอาไว้เพื่อให้หยุดโดยสีหน้าของผู้ติดตามของนางในยามนี้ยังคงเกิดความสงสัยอยู่ไม่น้อย

          "เจ้ารู้จักเขาอย่างนั้นหรือ"

          "ผู้เฝ้ามอง.. เขาให้ข้าเรียกเช่นนั้น" นางหันไปมองทางผู้เฝ้ามองคนนั้น เพราะปกติจะมีแต่นางที่เห็นและพูดคุย ครานี้ซุนหยางเองก็ได้พบเช่นกันยิ่งทำให้นางต้องชั่งน้ำหนักความคิดว่าชายผู้นี้ไม่ใช่เทพหรือผีสางตามที่นางเคยคิด เสี่ยวเฮยเห็นเจ้านายทั้งสองยืนนิ่งก็รีบวิ่งเข้าไปหาและใช้ตัวพันรอบขานาบหญิงของมันไปด้วย

          เหมือนว่าจะรู้ตัวถึงการมาของนางและผู้ติดตามตั้งแต่แรกผู้กล่าวอ้างตนว่าคือผู้เฝ้ามองได้เอ่ยขึ้นมาเพื่อเปิดประโยชน์ให้แก่พวกนางทันที

          "อ่า..เราเจอกันอีกแล้ว เจ้ามาที่นี่ก็คงเพราะเรื่องราวบางอย่างสินะ" ผู้เฝ้ามองกล่าวถามทั้งสองที่เข้ามาพบโดยบังเอิญ

          "เจ้าค่ะ.. มีคนนัดข้ามายังที่นี่ ข้าไม่ทราบว่าเขาจะพูดคุยเรื่องใด แต่บางทีอาจจะเป็น.. เรื่องที่พึ่งผ่านมาก็ได้"

          "เรื่องที่ผ่านมาหรือ.. เจ้าพูดถึงอะไร" ซุนหยางได้ยินจ้าวเพ่ยตอบดังนั้นก็นึกสงสัยไม่น้อยก็ได้ถามออกไป สตรีงามเองจับแมวตัวสีดำที่กวนขานางจึ้นมาอุ้มกระชับเล็กน้อยก่อนจะหันไปหาซุนหยางเพื่อคลายความข้องใจของอีกฝ่าย

          "เรื่องคดีแม่นางเจิ้งน่ะ.."

          "กับเจ้ามีความคิดเห็นเช่นไรกับสถานการณ์นี้กันล่ะ" ผู้เฝ้ามองกล่าวถามอีกฝ่าย นานๆ ทีเขาจะได้ลงมาเสวนากับมนุษย์ จึงใคร่รู้ความเห็นต่อเรื่องราวเพื่อนร่วมพงไพรพวกเขาเสียหน่อย

          "ท่านใคร่รู้ไปด้วยเหตุผลอันใด.."

          "เอาน่า.." นางรีบปรามผู้ติดตามที่ตอบไม่เข้าหูผู้อื่นเสียจริงในยามนี้ หญิงสาวรับรู้ได้ถึงคำถามนั้นแต่นางเองก็ไม่รู้จะตอบอย่างไรดี สตรีผู้มีความคิดโลเลไปมาเช่นนาง มีความคิดเช่นไรในเหตุการณ์นี้กันแน่ ตัวเองเองก็ไม่มั่นใจในความคิดของตัวเองเลยแม้แต่น้อย ยิ่งกับคนที่มาถามเช่นนี้กับนางผู้ที่ทั้งเป็นคนแจ้งเบาะแสตามจับและช่วยสืบคดีที่รื้อใหม่อีก..

          จ้าวเพ่ยไม่รู้ว่าต้องการอะไรจากคำตอบของนางกันแน่

          "เถอะหน่า ตอบมาเถอะ ข้าไม่ใช่คนทางการปลอมตัวมาล้วงคอเจ้าชะหน่อย ข้าไม่ไปบอกใครหรอก" ผู้เฝ้ามองที่ยืนมองทั้งสองก็อดขำไม่ได้เมื่ออีกฝ่ายระแวดระวังตัว แต่ก็เข้สใจดีว่าในกลียุคเช่นนี้คงยากจะวางใจใครได้

          "ข้าคิดว่าสิ่งที่แม่นางเจิ้งทำไปมีความผิดจริงเจ้าค่ะที่สังหารคนโดยพละการ ท่านมือปราบเคยกล่าวกับข้าว่าไม่ว่ามีเป้าหมายเพื่ออะไรแต่นางก็ทำผิดกฎหมาย นางไม่มีสิทธิ์ตัดสินคนอื่น" นางเหลือบตาไปมองชายที่อยู่ข้างๆเล็กน้อยขณะมองมานางนางอย่างไม่คิดเชื่อในคำตอบนั้น "แต่อย่างไรนางก็ถูกใส่ความ ข้าจึงคิดว่านางควรได้รับโทษเฉพาะตามความผิดที่นางก่อ แม่ทัพตู่เองก็ทำไม่ดีเอาไว้มากสมควรถูกประหารแล้ว นางเองทำผิดแต่มีที่ทำไปเพราะเหตุต้องช่วยเหลือ ข้าก็ถือว่านางเองก็มีความดี สมควรถูกลดโทษที่สังหารแม่ทัพตู่แล้วเจ้าค่ะ"

          "เจ้าช่างเต็มไปด้วยความเมตตา แต่บางครั้งความเมตตาไม่อาจใช้ได้ในบางสถานการณ์ หลายครั้งเจ้าต้องยอมฝืนกลั้นกระทำสิ่งที่ไม่ชอบบ้าง เจ้ารู้ใช่ไหม" ผู้เฝ้ามองกล่าวแนะนำอีกฝ่าย ก่อนจะเดินไปนั่งบนโขดหินอย่างผ่อนคลาย "ในกลียุคเช่นนี้ความเมตตาเป็นสิ่งที่ดี มันจะช่วยดึงใจขุนพลมีความสามารถมากมายในไต้หล้ามารับใช้ แต่เจ้าจะมีจิตใจคุณธรรมเพียงอย่างเดียวไม่ได้ ในบางสถานการณ์เจ้าต้องมีความโหดในตัว พร้อมทำสิ่งที่โหดร้ายเพื่อมิให้เป็นภัยแก่เจ้า"

          "ข.. ข้าไม่ได้เมตตาเสียขนาดนั้นหรอกเจ้าค่ะ.. ที่ข้าตอบไปเช่นนั้นเพราะข้าคิดเช่นนั้นจริงๆ นางมีความดีที่กระทำเช่นนั้นนะเจ้าคะ" จ้าวเพ่ยกล่าวเช่นนั้นแต่นางเองก็รู้สึกกระดากปากเล็กน้อย ในเมื่อยิ่งนางพยายามแก้ไขความผิดพลาดของนางเท่าไหร่ นางยิ่งถลำลึกลงไปจนเริ่มยากจะแก้ไขยิ่งขึ้น

          "ข้าขอหยิบยกคำของจางเลี่ยงที่เคยกล่าวกับหลิวปังครั้งนึงเมื่อครั้งที่เขาต้องตัดสินใจระหว่างมีน้ำใจและโหดเหี้ยมฝืนใจทำตามหานซิ่น"

          ผู้อ้างตนว่าเป็นผู้เฝ้ามองเป่าบางอย่างใส่จ้าวเพ่ย ทำให้นางเห็นภาพตรงหน้าเปลี่ยนไปจากเดิม

          "ทำไมเจ้าทำกับข้าอย่างนี้ ข้าไม่อยากทำร้ายน้องเซี่ยงอวี่ ข้าเล่าปังจะทำอย่างไรดี!"

          บุรุษคนหนึ่งแหกปากร้องออกมาด้วยความกลุ้มใจกับตัวเอง ราวกับต้องการระบายความรู้สึกออกมาทั้งหมด บุรุษแทนตัวเองว่าหลิวปังผู้นี้มีใบหน้าที่กลัดกลุ้มเสียเต็มประดา

          "ท่านอ๋อง!"

          พลันปรากฏชายคนหนึ่งเดินเข้ามาหาทั้งเรียกหลิวปังนั้นให้หันไปหาอีกฝ่ายและรีบปรี่เข้าไปด้วยความดีใจทันที

          "เสนา.. เสนาจาง"

          "คาราวะท่านอ๋อง"

          "เสนาจัง~ เจ้ากลับมาก็ดีแล้ว ข้าห่วง ห่วงเจ้าแทบแย่ ท่านหานซิ่นน่ะ ทำร้ายเจ้านะ"

          "เรื่องที่เขาพูดอย่างทำอย่างน่ะหรอ"

          "เออนั่นแหละ.. เสนาจาง เอ๊ย.. เจ้าน่ะเป็นคนเฉลียวฉลาดนะ ข้าน่ะกลัดกลุ้มแทบแย่เลย หลายวันนี่เจ้าไปไหนมาล่ะ" หลิวปังจับมืออีกฝ่ายแน่น ทั้งกล่าวด้วยความเป็นห่วงออกมาเสียจนออกนอกหน้า

          "ข้าเองก็ศึกษาภูมิประเทศแถบนี้ไงล่ะครับ"

          "หา!!" ทันทีที่ได้ยินคำตอบ หลิวปังกลับรีบสะบัดมือออกจากอีกฝ่ายด้วยสีหน้าที่โกรธเคืองทันที "เจ้าก็พลอยเป็นไปกับเขา ม.. มาศึกษาภูมิประเทศ ทำงานให้หานซิ่นเหรอ!!"

          "ห่านซิ่นจะไล่ล่าเซี่ยงอวี่ให้จนมุม สร้างชื่อเสียงให้ตนเอง เพื่อให้ประวัติศาสตร์จารึกเขาไว้ จะไม่ให้จางเลียง พลาดโอกาสได้อย่างไรล่ะขอรับ"

          จางเลียงกล่าวตอบอีกฝ่ายออกไป อให้หลิวปังคลายความโกรธลงบ้าง บุรุษหนุ่มโล่งใจขึ้นมาทั้งจับแขนอีกฝ่ายไปด้วย

          "ก็ดีแล้วล่ะ.. อย่างน้อยก็ยังมีเจ้าอยู่ด้วย เมียข้า หักหลังข้าแล้วจะทำร้ายน้องที่ดีของข้าน่ะ พวกเขาเข้าข้างหานซิ่นทั้งนั้นแหละ"

          "ข้ารู้สึกว่าคนเหล่านั้นมันช่างโหดเหี้ยม เลือดเย็นเหลือเกิน"

          เมื่อจางเลียงได้ยินเช่นนั้นก็ส่ายหัวน้อยๆกับอาการของอีกฝ่ายที่ช่างดูไร้ที่พึ่งเสียเหลือเกิน

          "โลกนี้ไม่เที่ยง ทุกอย่างต้องเปลี่ยนแปลงไป แม้แต่ต้นหญ้าเมื่อเปลี่ยนฤดูมันก็ต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองเช่นกัน"

          จางเลียงกล่าวคำปรัชญาให้แก่จางเหลียงราวกับว่าเขาเองคิดได้เช่นนั้น

          "อย่าพูดนอกเรื่องตอนนี้ เจ้ารีบใช้มันสมองของเจ้ายับยั้งพวกเขาหน่อยนะ!"

          "ท่านอ๋อง.. ข้าน้อยศึกษาและฟังความประชาชนมามากและได้บันทึกเอาไว้เพื่อให้ท่านประกอบกับการปกครองในวันหน้า"

          โดยที่หลิวปังยังไม่ทันพูดจบจางเหลียงก็พูดแทรกขึ้นมาทันที ทำให้เขาชะงักไปครู่หนึ่งกับคำพูดของจางเลียง

          "ปกครองวันหน้า?" นั่นหมายความว่าอย่างไรกัน "เจ้าจะให้ข้าครองแผ่นนี้หรอ แต่ข้าตกลงกับน้องเซี่ยงอวี่ แบ่งแผ่นดินเป็นสอง ข้าลงนามในสัญญาแล้วนะ"

          "ท่านอ๋องกำจัดฉู่เด็ดขาดสวรรค์ลิขิตไว้แล้ว ข้าน้อยติดตามท่านอ๋องมาด้วยเหตุนี้แหละ การพูดอย่างทำอย่างแม้จะน่าเกลียด แต่ว่านี่ก็เป็นกลยุทธ์นะครับ"

          "หา.. เจ้าเห็นด้วยให้ข้าพูดอย่างทำอย่างหรอ!" หลิวปังเกิดอาการโกรธเคืองขึ้นมาเล็กน้อยแต่ก็กัดเก็บอาการเอาไว้

          “ข้าน้อยไม่เห็นด้วยตั้งแต่ทีแรก แต่หานซิ่นกุมอำนาจทหารไว้ในมือคนเดียว ดังนั้นเรื่องไม่เห็นด้วยต้องพักเอาไว้ก่อน ข้าน้อยจำเป็นต้องคล้อยตามลิขิต เหมือนกฎธรรมชาติฝนฟ้าจะตกมันก็ต้องตก มนุษย์เราไม่สามารถยับยั้งสิ่งที่จะเกิดได้

          พลันสิ้นเสียงก็เกิดเสียงฟ้าคำรามก้อง ราวกับว่าสั่งได้ จ้าวเพ่ยเกิดความกลัวเล็กน้อยเมื่อเห็นเช่นนั้น ตัวนางเองก็สั่นกลัวไม่แพ้หลิวปังในยามนี้ ที่หันขึ้นไปมองฟ้าที่แปรปรวณทันใด

          "ท่านอ๋อง" จางเลี่ยงเรียกสติอีกฝ่ายขึ้นมาให้เขาเองต้องหันไปหาจางเลี่ยงอีกครา

          "เจ้าเป็นคนเฉลียวฉลาด.. เจ้าต้องช่วยน้องเซี่ยงอวี่นะ!"

          "จะท่านอ๋องก็เถอะ.. จะเซี่ยงอวี่ก็เถอะน่า! จะหานซิ่นหรือว่าจางเลี่ยง ตัวละครทุกตัวที่เอ่ยชื่อมาเนี่ย เป็นแค่หมากในกระดานจะต้องทำตามสวรรค์ลิขิดอยู่ดีนั่นแหล่ะ!"

          "เหลวไหลที่สุด!! พูดอย่างทำอย่างชั่วช้า! สวรรค์หรอลิขิต! สวรรค์จะชั่วช้าเช่นนั้นเหรอ!!" หลิวปังตะโกนออกมาอย่างเหลืออด

          "ท่านอ๋องพูดได้ดีมาก.. คุณธรรมอยู่ในใจ สถานการณ์เป็นอีกเรื่องหนึ่ง อย่ามาถามใครถูกใครผิดตอนนี้ข้าไม่กล้าเอ่ยปากหรอก" จางเลียงหยุดพูดและมองไปทางหลิวปัง "รู้แต่ต้องคล้อยตามทุกอย่างท่านอ๋องโปรดเห็นใจด้วย"

          "แต่ข้าไม่เชื่อ!! คุณธรรมอยู่ในหัวใจ หากมีความผิดชอบชั่วดี เราก็ไม่ผิดคุณธรรมสิ!"

          เม็ดฝนหยาดลงน่างของจ้าวเพ่ยจนอาภรณ์เปียกโชก หญิงสาวเห็นหลิวปังนั่งคุกเข่าเพ้อรำพันก่อนภาพทั้งหมดจะค่อยๆเลือนจางไป

          ก่อนสิ้นภาพสุดท้าย เสียงจางเลี่ยงดังก้องในหัวของจ้าวเพ่ยก่อนนางจะได้สติขึ้นมาอีกครา

          'มีคุณธรรมอยู่ในใจ คล้อยตามสถานการณ์'

          "ม.. เมื่อกี้.." จ้าวเพ่ยเองยังคงงุนงงว่าเกิดอะไรขึ้นกับนาง ตอนนี้หญิงสาวไม่ได้เปียกปอนอย่างที่คิด พลันหันไปหาซุนหยางเพื่อจะถามสิ่งที่เกิดขึ้นแต่เหมือนบุรุษผู้มาด้วยกันกับนางจะไม่รู้เรื่องอะไรเลย

          เสียงเสี่ยวเฮยร้องขึ้นมานางเองก็พึ่งรู้ตัวว่าอุ้มแมวดำอยู่ ทั้งๆที่เมื่อครู่นี้นางจำได้ดีว่าตอนเห็นภาพ นางไม่ได้อุ้มเสี่ยวเฮยเลย

          ''ขอให้เจ้านำบทเรียนครั้งนี้ไปเรียนรู้ ในภายหน้าเจ้าอาจพบเจอสถานการณ์เช่นหลิวปัง" ผู้เฝ้ามองกล่าวด้วยรอยยิ้มที่ให้กำลังใจ

          "จ้าว.. เป็นอะไรไปหรือ" ซุนหยางถามออกมาด้วยความเป็นห่วงพลันจับไหล่ก็เห็นหญิงสาวเองมองหน้ามาทางตนอย่างนิ่งเงียบราวกับมีความคิดในหัวมากมายที่จะต้องจัดเรียงเสียงหลายเรื่อง

          "แล้วเจ้าล่ะ.. ซุนหยาง คิดเช่นเดียวกับจ้าวเพ่ยหรือไม่"

          "นางจ้าวเล่าเรื่องของข้าให้ท่านฟังด้วยหรือ" ซุนหนางเกิดความสงสัยเมื่อถูกถามออกมาเช่นนั้น เขาเองอยากจะคาดโทษจ้าวเพ่ยแต่เห็นนางหันมาและส่ายหัวปฏิเสธเล็กน้อยให้พอเข้าใจว่านางหาใช่คนที่จะเล่าอะไรให้ใครฟังไปทั่ว

          "หากเป็นเรื่องราวนางเจิ้งน่ะหรือ.. เรื่องนั้นข้าไม่สนใจหรอก ต่อให้ใครจะเป็นตายยังไงก็ช่าง ก็ต้องสนใจความอยู่รอดของตัวเองให้ได้ก่อนสิ"

          "เจ้าคิดเช่นนั้นสินะ คนเช่นเจ้าเหมาะสมกับยุคสมัยนี้ แต่หลังแผ่นดินสงบ อำนาจในมือเจ้าอาจสั่นคลอน" ผู้เฝ้ามองกล่าวทั้งคลี่ยิ้มอย่างมีเลศนัยบนโขดหิน "หวังว่าที่เจ้าทำลงไปจะคุ้มกับผลตอบแทนนะ"

          "ต่อให้อำนาจอยู่ในมือข้าหรือไม่ ก็ใช่เรื่องที่จะต้องคิดถึงภายภาคหน้าหรอก" ซุนหยางตอบอย่างที่ตนติดแต่เขากลับถูกจ้าวเพียงดึงแขนเอาไว้แน่น

          "ซุนหยาง.. พอเถอะ.."

          "เจ้าคือผู้สร้างหนทางปราบแว่นแคว้นที่มีกำลังเข้มแข็งล้วนง่ายดายหากเจ้าเป็นผู้นำทัพ ความเผด็จการของเจ้าจะเป็นที่เกรงข้ามไปอีกหลายร้อยปีเฉกเช่นเซี่ยงอวี่...."

          กล่าวไม่ทันจบก่อนเขาผละตัวเองถอยหลบเมื่อซุนหยางจับอาวุธและพุ่งคมอาวุธใส่ มือที่ผสานไว้ด้านหลัง ตัวยืดตรงหลบหลีกการจู่โจม

          "ท่านเป็นใครกันแน่ มาเพื่อล้วงข้อมูลอะไรเกี่ยวกับข้าและนางใช่หรือไม่!"

          "ใจเย็นก่อน ข้าแค่เตือนสติเจ้า" เขาพริ้วไหวตัวหลบตามการจู่โจมอีกฝ่ายอย่างคล่องแคล่วไปพร้อมกับพูด "ที่ข้าจะบอกคือเจ้ามีข้อดีที่จะปราบปรามหัวเมืองที่มีอำนาจมากมาย แต่เมื่อเจ้าคิดจะเป็นใหญ่จะต้องรู้จักการฝืนการกระทำของเจ้า เพื่อใช้เมตตาสยบใจผู้คน มิเช่นนั้นจะมีคนที่ปวงประชาสนับสนุนมาแทนเจ้าเช่นเซี่ยงอวี่โค่นล้มฉิน แต่ผู้ได้ผลประโยชน์ที่ได้ใจประชาคือหลิวปัง"

          ชายหนุ่มหลบพริ้วอย่างงดาม ก่อนใช้ปลายมือที่ไขว้หลังออกมาข้างหนึ่ง สองนิ้วคีบคมอาวุธอีกฝ่ายหยุดนิ่ง "ข้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเจ้า แต่อีกไม่นานเจ้าจะพบคู่ต่อสู้อีกมากมาย"

          หลิวปัง..

          ชื่อนี้อีกแล้ว จ้าวเพ่ยพยายามปราบซุนหยางก็ชะงักเล็กน้อย หญิงสาวตั้งสติให้อยู่กะบสถานการณ์ตรงหน้าเพื่อจับซุนหยางและดึงออกมาก่อนจะกล่าวขอโทษที่ผู้ติดตามของนางทำอะไรพละการ โดยไม่ถามนางก่อน

          "เอาล่ะ นี่ก็ใกล้เวลาของข้าแล้ว ข้ามีของขวัญเล็กน้อยจะให้เจ้าไว้ตั้งตัวในภายหน้า" ผู้เฝ้ามองกล่าวบอกจ้าวเพ่ย ก่อนจะชี้ไปยังใต้ต้นไม้ด้านหลัง ที่มีหีบใบหนึ่งตอนไหนไม่รู้

          "แง๊ว!!" เสี่ยวเฮยร้องออกมาเมื่อจ้าวเพ่ยหันไปมองตามที่ชี้ไป แมวน้อยเหมือนจะรู้เรื่องก็ร้องออกมาขณะหลับตาหยีใส่ผู้เฝ้ามอง ฟันเขี้ยวน้อยๆถูกโชว์มาขณะแมวน้อยเองเหมือนจะยากคุยกับผู้เฝ้ามองไม่น้อย

          "ขอให้เจ้าสำเร็จปณิธานใหญ่ที่ปรารถนา และหวังว่าจะไม่ล้มเหลวเพราะตัวเอง จงจำไว้ ปรับใช้ตามสถานการณ์ บางครั้งเจ้าอาจต้องฝืนทำสิ่งที่ไม่อยากทำ แม้จะเครียดไปอย่างมากก็ตาม สถานการณ์ในแผ่นดินไม่เป็นดั่งใจเสมอ" ผู้เฝ้ามองกล่าวให้พรแก่จ้าวเพ่ยและผู้ติดตามและสัตว์รอบ ๆ ตัวนาง

          "แม๊ว!!" เสี่ยวเฮยร้องขึ้นมาตอบรับก่อนมันจะตะกุยแุ้งเท้ากับตัวจ้าวเพ่ยเพื่อจะปีนขค้นไหล่นาง หญิงสาวละความสนใจมองไปยังแมวตัวน้อยเหมือนกับซุนหยางที่ดูว่าเกิดอะไรขึ้น เสี่ยวเฮยลื่นถไลลงและเกาะไหล่จ้าวเพ่ยแน่นก่อนมันจะถูกดึงมาอุ้มที่เดิม แมวน้อยยกอุ้งเท้าขึ้นมาเลี้ยทำความสะอาดราวกับที่มันปีนไหล่จ้าวเพ่ยไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย

          ครั้นพอหันไปหาผู้เฝ้ามองแล้ว กลับไม่พบใครเลย จ้าวเพ่ยหันไปทางซุนหยางราวกับไม่เชื่อสายตาตัวเอง ชายคนนั้นหายไปอีกแล้ว โดยที่ทั้งนางและผู้ติดตามเองก็รู้สึกเช่นเดียวกัน ให้นับรู้ว่าไม่ใช่เรื่องเพ้อฝันที่เกิดขึ้นพร้อมกันสองคนแน่ๆ

          "เมื่อครู่ข้าได้ยินมาว่ามีของขวัญอยู่ด้านหลัง" ซุนหยางกล่าวขึ้นมาเพื่อดึงความสนใจไปทางของขวัญ เขาเดินนำจ้าวเพ่ยไปยังหลังต้นไม้เพื่อดูว่าชผู้เฝ้ามองได้กล่าวเช่นนั้นจริงหรือไม่

          แน่นอนว่าครั้งนั้นชายผู้นั้นได้ให้ตำลึงนางเสียเยอะจนตั้งตัวได้สบายๆ ครั้งนี้กลับให้ของขวัญโดยที่ไม่มีเหตุผลอีกครา

          "มีจริงๆด้วย.. เจ้าคิดว่ามือปราบนัดมาเพราะเหตุนี้หรือเปล่า?"

          "ไม่หรอก" นางตอบขณะปล่อยให้เสี่ยวเฮยเดินไปหาสมบัติพวกนั้น "ข้าคิดว่าคงไม่ใช่ ท่านมือปราบนัดข้ายามไห้ นี่ยังไม่ถึงเวลาดี"

          "แล้วเอาอย่างไร รอต่อเลยหรือไม่"

          "ข้าขอลงไปซื้อของเพื่อถวายแก่สุสานนี้ก่อนเถอะ อย่างไรก็ยังมีเวลาเหลือ" จ้าวเพ่ยกล่าวเช่นนั้นซุนหยางก็ไม่ได้ขัดอะไร เขาก้มมองอีกฝ่ายยังคงนั่งอยู่กับแมวก็ยื่นมือมาให้

          "ข้าขออภัยที่ทำอะไรไม่คิดเมื่อครู่นี้ คงไม่ถือสาหรอกใช่หรือไม่"

          "ไม่หรอก.. คราหลังอย่าทำเช่นนั้นอีกละกัน" นางกล่าวทั้งยื่นมือไปจับอีกฝ่ายเพื่อดันตัวลุกขึ้น เสี่ยวเฮยเห็นทั้งสองเดินไปก็วิ่งเต๊าะแต๊ะตามด้วยความร่าเริงราวกับพบเรื่องดีๆมา

[ผู้ติดตาม 1 คนที่เปิดใช้งาน // ซุนหยาง]
[สัตว์เลี้ยง 1 ตัวที่เปิดใช้งาน // เสี่ยวเฮย]

←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
กระบี่ร้อยกฎ
มุกพณาหวาซวี
ม้าเหลียง
กลยุทธ์เล่ออี้
บทเพลงยิ้มเย้ยยุทธจักร
หน้ากากขาว
เกราะเกล็ดมังกร
ผ้าคลุมไท่หลง
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x2
x7
x4
x10
x10
x13
x13
x13
x12
x11
x202
x1
x1
x1
x11
x22
x15
x30
x1
x100
x100
x9
x2
x5
x6
x8
x10
x2
โพสต์ 2021-11-8 21:36:03 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย JiTianTao เมื่อ 2021-11-8 23:43

โรลพบเจอผู้ดูแล



ในขณะที่พวกของจีเทียนเต๋าเตรียมตัวที่จะไปจากซีเหอนั้นตนเองก็รู้สึกถึงอะไรมาดลใจให้ตนเองอยากไปเยือนที่สุสานของเมืองซีเหอกันก็ไม่ทราบโดยที่คนอื่นๆนั้นตนเองให้รอที่โรงเตี๊ยมก่อนส่วนตนเองนั้นก็มากับต้าจงพร้อมกับหมาป่าของตนเองถงจีนั้นเอง

"เอาล่ะเดี่ยวพวกเราเดินดูรอบๆที่นี้เสียหน่อยก็คงจะดีหรอกนะข้าเชื่อว่าที่นีอาจจะทำให้ข้านั้นได้สบายใจขึ้นก็ไก้หรอกนะแบบนี้"

"ข้าเชื่อในการตัดสินใจของท่านอาจารย์ขอรับ"

ก่อนที่2คน1สัตว์เลี้ยงนั้นกำลังเดินสำรวจรอบๆสุสานนั้นพวกเค้า โดยที่หมาป่าก็คอยดมกลิ่นไปทั่วจนจีเทียนเต๋านั้นจะต้องมาลูบหัวให้มันนั้นอยู่นิ่งๆอย่าซนจนไปคุ้ยหลุมแถวนี้เล่น โดยที่ระหว่างทางนั้นพวกเค้าก็ได้ไปพบเข้ากับชายคนหนึ่งที่ตอนนี้นั้นกำลังยืนมองที่ป้ายแผ่นหินนี้อยู่

"หืมนี้ท่านอย่างงั้นหรอทำไมท่านถึงมาอยู่ในที่แห่งนี้ได้กันล่ะแล้วทำไมข้าถึงได้เจอกับท่านที่นี้กัน? ท่านคงมีคำกล่าวอะไรจะบอกข้าอย่างนั้นสินะ"

"เจ้าเป็นใครกันท่านอาจารย์ท่านรู้จักเค้าด้วยอย่างงั้นหรือเค้าเป็นสหายของท่านหรือขอรับ?"

"แฮ่!!"

"อ่า..เราเจอกันอีกแล้ว เจ้ามาที่นี่ก็คงเพราะเรื่องราวบางอย่างสินะ" วอชเชอร์กล่าวถามคุณที่เดินมาเจอเขาโดยบังเอิญ ดูเหมือนเรื่องราวนางโจรจะมีความน่าสนใจไม่น้อย ตัวเขาเองก็มาเฝ้ามองดูใกล้ ๆ อย่างใกล้ชิด อยากรู้เหมือนกันว่าชะตานางโจรผู้นี้จะเป็นตายร้ายดียังไง ก็นะตามหน้าที่เขาต้องเฝ้าดูความเป็นไปของจักรวาลแต่ต้องคอยดูความปลอดภัยของจักรวาลต่าง ๆ

"ใช่แล้วล่ะข้าที่มาที่ซีเหอก็เผื่อเผยแผ่ศาสนากับพักผ่อนไปในตัวด้วยแต่ว่าเรื่องราวที่น่าสนใจของตอนนี้ภายในเมืองก็คงจะหนีไม่พ้นเรื่องนางโจรหรอกน่ะที่โด่งดังกันมากภายในตอนนี้เลย แล้วท่านนั้นมาทำอะไรที่นี้กัน?"

พร้อมกับที่ต้าจงกับถงจีนั้นดูไม่ค่อยเข้าใจกับเหตุการณ์ที่อยู่ตรงหน้าของตนเองซักเท่าไหร่ที่อาจารย์ของตนเองนั้นพูดคุยกับอีกฝ่ายอย่างกับรู้จักกันมา หรือว่าจะรู้จักกันตอนตัวเองพักรักษาตัวกันแบบนั้น?

"กับเจ้ามีความคิดเห็นเช่นไรกับสถานการณ์นี้กันล่ะ" วอชเชอร์กล่าวถามอีกฝ่าย นาน ๆ ทีเขาจะได้ลงมาเสวนากับมนุษย์ จึงใคร่รู้ความเห็นต่อเรื่องราวเพื่อนร่วมพงไพรพวกเขาเสียหน่อย

"ข้าเช่นนั้นหรอ....ท่านถามข้าเช่นนี้คงจะไม่ได้แค่อยากรู้ความคิดของข้าอย่างเดียวหรอกมั้งนี้?ท่านต้องการสิ่งใดกันแน่แบบนั้น"

"ใช่ทำไมเจ้าถึงอยากรู้ความคิดเห็นของท่านอาจารย์ต่อคดีนี้ด้วยเจ้าคงไม่ใช่พวกของทางการที่จะมารีดไถ่ ปรักปรำพวกเราหรอกนะแบบนั้น"

"กรร กรร กรร"

"เถอะหน่า ตอบมาเถอะ ข้าไม่ใช่คนทางการปลอมตัวมาล้วงคอเจ้าชะหน่อย ข้าไม่ไปบอกใครหรอก" วอชเชอร์ที่ยืนมองอีกฝ่ายอดขำไม่ได้เมื่ออีกฝ่ายระแวดระวังตัว แต่ก็นะในกลียุคแบบนี้คงยากจะวางใจใครได้

"ถ้างั้นข้าก็จะขอตอบตามแบบของข้ากฏหมายนั้นเป็นหลักที่คนเราจะต้องปฎิบัติตามอย่างแน่นอนเพื่อความสงบสุขของแผ่นดินแต่ว่าถ้าเราใช้แต่กฏหมายอย่างเข้มงวดโดยที่ไม่ได้มีหลักของมนุษย์ธรรมแล้วล่ะก็เราก็ไม่ต่างกับหุ่นกระบอกที่ถูกคนนั้นเชิดไปเชิดมาหรอกนะ ยังไม่รวมถึงที่ว่าจักรวรรดิฉินยังล้มสลายลงก็เพราะว่าใช้กฏหมายที่เข้มงวดมากจนเกินไปจนทำให้เกิดกฏบทั่วทั้งแผ่นดิน กฎหมายก็เหมือนกับต้นไม้ที่โดนพายุพัดถ้ากฏหมายนั้นอ่อนเกินไปก็จะโดนพายุนั้นพัดจนปลิวหายไปทั้งต้น แต่ถ้ากฏหมายนั้นแข็งเกินไปพายุก็จะพัดเอาต้นไม้นั้นหักได้ เพราะแบบนั้นกฏหมายจำต้องทั้งเด็ดขาดแล้วมีความผ่อนปรนอยู่ด้วยในตัวแบบนี้ถึงจะดีที่สุด นางโจรผิดจริงที่กระทำไปแต่เราก็ต้องดูเหตุผลของการกระทำนั้นแล้วก็มองตามหลักของความเป็นจริงกับสังคมหาได้แค่ยึดตามตัวหลักอักษรของกฏหมายเท่านั้น"

"เจ้าช่างเต็มไปด้วยความเมตตา แต่บางครั้งความเมตตาไม่อาจใช้ได้ในบางสถานการณ์ หลายครั้งเจ้าต้องยอมฝืนกลั้นกระทำสิ่งที่ไม่ชอบบ้าง เจ้ารู้ใช่ไหม" วอชเชอร์กล่าวแนะนำอีกฝ่าย ก่อนจะเดินไปนั่งบนโขดหินอย่างผ่อนคลาย "ในกลียุคเช่นนี้ความเมตตาเป็นสิ่งที่ดี มันจะช่วยดึงใจขุนพลมีความสามารถมากมายในไต้หล้ามารับใช้ แต่เจ้าจะมีจิตใจคุณธรรมเพียงอย่างเดียวไม่ได้ ในบางสถานการณ์เจ้าต้องมีความโหดในตัว พร้อมทำสิ่งที่โหดร้ายเพื่อมิให้เป็นภัยแก่เจ้า"

"ถ้าเกิดมันมีแบบนั้นจริงๆข้าก็คงจะต้องทำแบบเดิม ข้านั้นยอมเสียใจที่ได้ทำดีกว่ามาเสียใจภายหลังที่ไม่ได้ทำแบบนั้นมากกว่า"

จีเทียนเต๋าที่มองอีกฝ่ายอย่างแน่วแน่พร้อมกับต้าจงและถงจียังคงมองอีกฝ่ายอย่างไม่ไว้ใจ

"ข้าขอหยิบยกคำของจางเลี่ยงที่เคยกล่าวกับหลิวปังครั้งนึงเมื่อครั้งที่เขาต้องตัดสินใจระหว่างมีน้ำใจและโหดเหี้ยมฝืนใจทำตามหานซิ่น" วอชเชอร์กล่าวก่อนจะเป่าบางอย่างใส่อีกฝ่าย ทำให้คุณเห็นภาพบางอย่างโดยภาพได้ตัดไปยังที่หนึ่งที่มีชายคนหนึ่งนั้นตะโกนระบายด้วยคำอัดอั้นของชายคนหนึ่งที่ตะโกนด้วยความที่ไม่รู้จะทำอย่างไรดีในตอนนี้สิ่งที่ตนเองนั้นไม่อยากที่จะทำแต่ว่าผู้คนรอบตัวเองนั้นต่างต้องการจะทำกันเสียอย่างนั้น



"ท่านอ๋องข้ากลับมาแล้ว"



"อ้าท่านเสนาจางท่านมาแล้วท่านไม่เป็นไรใช่ไหมดีๆถ้ายังไงท่านช่วยข้าคิดแผนทีข้าไม่อยากที่จะทำร้ายน้องเซี่ยงอี๋ของข้าผู้คนรอบตัวข้าต่างเป็นอะไรกันหมดก็ไม่ทำไมถึงได้คิดแผนการที่ชั่วร้ายและเลือดเย็นได้แบบนี้ ทำไมพวกเค้าจะต้องคิดแผนการนี้เพื่อมาทำร้ายน้องเซี่ยงอี๋ของข้าด้วยกันท่านมาแล้วก็ช่วยข้าคิดแผนยับยั้งพวกเค้าด้วย"



"ท่านอ๋องข้าว่าเราควรทำตามแผนการที่ท่านหานซิ่นนี้ว่ามาอันแผ่นดินนี้จะได้สงบเป็นปึกแผ่นกลายเป็นแผ่นดินของท่านอ๋องเพียงผู้เดียวกำจัดอ๋องฉู่ทิ้งซะแล้วท่านจะได้ปกครองแผ่นดินนี้เพียงคนเดียว"



"นี้เจ้า!! เจ้... เจ้าก็เป็นไปกับเค้าอย่างงั้นหรอ!!!"



"ท่านอ๋องข้าไม่มีทางเลือกอำนาจทางการทหารตอนนี้เป็นของหานซิ่นแล้วข้าจะไปขวางเค้าได้อย่างไรแบบนี้ก็ถือว่าเป็นลิขิตของฟ้านั้นเอง"



"เหลวไหลเกินไปแล้วคนที่ตระบัตส์สัตย์หักหลังผู้อื่นจะมีคุณธรรมได้อย่างไรช่างเหลวไหลสิ้นดีฟ้าก็จะอยุติธรรมด้วยเช่นนั้นหรือ!!!"



"ถือว่าท่านอ๋องพูดได้ดี คุณธรรมอยู่ในใจ คล้อยตามสถานการณ์"



ก่อนที่ภาพจะตัดมายังปัจจุบันที่จีเทียนเต๋ากับต้าจงและถงจีนั้นกำลังยืนอยู่กัน



"ท่านอาจารย์เป็นอะไรหรือไม่ขอรับอยู่ดีๆท่านก็นิ่งไปเลยข้าเป็นห่วงท่านมากจริงๆ"



"แฮ่"



"อ่ะ..เปล่าวหรอกข้าเพียงแค่ได้เห็นเหตุการ์ในเรื่องราวอดีตแค่นั้นข้าไม่เป็นไร"



''ขอให้เจ้านำบทเรียนครั้งนี้ไปเรียนรู้ ในภายหน้าเจ้าอาจพบเจอสถานการณ์เช่นหลิวปัง" วอชเชอร์กล่าวด้วยรอยยิ้มที่ให้กำลังใจ



"ข้า...."



จีเทียนเต๋าที่กำลังไต่ตรองคิดถึงภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่นั้นก็กำลังคิดว่าถ้าเป็นตนเองจะทำเช่นไรกันแน่



"แล้วเจ้าล่ะศิทย์ของจีเทียนเต๋าเจ้าคิดว่าเช่นไรกันคำตอบของเจ้าจะเหมือนกับอาจารย์ของเจ้าหรือไม่กัน"



"ข้า....ยังไงคนที่ทำผิดก็ต้องรับโทษต่อให้จะมีเหตุผลอะไรก็ตามการทำผิดก็คือการทำผิดข้านั้นเชื่อแบบนั้นอาจารย์นั้นสอนให้ข้านั้นเชื่อว่าคนที่ทำผิดจะต้องได้รับโทษที่เหมาะสมส่วนคนที่ทำดีก็จะได้รับประโยชน์ที่ดีเช่นกัน"



"เจ้าช่างเป็นคนที่ยึดมั่นอย่างมีหลักการดีแท้ หากภายหน้าเจ้าได้เป็นใหญ่ แผ่นดินนี้คงมีความหวังใหม่ที่ก้าวสู่ความถูกต้อง เป็นตัวอย่างแก่อารยชนรอบต้าฮั่น" วอชเชอร์กล่าวตอบความคิดเห็นคุณ



"ข้าไม่เคยฝันว่าอยากจะเป็นใหญ่ข้าเพียงแค่จะขอติดตามท่านอาจารย์ก็เพียงพอแล้วชีวิตนี้ข้านั้นอุทิศให้กับท่านอาจารย์และศาสนาเท่านั้น!!!"



"แต่เจ้าคงรู้ใช่ไหม บางครั้งกฎหมายก็ไม่อาจคุ้มครองคนไร้อำนาจได้ หากวันที่เจ้าครองไต้หล้านี้และมีเหตุการณ์เช่นนั้นเจ้าจะทำเช่นไร" วอชเชอร์กล่าวถามคุณ เขามองแววตาอีกฝ่ายที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่น



"ข้า....ก็จะถามท่านอาจารย์แล้วทำตามที่ท่านอาจารย์ว่าดีเมื่อถึงเวลานั้นจริงๆข้าก็จะเชื่อท่านอาจารย์อย่างแน่นอน"



พร้อมกับที่ตนเองนั้นมองไปที่อาจารย์ของตนเองหมาป่าอย่างมีความหมาย



"แต่...บางครั้งเรื่องราวก็ไม่เป็นตามที่ข้าคิดไว้เสมอไป จากประสบการณ์ข้าที่พบเจอเรื่องราวมามากมาย มักจะมีสถานการณ์บางอย่างที่เจ้าต้องเลือก..." วอชเชอร์กล่าวสอนอีกฝ่าย ก่อนจะเดินไปยังที่โขดหินนั่งลงผ่อนคลาย "หากเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นมาอีกครั้งตอนที่เจ้าเป็นใหญ่ เจ้าคิดว่าจะแก้ไขปัญหานี้ยังไง เพราะหลายครั้งใช่ว่าพวกเขาจะสามารถฟ้องร้องทางการได้เสมอไป ดีไม่ดีพวกเขาเองอาจถูกจับหรือฆ่าปิดปาก ต่อให้เป็นเมืองหลวงก็ยากจะเชื่อใจขุนนางเมื่อความเชื่อใจติดลบ และต่อให้หลังจากเจ้ารื้อคดีและไถ่สวนโทษความผิดคนสำคัญที่ตายไปสมควรรับโทษ แต่มือสังหารเจ้าคิดจะหาโทษสถานเบาให้ ซึ่งขุนนางทั้งราชสำนักเกือบทั้งหมดไม่เห็นด้วย คัดทานเจ้าประหารผู้ที่สังหารขุนนางชั้นผู้ใหญ่ หากเจ้าไม่ฟังขุนนางย่อมหลีกหนีไม่พ้นที่จะเกิดกบฎจากตระกูลเหล่านั้น"



"นี้ท่านจะมาพูดเรื่องอะไรยากๆใส่ข้ากัน..ข้าไม่ได้เป็นคนเข้าใจง่ายนะต่อให้เวลานั้นมาถึงข้าก็จะเชื่อในคำพูดของท่านอาจารย์อยู่ดีเพราะว่าอย่างน้อยท่านอาจารย์ก็ไม่เคยทำเพื่อผลประโยชน์ส่วนตนท่านทำเพื่อผลประโยชน์ส่วนรวม"



"กรรร กรรร"



"ขอให้เจ้าพึงจำไว้ ใจคนยากหยั่งถึง และ หนทางที่เจ้าเลือกเดินไม่อาจย้อนกลับมาได้แล้ว อย่าได้ให้กฎหมายเข้มงวดมาบีบรัดจนหายใจไม่ออกเสียเอง เฉกเช่นฉินซีหวงตี้ที่ปรารถนาจะให้แผ่นดิน ผู้คนเป็นระเบียบ แต่ท้ายสุดก็โดนความเข้มงวดในการปกครองทำร้ายจนราชวงศ์ฉินอยู่ได้แค่ 2 รุ่น" วอชเชอร์กล่าวย้ำเตือนอีกฝ่าย



"แน่นอนข้าจะไม่ทำแบบนั้นแน่นอนต่อให้ข้าจะไม่ค่อยเข้าใจอะไรง่ายๆแต่ว่าข้าก็พอเข้าใจได้บ้างว่าคนเรานั้นจะต้องเอา ประวัติศาสตร์มาเป็นบทเรียนของพวกเราเอง!!!"



"อืมดีมากต้าจงเจ้าคิดแบบนั้นได้ก็ดีแล้วนะแบบนี้"

"เอาล่ะ นี่ก็ใกล้เวลาของข้าแล้ว ข้ามีของขวัญเล็กน้อยจะให้เจ้าไว้ตั้งตัวในภายหน้า" วอชเชอร์กล่าวบอกคุณ ก่อนจะชี้ไปยังใต้ต้นไม้ด้านหลังคุณ ที่มีหีบใบหนึ่งตอนไหนไม่รู้



"นั้น....ขอบคุณท่านมากสำหรับของที่จะให้พวกข้านี้ยังไงข้าก็จะใช้มันให้เกิดประโยชน์อย่างดีที่สุดอย่างแน่นอน"



"ท่านอาจารย์รู้อย่างนั้นหรอขอรับว่าในหีบนั้นมีสิ่งใดกันแน่?"



"อืมเดียวพวกเราค่อยไปเอาหีบใบนั้นทีหลัง"



"กรรก กรรก"



"ขอให้เจ้าสำเร็จปณิธานใหญ่ที่ปรารถนา และหวังว่าจะไม่ล้มเหลวเพราะตัวเอง จงจำไว้ ปรับใช้ตามสถานการณ์ บางครั้งเจ้าอาจต้องฝืนทำสิ่งที่ไม่อยากทำ แม้จะเครียดไปอย่างมากก็ตาม สถานการณ์ในแผ่นดินไม่เป็นดั่งใจเสมอ" วอชเชอร์กล่าวให้พรแก่คุณและผู้ติดตามและสัตว์รอบ ๆ ตัวคุณ



"ข้าจะทำให้ได้ขอให้ท่านเชื่อในตัวของข้าได้เลย!!"



"ท่านอาจารย์..."



ก่อนที่ร่างของอีกฝ่ายจะหายไปเหลือทิ้งไว้เพียงแค่หีบใบหนึ่งที่อีกฝ่ายเคยชี้เอาไว้หลังจากที่จีเทียนเต๋าและต้าจงนั้นกับถงจีเข้าไปเพื่อที่จะนำของในหีบนั้นไปทำการใหญ่อย่างที่พวกของตนเองนั้นตั้งใจไว้ให้ได้



"เรื่องในวันนี้ขอให้เจ้าอย่าได้บอกใครเข้าใจไหม เจ้าก็ด้วยนะถงจีถ้าเจ้าทำตัวดีๆวันนี้จะมีเนื้อที่แสนอร่อยให้เจ้ากินอย่างแน่นอนเพราะแบบนั้นพวกเราไปหาท่านโกซุ่นเพื่อไปกินมื้อเช้ากันที่นั้นเถอะ"



ก่อนที่พวกเค้าเหล่านั้นจะออกเดินทางจากที่แห่งนี้ไปโดยที่ไม่รู้ว่าในอนาคตนั้นจะเป็นเช่นไรกันแน่พวกเค้าเหล่านี้นั้นจะทำตามความฝันของพวกเค้าได้ไหมกันแน่แบบนั้นคงจะมีแต่เวลาที่จะรู้ได้นั้นเอง


(เปิดใช้ผู้ติดตาม ต้าจง)

(เปิดใช้สัตว์เลี้ยง ถงจี)

@Watcher









←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ชุดไท่หมินลู่
เบ็ดตกปลา
คัมภีร์ไท่หมินลู่
ไก่ฟ้าทองแดง
หวีเซียวเฉิน
กลยุทธ์เล่ออี้
ม้าขาว
หน้ากากขาว
ผ้าคลุมไท่หลง
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x108
x8
x800
x800
x800
x70
x470
x100
x100
x4
x3
x3
x1
x7
x25
x860
x10
x790
x490
x200
x1
x100
x100
x100
x10
x1
x2
x1
x3
x4
x10
x920
x291
x494
x5
x388
x5
x6
x77
x100
x30
x900
x68
x1
x82
x98
x1
x96
x98
x1
x6
x2
x1000
x2
x3
x3
x3
x7
x8
x3
x100
x4
x100
x26
x24
x24
x26
x14
x600
x96
x100
x60
x100
x100
x440
x25
x2
x376
x11
x492
x9
x4
x99
x80
x79
x28
x2
x379
x75
x196
x571
x167
x100
x100
x50
x100
x100
x250
x50
x86
x13
x13
x7
x74
x6
x19
x5
x1150
x324
x17
x11
x10
x10
x490
x10
x2
x42
x62
x38
x1
x108
x35
x96
x99
x85
x505
x1
x598
x3
x3
x1
x8
x24
x404
x4
x102
x6
x24
x491
x288
x39
x90
x154
x8
x1
x10
x75
x10
x93
x500
x250
x150
x250
x550
x250
x3
x500
x242
x36
x18
x465
x1015
x164
x804
x804
x804
x804
x493
x314
x13
x36
x7
x498
x1
x10
x1
x2561
x628
x320
x260
x100
x15
x1
x6
x6
x150
x9999
x2
x7
x18
x5
x2
โพสต์ 2021-11-8 21:47:07 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย ZhaoPei เมื่อ 2021-11-8 21:48

          เมื่อมายังสุสานตงฟางซั่วอีกครั้งแต่คราวนี้หาใช่ดูลาดเลาทางเช่นคราแรกไม่ จ้าวเพ่ยและซุนหยางได้ขึ้นมาตามนัดของมือปราบครั้งที่อีกฝ่ายกล่าวนัดราวกับมีเรื่องสำคัญอะไรที่ต้องพูดกันในคราวหลัง แม้จะชะเง้อหน้าส่องว่ามีใครมาหรือไม่ก็ไม่พบวี่แววของมือปราบ นางเองก็คิดว่าคงจะมาเร็วไปสักหน่อย

          "ให้ข้ารอเป็นสหายหรือไม่.."

          "ไม่ต้องหรอก.. คงไม่มีเหตุอะไร ข้าเชื่ออย่างนั้น.."

          "เช่นนี้เสร็จเรื่องแล้วก็พบข้าด้านล่างก็แล้วกัน ข้าจะรอที่นั่น.." ซุนหยางกล่าวกับนางก่อนจะยื่นมือเพื่อขอเสี่ยวเฮยให้ลงไปด้วย จ้าวเพ่ยดูอิดออดแต่นางก็ยอมมอบแมวแก่ผู้ติดตามนางให้ดูแล ทั้งเส้นทางนี้กลับเป็นทางคนเดินม้าขึ้นมาไม่ได้ด้วย ก็ยิ่งต้องฝากของทั้งหมดแก่ซุนหยางเพราพอย่างไรกผ้ตามจ้าวเพ่ยคิดว่าคงจะนานพอควรที่ขึ้นมาสุสานครั้งที่สองในคราวนี้ ความมืดค่ำโปรยลงมาให้รู้สึกหนาวๆกับอากาศที่แปรเปลี่ยนเป็นความเย็นทำเอานางถูกแขนตัวเองเล็กน้อย

          คิดว่าถ้ายืนรอเช่นนี้คงจะน่าเบื่อไม่น้อย ของที่เตรียมถวายแก่ปราชญ์ตงฟางซั่วถูกนำขึ้นมาจัดตรงหน้าป้ายสุสาน เพราะลงไปเสียค่ำร้านค้าเลยไม่มีอะไรมาก หญิงสาววางดอกไม้ลงอย่างช้าๆ พึ่งจะเห็นว่าก่อนหน้านี้มีคนมาถวายอยู่แล้ว แน่นอนว่าทั้งอาหารและดอกไม้ของคนก่อนหน้าก็สดไม่น้อย จ้าวเพ่ยเพียงแค่จัดเตรียมของที่นางมีเท่านั้น ธูปเทียนเพื่อเซ่นไหว้นางก็ไม่มี ทำได้เพียงแค่นั่งคำนับให้เกียรติแก่ผู้จสกไปเพียงนั้น

          ความหนาวเย็นเข้ามาอีกคราพร้อมลมสายลม กลับทำให้สั่นสะท้านยิ่งกว่าครั้งไหน หญิงสาวลุกขึ้นยืนอยู่อีกจุดที่พอจะไม่เป็นการลบหลู่บรรพชน เพื่อให้เป็นจุดสังเกตุได้ง่ายขึ้น นางได้สวมอาภรณ์สีสว่างมาจะได้ไม่ต้องคิดว่าเป็นผีสางแก่ผู้ผ่านมาพบเห็นพอดี มือสวยพลางกอดร่างเพื่อให้ความอบอุ่นแก่ตัวเองไปด้วย เพราะอยู่ที่สูงจึงยืนรับลมหนาวเข้ามาเสียเต็มที่ รู้เช่นนี้นางน่าจะขอให้ซุนหยางนำผ้าคลุมมาด้วยก็ดี

          ภายใต้บรรยากาศมืดเปลี่ยวเช่นนี้ แสงจันทร์สาดส่องเข้ามาให้พอได้เห็นภาพชัดเจนอยู่ จ้าวเพ่ยปัดผมปลิวสไวตามแรงลมให้เหน็บข้างหูขณะเงยหน้ามองดวงจันทร์ แสงจันทร์สาดส่องเข้าภายในหน้าทำให้นางคิดอะไรเสียเพลินไปหน่อย พอนึกขึ้นว่ามือปราบเองมีเรื่องสำคัญอะไรที่จะต้องนัดพบมาที่นี่ สมองก็จินตนาการไปต่างๆนาๆทำเอานางยิ้มน้อยยิ้มใหญ่คนเดียวขณะชมจันทร์เพียงลำพัง

          หากเป็นเรื่องที่ดีก็คงจะดี

          กับเรื่องราวที่จบลงไปแล้วอย่างเรื่องคดีความแม่นางเจิ้ง จ้าวเพ่ยเองก็อยากให้มันจบไป แม้ในคราแรกที่มาคิดว่ามือปราบจะคุยเรื่องนี้ก็ตาม แต่เมื่อคุยกับซุนหยางหลังออกจากสุสานรอบแรกแล้ว นางเองก็ได้ตั้งความคิดใหม่ว่าบุรุษมือปราบผู้นั้นอาจจะมีเรื่องสำคัญกว่าเรื่องคดีนางเจิ้งเป็นแน่ เพราะเขากล่าวว่าให้ท่านตงฟางซั่วเป็นพยานในเรื่องนี้ด้วย

          "ฟู่ว.."

          หญิงสาวเป่าลมอุ่นออกจากปากเพื่อคลายความหนาวแก่ตัวนางบ้าง สายตาพลันสอดส่องแก่บริเวณโดยรอบเพื่อมงหาใครสักคนที่น่าจะมาแล้ว แต่นางเองก็ใช่ว่าจะเร่งร้อนเสียทีเดียว นางเองแค่รู้สึกไม่มีอะไรทำเพียงเท่านั้นเอง ความเย็นทำเอานางคิดถึงน้ำชาอุ่นๆ เตียงอุ่นๆไปเสียได้ น่าเสียดายที่ตัวนางเองทำได้แค่นึกถึง ในเมื่อพื้นที่สูงของป่านอกเมืองเช่นนี้คงจะหาที่พักได้ยากนัก อย่างไรก็ตามนางเผลอนึกเรื่อยเปื่อยไปถึงเหตุการณ์ที่ได้พบกับผู้เฝ้ามองที่นี่ไปเสียได้

          สิ่งที่เกิดขึ้นในครานั้นทำให้นางอยู่ๆก็ฉุกนึกขึ้นมาอีกครั้ง

          คุณธรรมอยู่ในใจ หากคุณธรรมที่พึงต้องกระทำนักหนานั้นย้อนกลับมาทำร้ายตัวเองเสียเอง มันจะเป็นสิ่งที่ดีอยู่หรือเปล่านะ หรือต้องมีทั้งคุณธรรมและคล้อยตามสถานการณ์ จึงจะเป็นผู้อยู่รอดหรือ

          จ้าวเพ่ยจะคิดไปเรื่อยเปื่อยมากไปเสียแล้ว หญิงสาวมองไปยังดวงจันทร์ตาไม่กระพริบเพราะจิตใจนางไม่ได้คิดถึงสิ่งที่อยู่ตรงหน้า แต่กลับนึกลึกเข้าไปยังความทรงจำจนคลับคล้ายสตรีผู้เหม่อลอย กว่านางจะดึงสติมาก็ก็ตอนที่ลมหนาวพัดเข้ามาให้นางสะท้านเล็กน้อย ชุดกี่เพ้าถูกกระชับเพื่อให้ความอบอุ่นแก่ร่างกายของนางไปพลาง



ถวาย ดอกหงฮวา 10 ดอก แก่สุสานตงฟางซั่ว
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
กระบี่ร้อยกฎ
มุกพณาหวาซวี
ม้าเหลียง
กลยุทธ์เล่ออี้
บทเพลงยิ้มเย้ยยุทธจักร
หน้ากากขาว
เกราะเกล็ดมังกร
ผ้าคลุมไท่หลง
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x2
x7
x4
x10
x10
x13
x13
x13
x12
x11
x202
x1
x1
x1
x11
x22
x15
x30
x1
x100
x100
x9
x2
x5
x6
x8
x10
x2
โพสต์ 2021-11-8 22:49:50 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Jinying เมื่อ 2021-11-8 22:55


The Watcher : เรื่องราวน่าสนใจ
.
.
.

          " จะเดินทางคนเดียวงั้นหรือขอรับ! "

          เสียงเข้มของถานเจ๋อแทบกล่าวกร้าวทันทีที่ได้ยินเรื่องจดหมายจากผู้เป็นนาย รวมถึงแผนที่วางไว้ว่าถ้าหากจะเดินทางลงไปตั้งตัวที่ทางใต้จะทำการฝากบ้านที่ซีเหอให้ซูฮวาได้ดูแลรวมถึงให้ถานเจ๋ออยู่เป็นเพื่อนพี่สาวเหมยเพื่อช่วยดูแลบ้านอีกด้วย ซึ่งแน่นอนว่าอีกบุรุษย่อมไม่อยากยอมรับ ด้วยเพราะความเป็นห่วงที่มีต่อเด็กสาวผู้เป็นนายที่เพิ่งจะถึงวัยปักปิ่นเท่านั้น

          ซูฮวาที่ยินดีจะช่วยดูแลบ้านให้ผู้มีพระคุณจึงไม่ได้เอ่ยแทรกอะไรในครานี้ เพื่อให้ทั้งสองที่ติดตามกันมาก่อนนางได้พูดคุยตกลงให้ได้ข้อสรุปที่แน่นอนไป จิ้นอิ๋งที่มีเหตุผลของการยอมลงใต้ไปคนเดียวนั้นก็ไม่ยอมที่จะให้ถานเจ๋อเดินทางมากับตนเช่นกัน และมันแอบคาบเกี่ยวกับตัวพี่สาวเหมย นางจึงขอให้ถานเจ๋อเดินออกมาคุยนอกตัวเรือนไปกับนาง ซึ่งสตรีแซ่เหมยก็เพียงพยักหน้ารับและกำชับให้ทั้งสองรีบกลับเข้ามาก็เพียงพอแล้ว

          ในตอนนี้จิ้นอิ๋งจึงกำลังเดินเตร็ดเตร่กับผู้ติดตามออกมาจากตัวเรือน และยิ่งเดินห่างออกมาเรื่อย ๆ ด้วยกลัวว่าซูฮวาจะได้ยินเข้า พร้อมกันนั้นไก่น้อยไป๋เซ่อก็คล้ายเดินเตาะแตะตามมาด้วยจนเด็กสาวต้องอุ้มมันขึ้นมาระหว่างทอดน่องเดินเคียงกับผู้ติดตามและพยายามอธิบายถึงเหตุผลให้ฟังไปด้วย

          " แม้ข้าจะอายุน้อยกว่าพี่สาวซูฮวา แต่ข้ามั่นใจว่าตัวเองแข็งแรงและมีวิชาต่อสู้ที่พอดูแลตัวเองได้มากกว่าพี่สาวซูฮวานะเจ้าคะ ข้าเลยคิดว่าสามารถลงใต้ไปคนเดียวได้.. แต่พี่สาวซูฮวาที่เท้าผิดปกติเช่นนั้น จะให้อยู่เย้าเฝ้าเรือนเพียงคนเดียว ยามเดินเหินไปไหนมาไหนคงลำบากนัก ข้าเลยไม่อยากให้พี่สาวอยู่คนเดียวน่ะเจ้าค่ะ " สิ้นประโยคไป๋เซ่อคล้ายร้องกระต๊ากขึ้นมาครั้งหนึ่งราวกับเห็นด้วยกับนางให้ถานเจ๋อนิ่วหน้ามองเจ้าไก่ที่มาทำตัวแสนรู้ไม่ถูกเวลา

          " ถ้าเช่นนั้นไม่พาข้าน้อยกับซูฮวาลงใต้ไปด้วยกันกับท่านหญิงด้วยเลยเล่าขอรับ "

          " ก็ข้าบอกแล้วอย่างไรว่าพี่สาวซูฮวาเท้าผิดปกติ ไหนจะร่างกายอ่อนแอกว่าพวกเรามากนัก ข้าไม่อยากพาพี่สาวเดินทางไกลเดี๋ยวจะเจ็บป่วยกันไปเสียก่อน ข้าเป็นห่วงนางเจ้าค่ะ "

          " งั้นข้าน้อยก็เป็นห่วงท่านหญิงเหมือนกันนะขอรับ "

          " แล้วเจ้าไม่ห่วงพี่สาวซูฮวางั้นหรือ " จิ้นอิ๋งหันไปถามอีกคนด้วยน้ำเสียงอ่อนลง ซึ่งถานเจ๋อก็คล้ายเงียบไปครู่หนึ่ง แต่สุดท้ายก็ค้านขึ้นมาเสียงแข็ง แม้ประโยคท้ายจะเอ่ยน้ำเสียงอ่อนลงจนคล้ายอ้อมแอ้มลงก็ตามที

          " ก็ห่วง.. แต่อย่างไรข้าน้อยได้สาบานว่าจะดูแลท่านหญิงไปแล้ว ไม่ใช่สาบานกับซูฮวา เช่นนั้นก็ต้องติดตามท่านหญิงไปถึงจะถูกมิใช่หรือขอรับ! ส่วน.. ส่วนซูฮวา หากหาใครคนอื่นมาช่วยดูแลนางได้ก็คงดี "

          คำกล่าวของอีกคนที่ราวกับมาปกป้องจิ้นอิ๋งเพราะหน้าที่เช่นนั้นทำให้นางยิ้มอ่อนใจขึ้นมา โดยไม่รู้ตัวทั้งสองก็คล้ายเดินขึ้นเขามาตามทางปูสู่สุสานตงฟางซั่วมาด้วยกัน พร้อมกับเสียงของจิ้นอิ๋งที่เอ่ยโน้มน้าวอีกหนดังแทรกบรรยากาศที่เงียบสงบโดรยรอบกายอย่างใจเย็น

          " ก็ถูกต้อง แต่ข้าไว้ใจถานเจ๋อนี่เจ้าคะ เลยอยากให้อยู่ช่วยดูแลพี่สาวซูฮวา อย่าลืมสิเจ้าคะว่าพวกเราเจอพี่สาวที่ไหนสภาพอย่างไร " ถานเจ๋อคล้ายเงียบลงไปด้วยแววตาที่ฉายความลังเลขึ้นมายามได้ยินจิ้นอิ๋งเอ่ยขึ้นมา

          " หากถานเจ๋ออยากตามข้ามาเพราะเป็นหน้าที่ เช่นนั้นข้าก็ขอมอบหน้าที่ใหม่ให้ถานเจ๋ออยู่ดูแลพี่สาวซูฮวาแล้วกันเจ้าค่ะ ข้าดูแลตัวเองได้จริง ๆ ถานเจ๋ออย่าเป็นห่วงเลยนะเจ้าคะ "

          สิ้นคำของจิ้นอิ๋งที่คล้ายใช้เป็นการให้หน้าที่ของถานเจ่อใหม่ อีกบุรุษก็พยักหน้ายอมรับในที่สุด พร้อมกันนั้นก็ย้ำหนักถึงเรื่องให้ดรุณีน้อยดูแลตัวเองให้ดี และส่งจดหมายหาพวกมันบ้างซึ่งเด็กสาวก็รับปากอย่างแข็งขันเลยเชียว ก่อนแว่วเสียงอุทานดังแผ่วเพราะไป๋เซ่อกระโดดออกจากอ้อมแขนนางลงไปที่พื้นที่ต้องผินสายตามองหา

          กระทั่งเจอเจ้าไก่ตัวน้อยเดินต่อกแต่กจิกเบา ๆ ที่ข้างเท้าของบุรุษปริศนาให้จิ้นอิ๋งแทบตาโตและต้องเร่งไปอุ้มเจ้าไก่น้อยขึ้นมาพร้อมขอโทษขอโพยที่ไป๋เซ่อซุกซน

          " อ่า..เราเจอกันอีกแล้ว เจ้ามาที่นี่ก็คงเพราะเรื่องราวบางอย่างสินะ " กระนั้นแล้วชายปริศนาผู้นั้นกลับไม่ได้เอ่ยตอบอย่างกรุ่นโกรธใดที่สัตว์เลีย้งของนางเสียมารยาท กลับกล่าวถามจิ้นอิ๋งที่เดินมาเจอเขาโดยบังเอิญ ด้วยน้ำเสียงราวล่วงรู้ในบางอย่างขึ้นมาให้เด็กสาวเลิกคิ้วฉงนและพิจารณาชายตรงหน้าให้ดีก่อนพลันร้องอ๋อขึ้นมาผะแผ่ว

          " ผู้ใดหรือขอรับ "

          ทว่าครั้งนี้กลับแปลกที่นางไม่ได้เห็นเพียงคนเดียว เป็นถานเจ๋อที่เห็นอีกฝ่ายด้วยเช่นกันและเลื่อนใบหน้ากระซิบหาผู้เป็นนายด้วยน้ำเสียงระแวดระวัง ทำเอาเด็กสาวยิ่งสงสัยถึงตัวตนของบุรุษเรือนผมสีมุกผู้นั้น กระนั้นก็ไม่ได้เอ่ยถามอะไรให้เสียมารยาทนอกจากลูบขนไก่น้อยในอ้อมแขนเบา ๆ เอ่ยตอบถานเจ๋อกลับไปแทน

          " เป็น.. ผู้ที่เคยมอบสมบัติให้แก่ข้าที่น้ำตกจินเซียงเมืองผูโจวในครั้งก่อนน่ะเจ้าค่ะ " ถึงเอ่ยตอบกลับไปอย่างไม่ปิดบัง ถานเจ๋อก็คล้ายยิ่งงุนงงอยู่ดี พลันมองบุรุษแปลกหน้าด้วยความระมัดระวังที่มากกว่าเดิมด้วยความหวาดระแวงว่าผู้เป็นนายจะโดนทวงสมบัติคืน

          และคล้ายจิ้นอิ๋งจะรับรู้ได้ถึงแววตาของผู้ติดตาม จึงเบิกตาโตกึ่งดุที่ดูไม่ดุอย่างทุกคราไปหาถานเจ๋อเพื่อปรามอยู่ในที ซึ่งอีกคนที่เห็นก็ยินยอมเลื่อนสายตาที่ดูเสียมารยาทนั้นออกไปจากตัวบุรุษแปลกหน้าผู้นั้น ก่อนเด็กสาวจะพยักหน้าอย่างพึงใจและหันมาตอบรับผู้เฝ้าดูผู้นั้นต่อ

          " ที่นี่ที่ท่านหมายถึงคือสุสานหรือเมืองซีเหอหรือเจ้าคะ?.. หากเป็นที่สุสานพวกข้าก็คงไม่ได้มีเรื่องราวอะไรสำคัญนักเพียงแค่เดินมาเพราะมีเรื่องต้องพูดคุยกันเท่านั้น… ส่วนถ้าหากเป็นเรื่องเหตุผลที่มาซีเหอนั้น... " จิ้นอิ๋งลากเสียงในตอนท้ายเล็กน้อย ก่อนจะกลั้นใจเอ่ยหาไปด้วยความรู้สึกวางใจต่อผู้เฝ้ามองตรงหน้าอย่างน่าประหลาด

          " ใช่เจ้าค่ะ.. ข้ามาเพราะมีเรื่องบางอย่าง เกี่ยวกับ.. สหายแซ่เจิ้ง " แว่วเสียงไป๋เซ่อร้องกระต๊ากขึ้นมาหนึ่งคำรบหลังสิ้นประโยคเด็กสาวราวกับอยากมีส่วนร่วมให้จิ้นอิ๋งต้องส่งเสียงชู่วคืนแก่มัน

          " กับเจ้ามีความคิดเห็นเช่นไรกับสถานการณ์นี้กันล่ะ " ผู้เฝ้ามองเอ่ยถามต่อ ราวกับช่วยยืนยันให้ว่าดรุณีน้อยคิดถูกว่าสิ่งที่อีกฝ่ายหมายถึงคือเรื่องตัดสินคดีของแม่นางเจิ้งหลัน

          เป็นเช่นนั้นแล้วเด็กสาวจึงผินสายตามองหาถานเจ๋อน้อย ๆ ที่ตอนนี้อีกคนแทบจะถลึงตาใส่บุรุษแปลกหน้าที่มาเสียมารยาทอยากรู้อยากเห็นเรื่องของผู้เป็นนายจนเด็กสาวต้องเคลื่อนตัวมาบังผู้ติดตามเล็กน้อยพร้อมกับส่งรอยยิ้มแหย ก่อนจะเริ่มเอ่ยตอบคำถามต่อตามความเห็นของนางไปอย่างไม่คิดปิดบัง

          .
          " ก็.. สำหรับข้าเรื่องแม่นางเจิ้งนั้น หากมองในมุมคนคนหนึ่งที่มิใช่สหายของนาง ก็รู้สึกว่าไม่ค่อยยุติธรรมกับนางเสียเท่าไหร่ที่โดนตราหน้าว่าเป็นนางโจรฆาตกร.. ข้าพอเข้าใจว่าการสังหารคนโดยพลการหรือการทำตัวเป็นศาลเตี้ยนั้นไม่ใช่สิ่งที่ถูกโดยกฎหมาย แต่การกระทำของนางที่ลุกขึ้นสู้แทนชาวบ้านคนอื่นที่โดนแม่ทัพตู่ผู้นั้นกดขี่ข่มเหงทำร้ายมานานแล้วนั้น… คิดอย่างไรก็เป็นการช่วยเหลือผู้อื่นเสียมากกว่า "
          .
          " ถึงอย่างนั้นก็ไม่ใช่วิธีที่ถูกต้องนัก การที่นางได้รับการตัดสินโทษก็เป็นเรื่องที่สมควร ...และข้ายินดีไม่น้อยที่นางได้รับความยุติธรรมในการตัดสินจนไม่ถูกรับโทษประหารไปน่ะเจ้าค่ะ... "

          " เจ้าช่างเต็มไปด้วยความเมตตา แต่บางครั้งความเมตตาไม่อาจใช้ได้ในบางสถานการณ์ หลายครั้งเจ้าต้องยอมฝืนกลั้นกระทำสิ่งที่ไม่ชอบบ้าง เจ้ารู้ใช่ไหม " ผู้เฝ้ามองกล่าวแนะนำแก่เด็กสาวก่อนจะเดินไปนั่งบนโขดหินอย่างผ่อนคลาย ซึ่งจิ้นอิ๋งที่ได้ยินก็คล้ายเงียบลงไปเล็กน้อยราวกับเถียงอะไรไม่ออกไปครู่หนึ่งเพราะดันนึกไปถึงเรื่องที่ตนเผลอใช้เส้นสายโดยไม่รู้ตัว พร้อมกันนั้นก็มีถานเจ๋อที่พยักหน้าเห็นด้วยกับคนแปลกหน้าขึ้นมาเสียอย่างนั้นให้เด็กสาวที่เห็นพอได้หลุดยิ้มขบขันออกมาได้บ้าง

          " ในกลียุคเช่นนี้ความเมตตาเป็นสิ่งที่ดี มันจะช่วยดึงใจขุนพลมีความสามารถมากมายในไต้หล้ามารับใช้ แต่เจ้าจะมีจิตใจคุณธรรมเพียงอย่างเดียวไม่ได้ ในบางสถานการณ์เจ้าต้องมีความโหดในตัว พร้อมทำสิ่งที่โหดร้ายเพื่อมิให้เป็นภัยแก่เจ้า "

          คำพูดของอีกบุรุษทำให้นางนึกถึงกัวเจียขึ้นมาเสียอย่างนั้น ที่ได้ส่งจดหมายมาหานางเกี่ยวกับการตั้งตัวเพื่อปกป้องตัวเองและคนที่นางรัก ความกังวลพลันตีตื้นจนนางเผลอกอดรัดไป๋เซ่อตัวน้อยแน่นขึ้นให้โดนหัวกลมเล้กนั้นเอนชนใส่อกให้เด็กสาวคลายแขนลงและเอ่ยขอโทษมันกลับไปผะแผ่ว

          " ท่านหญิงของข้าทำเรื่องโหดร้ายไม่ลงหรอกนะ " กระนั้นยังไม่ทันที่เด็กสาวจะได้ตอบโต้ ถานเจ๋อก็พลันเอ่ยแทรกขึ้นมาแทนด้วยน้ำเสียงกึ่งดุ ซึ่งแม้จะเป็นความจริงส่วนหนึ่ง แต่เด็กสาวก็อดไม่ได้ที่จะเรียกชื่อผู้ติดตามเสียงเข้มขึ้นมาเพื่อปรามอีกฝ่ายที่เสียมารยาทเอ่ยแทรกขึ้นมาเช่นนั้น

          " ข้าขอหยิบยกคำของจางเลี่ยงที่เคยกล่าวกับหลิวปังครั้งนึงเมื่อครั้งที่เขาต้องตัดสินใจระหว่างมีน้ำใจและโหดเหี้ยมฝืนใจทำตามหานซิ่น " นอกจากผู้เฝ้ามองจะไม่กรุ่นโกรธ กลับเอ่ยตอบรับหาอย่างใจเย็นและทำให้จิ้นอิ๋งเห็นภาพบางอย่างขึ้นมาจนชะงักงันไป


.
.
          ภาพเบื้องหน้าสะท้อนหายังบุรุษหนุ่มผู้หนึ่งกำลังตะโกนตัดพ้อต่อผืนน้ำเบื้องหน้าด้วยสีหน้ากลัดกลุ้ม นามที่เอ่ยออกทำให้รู้ว่าบุคคลนั้นคือหลิวปังที่มีเรื่องหนักใจไม่อยากทำร้ายเซี่ยงอวี่

          ก่อนสักพักจิ้นอิ๋งจะเห็นบุรุษอีกคนหนึ่งที่เอ่ยเรียกหลิวปังผู้เป็นอ๋องและเดินลงมาจากม้ามาหา ซึ่งหลิวปังก็คล้ายตรงเข้าหาเช่นกันด้วยสีหน้าที่ผ่อนคลายลงเล็กน้อยพลางถามไถ่ด้วยความเป็นห่วงด้วยกลัวอีกฝ่ายที่อยู่ฝ่ายเดียวกับตนจะโดนขุนพลหานซิ่นทำร้ายไป เพราะตัวหลิวปังไม่เห็นด้วยกับการกระทำพูดอย่างทำอย่างของเขาที่ช่างโหดร้ายและเลือดเย็นที่จะหักหลังเซี่ยงอวี่ไปเช่นนั้น ก่อนจะเอ่ยขอให้เสนาจางตรงหน้าได้คิดหาวิธีการยับยั้งแผนการนี้ไป

          ทว่าฝ่ายเสนาจางกลับเอ่ยกล่าวราวกับว่าจะปูที่ทางให้แก่อ๋องหลิวปังให้ได้ปกครองแผ่นดินนี้ผู้เดียวในภายภาคหน้าทำเอาอีกฝ่ายคล้ายยิ่งสิ้นหวัง เอ่ยตัดพ้อหาแก่ท่านเสนาที่เคยมีคุณธรรมของตนไปว่าเคยสัญญาเรื่องการแบ่งแผ่นดินปกครองกับเซี่ยงอวี่ไปแล้ว เหตุใดถึงจะให้เขากระทำเยี่ยงหานซิ่นโดยพูดอย่างทำอย่างดูชั่วช้าไม่เหมาะสมเช่นนั้น แต่เพราะคำกล่าวเตือนสติของเสนาจางที่เอ่ยถึงสถานการณ์ที่ไม่อาจเลี่ยง และหานซิ่นได้กุมอำนาจทางทหารไว้หมดสิ้นแล้ว การจะยับยั้งเหตุการณ์ทำร้ายเซี่ยงอวี่จึงแทบไม่มีโอกาส

          สิ่งที่ทำได้ในยามนี้มีเพียงการคล้อยตามสถานการณ์ เหมือนดั่งกฎธรรมชาติที่ฝนฟ้าจะตกก็ต้องตก มนุษย์เรามิอาจยับยั้งห้ามมันให้เกิดขึ้นได้ แม้ในใจนึกอยากจะคงไว้ซึ่งคุณธรรม แต่สถานการณ์โดยรอบที่ไม่อาจอำนวยให้ทำในที่สิ่งที่ถูกต้องได้นั้น ในบางคราก็ไม่อาจแก้ไขปัญหาได้

          ดั่งหลิวปังตอนนี้ที่ยังคงเชื่อมั่นในคุณธรรมมิขาดสาย แต่สุดท้ายก็ต้องทรุดเข่าทั้งสีหน้าเศร้าหมองอย่างคนอับจนหนทางหากไม่กระทำตามซึ่งคำของเสนาจางผู้นั้นที่ได้กล่าวเตือน

" มีคุณธรรมอยู่ในใจ คล้อยตามสถานการณ์ "
.
.

          ภาพตรงหน้าคล้ายพร่าเลือนจนในที่สุดประโยคสุดท้ายนั้นก็ดั่งขึ้นในหัวของนางในตอนที่ได้สติมาพอดีกับที่ถานเจ๋อชะโงกหน้ามาดูผู้เป็นนายว่าสบายดีหรือไม่หลังเห็นเงียบหายไปนาน กระทั่งไป๋เซ่อยังจ้องจิ้นอิ๋งเสียตาแป๋ว ถึงอย่างนั้นจิ้นอิ๋งที่คล้ายยังไม่หลุดจากภวังค์เสียทีเดียวกับภาพที่ได้เห็นทำให้ได้แต่อ้าหุบริมฝีปากเล็กราวกับจะเอ่ยบางสิ่งทว่าก็ไม่อาจเอ่ยออกมาได้ราวกับกำลังสับสนเหมือนกันกับหลิวปัง

          " ขอให้เจ้านำบทเรียนครั้งนี้ไปเรียนรู้ ในภายหน้าเจ้าอาจพบเจอสถานการณ์เช่นหลิวปัง " ผู้เฝ้ามองกล่าวด้วยรอยยิ้มที่ให้กำลังใจแก่เด็กสาวที่ตอนนี้หันมาสบตาอีกฝ่ายได้แล้ว ก่อนจะพยักหน้ากลับไปด้วยสีหน้าลำบากใจที่ยังไม่คลายหาย

          ถานเจ๋อที่หัวช้าไม่เข้าใจสถานการณ์ก็นึกว่าบุรุษแปลกหน้าท่าทางประหลาดผู้นั้นกล่าวพูดทำร้ายหรือทำให้ผู้เป็นนายตนสะเทือนใจอะไรหรือไม่ก็พลันชักดาบขึ้นมาด้วยท่าทีขึงขังและไม่วางใจ ท่าทางคุกคามเช่นนั้นทำให้จิ้นอิ๋งต้องเร่งจับด้ามดาบใกล้มือของผู้ติดตามลงคล้ายอยากให้อีกฝ่ายลดอาวุธลง

          " ถานเจ๋อ! เสียมารยาทนะ เก็บดาบเจ้าเดี๋ยวนี้ " เสียงหวานปรามหาอย่างจริงจังทำให้สุดท้ายเจ้าของชื่อพลันพ่นลมหายใจออกมาอย่างขัดใจ กระนั้นก็ยอมเก็บอาวุธลงแต่โดยดี

          ผู้เฝ้ามองที่เห็นภาพนั้นก็หลุดขำน้อย ๆ เท่านั้นก่อนจะเอ่ยถามกลับหาผู้ติดตามของจิ้นอิ๋งบ้างว่ามีความเห็นอย่างไร ซึ่งมันก็หรี่ตาตอบกลับดูไม่อยากตอบอยู่ในที แต่สุดท้ายก็เผลอลั่นปากตอบไปเพราะไป๋เซ่อชะโชกหน้าจากอ้อมแขนดรุณีน้อยไปจิกไม่แรงนักที่แขนของถานเจ๋อย่างรู้งาน

          .
          " ข้าไม่ได้สนใจเรื่องนี้ขนาดนั้นเสียหน่อย! นางเจิ้งจะได้รับผลอย่างไรก็แล้วแต่คำตัดสิน ไม่ได้เกี่ยวกับข้าสักนิด แต่เพราะหากข้องเกี่ยวด้วยแล้วช่วยเป็นประโยชน์แก่ผู้เป็นนายได้ ข้าถึงได้ยอมช่วยเหลือนี่แล! " คำกล่าวนั้นทำเอาจิ้นอิ๋งเผลอมองค้างยังผู้ติดตามน้อย ๆ อย่างคาดไม่ถึงว่าจะตอบตรงไปตรงมาเช่นนั้น แม้จะฟังดูไม่ใส่ใจแม่นางเจิ้งสหายของนางนัก แต่ก็ดูไม่ปิดบังแก่เด็กสาวดีให้นางเผลอกลั้วหัวเราะขึ้นมา

          " เจ้าคิดเช่นนั้นสินะ คนเช่นเจ้าเหมาะสมกับยุคสมัยนี้ แต่หลังแผ่นดินสงบ อำนาจในมือเจ้าอาจสั่นคลอน " ผู้เฝ้ามองกล่าวคลี่ยิ้มอย่างมีเลศนัยบนโขดหิน โดยมีถานเจ๋อมองงุนงงขึ้นมาว่าโยงไปเรื่องอำนาจได้อย่างไร เนื่องจากมันไม่ได้คาดหวังว่าจะได้รับมันเสียหน่อย " หวังว่าที่เจ้าทำลงไปจะคุ้มกับผลตอบแทนนะ "

          " คุ้มแน่! ผู้เป็นนายข้ายิ้มแย้มขึ้นตั้งมากมายถึงเพียงนี้ ก็ถือว่าไม่ได้เลวร้ายมากที่ต้องรับงานพาแม่นางเจิ้งส่งไปทำงานต่อจากพวกชั้นศาลน่ะนะ " มันตอบกลับทั้งกระหยิ่มยิ้มย่อง ก่อนจะยกมือปิดปากขึ้นมาด้วยความลืมตัวว่าอยู่กับจิ้นอิ๋งที่กล่าวถึงอยู่ให้แอบเหลือบสายตามองอย่างนึกอาย ซึ่งเด็กสาวก็เพียงยกรอยยิ้มกลับหาไปเท่านั้น

          " เจ้าคือผู้สร้างหนทางปราบแว่นแคว้นที่มีกำลังเข้มแข็งล้วนง่ายดายหากเจ้าเป็นผู้นำทัพ ความเผด็จการของเจ้าจะเป็นที่เกรงขามไปอีกหลายร้อยปีเฉกเช่นเซี่ยงอวี่.... " ผู้เฝ้ามองเอ่ยไม่ทันจบก็เป็นอันต้องเงียบเสียงลงไปก่อนเพราะคนหัวช้ากำลังมองสบหาอย่างงุนงงกลับคืน ท่าทางดูปิดกั้นอย่างไม่คิดปิดบังว่าไม่อยากฟังคำกล่าวอีกฝ่ายต่อเสียเท่าไหร่จนโดนไป๋เซ่อจิกเข้าอีกรอบจนต้องแอบถลึงตาเพราะผู้เป็นนายได้เอ่ยดุปรามเจ้าไก่น้อยไปให้แล้ว

          " ข้าไม่เข้าใจที่กล่าวหรอกนะ พูดภาษาที่เข้าใจง่ายกว่านี้มิได้หรืออย่างไร! " ถานเจ๋อกัดฟันกล่าวอย่างมีอารมณ์โมโห

          " ใจเย็นก่อนคุณชาย ข้าแค่เตือนสติเจ้า " ผู้เฝ้ามองเอ่ยกลั้วขำขึ้นมา " ที่ข้าจะบอกคือเจ้ามีข้อดีที่จะปราบปรามหัวเมืองที่มีอำนาจมากมาย แต่เมื่อเจ้าคิดจะเป็นใหญ่จะต้องรู้จักการฝืนการกระทำของเจ้า เพื่อใช้เมตตาสยบใจผู้คน มิเช่นนั้นจะมีคนที่ปวงประชาสนับสนุนมาแทนเจ้าเช่นเซี่ยงอวี่โค่นล้มฉิน แต่ผู้ได้ผลประโยชน์ที่ได้ใจประชาคือหลิวปัง "

          แม้จะได้รับคำอธิบายเพิ่มแต่ก็คล้ายถานเจ๋อจะงงหนักกว่าเดิมให้ต้องหันมาสบตาหาผู้เป็นนายเหมือนขอความช่วยเหลือ ซึ่งจิ้นอิ๋งก็คล้ายอ้ำอึ้งไปครู่หนึ่งเช่นกันก่อนจะยอมช่วยอธิบายให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น

          " ผู้เฝ้ามองเขาเพียง.. เล็งเห็นว่าตัวถานเจ๋ออาจยังเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัวมากเกินไปเท่านั้นน่ะ บางทีหากเห็นแก่ผู้อื่นมากขึ้นจะเป็นเรื่องดี.. อย่างที่เห็นแก่ข้าเพียงเพราะตัวเองเคยลั่นปากสาบานจะดูแล ทำแบบนั้นก็เป็นการทำเพียงเพราะให้ตัวเองสบายใจเท่านั้นไม่ต่างจากทำเพื่อตัวเอง ..หากหลังจากนี้ถานเจ๋อจะตัดสินใจด้วยตัวเองเพื่อคุณธรรมบ้าง ข้าจะดีใจมากเลยนะเจ้าคะ "

          หลังกล่าวจบถานเจ๋อก็คล้ายนิ่งคิดไป สีหน้าของมันฉายแววทั้งสับสนและคิดค้านบางสิ่งแต่สุดท้ายก็ไม่ได้กล่าวอะไรออกไป

          " เอาล่ะ นี่ก็ใกล้เวลาของข้าแล้ว ข้ามีของขวัญเล็กน้อยจะให้เจ้าไว้ตั้งตัวในภายหน้า " ผู้เฝ้ามองพลันเอ่ยแทรกหาเมื่อบุคคลทั้งสองต่างเงียบลงไป ก่อนจะชี้ไปยังใต้ต้นไม้ด้านหลังจิ้นอิ๋งที่มีหีบใบหนึ่งตอนไหนไม่รู้ จนไป๋เซ่อที่เห็นลอบกระโดดลงจากอ้อมแขนเด็กสาวเพื่อตรงเข้าไปสำรวจ

          " อ่ะ! ครั้งก่อนก็ให้สมบัติข้ามาส่วนหนึ่งแล้วนะเจ้าคะ ท่านจะให้เพิ่มมาเช่นนี้มิได้ " ดรุณีน้อยที่พอคาดเดาได้ว่าของในหีบนั้นเป็นสิ่งใดก็พลันยู่ริมฝีปากดูไม่พึงใจนักขณะผินสายตากลับมาสบจ้องผู้เฝ้ามองอย่างจริงจัง

          " ขอให้เจ้าสำเร็จปณิธานใหญ่ที่ปรารถนา และหวังว่าจะไม่ล้มเหลวเพราะตัวเอง จงจำไว้ ปรับใช้ตามสถานการณ์ บางครั้งเจ้าอาจต้องฝืนทำสิ่งที่ไม่อยากทำ แม้จะเครียดไปอย่างมากก็ตาม สถานการณ์ในแผ่นดินไม่เป็นดั่งใจเสมอ " ถึงอย่างนั้นผู้เฝ้ามองกลับไม่ได้รับฟังเสียงเอ่ยค้านของนาง และกล่าวให้พรแก่จิ้นอิ๋งและผู้ติดตามรวมถึงเจ้าไป๋เซ่อที่หันมาจ้องกลับหาคนกล่าวด้วยตากลมใสแทน จนดรุณีน้อยเผลอเงียบลงและค้อมหัวรับคำอีกฝ่ายไป

          รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่ผู้เฝ้ามองปริศนาผู้นั้นหายตัวไปจากตรงหน้าแล้ว จิ้นอิ๋งพลันร้องอุทานขึ้นมาอย่างนึกค้อนที่ไม่อาจส่งคืนหีบสมบัตินั้นแก่ผู้ให้ได้อีกหน แต่แล้วถานเจ๋อที่เดินตรงไปเปิดหีบนั้นโดยที่เด็กสาวไม่รู้ก็หลุดร้องไปพร้อมกับไป๋เซ่อที่ร้องกระต๊ากรับด้วยความตกใจเสียงถานเจ๋ออีกที

          " ทะ ท่านหญิง... "

          ผู้ติดตามเอ่ยอ้ำอึ้งราวกับทำอะไรไม่ถูกกับจำนานเงินเช่นกัน แต่สุดท้ายจิ้นอิ๋งที่ปลดปลงกับผู้เฝ้ามองผู้นั้นก็ได้แต่พยักใบหน้าราวกับยอมรับขึ้นมา ก่อนจะเอ่ยให้ถานเจ๋อแบกนำหีบนั้นกลับลงเขาไปและค่อยไปปรึกษากับพี่สาวเหมยอีกทีว่าควรจะจัดการกับเงินจำนวนนี้อย่างไรบ้าง โดยก่อนกลับนางก็ไม่ลืมที่จะทำความเคารพแก่สุสานของท่านตงฟางซั่วที่มารบกวนเวลายามหัวค่ำเช่นนี้ และเดินเข้าไปอุ้มไป๋เซ่อเพื่อพากันลงเขาไปอีกที

          โดยระหว่างเส้นทางที่ได้เดินกลับ คำพูดของผู้เฝ้ามองนั้นก็คล้ายวนเวียนในหัวของหนึ่งสตรีหนึ่งบุรุษที่เดินคู่กันไปตลอดทาง..
.
.
ผู้ติดตามที่เปิดใช้งาน : ถานเจ๋อ
สัตว์เลี้ยงที่เปิดใช้งาน : ไป๋เซ่อ


ลักษณะแต่กำเนิดหน้าผากกว้าง
+3 Point ทุกครัั้งที่โรลเรียนรู้
.
[ผู้ติดตามถานเจ๋อ] ลักษณะนิสัยชอบดูถูก
+2 Point ทุกครั้งที่โรลเรียนรู้

←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
บทเพลงเฟิ่งฉิวหวง
ถุงหอมจูอวี๋
กระบี่
พู่หยกเลือดหงส์
กลยุทธ์เล่ออี้
ม้าเหลียง
หน้ากากขาว
เกราะเกล็ดมังกร
ผ้าคลุมไท่หลง
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x3
x3
x3
x3
x3
x3
x3
x5
x2
x2
x1
x2
x2
x2
x1
x1
x27
x2
x38
x40
x50
x50
x40
x40
x50
x3
x22
x19
x31
x10
x50
x5
x5
x5
x1
x12
x1
x2
x5
x2
x9
x1
x8
x6
x6
x1
x3
x2
x2
x1
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง เข้าสู่ระบบ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

อย่าลืมเข้าสู่ระบบนะจ๊ะ เข้าสู่ระบบตอนนี้ หรือ ลงทะเบียนตอนนี้

เว็บไซต์นี้ มีการใช้คุกกี้ 🍪 เพื่อการบริหารเว็บไซต์ และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานของท่าน (เรียนรู้เพิ่มเติม)

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้