เจ้าของ: Watcher

[ซานเมืองลั่วหยาง] วัดไป๋หม่า

[คัดลอกลิงก์]
โพสต์ 2021-10-3 15:07:50 | ดูโพสต์ทั้งหมด
หลังจากเร่งเดินทางมาจนถึงลั่วหยางได้ทันเวลาพอดี จ้าวเพ่ยได้ซื้อข้าวกล่องจากเหล่าแม่ค้าบริเวณนั้นเพื่อร่นเวลาลงบ้าง นางกับซุนหยางมาถึงลั่วหยางด้วยสภาพของคนวิ่งแข่งมาก็ใช่ว่าจะไม่หอบจากการออกกำลังกายยามเช้าได้เลย เหล่าคณะสงฆ์เดินผ่านพวกนางไปทำให้หญิงสาวรีบเดินไปดักหน้าเหล่าสงฆ์เพื่อที่จะตักบาตรให้ทันก่อนจะไม่ทันเวลาเอา จ้าวเพ่ยหยิบของที่ซื้อมาถวายแด่คณะสงฆ์ที่เดินมาอย่างเป็นระเบียบพลางเห็นว่าซุนหยางไม่ทำอะไรนางก็ยัดอาหารแห้งใส่มือผู้ติดตามเพื่อที่จะใส่บาตรไปด้วยอีกคน

"ข้ายืนดูเฉยๆไม่ได้หรือ" หลังจากอาหารสำหรับใส่บาตรหมดลงไปแล้วทั้งสองก็เดินแยกออกจากฝูงชน เพื่อไม่ให้ขวางทางคนอื่นที่ต้องการจะใส่บาตร พวกนางไม่มีเวลาที่จะรับพรด้วยซ้ำเมื่อทั้งถูกผลักแลพดันเพื่อแย่งจะใส่บาตรจากเหล่าศาสนิกชน หญิงสาวมองกลุ่มคนที่ใส่บาตร พลางหันมาเอ็ดใส่ผู้ติดตามนางที่ดูเหมือนจะไม่เอาอะไรสักอย่างแม้แต่การทำบุญตักบาตรที่แสนจะง่ายดาย

"หากยืนดูเฉยๆ เจ้าก็กลับไปนอนที่โรงเตี๊ยมเถอะ ข้าจะอยู่ที่นี่เอง เสร็จเมื่อไหร่จะกลับไปรับ" นางกล่าวกับผู้ติดตามขณะเตรียมตัวที่จะเข้าสู่พิธีต่อไป ผู้ติดตามและจ้าวเพ่ยแยกกันตรงนี้เพื่อเจอกันทีเดียวในโรงเตี๊ยม ขณะหญิงสาวจะกลับไปทำกิจกรรมทางศาสนาที่นางเองก็ไม่ได้นับถือเพียงแค่ทำตามผู้คนรอบตัวจากการปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ของจ้าวเพ่ย สายตาพลันไปเห็นบุรุษผู้หนึ่ง หน้าตาดูคุ้นเคยเป็นอย่างดี ทำให้นางชะเง้อมองและเดินเข้าไปหาอีกฝ่ายเพื่อทักทายหลังบุรุษผู้นั้นตักบาตรเสร็จแล้วทันที

"สวัสดีเจ้าค่ะ… มาตักบาตรเหมือนกันหรือเจ้าคะ" นางเอ่ยทักทายกับบุรุษผู้นั้น พลันยิ้มขึ้นมาอย่างเป็นมิตร จวิ่นไอ่ได้ยินเสียงของหญิงสาวพลันหันมามองและเริ่มจำได้ว่าสตรีนางนี้เป็นคนเดียวที่เที่ยวงานเทศกาลคนเดียวก่อนหน้านี้

"ไม่คิดว่าจะเจอแม่นางที่นี่ ข้าคิดว่าจะอยู่ที่ฮั่นจงแล้วเสียอีก" จวิ่นไอ่กล่าวอย่างตรงๆ เพราะเมื่อครั้งที่คุยกันครั้งล่าสุดจ้าวเพ่ยเป็นคนบอกเองว่าอยู่ที่ฮั่นจงและไปฉางอันเพื่อชมความงดงามของจันทร์เพียงเท่านั้น

คำพูดนั้นทำเอาหญิงสาวนึกย้อนไปยังอดีต นางไม่ค่อยจำบทสนทนาเหล่านั้นได้เสียเท่าไรเพราะมัวแต่สนใจตลาดที่จัดตั้งรอบงานเทศกาลในยามนั้น นางเองก็หาใช่สตรีสายช็อปแต่เมื่อเห็นคำว่าราคาพิเศษก็อดไม่ได้ที่จะสนใจของเหล่านั้นจนรอบนั้นก็ไม่ได้คุยกันเสียมากนัก ทั้งๆที่มีโอกาสเดินเที่ยวงานด้วยกันแล้วเชียว

"ข้า.. บอกว่าข้าอาศัยที่ฮั่นจงหรือเจ้าคะ" นางเอ่ยถามออกไปอย่างตรงๆ ทำเอาจวิ่นไอ่นิ่งเงียบไปเมื่อได้ยินคำพูดของจ้าวเพ่ยกล่าวมา หญิงสาวใช้มือป้องปากขึ้นด้วยความคิดเมื่อพยายามนึกย้อนไปยังอดีตที่ผ่านมา "หมายถึงบ้านเกิดของข้าหรือเปล่าเจ้าคะ.. หากก่อนที่จะถูกโจรโพกผ้าเหลืองก่อจราจล ข้าอาศัยที่นั่นเจ้าค่ะ"

นางกล่าวขึ้นมาพลางยิ้มแย้ม แต่นัยน์ตาคู่สวยกลับดูเศร้ามองอย่างเห็นได้ชัดเมื่อพูดถึงสถานที่นางจากมา จ้าวเพ่ยพยายามจะไม่แสดงด้านอ่อนแอง่ายขึ้นเฉกเช่นเดิมเพราะสัญญากับเถ้าแก่เนี๊ยะโรงเตี๊ยมเอาไว้ก็ต้องทำให้ได้ตามที่นางรับปาก

จวิ่นไอ่เองก็ไม่ยากถามไถ่ชีวิตความเป็นอยู่ของจ้าวเพ่ยให้เป็นการละลาบละล้วงเกินไป ผู้คนเริ่มทยอยไปทำพิธีทางศาสนาต่อไปทำให้จ้าวเพ่ยหันไปมองคนกลุ่มใหญ่แล้วกลับมายิ้มให้กับจวิ่นไอ่เล็กน้อย

"สนใจที่จะนั่งสมาธิกับจ้าวเพ่ยไหมเจ้าคะ" นางเอ่ยถามกับบุรุษผู้นั้นำลันรอคำตอบ เมื่อเห็นว่าถึงดวลาแล้วแต่อีกฝ่ายไม่ตอบอะไรก็แอบผิดหวังเล็กน้อย นางพยักหน้าเล็กน้อยเพื่อย้ำคำตอบจากอีกฝ่ายที่นิ่งเงียบใส่นาง แต่ก็ถูกถามกลับคืนมาทำเอานางเผลอหุบยิ้มไม่อยู่

"จะไปกันหรือยัง ผู้คนเริ่มจับจองพื้นที่แล้วแล้ว" จวิ่นไอ่เอ่ยแล้วเดินนำหน้าหญิงสาวเพื่หาพื้นที่นั่งทำสมาธิท่ามกลางกลุ่มศาสนิกชนผู้เลื่อมใสในศาสนาพุทธอย่างแรงกล้า

หญิงสาวนั่งลงข้างๆโดยทิ้งระยะห่างจากบุรุษผู้นั้นเอาไว้พลางมองเขาหลับตาเพื่อทำสมาธิโดยไม่สนทนาใดๆกับนางต่อ มุ่งเป้าไปยังพิธีกรรมทางศาสนาอย่างเดียว หญิงสาวเหลือบมองรอบๆเล็กน้อยเห็นผู้คนรายล้อมรอบๆนางต่างนั่งลงทำสมาธิกันเสียหมด ทำให้นางต้องหลับตาลงและนั่งสมาธิไปอีกคน เสียงพระสงฆ์กล่าวนำในการกำหนดลงหายใจดังขึ้นมาเนื่องๆให้จ้าวเพ่ยทำตามคำพูดของเหล่าพระสงฆ์ จิตใจของนางนิ่งลงเมื่อความคิดมุ่งเป้าไปยังลมหายใจที่หน้าท้องของนาง จนลืมเลือนเรื่องที่ควรจะคิดไปเสียหมด

เสียงหนึ่งดังขึ้นคล้ายกับเป็นผู้นำในคราวนี้เริ่มสวดมนต์ขึ้นมาให้ทั้งหมดพูดตามกันเกิดเสียงดังก้อง ไพเราะหูภายในวัดอันร่มเย็นแห่งนี้

"นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธธัสสะ.. นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธธัสสะ… นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธธัสสะ… "

นางกล่าวท่องเคล้าคลอไปกับเสียงผู้คนมากมายจนเกิดเป็นเสียงประสานเดียวกัน หญิงสาวเหลือบมองบุรุษข้างๆเพียงครู่หนึ่งก็หันไปสนใจกับกิจกรรมของนาง ปกติแล้วเมื่อหลับตานานๆเปิดตาขึ้นมาจะต้องปรับโฟกัส แต่ครั้งนี้ภาพทั้งหมดกลับเป็นสีฟ้าสวยก่อนจะปรับเป็นภาพสีปกติที่ควรจะเป็น บทสวดดำเนินต่อไปจนสิ้นสุดลงครู่หนึ่ง ก่อนจะเริ่มสวดกันกับบทใหม่

"อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ ภะคะวา พุทธัง ภะคะวันตัง อะภิวาเทมิ… สวากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม ธัมมัง นะมัสสามิ… สุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ สังฆัง นะมามิ.."

กล่าวจบไปบทหนึ่งนางก็เหลือบไปมองบุรุษข้างๆ ดูเหมือนจะเป็นงานบุญที่ไม่มีโอกาสได้คุยกับจวิ้นไอ่มากนักเหมือนครั้งที่อยู่ในงานเทศกาลวันไหว้พระจันทร์ เหมือนอีกฝ่ายจะรู้ตัวว่านางลอบมองก็หันมาเพื่อถามทางสีหน้าว่าเกิดอะไรขึ้น แต่จ้าวเพ่ยก็รีบหันกลับไปทันทีเพื่อไม่ให้ดูเป็นข้อสงสัยขึ้นมาได้ว่านางทำตัวแปลกๆไป

"มะยัง ภันเต วิสุง วิสุง รักขะณัตถายะ ติสะระเณนะ สะหะ ปัญจะ สีลานิ ยาจามะ ทุติยัมปิ มะยัง ภันเต วิสุง วิสุง รักขะณัตถายะ ติสะระเณนะ สะหะ ปัญจะ สีลานิ ยาจามะ ตะติยัมปิ มะยัง ภันเต วิสุง วิสุง รักขะณัตถายะ ติสะระเณนะ สะหะ ปัญจะ สีลานิ ยาจามะ" คำอาราธนาศิลดังจึ้นเป็นจังหวะต่อไป หญิงสาวกล่าวท่องเคล้าไปกับผู้คนมากมาย เมื่อตอนนี้นางแทบจะหาโอกาสอื่นไม่ได้เลย หญิงสาวนึกยอมแพ้กับในยามนี้หากมัวแต่คิดเรื่องอื่นก็คงจะดูไม่งามเมื่อเข้ามาทำบุญใหญ่ทั้งทีดันคิดถึงแต่เรื่องผู้ชายไปเสียได้

"ปาณาติปาตา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ.. อะทินนาทานา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ.. กาเมสุมิจฉาจารา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ.. มุสาวาทา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ.. สุราเมระยะมัชชะปะมาทัฏฐานา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ"

หลังคำอาราธนาศิลห้าจบลงเหมือนนางคิดว่าจะจบแค่นี้แล้ว หญิงสาวเหลือบมองผู้คนรอบไปยังคง เตรียมพร้อมจะกล่าวบทสวดต่อไป การทำบุญใหญ่นางจำได้ว่าครั้งยังเป็นเด็กนางรู้สึกเบื่อหน่ายกับสิ่งนี้เมื่ออาอี๋พาเข้าวัด คิดถึงครั้งที่ออกไปเล่นกับเหล่าเพื่อนวัยเดียวกันขณะที่เหล่าพวกผู้ใหญ่เอาแต่ทำอะไรน่าเบื่อเสียจริง แต่ในยามนี้นางกลับโตพอที่จะไม่กลับไปทำอะไรเฉกเช่นเด็กๆให้ผู้คนติฉินนินนาได้ง่ายๆเป็นแน่

"วิปัตติปะฏิพาหายะ สัพพะสัมปัตติสิทธิยา สัพพะทุกขะวินาสายะ ปะริตตัง พรูถะ มังคะลัง.. วิปัตติปะฏิพาหายะ สัพพะสัมปัตติสิทธิยา สัพพะภะยะวินาสายะ ปะริตตัง พรูถะ มังคะลัง… วิปัตติปะฏิพาหายะ สัพพะสัมปัตติสิทธิยา สัพพะโรคะวินาสายะ ปะริตตัง พรูถะ มังคะลัง"

หลังจบคำอาราธนาพระปริต นางก็ทำเนียนจับต้นคอเอาไว้เพื่อบีบคลายความเมื่อยล้าบ้าง นางหันไปยิ้มให้กับบุรุษผู้อยู่ข้างๆ ขณะอีกฝ่ายมองพระสงฆ์จุดดทียนน้ำมนต์และหันมาคลี่ยิ้มให้จ้าวเำ่ยเมื่อเห็นว่านางเอาแต่มองตนจนนางรีบหันกลับไปอีกที

"อะเสวะนา จะ พาลานัง ปัณฑิตานัญจะ เสวะนา ปูชา จะ ปูชะนียานัง เอตัมมังคะละมุตตะมัง.. ปะฏิรูปะเทสะวาโส จะ ปุพเพ จะ กะตะปุญญะตา อัตตะสัมมาปะณิธิ จะ เอตัมมังคะละมุตตะมัง.. พาหุสัจจัญจะ สิปปัญจะ วินะโย จะ สุสิกขิโต สุภาสิตา จะ ยา วาจา เอตัมมังคะละมุตตะมัง..  มาตาปิตุอุปัฏฐานัง ปุตตะทารัสสะ สังคะโห อะนากุลา จะ กัมมันตา เอตัมมังคะละมุตตะมัง.. ทานัญจะ ธัมมะจะริยา จะ ญาตะกานัญจะ สังคะโห อะนะวัชชานิ กัมมานิ เอตัมมังคะละมุตตะมัง.. อาระตี วิระตี ปาปา มัชชะปานา จะ สัญญะโม
อัปปะมาโท จะ ธัมเมสุ เอตัมมังคะละมุตตะมัง..
คาระโว จะ นิวาโต จะ สันตุฏฐี จะ กะตัญญุตา กาเลนะ ธัมมัสสะวะนัง เอตัมมังคะละมุตตะมัง.. ขันตี จะ โสวะจัสสะตา สะมะณานัญจะ ทัสสะนัง กาเลนะ ธัมมะสากัจฉา เอตัมมังคะละมุตตะมัง.. ตะโป จะ พรัหมะจะริยัญจะ อะริยะสัจจานะ ทัสสะนัง นิพพานะสัจฉิกิริยา จะ เอตัมมังคะละมุตตะมัง.. ผุฏฐัสสะ โลกะธัมเมหิ จิตตัง ยัสสะ นะ กัมปะติ อะโสกัง วิระชัง เขมัง เอตัมมังคะละมุตตะมัง.. เอตาทิสานิ กัตวานะ สัพพัตถะมะปะราชิตา สัพพัตถะ โสตถิง คัจฉันติ ตันเตสัง มังคะละมุตตะมันติ.." บทสวดของพระดังเคล้าขณะจุดเทียนน้ำมนต์ไปด้วย หญิงสาวนิ่งเงียบตลอดพิธีกรรมเมื่อยอมแพ้กับมัน คิดว่าหลังจบพิธีกรรมช่วงเช้าจะหาโอกาสคุยได้มากกว่านี้ นางก้มหน้าลงเล็กน้อยเพื่อมองพื้นขณะรับคำสวดเข้าหูทั้งสองข้าง

"อิมัง สูปะพยัญชะนะสัมปันนัง สาลีนัง
โภชะนัง อุทะกัง วะรัง พุทธัสสะ ปูเชมิ"

เสียงบทสวดของผู้คนเริ่มดังขึ้นมาให้นางเริ่มที่จะกล่าวพูดเคล้าไปตามเหล่าผู้คนอีกครั้ง

"อิมานิ มะยัง ภันเต ภัตตานิ สะปะริวารานิ ภิกขุสังฆัสสะ… โอโณชะยามะ สาธุ โน ภันเต ภิกขุสังโฆ อิมานิ ภัตตานิ สะปะริวารานิ.. ปะฏิคคัณหาตุ อัมหากัง ทีฆะรัตตัง หิตายะ สุขายะ"

เสียงบทสวดเงียบลง ก่อนเหล่าผู้คนเริ่มต่อแถวกันอย่างเป็นระเบียบ จ้าวเพ่ยต่อหลังจวิ่นไอ่เพื่อจะนำกล่องข้าวที่นางซื้อมาถวายเป็นสังฆทานในครั้งนี้ กลุ่มคนจากด้านหลังดันกันกระทบมาโดนกันเป็นทอดๆจนนางเซเมท่อถูกดันไปด้วย ข้าวในมือแทบจะหลุดออกจากมือทำให้บุรุษหันไปมองนางและไล่สายตาไปยังด้านหลังนางก็อ้อมหลังจ้าวเพ่ยเพื่อให้นางอยู่หน้าตน จนนางหันไปมองอีกฝ่ายก่อนจะเอ่ยขอบคุณออกไป

กล่องข้าวสามกล่องวางเรียงกันบนผ้ารับประเคนนางรับพรจากพระสงฆ์ที่กล่าวให้นางก็เร่งออกจากที่ตรงนั้นเพื่อให้คนต่อไปได้ถวายสังฆทานต่อเพื่อจะได้ไม่เสียเวลามาก หญิงสาววกกลับไปนั่งที่เดิมเพื่อรอพิธีกรรมต่อไปก่อนจะหันมายิ้มให้กับจวิ่นไอ่ที่เดินไล่หลังมายังข้างๆนาง

"ได้ทำอะไรอย่างนี้ก็รู้สึกปลอดโปร่งดีนะเจ้าคะ" นางกล่าวชวนคุยกับอีกฝ่ายพลันได้ยินเสียงผู้คนพูดขค้นพร้อมกันให้นางหันกลับไผพูดคำสวดลาข้าวพระพุทธเพียงสั้นๆทันที

"เสสัง มังคะลัง ยาจามิ"

เมื่อกล่าวจบเหล่าผู้คนเริ่มทยอยกันลุกขึ้นบ้างก็นั่งรอพระฉันท์ข้าวตรงหน้า หญิงสาวหันไปมองจวิ่นไอ่ที่หันมามองนางเพื่อจะเป็นผู้ชวนคุยบ้างหลังจากที่จ้าวเพ่ยชวนเขาพูดมาตลอด

"มาสนทนาธรรมกันเสียหน่อยไหม"

"สนทธาธรรม ข้า.."

"หากแม่นางไม่สะดวก เช่นนั้นเอาไว้คราวหน้าเถอะ" จวิ่นไอ่กล่าวทั้งลุกออกไปทิ้งให้นางนั่งอยู่ตรงนั้น ก่อนหญิงสาวจะหงอยลงและลุกออกจากตรงนั้นไปอีกคนเพื่อที่เตรียมจะทำพิธีกรรมทางศาสนาในช่วงเย็นต่อไป


ลักษณะนิสัย : มีตัญหา
+2 Point ทุกครั้งที่วางแผนดำเนินจีบเพศตรงข้าม
+30 ความสัมพันธ์เมื่อคุณโรลเกี้ยวพาราสีอย่างมีชั้นเชิง

ลักษณะนิสัย : โลเล
-15 ความสัมพันธ์คนที่กำลังจีบ

อัตลักษณ์ : งดงาม
+30 ความสัมพันธ์กับคนที่ให้ความสนใจ

ธาตุและความสัมพันธ์
+5 ความสัมพันธ์ (027) ธาตุชนิดเดียวกัน (ธาตุไฟ)

ตักบาตรยามเช้ากับคณะสงฆ์แปรแถวบริเวณที่เปิดให้สาธุชนได้ตักบาตร ได้รับ +5 EXP
นั่งสมาธิบำเพ็ญกุศล กำหนดจิตให้สงบก่อนเริ่มฟังธรรม ได้รับ +5 EXP
ปฏิบัติธรรม บูชาข้าวพระ ถวายภัตตาหารเป็นสังฆทาน ได้รับ +20 EXP , +7 Point

ถวายสังฆทาน : กล่องข้าว x3 แด่พระสงฆ์

←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
กระบี่ร้อยกฎ
มุกพณาหวาซวี
ม้าเหลียง
กลยุทธ์เล่ออี้
บทเพลงยิ้มเย้ยยุทธจักร
หน้ากากขาว
เกราะเกล็ดมังกร
ผ้าคลุมไท่หลง
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x2
x7
x4
x10
x10
x13
x13
x13
x12
x11
x202
x1
x1
x1
x11
x22
x15
x30
x1
x100
x100
x9
x2
x5
x6
x8
x10
x2
โพสต์ 2021-10-3 15:10:57 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Fenyue เมื่อ 2021-10-3 15:15
Fenyue ตอบกลับเมื่อ 2021-10-3 10:13
⌜59⌟
บทที่ 11งานบุญ ณ วัดม้าขาวฉากที่ 1                                ...


⌜60⌟

บทที่ 11
งานบุญ ณ วัดม้าขาว
ฉากที่ 2
                    
          การทำสมาธิในช่วงเช้าเริ่มต้นขึ้นไม่ช้าหลังจากที่เฟินเยว่ตามกลับไปสมทบกับคนอื่น ๆ ทั้งสามแทบจะไม่ได้มีปฏิสัมพันธ์อะไรกันเลยระหว่างการนั่งสมาธิบำเพ็ญกุศล เด็กสาวพยายามมีสมาธิจดจ่ออยู่กับการควบคุมลมหายใจที่ปลายจมูกตามไต้ซือที่นำการนั่งสมาธิ จากนั้นก็ฟังพระเจริญพุทธมนต์ แต่บอกตามตรงเลยว่าแม้ว่าพระจะสวดมามากมายหลายอย่างแต่เฟินเยว่แทบไม่รู้เรื่องเลยสักบท
        
         
          เด็กสาวเหลือบสายตามองไปทางต้าซิ่นทีตงฮั่วที แต่ละคนดูมีอาการนิ่งเงียบสำรวมกายและวาจาแต่ก็ไม่รู้ว่าพวกเขาฟังออกหรือไม่ เป็นที่น่าเสียดายมากจริง ๆ เฟินเยว่อยากรู้ต้องคำในบาลีหากเข้าใจได้มากกว่านี้คงดีอยู่หรอก นางนึกไปถึงหญิงสาวที่เพิ่งแยกจากกันมาไม่นาน หากเป็นอีกฝ่ายจะเข้าใจถ้อยความทั้งหมดนี้หรือไม่นะ
         
          หลังจากที่พระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์เรียบร้อยแล้วก็ถึง จุดเทียนน้ำมนต์ฟังพระสวดบทมงคลสูตรที่เข้าใจยาก แต่คิดว่าเนื้อหาทั้งหมดอาจคล้ายกับบทบูชาพระรัตนตรัยที่กล่าวสรรเสริญพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ เด็กสาวไม่รู้ว่าตนเองคิดถูกหรือไม่แต่เอาเป็นว่าทำใจให้บริสุทธิ์คิดถึงแต่เรื่องดี ๆ ไว้ก่อนก็แล้วกัน
         
          จบจากการสวดมนต์อันยาวยืดก็ได้เวลาถวายภัตตาการเพลและเครื่องธรรม ก่อนจะถวายข้าวพระก็ยังไม่พ้นกับบทสวด
         
         “อิมัง สูปะพยัญชะนะสัมปันนัง... สาลีนัง โภชะนัง อุทะกัง วะรัง... พุทธัสสะ ปูเชมิ ฯ”
                  
         “อิมานิ มะยัง ภันเต... ภัตตานิ... สะปะริวารานิ... ภิกขุสังฆัสสะ... โอโณชะยามะ... สาธุ โน ภันเต... ภิกขุสังโฆ... อิมานิ... ภัตตานิ... สะปะริวารานิ... ปะฏิคคัณหาตุ... พุทธะสาสะนัสสะ... จิรัฏฐิติยา... เจวะ... อัมฺหากัญจะ... ทีฆะรัตตัง... หิตายะ... สุขายะ…”
         
          “เสสัง มังคะลัง ยาจามิ...”
         
          ในส่วนนี้เห็นว่าต้องให้บุรุษเป็นผู้นำถวายเด็กสาวจึงเกาะไปกับต้าซิ่นที่ดูจะเจนพิธีการจัดการถวายเพล มอบกล่องอาหารเกือบจะเจทั้งเก้ากล่องแก่พระสงฆ์ผู้เจริญ เมื่อจบขั้นตอนนี้ก็ถือว่าเสร็จสิ้นพิธีกรรมในช่วงเช้า ทั้งสามจึงพากันออกมาที่ลานด้านหน้าของศาลเจ้าไป๋หม่า ตอนนี้แดดกำลังดีได้ที่เชียว เดี๋ยวสาวยกมือขึ้นกำบังแดดไม่ให้ต้องผิวหน้ามาเกินไป
         
          “จากนี้ไปเราต้องทำอะไรกันต่อหรือเจ้าคะ?”
         
          “เสร็จจากนี้ช่วงบ่ายจะเป็นการฟังธรรมในช่วงบ่ายล่ะ”
         
          “ฟังธรรมเนี่ย จะเป็นบทสวดภาษาบาลีอีกหรือเปล่าเจ้าคะ คือเมื่อครู่ ข้าแทบจะไม่รู้เรื่องเลยว่าสวดเกี่ยวกับอะไรไปบ้าง”
         
          “อ๋อ ก็ไม่แปลกหรอก” ต้าซิ่นกลั้วหัวเราะ “จริง ๆ แล้วหากอยากให้ประชาชนเข้าใจก็ควรต้องแปลบทสวดเป็นภาษาท้องถิ่นน่ะ เพราะฉะนั้นพุทธจึงยังไม่เป็นที่นิยมในหมู่ชาวบ้านเท่าไร อันที่จริงข้าก็ไม่ได้รู้รายละเอียดลึกซึ้งนัก แต่ก็พอจะอธิบายได้บ้างน่ะ”
         
          “อย่างนั้นเองถ้าอย่างนั้นเอาไว้มีข้อสงสัยตรงไหนแล้วจะถามนะเจ้าคะ”
         
          “ได้สิ ยินดีเลยล่ะ”
         
          บัณฑิตเหลียงดูจะภาคภูมิที่เขาจะได้แสดงความรู้ความสามารถของตัวเองออกมา
         
          “งั้นเหรอ ยังอีกเยอะสินะ งั้นข้าขอตัวไปหาปลาตกแถวนี้ก่อน”
         
          “อ้าว ตงฮั่วไม่อยู่ฟังธรรมด้วยกันก่อนหรือเจ้าคะ?”
         
          “ไม่ล่ะ ฟังไปก็ไม่ค่อยจะรู้เรื่อง ข้าขอตัวไปทำอะไรที่มันเหมาะกับตัวเองดีกว่า”
         
          พูดจบเด็กหนุ่มโลกส่วนตัวสูงก็เดินจากไปทันที ไม่ใช่แค่นั้นแต่เด็กสาวก็ตามไปอีกคน
         
          “ถะ.. ถ้าอย่างนั้นข้าก็ขอไปด้วยเจ้าค่ะ”
         
          “อ้าว พวกเจ้านี่ แล้วงานบุญล่ะ?”
         
          ทำเอาบัณฑิตเหลียงมองงงเป็นไก่ตาแตก
         
          “คือว่าข้าต้องไปคุมความประพฤติเขาน่ะเจ้าค่ะ ไม่รู้ว่าจะไปก่อเรื่องอะไรอีก”
         
         “อ้อ...” ชายหนุ่มพอเข้าใจ หลังจากพบกันแล้วเห็นการกระทำก็พอรู้ว่าเด็กคนนั้นชวนยั่วให้คนมาต่อยตีแค่ไหน แล้วยังจะหลักฐานบนร่างกายที่เหมือนเพิ่งไปฟัดกับใครมาอีก ในจุดนี้ต้าซิ่นก็พอจะเข้าใจ “งั้นข้ารออยู่ที่นี่นะ ช่วงเย็นมีเวียนเทียน อย่าลืมกลับมาให้ทันกันล่ะ”
         
          “ได้เจ้าค่ะ แล้วข้าจะไปเวียนเทียนด้วยนะเจ้าคะ”
         
          กล่าวบอกจบเด็กสาวก็ค้อมศีรษะแล้ววิ่งดุ๊ก ๆ ตามบุรุษไป
         
.
.
.
                    

ลักษณะนิสัยรักสงบ
-10 ลดความเครียด

ลักษณะนิสัยขยัน
-20 ลดความเครียดเมื่อทำงานหรือทำกิจกรรมใด ๆ

อัตลักษณ์ผิวเป็นฝ้ากระ
-20 EXP จากการโรลทำงานในช่วงกลางวัน หรือ โรลเดินทางช่วงกลางวัน (เรียลไทม์)
+15 ความเครียด เมื่อต้องทำอะไรก็ตามในช่วงเวลากลางวัน

นั่งสมาธิบำเพ็ญกุศล ได้รับ +5 EXP
ปฏิบัติธรรม บูชาข้าวพระ ถวายภัตตาหารเป็นสังฆทาน ได้รับ +20 EXP , +7 Point
ถวาย ข้าวกล่อง [เกือบจะเจ] จำนวน 9 กล่อง





←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
พยัคฆ์ตงเทียน
หยกเชื่อมสัมพันธ์
พู่กันเหวิ่นเซ่า
ถุงหอมจูอวี๋
กลยุทธ์เล่ออี้
บทเพลงยิ้มเย้ยยุทธจักร
หน้ากากขาว
เกราะเกล็ดมังกร
ผ้าคลุมไท่หลง
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x40
x32
x1
x439
x500
x73
x500
x26
x498
x500
x10
x2
x9
x1
x400
x1
x1
x5
x28
x8
x591
x228
x228
x500
x2514
x18
x14
x1
x5
x1
x2
x100
x5
x50
x100
x3
x3
x10
x2
x47
x64
x6
x9
x2
x71
x1
x24
x95
x50
x86
x150
x260
x150
x150
x46
x46
x2
x2
x6
x2
x2
x34
x4
x1
x8
x1
x2
x7
x5
x8
x7
x110
x7
x74
x45
x3
x30
x63
x74
x79
x2
x71
x68
x6
x45
x50
x160
x316
x3
x220
x48
x35
x168
x12
x10
x25
x1
x13
x6
x4
x6
โพสต์ 2021-10-3 16:31:43 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Jinying เมื่อ 2021-10-3 17:33
Jinying ตอบกลับเมื่อ 2021-10-3 13:22
❀ วันบูชาข้าวพระ ❀บูชาข้าวพระถวายภัตตาหาร..
          ในว ...


วันบูชาข้าวพระ
พักผ่อนหลังฟังธรรมยามบ่าย
.
.

          หลังฟังธรรมกับไต้ซือเหวินจิ้งและถวายปัจจัยเสร็จสิ้น ก็ถึงช่วงเวลาพักผ่อนที่ผล่อยให้บรรดาศาสนิกชนได้เที่ยวชมรอบตัววัดต่อ จิ้นอิ๋งที่แยกกับสตรีแซ่อู๋มาด้วยเพราะอีกฝ่ายรู้สึกเหนื่อยล้าจากการนั่งนิ่งฟังธรรมมานานจนรู้สึกง่วงและขอตัวไปนอนงีบสักที่จนสุดท้ายเด็กสาวก็คล้ายต้องเดินในงานคนเดียว

          และเพราะก่อนหน้าที่ได้ถวายปัจจับแก่ไต้ซือเป็นชาดีชนิดหนึ่งไป แล้วจิ้นอิ๋งนั้นได้ชงมาเกินหลายส่วน เวลานี้นางจึงมองหาที่นั่งเพื่อทำการดื่มบางส่วนและจัดเก็บเอาไว้ให้ถานเจ๋อและซูฮวาอีกที หรือหากมีใครขอร่วมดื่มกับนางก็ยินดีมอบให้เช่นเดียวกัน แต่แล้วยังไม่ทันที่จิ้นอิ๋งจะได้ตัดสินใจว่าทำอย่างไรกับชาหลังจากที่หาโต๊ะใต้ร่มไม้ข้างตัววัดวางกาใส่ชาได้ เสียงฝีเท้าคล้ายตามเด็กสาวจนใกล้เข้ามาเสียทุกทีทำให้ดรุณีน้อยต้องหันไปมองเจ้าของเสียงนั้นเสียก่อน จนพบว่าเป็นใครดวงหน้านวลก็ส่งรอยยิ้มดูยินดีไม่น้อยส่งหาแทบจะทันที

          " ท่านกัว! ตกใจหมดเลยเจ้าค่ะ คราวหลังจะทักกันก็เอ่ยทักเลยสิเจ้าคะ เดินมาไม่ให้สุ่มให้เสียงข้ากลัวนะเจ้าคะ " น้ำเสียงหวานเอ่ยคล้ายกึ่งดุอยู่ในที แต่อีกบุรุษกลับเอาแต่แย้มรอยยิ้มไม่หยุดราวกับไม่ได้ถือสากับคำว่ากล่าวนั้นแม้แต่น้อย

          " ไม่นึกว่าเจ้าจะมาแม่นางกู่… เจ้านั่งอยู่ด้านหลัง ๆ งั้นสิ " กล่าวพาเปลี่ยนเรื่องไปอีกเสียด้วย แต่จิ้นอิ๋งก็ไม่เอาความเช่นกันพลางเอ่ยตอบอย่างกระคือรือร้น

          " ใช่เจ้าค่ะ.. พอดีข้าไม่ค่อยร่วมงานบุญของศาสนาพุทธเสียเท่าไหร่ เลยไม่กล้าไปนั่งแถวด้านหน้าน่ะเจ้าค่ะ ...ท่านกัวดื่มชาหรือไม่เจ้าคะ? "

          ไหน ๆ ก็ได้เจอสหายด้วยแล้ว จิ้นอิ๋งจึงเอ่ยชวนอย่างมีน้ำใจพลางผายมือให้อีกบุรุษนั่งลงยังเก้าอี้ที่ล้อมโต๊ะหินที่ตนนั่งอยู่ไปด้วย แต่แล้วยังไม่ทันที่กัวฟ่งเสี่ยวจะได้ตอบรับหรือปฏิเสธ บุรุษไม่คุ้นหน้าอีกสองก็ปรากฏขึ้นข้างกายของสหายแซ่กัวให้จิ้นอิ๋งเผลอชะงักไปเล็กน้อย

          " ไฉนถึงรีบเดินแยกมาคนเดียวเช่นนี้กังฟ่งเสี้ยว เกือบหาเจ้าไม่เจอแล้ว "

          " ในวัดในวาก็ยังเกี้ยวสตรีงั้นหรือ "

          คำพูดคำจาที่ราวกับรู้จักกันดีไม่น้อยทำให้เด็กสาวรีบผุดลุกยืนตัวตรงก่อนค้อมหาอย่างสุภาพแก่ทั้งคู่ไป บุรุษแปลกหน้าคนที่สองที่เอ่ยกล่าวและเกือบดุจิ้นอิ๋งไปว่าทำตัวไม่เหมาะสมยังสถานที่น่าเคารพก็พลันเงียบเสียงลงไปด้วยราวกับเริ่มรู้ตัวว่าอาจเข้าใจผิด พลางค้อมทักทายกลับหาอย่างสุภาพไม่ต่างกัน พร้อมกันนั้นทางฝั่งบุรุษคนแรกที่เอ่ยส่งน้ำเสียงห่วงใยมาก่อน ยามนี้สังเกตเห็นถึงเด็กสาวด้านหลังกัวฟ่งเสี้ยวก็ค้อมตัวทักทายตามไปด้วย

          " เกี้ยวสตรีอะไรของท่านเหวินยื่อ แม่นางผู้นี้เป็นสหายของข้า " กัวฟ่งเสี้ยวเอ่ยขึ้นมาอย่างมีอารมณ์เล็ก ๆ ทำเอาเจ้าของชื่อเลิกคิ้วประหลาดใจขึ้นมาวูบหนึ่งก่อนจะหันไปเอ่ยขอโทษแก่จิ้นอิ๋ง

          " ขออภัยแม่นางที่ข้ากล่าวคำเข้าใจผิดให้เสียมารยาทไปขอรับ ..แต่พอดีสหายข้าผู้นี้มักมีสตรีไม่เคยขาดมือ ข้าเลยไม่นึกว่ากัวฟ่งเสี้ยวจะมีสหายเป็นอิสตรีได้ "

          คำกล่าวอีกฝ่ายที่แฝงน้ำเสียงเจือขบขันในประโยคจนดูคล้ายอยากหยอกหาสหายตนมากกว่าจะเอ่ยกล่าวว่าร้ายใด ทำจิ้นอิ๋งที่ได้ยินหลุดรอยยิ้มไม่ถือสาออกมาพร้อมขานรับอย่างเข้าอกเข้าใจเสียด้วย ทำเอาคนถูกพาดพิงแทบจะนิ่วคิ้วใส่ราวอยากจะปฏิเสธขึ้นมาทว่าก็เถียงไม่ออก อีกบุรุษที่ได้ฟังบทสนทนาไปด้วยก็เริ่มเข้าใจสถานการณ์ขึ้นมาจึงเอ่ยแนะนำตัวออกไป

          " สหายงั้นสินะ.. เช่นนั้นก็ยินดีที่ได้รู้จักนะขอรับแม่นาง ข้ามีนามว่า สวินกงต๋า " บุรุษนามกงต๋าเอ่ยมาอย่างเป็นมิตร รู้สึกถูกชะตากับเด็กสาวอย่างประหลาดเพราะทำกัวฟ่งเสี้ยวที่มักเผยรอยยิ้มอมพะนำไม่รู้ความหมายในตอนนี้มีสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกจากคำพูดของท่านอาเหวินยื่อได้

          " ส่วนข้า สวินเหวินยื่อ ขอรับ " อีกบุรุษเอ่ยพร้อมรอยยิ้มอย่างเป็นมิตรไม่ต่างกัน

          " ยินดีที่ได้รู้จักท่านทั้งสองเช่นกันนะเจ้าคะ ข้ามีนามว่ากู่จิ้นอิ๋งเจ้าค่ะ ...แต่ก็ไม่ใช่ว่าท่านกัวมีสหายเป็นอิสตรีอยู่บ้างหรือเจ้าคะ " จิ้นอิ๋งตอบรับขึ้นมาราวอยากช่วยแก้ตัวให้สหาย แต่กัวฟ่งเสี้ยวกลับเร่งส่ายหัวคืนแก่เด็กสาวทำเอานางฉงนไปหมดจนไม่ได้เอ่ยต่อถึงชื่อสหายสตรีอีกคนของบุรุษแซ่กัวไป

          " มีสหายอีก? ...งั้นหรอกหรือ เขาบอกว่ามีสหายเป็นสตรีอีกคนด้วยงั้นหรือขอรับ "

          สวินเหวินยื่อทวนคำด้วยน้ำเสียงเนิบคล้ายรู้ทันในบางอย่าง ก่อนบุรุษแซ่สวินทั้งสองจะมองหน้ากันและเผยรอยยิ้มไม่น่าวางใจแก่กัวฟ่งเสี้ยว คนที่เริ่มรู้ตัวว่ากำลังจะเป็นเป้าการโดนแกล้งจึงพลันเบี่ยงเบนความสนใจทั้งสหายแซ่สวินและจิ้นอิ๋งออกจากตัวเองไปโดยพเยิดใบหน้าหายังชาบนโต๊ะให้เด็กสาวมองตามสายตาก่อนหลุดร้องรับในคอดังแผ่วขึ้น

          " จริงด้วย ท่านทั้งสามสนใจร่วมดื่มชากับข้าหรือไม่เจ้าคะ พอดีข้าชงเกินมาหลังจากได้เอาถวายไต้ซือเหวินจิ้งไปน่ะเจ้าค่ะ… ถ้าพวกท่านไม่ถือนะเจ้าคะ "

          และดูคล้ายจะได้ผล ทันทีที่ได้ยินว่าให้ดื่มชาร่วมกัน สวินเหวินยื่อเป็นคนแรกที่ก้าวเดินมาสำรวจชาในกาที่ว่า ก่อนรอยยิ้มพลันเผยออกอย่างยินดียิ่งเมื่อได้กลิ่นจนคาดเดาได้ว่าเป็นชาชนิดใด ออกจากหอมกว่าชาที่เคยดื่มมาโดยไม่รู้ว่ามาจากชานี้หรืออย่างอื่นกันแน่ ทางสวินกงต๋าก็ตามผู้เป็นอามาติด ๆ บุรุษแซ่สวินที่ชื่นชอบชาอยู่เป็นนิตย์ก็เริ่มพาตัวเองนั่งล้อมโต๊ะโดยที่จิ้นอิ๋งไม่ต้องเอ่ยชวนเลยเชียว

          กัวฟ่งเสี้ยวที่เห็นก็พลันลอบถอนหายใจก่อนผายมือเชื้อเชิญให้เด็กสาวได้นั่งลงและเริ่มรินชาให้แก่พวกเขาได้เลย ซึ่งจิ่นอิ๋งที่เห็นท่าทางสหายก็พยักหน้าเข้าใจ วางถ้วยชาแก่ทั้งสามรวมถึงนางเองและรินเสิร์ฟให้จนกลิ่นหอมเอกลักษณ์ของชาโชยออกชวนผ่อนคลายเป็นที่สุด

          " ชาอะไรงั้นหรือแม่นางกู่ " กัวฟ่งเสี้ยวที่ไม่ใช่คอชานักเอ่ยถามอย่างใคร่รู้

          " อืม… ชาต้าหงเผาน่ะเจ้าค่ะ เห็นได้รับขนานนามว่าเป็นราชาแห่งชาข้าเลยอยากเอามาถวายแก่ไต้ซือน่ะเจ้าค่ะ แต่ก็ดันชงเกินมาเสียนี่ " จิ้นอิ๋งเอ่ยกลั้วขำขณะที่ส่งกาให้บุรุษแซ่สวินได้เติมชากันตามอัธยาศัย หลังเห็นว่าดูจะชื่นชอบกันไม่น้อย

          " แม่นางได้ใบชามาจากที่ใดงั้นหรือขอรับ ตามจริงใบชานี้หายากมากเลยเชียวนะแม่นาง "

          กงต๋าเอ่ยถามขึ้นมาอย่างนึกชื่นชมไม่น้อยที่เด็กสาวหายอดชามาได้เช่นนี้โดยมีเหวินยื่อพยักหน้ารับทั้งรอยยิ้มเห็นด้วยไม่ต่างกัน จิ้นอิ๋งจึงช่วยเท้าความถึงวันเทศกาลไหว้พระจันทร์ที่เมืองฉางอันว่านางซื้อมาจากงานนั้นให้ทั้งสองได้ฟัง ซึ่งบุรุษแซ่สวินก็คล้ายเปรยบ่นขึ้นมาอย่างนึกเสียดายที่ไปร่วมงานทว่าไม่เจอร้านขายชานี่เข้าเสียอย่างนั้น

          ดรุณีน้อยที่ได้ยินจึงมอบส่งชาที่เหลือแก่บุรุษทั้งสามไปทั้งหมดอย่างใจกว้าง แม้จะได้รับสีหน้าดูเกรงอกเกรงใจ แต่จิ้นอิ๋งก็ยกยิ้มกว้างกลับคืนไปให้เห็นว่านางนั้นไม่ได้ลำบากใจใดเลย ทั้งยังยินดีมากเสียด้วยถ้าทั้งสามเต็มใจรับชาของนางไป

          " พวกอาหารน่ะ ข้าเคยได้ยินว่าแบ่ง ๆ กันทานจะอร่อยขึ้นนะเจ้าคะ! ชาก็คงไม่ต่างกันมากนักหรอกเจ้าค่ะ " และเพราะประโยคนี้ทำให้บุรุษแซ่สวินยอมรับชาไปในที่สุด ทางกัวฟ่งเสี้ยวก็พลันลอบยิ้มกับนิสัยของเด็กสาวที่ไม่ได้เหนือไปจากที่คาดและรับชามาด้วยก่อนจะเอ่ยชวนให้เดินดูของในวัดร่วมกันต่อ

          " เห็นว่าในงานมีซุ้มวางขายของมงคลกับชาหายาก พอดีสหายข้าสนใจจะเดินไปดู แม่นางกู่สนใจไปเดินดูร่วมกันหรือไม่ "

          " ใช่ สหายของกัวฟ่งเสี้ยวอยากเข้าไปดูชาน่ะขอรับ " ทว่าคนตอบกลับคำถามของบุรุษแซ่กัวกลับเป็นเหวินยื่อที่ผุดลุกเอ่ยเน้นที่คำว่าสหายทั้งรอยยิ้ม กงต๋าที่ได้ยินคำพูดของท่านอาก็แย้มยิ้มรู้ทัน สบมองกัวฟ่งเสี้ยวที่แทบอยากจะกลอกตาหาทั้งคู่ให้เงียบเสียงลงไป

          ถึงอย่างนั้นจิ้นอิ๋งก็ไม่ได้รับรู้ถึงความนัยเหล่านั้นเสียเท่าไหร่ และเอ่ยตอบรับอย่างกระตือรือร้นมากเลยเชียวที่จะเดินเที่ยวชมของในงานบุญนี้ร่วมกันกับสหาย กระทั่งทั้งสี่เดินมาถึงส่วนของชาที่วางขายเสียก่อนเพราะเป็นบริเวณที่บุรุษแซ่สวินทั้งสองสนใจอยากมาดู ซึ่งจิ้นอิ๋งที่เห็นลักษณะชาที่คุ้นตาทำให้พาลนึกไปถึงชาที่เพิ่งได้รับมาเมื่อช่วงพักเที่ยงจนนางอดไม่ได้ที่จะหันไปสบตาหาสหายแซ่กัวและเอ่ยถามขึ้นมาทั้งรอยยิ้ม

          " ใช่ท่านกัวหรือไม่เจ้าคะ ที่ส่งชานี้มาให้ข้าเมื่อตอนเที่ยงน่ะเจ้าค่ะ " กัวฟ่งเสี้ยวที่ได้ยินก็คล้ายยกรอยยิ้มตอบดูไม่รู้ความหมาย ราวกับอยากให้สตรีตรงหน้าได้ลองเดา ทว่าบุรุษแซ่กัวก็คล้ายลืมไปครู่ว่ามาวัดร่วมกับสหายอีกสอง กงต๋าที่ได้ยินก็แทบนิ่วคิ้วมองหากัวฟ่งเสี้ยวแทบจะเดี๋ยวนั้น

          " ข้าก็ว่าช่วงเที่ยงที่เจ้ามาซื้อชาแล้วไม่เห็นพกกับตัวที่แท้ก็ให้สหายผู้นี้เองหรอกหรือ " โดนเฉลยทั้งที่ยังไม่ได้แกล้งจิ้นอิ๋งต่อ ทำเอาบุรุษแซ่กัวแทบจะเดาะลิ้นขัดใจขึ้นมาเสียเดี๋ยวนั้น แต่พลันเห็นรอยยิ้มของเหวินยื่อที่ยืนข้างกายกงต๋าก็ทำเอาเจ้าตัวได้แต่เงียบเสียง ไม่กล้าโพล่งแก้ตัวอะไรให้โดนบุรุษแซ่สวินทั้งสองนี้หาทางล้อหยอกเขาขึ้นมาอีก

          ทางจิ้นอิ๋งที่ได้ยินก็ยิ่งแย้มรอยยิ้มรับ ก่อนเอ่ยบอกว่าชาต้าหงเผาที่นางได้ให้สหายแซ่กัวไปก็ถือว่าแลกกันกับชาหายากที่อีกคนได้ส่งมาให้นางก็แล้วกัน

          " อืม ชานี้ยิ่งหายากกว่าชาที่พวกเรานั่งดื่มกันเมื่อครู่นี้เชียวล่ะแม่นางกู่ ราคาก็ค่อนข้างสูงมาก.. เคยได้ยินจากกัวฟ่งเสี้ยวว่าแม่นางมีผู้ติดตามด้วย ไม่ลองซื้อไปฝากดูล่ะขอรับ ถือว่าอุดหนุนทางวัดแล้วก็ได้เอาไปแบ่งให้ผู้ติดตามได้ลองดื่มด้วย " เหวินยื่อคล้ายเอ่ยเพื่อแนะนำจิ้นอิ๋ง ทว่าหากพิจารณาแค่ต้นประโยคนั้นดูคล้ายจะล้อสหายตนชัดเจนเลยทีเดียว

          กงต๋าที่จับสังเกตสีหน้าของสหายแซ่กัวที่ดูกระอั่กระอ่วนอีกหนก็คล้ายหลุดหัวเราะชอบใจ เข้าไปร่วมวงกับผู้เป็นอาเอ่ยแนะนำชาให้แก่จิ้นอิ๋งยกใหญ่ ดู ๆ แล้วก็คล้ายกำลังรวมตัวหาทางแกล้งกัวฟ่งเสี้ยวด้วยนาน ๆ ทีจะเจอสตรีที่ทำให้อีกฝ่ายดูรุกเข้าหา ทว่าก็ยังไม่ชัดเจนอยู่ดี จนบุรุษแซ่สวินไม่เชิงอยากเอาใจช่วยกับจิ้นอิ๋งที่ดูเป็นเด็กดีไม่น้อยผู้นี้นัก

          " ลองซื้อไปสิแม่นางกู่ ชาดีมากจริง ๆ เห็นว่าดื่มแล้วชุ่มคอมากนักขอรับ ทั้งยังชงทนน้ำดื่มได้หลายคราเลยเชียว ซื้อมาสักอันก็คุ้มแล้วแม่นาง.. ข้ากับท่านอาก็ตั้งใจจะซื้อเช่นกันขอรับ "

          หลังโดนแนะนำชวนให้ซื้อแบบนั้น จิ้นอิ๋งก็พยักหน้ารับอย่างจำยอม เพราะอย่างไรชาที่สหายแซ่กัวให้มานางก็ไม่แคล้วเก็บไว้ดื่มเองเสียมากกว่า ส่วนถานเจ๋อและซูฮวาก็คงดื่มชาที่นางซื้อให้ใหม่นี้เอา ในตอนท้ายทั้งสามจึงจับจ่ายซื้อชากันไปคนละอัน โดยไม่รู้เพราะซื้อเยอะหรืออะไรทางพ่อค้าขายของพลันลดราคาให้แก่กลุ่มจิ้นอิ๋งเสียอย่างนั้นจนบุรุษแซ่สวินยิ้มออกเลยเชียว กลายเป็นกัวฟ่งเสี้ยวที่มีสีหน้าเรียบตึงเดินขนาบทั้งสามไปต่อยังโซนของมงคล และเป็นเด็กสาวเองที่เห็นสีหน้าของสหายที่ดูไม่ใคร่จะสนุกสนานนัก ดรุณีน้อยจึงพยายามชวนคุยขึ้นมาระหว่างชี้ชวนลงยังของที่วางขายยังแผงเบื้องหน้า

          " ท่านกัวว่าข้าซื้ออะไรดีเจ้าคะ.. พวกของมงคลข้าไม่ค่อยรู้จักเท่าไหร่น่ะเจ้าค่ะ " สิ้นคำถามอีกฝ่ายก็คล้ายมีสีหน้าดูดีขึ้นแล้วยืนพิจารณานิ่งเพื่อช่วยจิ้นอิ๋งได้เลือกของ

          " พู่หยกเลือดหงส์นี่ก็ได้.. ราคาไม่แพง ทั้งเจ้ายังมีกระบี่ด้วย นำผูกตกแต่งปลายกระบี่หรือจะใช้ทำอย่างอื่นก็สุดแล้วแต่เจ้าจะนึกออกได้นะแม่นาง ..ข้าว่ามันเหมาะกับเจ้าดี " อีกบุรุษเอ่ยระหว่างจับขึ้นมาให้จิ้นอิ๋งเลื่อนสายตาผินหาไปด้วย กัวฟ่งเสี้ยวที่ลอบมองนางยังบริเวณเสี้ยวหน้า เฝ้าดูนางที่กำลังหยิบพู่นั้นจากมือตนไป ทำเอาเรียกรอยยิ้มของบุรุษแซ่กัวให้เผยออก

          " มุกราตรีจิ้งสู่ก็สวยนะแม่นาง นำไปทำเครื่องประดับน่าจะงดงามเลยเชียว ..ข้าว่าเหมาะกับแม่นางดีด้วยนะขอรับ "

          " มุกพณาหวาซวีก็เหมาะนะขอรับแม่นาง "

          แต่แล้วเหวินยื่อกับกงต๋ากลับเอ่ยขัดบรรยากาศขึ้นมา พร้อมกันนั้นยังทำสีหน้าขึงขังเสียทั้งคู่เอ่ยแนะนำและทิ้งท้ายปิดประโยคคล้ายสหายแซ่กัวไปอีก ไม่ต้องจับสังเกตก็รู้ได้ทันทีว่ากำลังล้อกัวฟ่งเสี้ยว ซึ่งจิ้นอิ๋งที่ได้ยินก็แทบหลุดหัวเราะใสออกมา รู้สึกรับรู้ได้ถึงความสนิทสนมของทั้งสาม ก่อนนางจะตัดสินใจเลือกซื้อพู่หยกที่สหายแซ่กัวได้เลือกให้ด้วยเพราะราคาถูกที่สุด ทว่ากลับทำเอากัวฟ่งเสี้ยวแย้มยิ้มเหนือกว่าใส่บุรุษแซ่สวินทั้งสอง

          จนตลอดการเที่ยวชมงานวัดในช่วงบ่ายนี้ สองอาหลานแทบจะเอ่ยแทรกขัดสหายแซ่กัวเพื่อทั้งชวนคุยและแนะนำของให้แก่เด็กสาวจิ้นอิ๋งไม่หยุดหย่อนเลยเชียว..


ลักษณะแต่กำเนิดตัวหอม
+20 ความสัมพันธ์กับคนที่คุยด้วย
.
[028] มอบ ชาต้าหงเผา ให้
สถานะธาตุหลัก : +10 ความสัมพันธ์ [028
ธาตุดินและปีนักษัตรเหมือนกัน

[029] มอบ ชาต้าหงเผา ให้
สถานะธาตุหลัก : -15 ความสัมพันธ์ [029
ธาตุน้ำ - เราข่มอีกฝ่าย
ลักษณะนิสัยใจกว้าง
+10 ความสัมพันธ์คนที่มีนิสัยเดียวกัน

[052] มอบ ชาต้าหงเผา ให้
สถานะธาตุหลัก : +20 ความสัมพันธ์ [052
ธาตุไฟ - เกื้อหนุนเรา


กิจกรรมงานบูชาข้าวพระ

พักเบรก เดินเล่นชมวัด ซื้อของมงคล และชาหายาก
ซื้อ: พู่หยกเลือดหงส์ 1 ชิ้น (49 + ภาษี 10% = 54)
ชาหลินไห่ผานหาว 1 ชิ้น (15 + ภาษี 10% = 17)
รวมจ่ายค่าสินค้า 71 ตำลึงทอง

ลักษณะแต่กำเนิดหน้าผากกว้าง
-5% ทุกครั้งที่ซื้อสินค้าจากพ่อค้าตามเมืองต่าง ๆ
รวมจ่ายค่าสินค้าหลังได้ส่วนลดเป็น 68 ตำลึงทอง



←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
บทเพลงเฟิ่งฉิวหวง
ถุงหอมจูอวี๋
กระบี่
พู่หยกเลือดหงส์
กลยุทธ์เล่ออี้
ม้าเหลียง
หน้ากากขาว
เกราะเกล็ดมังกร
ผ้าคลุมไท่หลง
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x3
x3
x3
x3
x3
x3
x3
x5
x2
x2
x1
x2
x2
x2
x1
x1
x27
x2
x38
x40
x50
x50
x40
x40
x50
x3
x22
x19
x31
x10
x50
x5
x5
x5
x1
x12
x1
x2
x5
x2
x9
x1
x8
x6
x6
x1
x3
x2
x2
x1
โพสต์ 2021-10-3 21:27:27 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย ZhaoPei เมื่อ 2021-10-3 21:42

เสียงเทศนาธรรมดังเคล้ามาเป็นระยะตั้งแต่ช่วงบ่าย หญิงสาวขยับตัวเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าการเทศนาธรรมของไต้ซือเหวินจิ้ง กินเวลาไปเป็นเค่อ สิ้นสุดเสียงพูดผู้คนเริ่มเตรียมตัวถวายปัจจัยแต่นางกลับไม่พร้อมที่จะทำอะไรมา หญิงสาวลุกขึ้นเพื่อจะออกไปข้างนอกเพื่อดูของขายข้างนอกยามได้พัก แม้มีโอกาสให้ดูตลอดทั้งวัน ที่นี่ไม่บังคับให้เข้าพิธีกรรมทั้งหมดเรียกได้ว่าแล้วแต่ความสมัครใจ ของทุกคนผู้เข้ามาร่วมพิธีงานบุญครั้งนี้ครั้งนี้

"ว๊าย!! / อ๊ะ!!" เสียงสองสาวดังขึ้นพร้อมกันเมื่อจ้าวเพ่ยผลุนผลันลุกขึ้นจนทำให้สาวหน้าตาน่ารักผู้หนึ่งที่เดินมาถูกชนโดยไม่ทันตั้งตัว ของถวายในมือร่วงหล่นลงแต่จ้าวเพ่ยรับเอาไว้ได้ทันก่อนจะลงกับพื้น

"ขออภัยเจ้าค่ะ" นางกล่าวพร้อมกับยื่นของนั้นคืนให้อีกฝ่าย มือเล็กรับของถวายนั้นมาไว้กับตัว พลันตีสีหน้างอนกับนางที่ทำอะไรพลุนำลันจนเกือบทำข้าวของเสียหาย "เป็น.. เป็นอะไรไหมเจ้าคะ"

"อย่าลุกแบบนั้นสิ หากชนคนเฒ่าคนแก่ขึ้นมาจะทำอย่างไร" นางกล่าวพร้อมกับเดินไปร่วมถวายปัจจัยแก่ไต้ซือเหวินจิ้งทำให้นางมองครู่หนึ่ง ก่อนจะหันกลับเพื่อไปดูของซื้อของขายข้างนอกแต่ก็ไม่วายที่จะหันไปมองสตรีดูแล้วอายุน้อยกว่าตนร่วมถวายปัจจัย ก่อนจะเดินออกเที่ยวชมร้านค้าแถวนั้นไปพลาง สายตาของนางจับจ้องไปยังร้านขายเครื่องรางต่างๆพลันสายตาจับจ้องไปยังมุกสีสวยไม่วางตา

สวยงามอะไรเช่นนี้

"หยกนี้มีเพียงชิ้นเดียวในงานเลยนะขอรับ" พ่อค้ากล่าวขึ้นมาเมื่อเห็นว่าจ้าวเพ่ยสนใจมันไม่น้อย หญิงสาวนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งพลันหยิบก้อนมุกนั้นมาพิจารณาอย่างถี่ถ้วนเกี่ยวกับความปราณีตสวยงามของมัน หญิงสาวยกยิ้มขึ้นมาเล็กน้อยก่อนจะวางลงที่เดิม

"เท่าใดเจ้าคะ"

"ราคากันเองในงานขอรับ เพียงแค่หกร้อยยี่สิบเก้าตำลึงทองเพียงเท่านั้น"

"ไม่แพงไปหน่อยหรือ" นางเอ่ยถามพลางเอียงคอ หญิงสาวรู้สึกอยากได้มุกชิ้นนี้มากขนาดไหน แต่หากเป็นช่วงนี้นางไม่สามารถพูดได้เต็มปากเต็มคำว่ามีทุกอย่างเฉกเช่นเมื่อก่อนแล้ว หากจะซื้ออะไรก่อนหน้านี้นางคิดแล้วคิดอีกจนสมองแทบจะระเบิด

แต่กลับสิ่งล่อตาล่อใจเช่นนี้ หญิงสาวครุ่นคิดเพียงครู่หนึ่งก่อนจะเปิดตาขึ้นเพื่อกล่าวกับพ่อค้าอีกครั้ง

"งั้นข้าขอคิดเพียงครู่นะเจ้าคะ" นางกล่าวทั้งหยิบถุงตำลึงมา จำนวนเงินที่เหมือนจะพอแต่สุดทเายกลับไม่พอเสียได้ หญิงสาวกำเงินในมือแน่นด้วยความรู้สึกมากมายตีเข้ามาในหัวเสียจนอยากจะโล๊ะทิ้ง

ความโลเลเกิดขึ้นในจิตใจของนางเมื่อต้องซื้อของแพงขนาดนี้เพียงเพราะความชอบของตนเองย่อมจะเจ็บเสียหน่อย หากผู้ติดตามรู้เรื่องนี้ ก็คงจะเป็นฝ่ายบ่นนางเป็นแน่หลังจากที่นางมักจะบ่นกับอีกฝ่ายมาตลอด

"เช่นนั้นขอรับเอาไว้ก็ได้เจ้าค่ะ" นางกล่าวบอกกับพ่อค้าพลางยื่นถุงตำลึงทองให้ หญิงสาวมองตามถุงตำลึงนั้นก่อนจะหยิบก้อนหยกนั้นมาจับจ้องไม่วางตาก่อนที่นางจะเก็บมุกนั้น พ่อค้าก็เอ่ยขึ้นมาทำให้นางชะงักลงครู่หนึ่ง

"ตำลึงไม่ครบนี่ขอรับ แม่นางจะโกงข้าหรือ" เสียงร้องดังขึ้นมาให้คนรอบข้างหันมามองนางเป็นตาเดียว หญิงสาวหันมองรอบๆด้วยความอายเมื่อคลับคล้ายถูกประจานกลางงานขนาดนี้

"ข้าจ่ายครบนะเจ้าคะ! ท่านนับไม่ถี่ถ้วนเองหรือเปล่า"

"ข้านับดีแล้ว จะโกงข้ากลางงานบุญใหญ่เช่นนี้ได้อย่างไร" พ่อค้าเอ่ยกับนาง ทำเอาจ้าวเพ่ยแทบจะแทรกแผ่นดินหนี ผู้คนต่างซุบซิบเกี่ยวกับนางทำเอาหญิงสาวมองไปรอบๆอย่างอับอาย พลันจะวางก้อนมุกนั้นคืน นักบวชผู้หนึ่งก็เข้ามาแทรกแซงระหว่างนางและพ่อค้าทันที

@JiTianTao

"แม่นางผู้นี้โกงของข้าขอรับ" พ่อค้ากล่าวทั้งส่งสายตาเชิงโกรธให้จ้าวเพ่ยทำให้นางต้องรีบสวนกลับทันควัน

"ข้าไม่ได้โกง ตำลึงทองที่ข้าให้ครบถ้วนดีทุกอย่าง ท่านนั่นแหละโกงข้าเพื่อจะนำตำลึงของข้าไปใช่หรือไม่!!"

@JiTiaoTao

"ก็เพียงเท่านี้" พ่อค้ากล่าวเมื่อได้รับข้อตกลงกับนักบวชเสร็จแล้ว จ้าวเพ่ยเองก็จำใจต้องยื่นมุกงามนั้นให้กับนักบวชผู้นั้นหญิงสาวทำหน้าเสียดายเล็กน้อย แต่ถุงตำลึงเงินของนางในยามนี้อยู่ในมือพ่อค้าทั้งหมดไปแล้ว

@JiTianTao

"อ๊ะ.." นางนิ่งกับคำพูดของนักบวชผู้นี้ก่อนจะคำนับขอบคุณอีกฝ่ายไปด้วย หญิงสาวยิ้มกว้างขึ้นมาทันที "ขอบคุณมากเจ้าค่ะ เรียกข้าว่าจ้าวเพ่ยก็ได้นะเจ้าคะ ขอบคุณจริงๆ"

หญิงสาวกล่าวขอบคุณอีกฝ่ายอย่างใจจริงจนแยกทางกัน นางจับหยกนั้นส่องกับแสงที่สอดส่องเข้ามาก่อนจะเดินเที่ยวเล่นเขตการค้าชั่วคราวแห่งนี้ตามประสาสตรีต่อไป

ถวายเพรช 3 ก้อน เป็นปัจจัย
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
กระบี่ร้อยกฎ
มุกพณาหวาซวี
ม้าเหลียง
กลยุทธ์เล่ออี้
บทเพลงยิ้มเย้ยยุทธจักร
หน้ากากขาว
เกราะเกล็ดมังกร
ผ้าคลุมไท่หลง
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x2
x7
x4
x10
x10
x13
x13
x13
x12
x11
x202
x1
x1
x1
x11
x22
x15
x30
x1
x100
x100
x9
x2
x5
x6
x8
x10
x2
โพสต์ 2021-10-3 22:15:33 | ดูโพสต์ทั้งหมด

วันบูชาข้าวพระ
เดินขบวนในพิธีเวียนประทักษิณ
.
.

          ยามถึงช่วงสักการะและสวดมนต์ สหายกัวฟ่งเสี้ยวก็พลันขอตัวแยกกับจิ้นอิ๋งออกไปด้วยเพราะในยามที่มีสหายทั้งสองอยู่พร้อมหน้านั้นเจ้าตัวแทบจะถูกแย่งความสนใจไปเสียหลายครั้งหลายคราจนเริ่มทนไม่ไหวเอง

          " ไว้เจอกันใหม่ที่บ้านข้าเช่นเดิมแล้วกัน.. ข้าขอของฝากเป็นอย่างอื่นที่ไม่ใช่ชาด้วยล่ะแม่นาง "

          คำทิ้งท้ายนั้นทำเอาเด็กสาวแทบจะหลุดขำออกมาไม่น้อยเลยเชียว ก่อนจะค้อมตัวลาทั้งสามสหายนั้นไป และแยกมานั่งปฏิบัติธรรมต่อจนผ่านไปกว่าครึ่งชั่วยาม จิ้นอิ๋งก็แทบเดินตัวลอยด้วยความมึนงงกับความไม่รู้ความหมายของบทสวดเหล่านั้นออกมานอกตัวลานปฏิบัติธรรม ระหว่างนั้นก็ติดตามเหล่าศาสนิกชนท่านอื่นเพื่อแวะเวียนไปหยิบเอาเทียนธูปและดอกไม้มาถือระหว่างเตรียมออกเดินขบวนในพิธีเวียนประทักษิณต่อไป

          ซึ่งดูคล้ายเป็นส่วนพิธีการทำบุญที่จิ้นอิ๋งมั่นใจว่าน่าจะทำได้ดีแน่ ด้วยแค่ถือธูปเทียนดอกไม้วนรอบอุโบสถเท่านั้น ระหว่างที่รอเดินขบวนเวียนเทียนเด็กสาวจึงพับกลีบดอกเหลียนฮวาในมือดอกหนึ่งไปด้วย ส่วนอีกดอกก็ยังคงปล่อยให้มีลักษณะตูมเด่นประดับคู่กันให้ดูสวยงาม จนเสร็จเรียบร้อยดีก็ถึงเวลาออกเดิน ความเงียบคลุมทั่วบรรยากาศโดยมีเพียงเสียงฝีเท้าเดินสม่ำเสมอกัน ทว่าหลังจากเริ่มมีคนบางส่วนเวียนเทียนครบรอบ ก็เริ่มปรากฏเสียงเจื้อยแจ้วของเหล่าเด็กพูดคุยกันยังหน้าบริเวณที่ต้องปักธูปเทียน

          และเพราะการเล่นซนของเหล่าเด็กไม่รู้ประสาบางส่วน ทำให้ผู้คนโดนชนบ้างจากการวิ่งเล่นซน ทว่าเพราะงานบุญได้สิ้นสุดลงแล้วหลังกิจกรรมนี้เสร็จสิ้น ทำให้ไม่มีใครว่ากล่าวมากไปกว่าเด็ก ๆ โดนผู้ปกครองห้ามปรามกันเอง

          .
          แต่แล้วสักพักกลับมีเสียงร้องไห้จ้าของเด็กน้อยคนหนึ่งเข้า ผู้คนพลันเร่งหันหาตามเสียงก่อนเจอเข้ากับเด็กสาวคนหนึ่งกำลังอุ้มน้องสาวตัวน้อยในอ้อมแขน โดยมีเด็กชายอีกคนยืนทำหน้าตาตระหนกตื่นข้าง ๆ ก่อนจะถูกสตรีที่คล้ายผู้เป็นแม่จับจูงมือให้เร่งเอาธูปและเทียนไปวางด้วยเพราะปลายธูปนั้นจี้ไปโดนขาของน้องสาวคนเล็กอย่างไม่ได้ตั้งใจ

          หลังเข้าใจสถานการณ์จากการชี้ชวนเล่ากระซิบของชาวเมืองคนอื่น จิ้นอิ๋งที่คิดได้ว่าตนมีน้ำผึ้งอยู่ในกระเป๋าอยู่อีกหนึ่งขวดก็เร่งวางธูปเทียนแต่ยังเอาดอกเหลียนฮวาติดมือมาด้วยขณะเดินเข้าหาเด็กสาวสองคนนั้นเพื่อช่วยเหลือ

          " อ่ะ! ขออภัยด้วยเจ้าค่ะที่น้องสาวข้าส่งเสียงดัง เดี๋ยวรอท่านแม่กลับมาปลอบน้องสักครู่นะเจ้าคะ " เด็กสาวผู้นั้นเอ่ยหาจิ้นอิ๋งอย่างลนลานด้วยนึกว่านางจะมาตำหนิที่น้องสาวยังคงร้องไห้จ้าในอ้อมแขน พร้อมกันนั้นก็พยายามโยกตัวไปมาเพื่อกล่อมไปด้วย

          " เปล่าเจ้าค่ะ ข้าไม่ได้จะเขามาตำหนิแม่นางน้อยนะเจ้าคะ " จิ้นอิ๋งเอ่ยน้ำเสียงอ่อนโยน ก่อนเลื่อนโบกดอกเหลียนฮวาดอกตูมล่อยังด้านหน้าของเด็กน้อยที่ยังร้องไห้ไม่หยุด จนเสียงเล็กที่หลุดร้องคล้ายเบาลงพร้อมใบหน้าที่ยังคงบิดเบ้ แต่ก็ยอมยื่นหาดอกไม้ในมือจิ้นอิ๋งราวกับทั้งสนใจและได้กลิ่นบางอย่าง

          " ใช่แล้ว.. ดูดอกเหลียนฮวาดอกนี้ไว้นะเจ้าคะ ยามข้าปิดเอาไว้ ปั๊บ! "


          น้ำเสียงดัดให้ยิ่งแว่วหวานเจือหยอกเย้า ก่อนในตอนที่บอก ปิดเอาไว้ มืออีกข้างที่กอบกุมดอกเหลียนฮวาที่พับกลีบบังไว้ในอุ้งมือก็ทำทีเคลื่อนมาปิดบังดอกเหลียนฮวาที่ไม่พับกลีบเอาไว้ ก่อนภายหลังมือที่ยกปิดนี้จะทำการสลับเก็บเอาดอกเหลียนฮวา จนยามผละมืออีกข้างออกก็กำติดดอกเหลียนฮวาดอกตูมเอาไว้ให้เหลือเพียงดอกเหลียนฮวาที่พับกลีบสวยงามโชว์ต่อหน้าเด็กสาวตัวน้อยแทน

          " เปิดมาใหม่ปุ๊บ! ดอกเหลียนฮวากลายเป็นดอกพับกลีบแสนสวย~ "

          หลังสิ้นสุดการสับเปลี่ยนดอกไม้แบบง่าย ๆ แต่ก็พอจะช่วยสร้างความประหลาดใจแก่เด็กน้อยวัยขวบกว่าได้ไม่น้อยจนดวงหน้ากลมชวนเอ็นดูนั้นส่งเสียงหัวเราะออกมาอย่างชอบใจ มือเล็ก ๆ คล้ายยื่นหาจะเอาดอกไม้ในมือของจิ้นอิ๋ง จนนางต้องเด็ดเอาก้านออกเหลือเพียงส่วนดอกไม้ให้แก่เด็กน้อยไป เด็กสาวที่อุ้มหนูน้อยไว้อยู่ก็พลันมองจิ้นอิ๋งตาโตไปด้วย ดูทั้งซาบซึ้งและชื่นชมอยู่ในที

          " พี่สาวเก่งจังเลยเจ้าค่ะ! " เด็กสาวเอ่ยทั้งรอยยิ้ม พอดีกับที่ผู้เป็นแม่ของพวกนางเดินกลับมาหาหลังจากพาผู้เป็นลูกชายไปวางธูปเทียนเสร็จสิ้น เป็นโอกาสให้จิ้นอิ๋งหยิบน้ำผึ้งขึ้นมาให้สตรีกลางคนได้เห็น

          " ข้ามีน้ำผึ้งพอดีเจ้าค่ะ ขออนุญาตทำแผลให้แม่นางน้อยผู้นี้นะเจ้าคะท่านน้า "

          " ..ฝากแม่นางด้วย " สิ้นเสียงอนุญาตจากสตรีผู้เป็นแม่ จิ้นอิ๋งก็เปิดเอาน้ำผึ้งมาแตะลงยังแผลรอยลวกที่ขาเล็กของแม่หนูน้อยในทันที

          ก่อนทั้งกลิ่นของน้ำผึ้งและตัวของจิ้นอิ๋งจะดึงดูดเด็กน้อยพอสมควร อีกฝ่ายจึงปล่อยดอกไม้ออกจากมือเล็กจนคนอุ้มต้องรีบคว้าเอาไว้แทน แล้วตั้งท่าจะยื่นมือมาแตะยังน้ำผึ้งที่ถูกนิ้วเรียวเกลี่ยลูบตามขาที่มีรอยลวกของธูปไว้ให้จิ้นอิ๋งต้องคอยเลื่อนมือขวางห้ามปรามแม่หนูน้อยทั้งรอยยิ้มเจือเอ็นดู

          " น้ำผึ้งหอมใช่หรือไม่เจ้าคะ.. แต่จับทานจากขาไม่ได้น้า~ "

          จิ้นอิ๋งเอ่ยน้ำเสียงเล็กอย่างหยอกหา ก่อนจะหยิบเอาฟักเชื่อมแผ่นที่นางทำมาเกินออกมาล่อยังเบื้องหน้าของแม่หนูน้อย ระหว่างนั้นก็หันไปหาทางผู้เป็นแม่ของอีกฝ่ายไปด้วยว่าทานได้หรือไม่ ซึ่งเพราะอย่างไรเด็กสาวตัวน้อยที่ยังฟันไม่ขึ้นดีก็ไม่แคล้วจับมาแค่เลียทานส่วนน้ำผึ้งของตัวฟักอยู่ดี สตรีกลางคนจึงพยักหน้ารับกลับไปให้ทั้งรอยยิ้ม

          พร้อมกันนั้นเพราะเด็กสาวที่อุ้มเจ้าตัวน้อยในอ้อมแขนนั้นคล้ายมองฟักเชื่อมในมือของจิ้นอิ๋งไม่วางตาไปด้วย นางจึงหยิบฟักเชื่อมอีกอันให้แก่เด็กสาวผู้นั้นไปด้วยจนนางเผยรอยยิ้มกว้างดีใจไม่น้อยเลยเชียว พร้อมแว่วเสียงขอบคุณเสียสดใส

          " ขอบคุณแม่นางมากเลยนะเจ้าคะที่ช่วยเสี่ยวหยุนทั้งทำแผลแล้วก็ช่วยให้นางหยุดร้องไห้ ข้ามีนามว่า ฮั่วหลันลี่ เป็นแม่ของเด็กทั้งสามนี้ คนโตที่อุ้มเจ้าตัวน้อยนี้เป็นบุตรีบุญธรรมนาม หม่าอิง เจ้าค่ะ ส่วนคนเล็กที่จ้องแม่นางเสียตาแป๋วนาม หม่าหยุนลู่ เจ้าค่ะ และ… บุตรชายของข้า หม่าเหมิงฉี เจ้าค่ะ " สตรีกลางคนเอ่ยน้ำเสียงอ่อนโยนยามกล่าวขอบคุณและแนะนำตัว พร้อมกันนั้นก็ได้แนะนำบรรดาลูกของนางให้จิ้นอิ๋งได้รู้จัก

          " ข้ามีนามว่ากู่จิ้นอิ๋งเจ้าค่ะ เรื่องช่วยน้องหม่าหยุนลู่ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลยเจ้าค่ะ หากเราสามารถช่วยเหลือใครได้ก็ย่อมไม่ปล่อยปะไปเท่านั้นเองเจ้าค่ะ "

          คำกล่าวถ่อมตัวยิ่งเรียกรอยยิ้มชื่นชมจากสตรีแซ่ฮั่วไม่น้อย ก่อนนางจะยื่นมือไปอุ้มแม่หนูหม่าหยุนลู่เอาไว้แทนเด็กสาวหม่าอิงที่ตอนนี้มองขวดน้ำผึ้งในมือของจิ้นอิ๋งอย่างสนใจ ทว่าเด็กสาวยังไม่ทันได้เอ่ยถามจบคำดี บุรุษตัวน้อยก็กอดอกทำหน้าบึ้งเอ่ยแทรกว่ากล่าวจิ้นอิ๋งเสียเสียงเข้ม

          " น้ำผึ้งนี่ทาแผลได้ด้วย--.. "

          " มั่วเป็นแน่! หญิงถุงหอมผู้นี้ต้องเอาของมั่วซั่วมาทาใส่น้องหญิงของข้าแน่! ท่านแม่ไปขอบคุณหญิงผู้นั้นทำไมกัน เช็ดของกินออกจากขาน้องหยุนลู่ออกไปเลยนะ! "


          สิ้นเสียงยังไม่แตกหนุ่มนั้น หม่าเหมิงฉีก็เลื่อนปลายแขนเสื้อจะเช็ดเอาน้ำผึ้งออกจากขาของเด็กสาวตัวน้อยไป แต่ก็ถูกผู้เป็นแม่ยกมือปิดบังไว้ก่อนจะนิ่วหน้าเอ่ยดุลูกชายกลับไปแทนที่ทำตัวเสียมารยาทแก่จิ้นอิ๋งที่หวังดีช่วยเหลือน้องสาวของอีกฝ่ายไปเช่นนี้ หม่าอิงที่โดยกล่าวแทรกก็พลันตาปริบตามไปด้วยจนจิ้นอิ๋งที่เห็นโบกมือปัดว่าไม่ได้ถือสาอะไร

          " เจ้าลูกชายคนนี้นี่! เจ้าไม่รู้หรือน้ำผึ้งมีสรรพคุณช่วยรักษาแผลโดนลวก เจ้าคนที่ทำธูปจี้ขาน้องไม่ต้องทำมาเป็นปกป้องยามนี้เลยนะ แล้วไปเรียกพี่สาวเขาว่าถุงหอมได้เยี่ยงไร เขาก็เพิ่งแนะนำชื่อให้เจ้าไปนะหม่าเชา " หม่าเหมิงฉีที่ได้ยินก็หน้าแดงด้วยความอาย ก่อนจะกระซิบคุยกับผู้เป็นแม่ว่าพูดเรื่องเอาธูปจี้น้องออกมาทำไม จนจิ้นอิ๋งที่เฝ้ามองอยู่ต้องเร่งกลั้นรอยยิ้มเอ็นดูเอาไว้เลยเชียว

          " จริงหรือเจ้าคะพี่สาวกู่ น้ำผึ้งมีประโยชน์ทางยาด้วยหรือเจ้าคะ " เป็นหม่าอิงที่ช่วยเรียกความสนใจจากจิ้นอิ๋งได้ก่อนให้างหันไปพยักใบหน้ารับหนักแน่น

          " จริงเจ้าค่ะ.. ข้าเคยอ่านตำราเจอเกี่ยวกับน้ำผึ้งช่วยสมานบาดแผลและรักษาแผลลวกได้ชะงัดนัก นอกจากนี้ยังช่วยบำรุงผิวได้ด้วยนะเจ้าคะ "

          ประโยคท้ายจิ้นอิ๋งเอ่ยหาก่อนยื่นแขนเนียนของตนให้หม่าอิงได้ลองจับ ซึ่งเด็กสาวก็จับตามแขนอีกสตรีที่อายุมากกว่าอย่างใคร่รู้ สัมผัสเนียนนุ่มเพราะนางเคยช้น้ำผึ้งบำรุงเป็นบางคราทำให้เด็กสาวตาวาว ก่อนแว่วเสียงอ้อแอ้ของหม่าหยุนลู่คล้ายยื่นมาหาอยากจับตัวจิ้นอิ๋งเช่นกัน

          ทว่ายังไม่ทันที่นางจะเข้าไปหาเด็กสาวตัวน้อยว่าต้องการสิ่งใด หม่าเหมิงฉีที่ดื้อดึงปัดป้องมือกับผู้เป็นมารดาเพื่อจะเช็ดน้ำผึ้งออกจากขาน้องสาวตนให้ได้ก่อนหน้า ก็ถึงกลับเปลี่ยนเป้าหมายก้าวมาขวางตัวจิ้นอิ๋งไม่ให้เข้ามาใกล้น้องสาวตัวน้อยเสียก่อนพร้อมกับแยกขี้ยวนิ่วตาใส่ จนสตรีโตกว่าแทบจะหลุดยิ้มขบขันกับท่าทางนั้นเลยเชียว

          " อย่ามาใกล้นะ! จะเอาขนมมาล่อแบบพี่สาวอิงข้าก็ไม่ยอมให้หญิงถุงหอมเช่นเจ้าเข้าใกล้น้องหยุนลู่ของข้า! " คำกล่าวถุงหอมอีกหนทำให้จิ้นอิ๋งต้องแตะตามตัวว่านางได้พกถุงหอมมาด้วยหรือถึงโดนบอกเช่นนั้น

          " ข้าไม่มีถุงหอมนะเจ้าคะน้องชายหม่า " จิ้นอิ๋งพยายามแก้ความเข้าใจผิด หม่าเหมิงฉีกลับยิ่งถลึงตาไม่ยอมแพ้ ยื่นหน้าทำจมูกฟุดฟิดแล้วแสร้งทำหน้าฉุนหนักหนาทั้งที่ในใจไม่ได้รู้สึกว่าฉุนขนาดนั้น แต่ความรู้สึกไม่ถูกชะตาทำให้ทำอะไรก็ไม่ถูกใจเด็กชายไปเสียหมด

          " ไม่จริง! ตัวเจ้าคลุ้งกลิ่นดอกไม้ขนาดนี้จะไม่พกได้เยี่ยงไร! แล้วอย่ามาเรียกข้าน้องชายนะ! "

          " อืม.. ตัวพี่สาวหอมจริง ๆ ด้วยเจ้าค่ะ "

          สองคำกล่าวจากหนึ่งสตรีหนึ่งบุรุษตัวน้อยที่ทำเอาจิ้นอิ๋งแสดงสีหน้าตอบรับไม่ถูกเลยเชียวว่าควรดีใจจากคำชมของหม่าอิงหรือยู่ริมฝีปากน้อย ๆ ที่โดนหม่าเหมิงฉีบอกว่านางโกหกกันแน่ ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นทำเอาสตรีแซ่ฮั่วแทบถอนหายใจ ก่อนจะค้อมหัวคล้ายขอโทษแก่จิ้นอิ๋งไปอยู่ในที เด็กตัวน้อยในอ้อมแขนก็หลุดหัวเราะเอิ้กอ้ากชอบใจขึ้นมาเสียอย่างนั้น ซึ่งจิ้นอิ๋งที่ไม่ได้ถือสาอะไรอยู่แล้วก็ยกยิ้มกลับไปให้ ก่อนจะพยายามคิดแก้ไขสถานการณ์ที่ยังโดนเด็กชายตัวน้อยเขม่นตาใส่ให้พูดคุยกันดี ๆ สักครู่

          " ถ้าไม่เอาขนม งั้นเอาเป็นดาบใบหลิวพอจะทำให้ข้าเข้าใกล้น้องสาวหม่าหยุนลู่ของท่านได้หรือไม่เจ้าคะ? "

          น้ำเสียงแว่วหวานเอ่ยหาคล้ายกับตอนที่ใช้กับหม่าหยุนลู่ทำเอาหม่าเหมิงฉีที่ได้ยินแทบจะนิ่วคิ้วใส่ แต่ทันทีที่เห็นดาบในฝักที่สตรีตรงหน้าหยิบออกมา เด็กน้อยที่เป็นบุรุษช่างฝันอยากเป็นทหารกล้าก็พลันตาวาวขึ้นมา ถึงอย่างนั้นก็ยังหม่าเหมิงฉีก็ยังทำท่าทางเก๊กไม่สนใจกอดอกสะบัดใบหน้าหนีหาย แต่ดวงตากลับเหล่มองตลอดเวลาให้ผู้เป็นแม่ยังหลุดหัวเราะออกมาเลยเชียว

          " อย่าเลยดีกว่าเจ้าค่ะแม่นางกู่ ของมีค่าเช่นนั้นอย่าให้เจ้าลูกชายตัวดีนี้ไปเลย " ฮั่วหลันหลี่เอ่ยน้ำเสียงเกรงอกเกรงใจอยู่ในที แต่หม่าเหมิงฉีที่ได้ยินกลับหันมาหาจิ้นอิ๋งตาตื่น ด้วยเพราะความจริงตัวเด็กชายก็อยากได้ แต่ด้วยยังอยากเก๊กในหลาย ๆ อย่างเลยไม่พูดออกไปตรง ๆ ยามนี้สีหน้าของเด็กชายจึงดูแย่กว่าตอนขู่ไม่ให้จิ้นอิ๋งเข้าใกล้น้องสาวเสียอีก

          " ดูเหมือนหม่าเหมิงฉีอยากได้ดาบของพี่สาวนะเจ้าคะ " หม่าอิงกระซิบบอกจิ้นอิ๋งด้วยสีหน้าลำบากใจ ซึ่งทำจิ้นอิ๋งถึงกับต้องกลั้นรอยยิ้มไว้ไม่ให้เด็กชายตรงหน้าต้องร้องโวยปฏิเสธเสียงแข็งขึ้นมาอีกรอบหากเจอนางล้อกลับไป

          " ไม่เป็นไรหรอกเจ้าค่ะท่านฮั่ว ปกติข้าใช้กระบี่น่ะเจ้าค่ะ.. ส่วนดาบนี่ก็ได้มาฟรี หากสามารถให้ผู้อื่นนำไปใช้ประโยชน์ต่อได้ข้าก็อยากให้น่ะเจ้าค่ะ "

          น้ำเสียงหนักแน่นของจิ้นอิ๋งทำให้ฮั่วหลันหลี่ที่กำลังกระชับอ้อมแขนที่อุ้มตัวลูกสาวตัวน้อยอยู่คล้ายนิ่งคิดไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้ารับอย่างจำยอม เรียกรอยยิ้มของจิ้นอิ๋งให้เผยออกก่อนดรุณีพลันนั่งยองให้สายตาเสมอกับเด็กชายตัวน้อยแล้วยื่นดาบใบหลิวให้ ทว่ายังไม่ทันที่อีกฝ่ายจะรับไปจิ้นอิ่งก็เอ่ยบอกคนตรงหน้าอย่างจริงจังไปเสียก่อน

          " หากรับไปแล้วก็อย่าใช้ทำร้ายผู้อื่น ให้นำใช้ปกป้องผู้คนนะเจ้าคะ.. เริ่มจากปกป้องท่านแม่พี่สาวและน้องสาวของท่านก็ได้ "

          " รู้แล้วหน่า! " หม่าเหมิงฉีเอ่ยเสียงกระแทกแต่ก็ไม่ได้เอ่ยเถียงอะไรอย่างตอนแรกแล้ว

          ดาบในมือของจิ้นอิ๋งจึงถูกส่งต่อไปให้ในที่สุด รอยยิ้มพลันเผยออกบนดวงหน้าของเด็กชายไม่รู้ตัว กระทั่งสบตาเข้ากับจิ้นอิ๋งก็ทำเป็นหน้าบึ้งเอาดาบซ่อนไว้ด้านหลังราวกับจะไม่คืนให้แน่นอนหากคนตรงหน้าคิดเปลี่ยนใจ เรียกรอยยิ้มทั้งติดฉิวและขบขันของจิ้นอิ๋งให้เผยออกตามไปเลยเชียว

          .
          " ขอบคุณท่านมากจริง ๆ นะเจ้าคะ.. แต่ให้ของแก่ลูก ๆ ข้ามามากมายเช่นนี้ข้ากลับไม่มีของอะไรตอบแทนเลย ต้องขออภัยจริง ๆ "

          ฮั่วหลันหลี่เอ่ยกลับไปให้แทนหลังไม่เห็นทีท่าว่าลูกชายตัวดีของนางจะเอ่ยขอบคุณสิ่งของที่ได้รับ พร้อมกันนั้นสีหน้าก็ดูรู้สึกผิดไม่น้อยที่ไม่มีอะไรตอบแทนแก่จิ้นอิ๋ง ซึ่งดรุณีพลันรีบโบกมือปฏิเสธไม่ถือสาแทบจะทันที

          " ไม่เป็นไรเลยเจ้าค่ะ วันนี้ก็งานบุญด้วย ถือว่าได้ทำความดีในวันสำคัญนี้ก็แล้วกันนะเจ้าคะ.. นี่ก็ย่ำค่ำแล้ว อย่างไรข้าก็ต้องขอตัวลาก่อนนะเจ้าคะ " จบคำจิ้นอิ๋งก็ค้อมตัวลาอย่างสุภาพเตรียมพร้อมที่จะบอกลาเพื่อแยกย้ายกันกลับสถานที่พักให้พักผ่อนกัน

          " ข้าล่ะอยากให้พี่สาวมาช่วยดูแลหม่าเหมิงฉีเสียจริงเลยเจ้าค่ะ ทำให้เด็กเอาแต่ใจผู้นั้นเงียบเสียงกอดดาบที่ท่านให้ไม่คลายออกเช่นนั้นได้.. แปลกตาจริงเชียว " ในตอนเอ่ยลาเด็กสาวหม่าอิง ก็พลันถูกกระซิบเอ่ยหาพาดไปถึงเด็กชายที่ต้องนี้กำลังหยิบดาบที่ยังอยู่ในฝักมาดูไม่หยุด เรียกเสียงหัวเราะใสของจิ้นอิ๋งให้ดังออกก่อนจะเลื่อนมือลูบหัวของสตรีเบื้องหน้าอย่างนึกเอ็นดูไม่น้อย

          " ข้าเชื่อว่าหม่าอิงต้องดูแลน้อง ๆ ได้ดีกว่าข้าเป็นแน่เจ้าค่ะ มั่นใจเข้าไว้นะเจ้าคะ "

          หลังลาพี่สาวคนโตก็ถึงคิวน้องชายที่แค่เห็นนางเดินหาก็แทบสะบัดหน้าหนีไม่เอ่ยลาใดกลับ ถึงอย่างนั้นเพราะปากเล็กนั้นก็แอบขมุบขมิบกล่าวขอบคุณเรียกดาบเสียเสียงเบาหวิวออกมา จิ้นอิ๋งเลยไม่ถือสาอะไรแล้วเข้าไปหาน้องหม่าหยุนลู่แทนเพื่อบอกลาเจ้าตัวน้อยบ้าง โดยที่แค่ยื่นมือโบกหา มือเล็ก ๆ ก็คว้าจับเอามือของจิ้นอิ๋งคล้ายจะงับกินให้ได้เสียอย่างนั้น จนนิ้วเรียวต้องขยับเลื่อนแตะหยอกตามแก้มยุ้ยและจมูกเล็กอยู่ครู่หนึ่งเลยเชียวเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจจนแม่หนูน้อยยอมปล่อยมือในที่สุด

          ฝั่งฮั่วหลันหลี่ที่เห็นท่าทางเลี้ยงเด็กได้คล่องแคล่วของจิ้นอิ๋งเช่นนั้นก็ยกยิ้มชอบใจแก่สตรีตรงหน้าไม่น้อย ในหัวคาดเดาไปแล้วว่าคงเป็นพี่สาวคนโตหรือมีน้องให้ดูแลด้วยเป็นแน่จึงดูแลเด็กเล็กได้ดีเช่นนี้

          .
          " เช่นนั้นก็เดินทางปลอดภัยนะเจ้าคะแม่นางกู่ "

          " พวกท่านด้วยนะเจ้าคะ เดินทางกลับปลอดภัยเจ้าค่ะ "


กิจกรรมงานบูชาข้าวพระ
ร่วมเดินขบวนในพิธีเวียนประทักษิณรอบอุโบสถวัด

ลักษณะแต่กำเนิดตัวหอม
+20 ความสัมพันธ์กับคนที่คุยด้วย
.
[020] มอบ ดาบใบหลิว ให้
สถานะธาตุหลัก : -30 ความสัมพันธ์ [020] ธาตุไม้ - ข่มเรา และปีนักษัตรไม่ถูกโฉลก (เถาะ)
[158] มอบ ฟักเชื่อมแผ่น ให้
สถานะธาตุหลัก : +20 ความสัมพันธ์ [158] ธาตุทอง - เราเกื้อหนุน
[160] มอบ ฟักเชื่อมแผ่น ให้
สถานะธาตุหลัก : -15 ความสัมพันธ์ [160] ธาตุน้ำ - เราข่มอีกฝ่าย
.
สถานะธาตุหลัก : +20 ความสัมพันธ์ [167] ธาตุทอง - เราเกื้อหนุน

←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
บทเพลงเฟิ่งฉิวหวง
ถุงหอมจูอวี๋
กระบี่
พู่หยกเลือดหงส์
กลยุทธ์เล่ออี้
ม้าเหลียง
หน้ากากขาว
เกราะเกล็ดมังกร
ผ้าคลุมไท่หลง
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x3
x3
x3
x3
x3
x3
x3
x5
x2
x2
x1
x2
x2
x2
x1
x1
x27
x2
x38
x40
x50
x50
x40
x40
x50
x3
x22
x19
x31
x10
x50
x5
x5
x5
x1
x12
x1
x2
x5
x2
x9
x1
x8
x6
x6
x1
x3
x2
x2
x1
โพสต์ 2021-10-3 22:57:56 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย JiTianTao เมื่อ 2021-10-3 23:00

โรลงานช่วงเช้า



"บรรยากาศที่นี้ช่างดีจริงๆเลยนะเนี้ยผู้คนต่างก็มาทำบุญกันเยอะมากจริงๆเลยที่นี้ ข้าล่ะเชื่อเลยว่าถ้าคนมีหัวใจแห่งธรรมแบบนี้มันจะต้องไปได้ด้วยดีอย่างแน่นอนเลยใช่ไหมท่านเหวินหยวน ท่านหยวนเฮ่า"

"แต่ว่าตอนนี้เหมือนจะได้เวลาตักบาตรแล้วใช่ไหมแบบนี้?ข้าว่าพวกเราไปใส่บาตรกันเถอะนะแบบนี้"

"ก็จริงอย่างที่ท่านหยวนเฮ่าบอกงั้นพวกเราก็ไปใส่บาตรกันเถอะแบบนี้สำหรับตอนนี้"

ก่อนที่พวกจีเทียนเต๋านั้นเริ่มต่อแถวกันเพื่อที่จะนำสิ่งของนั้นไปตักบาตรถวายแกพระสงฆ์ โดยที่รอบๆข้างตนเองนั้นเต็มไปด้วยผู้คนที่มีจิตใจเพื่อพระพุทธศาสนาอย่างแท้จริง พร้อมกับที่เสียงของบทสวดที่ดังไปทั่วบริเวณนั้นหลังจากที่เหล่าผู้คนนั้นได้ตักบาตรกันเรียบร้อยแล้ว
อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ ภะคะวา
พุทธัง ภะคะวันตัง อะภิวาเทมิ

สวากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม
ธัมมัง นะมัสสามิ

สุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ
สังฆัง นะมามิ

นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ

"จิตใจช่างสงบดีจริงๆเลยนะแบบนี้เห้อทุกศาสนาต่างก็มีบทสวดที่แตกต่างไปกันจริงๆเลยนะแบบนี้"

"ใช่หรือไม่เล่าที่ข้าชวนท่านมาก็เพราะหวังให้ท่านได้ลองดูศาสนาอื่นดูบ้าง"

"ฮ่าๆจีเทียนเต๋าสหายข้าเจ้าเป็นเช่นไรบ้าง"

"พอเลยนะพวกท่านข้าไม่ใช่ผีหรือปีศาจนะที่ได้โดนบทสวดแล้วจะต้องร้อนเป็นไฟเอาเถอะเตรียมตัวกันได้แล้วพวกเราจะต้องนั่งสมาธิกันอีกนะ"

มะยัง ภันเต วิสุง วิสุง รักขะณัตถายะ, ติสะระเณนะ สะหะ ปัญจะ สีลานิ ยาจามะ

ทุติยัมปิ มะยัง ภันเต วิสุง วิสุง รักขะณัตถายะ, ติสะระเณนะ สะหะ ปัญจะ สีลานิ ยาจามะ

ตะติยัมปิ มะยัง ภันเต วิสุง วิสุง รักขะณัตถายะ, ติสะระเณนะ สะหะ ปัญจะ สีลานิ ยาจามะ

พร้อมกับเสียงที่ให้ทุกคนนั้นเริ่มที่นั่งสมาธิกันได้แล้วตอนนี้โดยที่ทุกคนในบริเวณงานนั้นต่างก็นั่งสมาธิกันอย่างเรียบร้อยหลังจากที่มุกคนนั้นนั่งไปแล้วได้พอสมควรก็เรื่มเพื่อที่จะเตรียมพร้อมสำหรับพิธีต่อไปพร้อมกับเสียงที่เริ่ม

นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ

อะเสวะนา จะ พาลานัง ปัณฑิตานัญจะ เสวะนา
ปูชา จะ ปูชะนียานัง เอตัมมังคะละมุตตะมัง.
ปะฏิรูปะเทสะวาโส จะ ปุพเพ จะ กะตะปุญญะตา
อัตตะสัมมาปะณิธิ จะ เอตัมมังคะละมุตตะมัง.
พาหุสัจจัญจะ สิปปัญจะ วินะโย จะ สุสิกขิโต
สุภาสิตา จะ ยา วาจา เอตัมมังคะละมุตตะมัง.
มาตาปิตุอุปัฏฐานัง ปุตตะทารัสสะ สังคะโห
อะนากุลา จะ กัมมันตา เอตัมมังคะละมุตตะมัง.
ทานัญจะ ธัมมะจะริยา จะ ญาตะกานัญจะ สังคะโห
อะนะวัชชานิ กัมมานิ เอตัมมังคะละมุตตะมัง.
อาระตี วิระตี ปาปา มัชชะปานา จะ สัญญะโม
อัปปะมาโท จะ ธัมเมสุ เอตัมมังคะละมุตตะมัง.
คาระโว จะ นิวาโต จะ สันตุฏฐี จะ กะตัญญุตา
กาเลนะ ธัมมัสสะวะนัง เอตัมมังคะละมุตตะมัง.
ขันตี จะ โสวะจัสสะตา สะมะณานัญจะ ทัสสะนัง
กาเลนะ ธัมมะสากัจฉา เอตัมมังคะละมุตตะมัง.
ตะโป จะ พ๎รัห๎มะจะริยัญจะ อะริยะสัจจานะ ทัสสะนัง
นิพพานะสัจฉิกิริยา จะ เอตัมมังคะละมุตตะมัง.
ผุฏฐัสสะ โลกะธัมเมหิ จิตตัง ยัสสะ นะ กัมปะติ
อะโสกัง วิระชัง เขมัง เอตัมมังคะละมุตตะมัง.
เอตาทิสานิ กัต๎วานะ สัพพัตถะมะปะราชิตา
สัพพัตถะ โสตถิง คัจฉันติ ตันเตสัง มังคะละมุตตะมันติ.

พร้อมกับที่เหล่าพระสงฆ์นั้นเริ่มเทศสนาธรรมกันโดยที่ก็เริ่มมีการเตรียมพิธีต่อไปอีกเหมือนกัน หลังจากที่เสร็จสิ้นแล้วนั้น

"ต่อไปก็จะเริ่มการถวายข้าวพระแล้วพวกเราก็ไปถวายกันบ้างเถอะนะแบบนั้น"

"ได้สิเอาที่ท่านว่าเลยก็ได้แบบนั้น"

โดยที่เหล่าคณะของจีเทียนเต๋านั้นก็เริ่มที่จะไปจัดเตรียมนำสิ่งของไปถวายของพระสงฆ์ทันทีทันใด

อิมัง สูปะพยัญชะนะสัมปันนัง สาลีนัง
โภชะนัง อุทะกัง วะรัง พุทธัสสะ ปูเชมิ

ข้าพเจ้าขอบูชาด้วยโภชนะข้าวสาลี พร้อมด้วยแกงกับและน้ำอันประเสริฐนี้แด่พระพุทธเจ้า

"เดี่ยวจะมีกล่าวอำลาข้าวพระพุทธพวกท่านก็ว่ากล่าวตามข้าเลยก็ได้นะ"

"ได้เลยท่านหยวนเฮ่า"

เสสัง มังคะลัง ยาจามิฯ

ข้าพเจ้าขอคืนเศษอันเป็นมงคลนี้ ข้าพเจ้าขอภัตต์ที่เหลือที่เป็นมงคลด้วยเถิด

"เอาล่ะงั้นพวกเราก็ไปถวายของกันเถอะนะการถวายสังคาทานนั้นมันจะเป็นมงคลชีวิตของพวกเราเองกันทั้งนั้นเลย"

"อ่า…..ข้าก็หวังว่าแบบนั้นนะ"

ก่อนที่ทุกๆคนนั้นจะเริ่มทำการถวายภัตตาหารเพื่อถวายแก่พระสงฆ์พร้อมกับทั้งเครื่องธรรมที่มีคนศรัทานั้นนำมาถวายด้วยโดยที่ทุกคนต่างก็ยิ้มแย้มอย่างมีความสุขกับงานที่ทำในตอนนี้

ใช้ลักษณะนิสัย หูดี
+15 ความสัมพันธ์คนที่คุย

@Webmaster



←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ชุดไท่หมินลู่
เบ็ดตกปลา
คัมภีร์ไท่หมินลู่
ไก่ฟ้าทองแดง
หวีเซียวเฉิน
กลยุทธ์เล่ออี้
ม้าขาว
หน้ากากขาว
ผ้าคลุมไท่หลง
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x108
x8
x800
x800
x800
x70
x470
x100
x100
x4
x3
x3
x1
x7
x25
x860
x10
x790
x490
x200
x1
x100
x100
x100
x10
x1
x2
x1
x3
x4
x10
x920
x291
x494
x5
x388
x5
x6
x77
x100
x30
x900
x68
x1
x82
x98
x1
x96
x98
x1
x6
x2
x1000
x2
x3
x3
x3
x7
x8
x3
x100
x4
x100
x26
x24
x24
x26
x14
x600
x96
x100
x60
x100
x100
x440
x25
x2
x376
x11
x492
x9
x4
x99
x80
x79
x28
x2
x379
x75
x196
x571
x167
x100
x100
x50
x100
x100
x250
x50
x86
x13
x13
x7
x74
x6
x19
x5
x1150
x324
x17
x11
x10
x10
x490
x10
x2
x42
x62
x38
x1
x108
x35
x96
x99
x85
x505
x1
x598
x3
x3
x1
x8
x24
x404
x4
x102
x6
x24
x491
x288
x39
x90
x154
x8
x1
x10
x75
x10
x93
x500
x250
x150
x250
x550
x250
x3
x500
x242
x36
x18
x465
x1015
x164
x804
x804
x804
x804
x493
x314
x13
x36
x7
x498
x1
x10
x1
x2561
x628
x320
x260
x100
x15
x1
x6
x6
x150
x9999
x2
x7
x18
x5
x2
โพสต์ 2021-10-3 23:20:05 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย ZhaoPei เมื่อ 2021-10-3 23:22

"เมื่อครู่นี้ข้าเห็นท่านทะเลาะกับพ่อค้าหรือ" หญิงสาวผู้ที่เคยชนกับจ้าวเพ่ยเอ่ยขึ้นมาทำให้นางหยุดชะงักลงเล็กน้อย สายตาพลันมองไปทางใบหน้าน่ารักเอ่ยทักทางนางก็รู้สึกอายอย่างบอกไม่ถูกเมื่อผู้คนน่าจะรู้กันหมดแล้ว

"แต่ข้าไม่ได้โกงพ่อค้านะเจ้าคะ พ่อค้าต่างหากที่โกงข้า" นางกล่าวออกมาด้วยเสียงแผ่วๆ หญิงสาวรู้สึกว่าไม่น่าจะเข้าไปยุ่งเลย ยิ่งทำให้ชาวบ้านโดยทั่วไปมองนางไม่ดีเช่นนี้

"ไม่มีใครกล่าวว่าท่านโกงเสียหน่อย แค่เห็นว่าท่านทะเลาะกับพ่อค้ากลางงานก็เป็นสีสันแก่งานบุญดี" นางกล่าวพลันหัวเราะขึ้นมาเล็กน้อย หญิงสาวเห็นจ้าวเพ่ยหน้าขึ้นสีขึ้นมาก็เลือกที่จะไม่พูดอะไรให้นางอับอายไปมากกว่านี้

"ท่านมีแซ่ว่าอย่างไรล่ะ ตั้งแต่ชนข้าครั้งนั้นก็หายหน้าหายตาไปเลย" นางกล่าวถามจ้าวเพ่ยขึ้นมาพร้อมกับทำท่าทีทะมัดทะแมงจนจ้าวเพ่ยกระพริบตามองนาง นางคลี่ยิ้มออกมาเล็กน้อยเมื่อได้เจอสาวผู้อัธยาศัยดีตรงหน้าช่างเป็นหญิงที่ดูน่าค้นหาไม่น้อย

"เรียกจ้าว่าจ้าวเพ่ยก็ได้เจ้าค่ะ.."

"เรียกข้าว่าอู๋อวี้หมิงก็ได้"

อู๋อวี้หมิงแนะนำตัวเองพลางมองไปยังเขตการค้าชั่วคราวเล็กน้อย

"ไปเที่ยวเล่นและคุยกันสักหน่อยดีไหม" จ้าวเพ่ยเอ่ยถามอีกฝ่ายให้นางพยักหน้าขึ้นมา สองสาวเดินเที่ยวเล่นชมของตามตลาดทั่วไป ของสวยงามถูกหยิบขึ้นมาจากจ้าวเพ่ยเพื่อนำมาเทียบกับอีกฝ่ายไปพลาง

"สตรีต้องคู่กับของสวยๆงามนะเจ้าคะ.. เช่นท่านหากมีหยกประดับเสียสักนิด รูปหน้าเช่นท่านถือว่าจิ้มลิ้มเป็นที่หมายปองของชายได้ไม่ยากเลย" จ้าวเพ่ยกล่าวขณะที่วิเคราะห์อีกฝ่ายไปพลาง หญิงสาวคลี่ยิ้มขึ้นมาก่อนจะมองไปยังเครื่องประดับพวกนั้นด้วยความอยากได้ก่อขึ้นมาในใจ

"ข้าไม่ชอบเครื่องประดับพวกนี้หรอกเจ้าค่ะ.. ใส่เยอะแยะเกะกะออก" นางกล่าวขึ้นมาทำให้จ้่วเพ่ยหันไปมองทันทีหญิงสาวนิ่งเงียบไปสักพักก่อนจะถูกพาไปยังร้านขายอุปกรณ์ตกปลาที่อยู่ไม่ไกล

จ้าวเพ่ยมองอุปกรณ์เหล่านั้นพลันเกิดควาสงสัยในใจ นางไม่ชอบอะไรอย่างนี้ เมื่อเห็นแล้วกลิ่นคาวปลาที่คิดว่าจะติดมือนางหากจับมันแค่นึกก็ขยะแขยง

"เช่นนั้นไปร่วมสักการะด้วยกันไหมเจ้าคะ" จ้าวเพ่ยเอ่ยชวนอู๋อวี้หมิงเมื่อเห็นว่าผ่านมาสักระยะหนึ่งแล้ว นางทั้งสองที่มีนิสัยชอบเข้าสังคมคล้ายๆกันย่อมที่จะจูนเข้าหากันได้ไม่ยาก หญิงสาวนั่งลงข้างๆคนรู้จักคนใหม่ของนางอย่างอู๋อวี้หมิง เพื่อรอคนอื่นๆเข้ามาร่วมพิธีเพื่อเริ่มบทสวดต่อไปอีกครั้ง

"เอวัมเม สุตัง เอกัง สะมะยัง ภะคะวา, พาราณะสิยัง วิหะระติ อิสิปะตะเน มิคะทาเย ตัตระโข ภะคะวา ปัญจะวัคคิเย ภิกขู อามันเตสิ.
เทเวเม ภิกขะเว อันตา ปัพพะชิเตนะ นะ เสวิตัพพา, โยจายัง กาเมสุ กามะสุขัลลิกานุโยโค หีโน คัมโม โปถุชชะนิโก อะนะริโย อะนัตถะสัญหิโต, โย จายัง อัตตะกิละมะถานุโยโค, ทุกโข อะนะริโย อะนัตถะสัญหิโต.
เอเตเต ภิกขะเว อุโภ อันเต อะนุปะคัมมะ, มัชฌิมา ปะฏิปะทา ตะถาคะเตนะ อภิสัมพุทธา, จักขุกะระณี ญาณะกะระณี อุปะสะมายะ อะภิญญายะ สัมโพธายะ นิพพานายะ สังวัตตะติ.
กะตะมา จะ สาภิกขะเว มัชฌิมา ปะฏิปะทา ตะถาคะเตนะ อะภิสัมพุทธา, จักขุกะระณี ญาณะกะระณี อุปะสะมายะ อะภิญญายะ สัมโพธายะ นิพพานายะ สังวัตตะติ.
อะยะเมวะ อะริโย อัฏฐังคิโก มัคโค, เสยยะถีทัง สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปโป สัมมาวาจา สัมมากัมมันโต สัมมาอาชีโว, สัมมาวายาโม สัมมาสะติ สัมมาสะมาธิ.
อะยัง โข สาภิกขะเว มัชฌิมา ปะฏิปะทา ตะถาคะเตนะ อะภิสัมพุทธา, จักขุกะระณี ญาณะกะระณี อุปะสะมายะ อะภิญญายะ สัมโพธายะ นิพพานายะ สังวัตตะติ.
อิทัง โข ปะนะ ภิกขะเว ทุกขัง อะริยะสัจจัง, ชาติปิ ทุกขา ชะราปิ ทุกขา มะระณัมปิ ทุกขัง, โสกะปะริเทวะทุกขะโทมะนัสสุปายาสาปิ ทุกขา, อัปปิเยหิ สัมปะโยโคทุกโข ปิเยหิ วิปปะโยโค ทุกโข ยัมปิจฉัง นะ ละภะติ ตัมปิ ทุกขัง,สังขิตเตนะ ปัญจุปาทานักขันธา ทุกขา.
อิทัง โข ปะนะ ภิกขะเว ทุกขะสะมุทะโย อะริยะสัจจัง, ยายัง ตัณหา โปโนพภะวิกา นันทิราคะ สะหะคะตา ตัตระตัตราภินันทินี, เสยยะถีทัง กามะตัณหา ภะวะตัณหา วิภะวะตัณหา.
อิทัง โข ปะนะ ภิกขะเว ทุกขะนิโรโธ อะริยะสัจจัง, โย ตัสเสเยวะ ตัณหายะ อะเสสะวิราคะนิโรโธ จาโค ปะฏินิสสัคโค มุตติ อะนาละโย.
อิทัง โข ปะนะ ภิกขะเว ทุกขะนิโรธะคามินี ปะฏิปะทา อะริยะสัจจัง.
อะยะเมวะ อะริโย อัฏฐังคิโก มัคโค, เสยยะถีทัง สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปโป, สัมมาวาจา สัมมากัมมันโต สัมมาอาชีโว, สัมมาวายาโม สัมมาสะติ สัมมาสะมาธิ.
อิทัง ทุกขัง อะริยะสัจจันติ เม ภิกขะเว, ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ, จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ.
ตัง โข ปะนิทัง ทุกขัง อะริยะสัจจัง ปะริญเญยยันติ เม ภิกขะเว, ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ, จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ.
ตัง โข ปะนิทัง ทุกขัง อะริยะสัจจัง ปะริญญาตันติ เมภิกขะเว, ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ, จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ.
อิทัง ทุกขะสะมุทะโย อะริยะสัจจันติเม ภิกขะเว, ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ, จักขุง  อุทะปาทิ  ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ.
ตัง โข ปะนิทัง ทุกขะสะมุทะโย อะริยะสัจจัง ปะหาตัพพันติ เม ภิกขะเว, ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ, จักขุงอุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลเก อุทะปาทิ.
ตัง โข ปะนิทัง ทุกขะสะมุทะโย อะริยะสัจจัง ปะหีนันติเม ภิกขะเว, ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ, จักขุง อะทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ.
อิทัง ทุกขะนิโรโธ อะริยะสัจจันติ เม ภิกขะเว, ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ, จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ.
ตัง โข ปะนิทัง ทุกขะนิโรโธ อะริยะสัจจัง สัจฉิกา ตัพพันติ เม ภิกขะเว, ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ, จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ.
ตัง โข ปะนิทัง ทุกขะนิโรโธ อะริยะสัจจัง สัจฉิกะตันติ เม ภิกขะเว, ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ, จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ.
อิทัง ทุกขะนิโรธะคามินี ปะฏิปะทา อะริยะสัจจันติ เม ภิกขะเว, ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ, จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญา อะทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ.
ตัง โข ปะนิทัง ทุกขะนิโรธะคามินี ปะฏิปะทา อะริยะสัจจัง ภาเวตัพพันติ เม ภิกขะเว, ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ, จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญา  อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ.
ตัง โข ปะนิทัง ทุกขะนิโรธะคามินี ปะฏิปิทา อะริยะสัจจัง ภาวิตันติเม ภิกขะเว, ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ.
ยาวะกีวัญจะ เม ภิกขะเว อิเมสุ จะตูสุ อะริยะสัจเจสุ เอวันติปะริวัฏฏัง ทวาทสาการัง ยะถาภูตัง ญาณะทัสสะนัง นะ สุวิสุทธัง อะโหสิ.
เนวะ ตาวาหัง ภิกขะเว สะเทวะเก โลเก สะมาระเก สะพรัหมะเก, สัสสะมะณะพราหมะณิยา ปะชายะ สะเทวะมะนุสสายะ, อะนุตตะรัง สัมมาสัมโพธิง อะภิสัมพุทโธ ปัจจัญญาสิง.
ยะโต จะ โข เม ภิกขะเว อิเมสุ จะตูสุ อะริยะสัจเจสุ, เอวันติ ปะริวัฏฏัง ทวาทะสาการัง ยะถาภูตัง ญาณะทัสสะนัง สุวิสุทธัง อะโหสิ.
อะถาหัง ภิกขะเว สะเทวะเก โลเก สะมาระเก สะหรัหมะเก, สัสสะมาณะพราหมะณิยา ปะชายะ สะเทวะมะนุสสายะ, อะนุตตะรัง สัมมาสัมโพธิง อะภิสัมพุทโธ ปัจจัญญาสิง.
ญาณัญจะ ปะนะ เม ทัสสะนัง อุทะปาทิ อะกุปปา เม วิมุตติ, อะยะมันติมา ชาติ, นัตถิทานิ ปุนัพภะโวติ.
อิทะมะโวจะ ภะคะวา, อัตตะมะนา ปัญจะวัคคิยา ภิกขู ภะคะวะโต ภาสิตัง อะภินันทุง, อิมัสมิญจะ ปะนะเวยยากะระณัสมิง ภัญญะมาเน, อายัสมะโต โกณฑัญญัสสะ วิระชัง วีตะมะลัง ธัมมะจักขุง อุทะปาทิ, ยังกิญจิ สะมุทะยะธัมมัง สัพพันตัง นิโรธะธัมมันติ.
ปะวัตติเต จะ ภะคะวาตา ธัมมะจักเก, ภุมมา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง เอตัมภะคะวะตา พาราณะสิยัง อิสิปะตะเน มิคะเทเย อะนุตตะรัง ธัมมะจักกัง ปะวัตติตัง, อัปปะฏิวัตติยัง สะมะเณนะ วา พราหมะเณนะ วา เทเวนะวา มาเรนะ วา พรัหมุนา วา เกนะจิ วา โลกัสมินติ.

ภุมมานัง  เทวานัง สัททัง สุตวา,
จาตุมมะหาราชิกา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง.
จาตุมมะหาราชิกานัง เทวานัง สัททัง สุตวา, ตาวะติงสา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง. ตาวะติงสานัง เทวานัง สัททัง สุตวา,
ยามาเทวา สัททะมะนุสสาเวสุง. ยามานัง เทวานัง สัททัง สุตวา,                     
ตุสิตาเทวา สัททะมะนุสสาเวสุง. ตุสิตานัง เทวานัง สัททัง สุตวา,               
นิมมานะระตี เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง.  นิมมานะระตีนัง เทวานัง สัททัง สุตวา,
ปะระนิมมิตะวะสะวัตตี เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง.
ปะระนิมมิตะวะสะวัตตีนัง เทวานัง สัททัง สุตวา, พรัหมะกายิกา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง.
เอตัมภะคะตา พาราณะสิยัง อิสิปะตะเน มิคะทาเย อะนุตตะรัง ธัมมะจักกัง ปะวัตติตัง, อัปปะฏิวัตติยัง สะมะเณนะ วา พรัหมมะเณนะ วา เทเวนะ วา มาเรนะ วา พรัหมุนา วา เกนะจิ วา โลกัสมินติ.
อิติหะ เตนะ ขะเณนะ เตนะ มุหุตเตนะ ยาวะ พรัหมะโลกา สัทโท อัพภุคคัจฉิ, อะยัญจะ ทะสะ สะหัสสี โลกะธาตุสังกัมปิ สัมปะกัมปิ สัมปะเวธิ, อัปปะมาโณ จะ โอฬาโร โอภาโส โลเก ปาตุระโหสิ อะติกกัมเมวะ เทวานัง เทวานุภาวัง.
อะถะโข ภะคะวา อุทานัง อุทาเนสิ อัญญาสิ วะตะ โภโกณฑัญโญ, อัญญาสิ วะตะโภ โกณฑัญโญติ.
อิติหิทัง อายัสมะโต โกณฑัญญัสสะ, อัญญาโกณฑัญโญเตววะ นามัง, อะโหสีติ."

มีผู้กล่าวบทสวดขึ้นให้คนอื่นๆรับฟังบทสวดธรรมจักรกัปวัตสูตรที่ยาวยืดนั้นไปด้วย จ้าวเพ่ยเองผู้ที่ไม่ชอบเข้าวัดวาตั้งแต่เด็กก็ย่อมเข้าใจได้ยากเย็นยิ่ง เมื่อจบบทสวดลง ทุกผู้ทุกนายในที่แห่งนี้เริ่มแยกย้ายกันออกไปยังข้างนอก นางหันกลับไปมองอู๋อวี้หมินที่อยู่ข้างๆ นางพลันยิ้มขึ้นมาแล้วกระพริบตาจนหญิงสาวข้างๆหัวเราะขึ้นมาเล็กน้อย

"สีหน้าท่านดูมึนๆนะเจ้าคะ ออกไปข้างนอกเถอะเจ้าค่ะ ไปร่วมขบวนเวียนประทักษิณรอบอุโบสถกัน" นางกล่าวทั้งลุกขึ้นอย่างร่าเริงทำให้จ้าวเพ่ยต้องรีบลุกตาม หญิงสาววิ่งแถดๆไปตามอีกฝ่ายที่วิ่งไปอย่างรวดเร็ว ต่างจากข้าวเพ็ญที่ต้องกึ่งเดินกึ่งวิ่งเพื่อไม่ให้นางดูไม่งามเกินที่จะฉีกแข็งฉีกขาออกตัววิ่งกลางงานบุญแห่งนี้ นางรีบก้าวมาหาอู๋อวี้หมินที่ยืนรอนางอยู่ เมื่อเห็นท่าทางการวิ่งแถ่ดๆของจ้าวเพ่ยนางก็หัวเราะขึ้นมาเล็กน้อย สาวผู้เต็มไปด้วยเครื่องประทินโฉมงุนงงเล็กน้อยก็ยกมือขึ้นมาป้องหัวเราะตามกับความอารมณ์ดีของอีกฝ่าย เสียงสองสาวกลั้นหัวเราะคิกคักใส่กันก่อนจะจับแขนเสื้อกันพาไปยังอุโบสถเพื่อเข้าร่วมขบวนเวียนประทักษิณรอบอุโบสถ จ้าวเพ่ยตั้งสติเพื่อยึดจิตใจให้แน่วแน่ขณะที่นางเริ่มเดินวนจนครบรอบก็เดินออกมาเพื่อให้พื้นที่แก่คนอื่นๆบ้าง

นางหลับตาลงเล็กน้อยจากพิธีกรรมนี้เพื่ออธิฐานอะไรบางอย่าง หญิงสาวเปิดตาขึ้นเห็นอู๋อวี้หมิงอยู่ข้างๆนางจ้าวเพ่ยก็พลันเอ่ยถาขึ้นมาก่อนอีกฝ่ายจะชิงถามนางเสียก่อน

"วันนี้สนุกมากเลยนะเจ้าคะ.. ข้าคิดว่าท่านจะโกรธข้าเสียแล้ว"

"จะโกรธทำไหมล่ะ เรื่องพวกนั้นใครนำมาคิดแค้นกัน" อู๋อวี้หมิงกล่าวกับจ้าวเพ่ย

ความมืดเข้าครอบคลุมทุกพื้นที่ดูเหมือนจะเป็นเวลาที่จะให้สาวผู้ไม่ได้พักผ่อนตั้งแต่ออกเดินทางอย่างจ้าวเพ่ยได้กลับเสียที สองสาวเดินชมตลาดจนสุดเส้นทาง จ้าวเพ่ยก็หันกลับมาหาอู๋อวี้หมิงเพื่อกล่าวคำลากับอีกฝ่าย

"แล้วพยกันใหม่นะเจ้าคะ" จ้าวเพ่ยกล่าวลาหญิงสาวก่อนอีกฝ่ายจะลากับนางด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม นางเดินออกจากวัดท่ามกลางความมืดเพื่อจะกลับยังโรงเตี๊ยม พอทุกอย่างเงียบลงขาดเสียงผู้คนที่นางได้ยินมาตั้งแต่เช้าก็รู้สึกวังเวงเสียแปลกๆ

คงจะต้องหาทางลากผู้ติดตามนางมาเงานเทศกาลให้ได้สักคราเสียแล้วกระมัง ซุนหยางเองช่างขี้เกียจเกินที่นางจะเยียวยาเสียจริง

ธาตุและความสัมพันธ์
+20 ความสัมพันธ์ [165] ธาตุไฟ เกื้อหนุน ดิน

ร่วมสักการะ กล่าวบทสวดธรรมจักรกัปปวัตนสูตร +10 EXP
ร่วมเดินขบวนในพิธีเวียนประทักษิณรอบอุโบสถวัด ได้รับ +10 EXP
ชวน NPC ที่มาเที่ยวเทศกาลเดินเล่นทำความรู้จัก ได้รับความสัมพันธ์พิเศษ+25 - EXP+15

←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
กระบี่ร้อยกฎ
มุกพณาหวาซวี
ม้าเหลียง
กลยุทธ์เล่ออี้
บทเพลงยิ้มเย้ยยุทธจักร
หน้ากากขาว
เกราะเกล็ดมังกร
ผ้าคลุมไท่หลง
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x2
x7
x4
x10
x10
x13
x13
x13
x12
x11
x202
x1
x1
x1
x11
x22
x15
x30
x1
x100
x100
x9
x2
x5
x6
x8
x10
x2
โพสต์ 2021-10-3 23:22:23 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Fenyue เมื่อ 2021-10-3 23:25


⌜62⌟

บทที่ 11
งานบุญ ณ วัดม้าขาว
ฉากที่ 4
                    
          ก่อนจะกลับไปที่วัดไป๋หม่า เฟินเยว่และตงฮั่วเอาปลาที่ตกมาไปเก็บที่โรงเตี๊ยมไว้เสียก่อนแล้วจึงหาอาหารเย็นทานกันโดยซื้อไก่ขอทานไปฝากให้ต้าซิ่นที่วัดด้วย เมื่อเจอหน้าทั้งสามจึงล้อมวงทานอาหารเย็นด้วยกันพร้อมกับที่เด็กสาวเล่าเรื่องที่นางถูกขนานนามว่าเป็นจอมยุทธ์หญิงให้ทั้งคู่ได้ฟังด้วย
         
          “...เรื่องทั้งหมดมันก็เป็นแบบนี้แหล่ะเจ้าค่ะ”
         
          พูดไปก็รู้สึกเขิน ทั้งที่ไม่ได้ตั้งใจเลยแท้ ๆ ต่อสู้หรืออะไรก็ทำไม่เป็น ได้แต่เพียงลักจำเอามาจากพี่ชายก็เท่านั้นเอง
         
          “ถ้าไม่ได้เห็นกับตาข้าก็คงไม่เชื่อเรื่องนี้”
         
          “คิดไม่ผิดเลยจริง ๆ ที่ตกลงติดตามเจ้ามา บางทีเจ้าอาจจะเป็นอัจฉริยะก็ได้นะแม่นางซุน”
         
          “อะ.. อัจฉริยะอะไรกันเจ้าคะ หากอัจฉริยะจริงข้าคงทำทุกอย่างได้ไปแล้ว”
         
          ได้ยินคำนี้ตงฮั่วก็หัวเราะขำ เพราะดูเหมือนว่าเด็กหนุ่มจะรู้จุดอ่อนนั้นของนางไปแล้ว
         
          เมื่อทานอาหารเย็นกันเสร็จก็เตรียมตัวสำหรับการเวียนเทียน ก่อนหน้านั้นต้าซิ่นขอไปดูเครื่องรางที่เปิดให้เช่า เฟินเยว่ก็ขอไปดูด้วยเพราะนางเองก็รู้สึกสนใจสิ่งแปลกใหม่ไปหมดเช่นกัน แต่เมื่อเห็นราคาเด็กสาวก็ร้องอูย แล้วถอยออกมาเงียบ ๆ คนจนอย่างนางจะมีปัญญาซื้อสินค้าราคาแพงแบบนี้ได้เช่นไร หากแค่เคารพด้วยใจพุทธะก็คงไม่โกรธนางหรอกมั้ง
         
          ตุ้บ!
         
          ระหว่างที่เด็กสาวกำลังค่อย ๆ ถอยออกมาจากตู้เครื่องรางอยู่นั้นก็รู้สึกถึงอะไรบางอย่างวิ่งมาชนหลัง ตัวนางไม่ได้สะเทือนไปมาก แต่ว่ามีร่าง ๆ นั้นดูเหมือนว่าจะเสียหลักล้มลงไปก้นกระแทกจ้ำเบ้า
         
          “อู้ย ถอยออกมาแบบนี้ดูตาม้าตาเรือบ้างสิ!”
         
          ผู้ที่ต่อว่านางเป็นเด็กชายตัวน้อย ประมาณอายุจากสายตาน่าจะราว ๆ สิบขวบเห็นจะได้ เขามีสีหน้าที่บึ้งตึง ดูจะไม่พอใจเป็นอย่างมากที่นางมาทำเขาล้ม หรืออีกนัยคือเขาวิ่งมาชนนางเอง
         
          “ขะ..พี่สาวขอโทษนะจ๊ะ เจ้าเป็นอะไรมากหรือไม่?”
         
          เฟินเยว่ย่อตัวลงไปดูอาการเด็กน้อย นางเอื้อมมือออกไปหวังช่วยพยุงตัวขึ้นแต่กลับถูกอีกฝ่ายปัดออกด้วยความไม่สนใจใยดี ก่อนที่เด็กคนนั้นจะกระเด้งตัวขึ้นมายืนเต็มสองขา แล้วกอดอกเชิดหน้าท่าทางอวดดี
         
          “ไม่ต้องมายุ่ง! ข้าซุนเซ่อ บุตรซุนเจียน แห่งฉางซา ไม่ต้องการความช่วยเหลือจากผู้หญิงเซ่อซ่าหรอก ฮึ!”
         
          “อ้าว ไอ้เด็กเวรนี่วอนซะแล้ว”
         
          เส้นเลือดปูดโปนขึ้นที่ขมับของเด็กหนุ่ม ปกติเขาก็เป็นคนที่มนุษย์สัมพันธ์ติดลบกับชาวบ้านเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ยิ่งเจอเด็กอวดดีอย่างนี้ยิ่งอยากจะจับมาตีสั่งสอน
         
          “ชู่ว! ตงฮั่วอย่าดุเด็กสิเจ้าคะ”
         
          เป็นฝ่ายเด็กสาวแทนที่ดุเขากลับ ทำหน้าราวกับจะบอกว่าให้อีกฝ่ายเงียบไปก่อน เป็นผู้ใหญ่อย่าทะเลาะกับเด็กสิ นางดันเขาออกไปจากจุดนั้นก่อนที่จะหันกลับมารับมือกับเด็กน้อยด้วยตัวคนเดียว
         
          “คุณชายน้อยซุน อย่าโกรธพี่สาวนะ พี่ซุนเฟินเยว่นะจ๊ะ บังเอิญจังเลยเนอะเราแซ่เดียวกันพอดี เพราะงั้นดีกันเถอะนะ”
         
          “แซ่ซุนเหมือนกันงั้นเหรอ?” ซุนเช่อดูจะสนใจและแสดงท่าทีเป็นมิตรออกมาแว้บหนึ่ง แต่ก็เพียงแค่ชั่วพริบตาเท่านั้น วางท่ากลับไปเป็นเด็กโอหังเอาแต่ใจพ่อเส้นใหญ่เหมือนเดิม “โกหก คนแซ่ซุนน่ะไม่มีคนเซ่อซ่าหรอกนะ!”
         
          “อา..”
         
          เด็กสาวถึงกับพูดไม่ออกได้แต่ยิ้มแหย ๆ ที่มุมปาก
         
          “ตั้นปี้เช่อหยู่นี่เอง!” เพียงแค่ประเดี๋ยวก็มีเด็กชายอีกคนวิ่งเตาะแตะตามมา เด็กคนนี้เล็กกว่ามากนักอายุน่าจะราว ๆ สามขวบเศษเห็นจะได้ ฟันยังขึ้นไม่ครบแถมยังพูดไม่ชัดอีกต่างหาก “ท่านปี้ คุยกับไคหยู่เหยอ?” เด็กตัวเล็กเอียงคอถาม
         
          “ก็ผู้หญิงคนนี้น่ะสิ แย่ที่สุดมาชนข้าล้มแถมยังแอบอ้างว่าแซ่ซุนเหมือนกันอีก”
         
          “หวาว.. แช่ชุนงั้นเหยอ ปี้สาวเป็นยาดเยาชั่ยมั้ย? ข้าชุนเฉวียนนะ”
         
          เด็กน้อยสามขวบมองเฟินเยว่ตาใส ดูแล้วเขาจะสนใจในตัวนางอยู่มากเพราะนึกว่าเป็นญาติที่ไม่รู้จักมาเที่ยวงานด้วย เห็นคนน้องน่ารักแบบนี้เฟินเยว่ก็รู้สึกเอ็นดูขึ้นมา
         
          “พี่ซุนเฟินเยว่จ้ะ พี่แค่แซ่ซุนเฉย ๆ น่ะ แต่ว่าไม่ได้เป็นญาติกันหรอกจ้ะ”
         
          เฟินเยว่อธิบาย อย่างน้อยก็มั่นใจแหล่ะว่าคนไร้ญาติอย่างนางคงไม่มีญาติที่ไหน ก็แค่บังเอิญว่าใช้แซ่เดียวกันเฉย ๆ เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้ทั่วไปเป็นเรื่องปกติในต้าฮั่น
         
          “อะ.. จริงสิ พี่มีของเล่นด้วยนี่นา” เด็กสาวเปิดกระเป๋าแล้วหยิบรถของเล่นมือสองออกมา มันไม่มีความจำเป็นสำหรับนางเพราะฉะนั้นให้เด็ก ๆ พวกนี้ไปน่าจะดีกว่า เฟินเยว่มองใบหน้าของเด็กทั้งสองสลับกัน เด็กผู้ชายดูจะตาวาวอยากได้กันทั้งคู่ “แต่ว่าพี่มีแค่อันเดียวนี่สิจ๊ะ ถ้ายังไงก็แบ่งกันเล่นนะ แล้วก็มีถังหูลู่ด้วย”
         
          สาวน้อยเอาขนมมาล่อเห็นว่าพวกเขาอยากได้ของเล่นกันทั้งคู่ หากว่าใครได้เล่นมากกว่าอีกคนก็เอาขนมไปทานจะได้ไม่ร้องไห้งอแงกัน
         
          “ขอบคุงปี้ฉาว” เด็กสามขวบเป็นฝ่ายขอบคุณก่อนพี่ชายเสียอีก เขากำลังจะยื่นมือไปรับรถของเล่นแต่ดันไปสบสายกับซุนเช่อที่ดูจะอยากได้ของสิ่งเดียวกันก็เปลี่ยนใจเป็นรับขนมเชื่อมแทน “ยดม้าให้ปี้เช่อ”
         
          “ได้สิจ๊ะ” เฟินเยว่ยิ้มเอ็นดูน้องคนเล็กเป็นอย่างมาก รู้สึกว่าเด็กคนนี้เป็นเด็กดีจังเลยนะ นิสัยค่อนข้างต่างจากคนเป็นพี่พอสมควร แต่ถึงอย่างนั้นนางก็ไม่ได้มองว่าซุนเช่อเป็นเด็กดื้อ นางทำให้เขาโกรธก็ต้องยอมรับผิด ไม่แน่ว่าตอนปกติเด็กคนนี้ก็อาจจะน่ารักเหมือนกัน “นี่จ้ะซุนเช่อ พี่ให้นะ แบ่งกันเล่นกับน้องแล้วก็เก็บรักษาดี ๆ อย่าทำหายนะจ๊ะ”
         
          “ฮึ! ถือว่าเป็นค่าทำขวัญข้าไม่ขอบคุณหรอกนะ แต่จะไม่เอาความก็ได้”
         
          “จ้า ๆ ”
         
          แม้ว่าซุนเช่อจะยังไม่ลดทิฐิลงแต่เขาก็รับของเล่นเอาไว้ ไม่มีเด็กคนไหนที่ไม่ชอบของเล่นหรอก ในแววตาของเด็กน้อยก็ดูจะดีใจอยู่นิดหน่อย
         
          “แล้วพ่อแม่ของพวกหนูไปไหนกันเหรอ?”
         
          เมื่อหันไปรอบ ๆ ดูแล้วผู้คนจะมางานกันเยอะว่าตอนกลางวันอยู่เป็นเท่าตัว คงไม่ดีแน่หากว่าเด็กจะพลัดหลงจากผู้ปกครอง ยิ่งดูเหมือนว่าเด็กทั้งสองคนนี้จะเป็นลูกของบุคคลสำคัญอยู่ด้วยหากเป็นอะไรไปต้องแย่แน่นอน
         
          “มั่ยยู้ มองมั่ยเห็ง” ซุนเฉวียนตัวเล็กเกินกว่าที่จะฝ่าดงผู้ใหญ่ไปได้เด็กสาวจึงอุ้มเขาขึ้นมาเพื่อให้เด็กชายได้มองหาพ่อแม่ “ยังมองมั่ยเห็ง”
         
          “อา.. ยังมองไม่เห็นสินะ” เฟินเยว่ก็ไม่ได้จะตัวสูงมากมาย จะให้อุ้มสูงกว่านี้ก็คงไม่ได้ มีแต่ต้องขอความช่วยเหลือจากคนที่นางกันท่าออกไปในตอนแรก “ตงฮั่วเจ้าคะช่วยทีนะ”
         
          “ให้ตายสิจริง ๆ เลยนะ สุดท้ายก็ต้องมาช่วยหาพ่อแม่ให้ไอ้เด็กนั่นใช่ไหม”
         
          เด็กหนุ่มเกาหัวแกรก ๆ คิ้วเสือขมวดเข้าหากันอย่างไม่ค่อยเต็มใจ
         
          “ฉาหวัดดีปี้ชัยชุนอิกคง”
         
          “อะ..เอ่อ.. สวัสดี” เมื่อเห็นรอยยิ้มไร้เดียงสาจากเด็กชายซุนเฉวียนก็ดูเหมือนว่าตงฮั่วจะยอมใจอ่อนยอมรับเด็กมาอุ้มไว้ “พี่ชายซุนที่ไหนกันเล่า ข้าแซ่ซูต่างหาก”
         
          “ก้ะดั้ย ปี้ชัยชู ข้ายังมองมั่ยเห็งเยย”
         
          “ฮึ่ม จะเอาสูงแค่ไหนกันฮึ แค่นี้พอไหม?”
         
          ตงฮั่วจับซุนเฉวียนขึ้นขี่คอ ทางด้านเด็กน้อยดูจะชอบหัวเราะเอื้อกอ๊ากเป็นการใหญ่
         
          “เห็งแย้ว ๆ ตั้นป้อ ตั้นแม่อยู่ตงงู้นนน”
         
          เด็กน้อยชี้มือบอกทิศทาง แม้ยังไม่รู้ว่าคนไหนแต่ก็คงต้องเดินตามไปก่อน
         
          “ถ้าอย่างนั้นคุณชายน้อยซุนจ๊ะ จับมือกับพี่เอาไว้นะ เดี๋ยวจะหลง เดี๋ยวพี่สาวพากลับไปหาพ่อกับแม่เองจ้ะ”
         
          “ถ้าแค่นิดเดียวจะยอมก็ได้หรอกนะ”
         
          เจ้าเด็กอวดดียังคงวางมาด แต่ก็ยอมให้เด็กสาวจูงมือพาไปส่งยังผู้ปกครอง จากการนำทางของซุนเฉวียน แม้จะยังอายุเพียงสามขวบเศษ ทว่าเด็กคนนี้กลับฉายแววฉลาดเฉลี่ยวออกมาได้อย่างเด่นชัด พ่อแม่ของเด็กคนนี้น่าจะเป็นชายหญิงที่กำลังเลือกเครื่องรางมาบูชา คนพ่อดูขึงขังและสง่างามราวกับว่าเป็นขุนพลหาญกล้า ส่วนมารดาก็เป็นสตรีที่งดงามและน่าเกรงขามไม่แพ้กัน
         
          “ท่านพ่อท่านแม่!”
         
          ซุนเซ่อปล่อยมือออกทันทีเมื่อเห็นผู้ปกครอง เขาไปเกาะขาบิดาเป็นการใหญ่ ชายผู้นั้นหันกลับมาเห็นบุตรคนเล็กกำลังขี่คอหนุ่มแปลกหน้าอีกคนก็ชักสีหน้าไม่พอใจ ทว่ายังวางท่าทีสุขุมไม่โวยวาย ทว่าสายตากดดันเสียจนเฟินเยว่รู้สึกหนาว แล้วเมื่อเจอกับพ่อแม่ตงฮั่วจึงปล่อยเด็กลงมาให้ยืนเอง ซุนเฉวียนทำหน้าเสียดายอยู่หน่อย ๆ แต่ก็ระงับไว้ด้วยการกัดถังหูลู่ แต่ฟันฟางเด็กน้อยยังไม่ขึ้นดีจึงได้แต่เลียน้ำตาลที่ภายนอกเท่านั้น
         
          “ตั้นป้อตั้นแม่ ปี้ฉาวปี้ชัยพาข้ากับปี้เช่อมาฉ่ง”
         
          “อุ๊ยตายจริง พวกเจ้าไปซนที่ไหนกันมาหือ” สตรีที่เป็นมารดาอุทานออกมาอย่างตกใจ ดูเหมือนว่านางจะเพิ่งรู้ตัวว่าบุตรทั้งสองได้พลัดลงไประหว่างที่นางและสามีกำลังเลือกหาสิ่งของ “ต้องขอโทษจริง ๆ ที่รบกวนนะ ขอบคุณมากเลยที่ช่วยพาบุตรชายทั้งสองของข้ามาส่ง”
         
          แม่เด็กแม้เผิน ๆ ดูเป็นสตรีหน้าดุแต่เฟินเยว่กลับรู้สึกดีและมีไมตรีด้วยเมื่อได้สนทนา
         
          “ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ เรื่องเล็กน้อยแค่นี้เอง เนอะ”
         
          เฟินเยว่หันไปขอความเห็นของตงฮั่ว แม้ไม่ได้คาดคั้นให้ตอบตามนางแต่เด็กหนุ่มเริ่มเรียนรู้เรื่องการทำตัวไม่ให้เสียบรรยากาศมาบ้าง
         
          “ใช่ก็ได้..”
         
          “ตั้นป้อตั้นแม่ ปี้ฉาวแช่ชุนเหมือนเยาด้วยแหล่ะ”
         
          “เอ๋ แม่นางแซ่ซุนอย่างนั้นหรือ บังเอิญจริง ๆ ทางนี้ก็ตระกูลซุนเช่นกัน เจ้าเป็นเทือกเถาเหล่ากอมาจากไหนล่ะจ๊ะ”
         
          “สวัสดีเจ้าค่ะ ข้าซุนเฟินเยว่ บ้านเกิดอยู่อันติงเจ้าค่ะ เคยมีร้านขายผ้าแต่ว่า.. ปิดไปเป็นสิบปีแล้วล่ะเจ้าค่ะ”
         
          เด็กสาวหัวเราะเสียงแห้ง ยากจะอธิบายจริง ๆ เรื่องประวัติครอบครัวของนางเนี่ย
         
          “ข้าอู่ฟูเหรินนะ ส่วนสามีท่านซุนเจียน พวกเรามาจากฉางซา ไม่ทราบว่าท่านพี่มีญาติอยู่อันติงหรือไม่เจ้าคะ?”
         
          “ไม่มี”
         
          อู่ฟูเหรินหันไปถามสามีส่วนทางเขาตอบแค่ห้วน ๆ สั้น ๆ จนรู้สึกได้ว่าเขาจะไม่พอใจอะไรพวกนางหรือเปล่า แต่เด็กสาวก็ได้แต่เก็บความคิดเอาไว้แล้วบอกกับตัวเองว่า ‘คิดไปเองน่า’
         
          “อย่างนั้นแล้วข้าขอตัวก่อนนะเจ้าคะ พี่ไปก่อนนะจ๊ะ ซุนเช่อ ซุนเฉวียน”
         
          เฟินเยว่ค้อมศีรษะให้กับผู้อาวุโสกว่าทั้งสอง ก่อนที่จะโบกมือลาเด็กน้อย มีแต่เพียงแค่ซุนเฉวียนเท่านั้นที่โบกมือลากลับมา จากนั้นเด็กสาวและตงฮั่วก็กลับไปหาต้าซิ่นที่น่าจะเลือกซื้อของเสร็จเรียบร้อยแล้ว
         
.
.
.
         
          ได้เวลาเวียนเทียนต้าซิ่นก็อธิบายกับทั้งสองให้เข้าใจตรงกัน
         
          “ประเดี๋ยวกราบพระกันก่อน สวดบทอาราธนาพระรัตนตรัยนะ พอจำได้ใช่ไหม จากนั้นก็ถือดอกไม้ธูปเทียนเดินวนรอบอุโบสถให้ครบสามรอบ ระหว่างเดินก็ภาวนาจิตไปด้วย พยายามนึกถึงคำสอนของพระพุทธองค์เข้าไว้”
         
          “เจ้าค่ะ!”
         
          เฟินเยว่ขานรับอย่างหนักแน่นเป็นนักเรียนที่ดีและพร้อมเรียนรู้ ทางฝ่ายตงฮั่วเขาไม่พูดอะไรทำทีไม่สนใจฟัง คนอธิบายอย่างต้าซิ่นก็ได้แต่ถอนหายใจแล้วก็ท่องเอาไว้ว่าเด็กมันกำลังอยู่ในวัยต่อต้าน
         
          เด็กสาวรับเอาดอกไม้ธูปเทียนที่ถูกจุดแล้วมา หลับตาภาวนาหน้าโบสถ์ก่อนที่จะเริ่มเดินเวียนเทียนไปพร้อม ๆ กับทุกคน
         
          ‘อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ ภะคะวา, พุทธัง ภะคะวันตัง อภิวาเทมิ. สวากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม, ธัมมังนะมัสสามิ. สุปะฏิปปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ, สังฆัง นะมามิ.
         
          อันที่จริงกิจกรรมนี้ค่อนข้างที่จะสนุกอยู่ในความคิดของเด็กสาว เพราะว่าได้ขยับตัวมากกว่าการนั่งอยู่เฉย ๆ แล้วฟังธรรม แถมดอกไม้และเทียนในความมืดก็ยังสวยดีอีกด้วย นอกจากนี้ก็ยังได้ฝึกสมาธิถือเทียนอย่างไรไม่ให้น้ำตาเทียนหยดใส่มือใส่ขา
         
          จนเวียนเทียนครอบสามรอบจึงปลีกตัวออกมาด้านนอกเตรียมขี่ม้ากลับเข้าเมือง
         
          “รู้สึกดีจริง ๆ เลยเจ้าค่ะ”
         
          “ทำบุญแล้วจิตใจผ่องแผ่วขึ้นล่ะสิใช่ไหม”
         
          “แล้วตงฮั่วล่ะเจ้าคะ เป็นอย่างไรบ้าง?”
         
          “น้ำตาเทียนหยดใส่ ร้อนจะตาย ไม่เห็นดีตรงไหน”
         
          คนตอบทำหน้ามุ่ย แต่นั่นก็เรียกเสียงหัวเราะให้กับอีกสองคนได้เป็นอย่างดี และเมื่อหมดธุระแล้วก็เดินทางกลับโรงเตี๊ยมที่ลั่วหยาง
         
.
.
.
     

ลักษณะนิสัยรักสงบ
+1 Point ทุกครั้งที่โรลใช้แผนอุบาย หรือ ทางการทูต
-10 ลดความเครียด

ลักษณะนิสัยขยัน
-20 ลดความเครียดเมื่อทำงานหรือทำกิจกรรมใด ๆ

ลักษณะนิสัยเห็นอกเห็นใจ
+2 Point จากการโรลการทูต
+20 EXP ทุกครั้งที่โรลเห็นอกเห็นใจช่วยเหลือผู้อื่น หรือ ทำงานช่วยเหลือ

อัตลักษณ์อัจฉริยะ
+5 Point จากการโรลทางการทูต

อัตลักษณ์หูดี
+2 Point ทุกครั้งที่โรลการทูต

อัตลักษณ์ผิวเป็นฝ้ากระ
+15 EXP จากการโรลทำงาน หรือ โรลเดินทางช่วงค่ำ (เรียลไทม์)

อัตลักษณ์ขาดความรอบคอบ
+1 Point เมื่อโรลเพลย์ทางการทูต

เอฟเฟคความสัมพันธ์
[070] ซุน เช่อ (ซุนเซ็ก)
มอบ รถม้าของเล่น
+15 ความสัมพันธ์กับคนที่คุยด้วย (หูดี)
-15 ความสัมพันธ์จาก ธาตุไม้ ข่มธาตุดิน
ที่มาเที่ยวเทศกาลเดินเล่นทำความรู้จัก ได้รับความสัมพันธ์พิเศษ+25 - EXP+15

[084] ซุน เฉวียน (ซุนกวน)
มอบ ถังหูลู่ จำนวน 10 ไม้
+20 ความสัมพันธ์พิเศษจาก ธาตุดิน เกื้อหนุนธาตุทอง
+10 ความสัมพันธ์จากการคนเกิดปีเดียวกัน (ระกา)
+20 ความสัมพันธ์คนที่มีนิสัยเดียวกัน
ที่มาเที่ยวเทศกาลเดินเล่นทำความรู้จัก ได้รับความสัมพันธ์พิเศษ+25 - EXP+15

[010] ซุน เจียน (ซุนเกี๋ยน)
-15 ความสัมพันธ์จาก ธาตุไม้ ข่ม ธาตุดิน
ที่มาเที่ยวเทศกาลเดินเล่นทำความรู้จัก ได้รับความสัมพันธ์พิเศษ+25 - EXP+15

[023] อู่ฟูเหริน (ง่อฮูหยิน)(Lady Wu)
+20 ความสัมพันธ์พิเศษจาก ธาตุดิน เกื้อหนุน ธาตุทอง
ที่มาเที่ยวเทศกาลเดินเล่นทำความรู้จัก ได้รับความสัมพันธ์พิเศษ+25 - EXP+15

พัฒนาขุนนางในสภา
[152] ซู ตงฮั่ว
มอบ ไก่ขอทาน
-10 ความสัมพันธ์กับขุนนางในสภา (ผิวเป็นฝ้ากระ)

[NPCในสังกัด] เหลียง ต้าซิ่น
มอบ ไก่ขอทาน


ร่วมเดินขบวนในพิธีเวียนประทักษิณรอบอุโบสถวัด ได้รับ +10 EXP






←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
พยัคฆ์ตงเทียน
หยกเชื่อมสัมพันธ์
พู่กันเหวิ่นเซ่า
ถุงหอมจูอวี๋
กลยุทธ์เล่ออี้
บทเพลงยิ้มเย้ยยุทธจักร
หน้ากากขาว
เกราะเกล็ดมังกร
ผ้าคลุมไท่หลง
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x40
x32
x1
x439
x500
x73
x500
x26
x498
x500
x10
x2
x9
x1
x400
x1
x1
x5
x28
x8
x591
x228
x228
x500
x2514
x18
x14
x1
x5
x1
x2
x100
x5
x50
x100
x3
x3
x10
x2
x47
x64
x6
x9
x2
x71
x1
x24
x95
x50
x86
x150
x260
x150
x150
x46
x46
x2
x2
x6
x2
x2
x34
x4
x1
x8
x1
x2
x7
x5
x8
x7
x110
x7
x74
x45
x3
x30
x63
x74
x79
x2
x71
x68
x6
x45
x50
x160
x316
x3
x220
x48
x35
x168
x12
x10
x25
x1
x13
x6
x4
x6
โพสต์ 2021-10-3 23:28:15 | ดูโพสต์ทั้งหมด
โรลพิธีช่วงบ่าย



"เห้อเหนี่อยเหมือนกันนะเนี้ยหรือว่าข้าแก่กันแน่แล้วนะแบบนี้แบบนี้แต่ว่าข้าก็ยังอายุไม่เยอะเลยนะแบบนี้เอาเถอะงั้นพวกเรามาฟังท่าน ไต้ซือกันเถอะนะแบบนั้น"

"ได้เลยงั้นพวกเราก็มาเตรียมตัวใจฟังท่านไต้ซือกันเถอะนะ"

พร้อมกับที่ทั้งคู่ยังพูดไม่ทันเสร็จดีนั้นก็ไตซือก็ได้เข้ามาเทศสนาธรรมให้กับเหล่าประชาชนนั้นได้ฟังกันโดยที่ทุกคนที่ได้ฟังธรรมนั้นต่างก็มีความสุขกายสุขใจกันมากเลยที่ได้ฟังกัน

"ช่างสดชื่นอะไรขนาดนี้กันนะธรรมในครั้งนี้"

"ข้าว่าพวกท่านทั้งคู่ดูมีความสุขอะไรกันขนาดนี้กันเนี้ย"

"เอาเถอะพวกเรามาถวายปัจจัยกันให้เถอะนะ"

"งั้นข้าถวายชาอย่างดีให้กับท่านไตซือก็แล้วกันนะแบบนั้นท่านเหวินหยวนก็มาถวายด้วยกันกับข้าสิ"

"ได้เลยสหายข้า"

"เดี่บวข้าจะถวายเงินให้กับท่านไตซือก็แล้วกันนะแบบนี้"

พร้อมกับที่ทั้งสามคนนั้นถวายสิ่งของปัจจัยให้กับท่านไตซือเอาไว้โดยที่หลังจากนั้นก็พร้อมใจกันท่องบทสวดด้วยกันด้วย

เอวัมเม สุตังฯ เอกัง สะมะยัง ภะคะวา พาราณะสิยัง วิหะระติ อิสิปะตะเน มิคะทาเย ตัตระ โข ภะคะวา ปัญจะวัคคิเย ภิกขู อามันเตสิ ฯ

"นี้คือบทสวดแบบย่อสินะดีที่ท่านไตซือให้แค่ท่องแบบย่อก่อนไม่อย่างงั้นพวกเราแย่แน่เลยแบบนี้"

"ดีแล้วล่ะงั้นถ้าเสร็จจากตรงนี้เราไปเดินขบวนเวียนเทียนกันเถอะนะทุกๆคน"

"ได้เลยงั้นพวกเราไปกัน"

พร้อมกับที่คณะของจีเทียนเต๋านั้นไปเดินขบวนเวียนเทียนกันต่อไปจนจบพิธีนั้นเอง

ถวายชาต้าหงผาให้ไตซือ

ใช้ลักษณะนิสัยถ่อมตน
+10ความสัมพันธ์ขุนนางในสภา

ผู้รู้คุณ
+10ความสัมพันธ์ขุนนางในสภา

หูดี
+15ความสัมพันธ์คนที่คุยด้วย

ติ่งหูยาว
+10 ความสัมพันธ์ขุนนางในสภา

หลังตรง
+20ความสัมพันธ์ขุนนางในสภา
@Webmaster


←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ชุดไท่หมินลู่
เบ็ดตกปลา
คัมภีร์ไท่หมินลู่
ไก่ฟ้าทองแดง
หวีเซียวเฉิน
กลยุทธ์เล่ออี้
ม้าขาว
หน้ากากขาว
ผ้าคลุมไท่หลง
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x108
x8
x800
x800
x800
x70
x470
x100
x100
x4
x3
x3
x1
x7
x25
x860
x10
x790
x490
x200
x1
x100
x100
x100
x10
x1
x2
x1
x3
x4
x10
x920
x291
x494
x5
x388
x5
x6
x77
x100
x30
x900
x68
x1
x82
x98
x1
x96
x98
x1
x6
x2
x1000
x2
x3
x3
x3
x7
x8
x3
x100
x4
x100
x26
x24
x24
x26
x14
x600
x96
x100
x60
x100
x100
x440
x25
x2
x376
x11
x492
x9
x4
x99
x80
x79
x28
x2
x379
x75
x196
x571
x167
x100
x100
x50
x100
x100
x250
x50
x86
x13
x13
x7
x74
x6
x19
x5
x1150
x324
x17
x11
x10
x10
x490
x10
x2
x42
x62
x38
x1
x108
x35
x96
x99
x85
x505
x1
x598
x3
x3
x1
x8
x24
x404
x4
x102
x6
x24
x491
x288
x39
x90
x154
x8
x1
x10
x75
x10
x93
x500
x250
x150
x250
x550
x250
x3
x500
x242
x36
x18
x465
x1015
x164
x804
x804
x804
x804
x493
x314
x13
x36
x7
x498
x1
x10
x1
x2561
x628
x320
x260
x100
x15
x1
x6
x6
x150
x9999
x2
x7
x18
x5
x2
โพสต์ 2021-10-3 23:49:09 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย GeLi เมื่อ 2021-10-4 00:01

วันบูชาข้าวพระ



ตอนที่ 1 ทำบุญตักบาตร


เช้ามืดของวันนี้ เก้อหลี่ได้เดินทางมาถึงนครลั่วหยาง ด้วยเหตุผลที่ว่า เขาอยากจะแวะมาหาอะไรที่แปลกใหม่ที่เมืองหลวงแห่งนี้เสียก่อนจะเดินทางต่อ ดวงตาสีน้ำตาลของเขามองดูความยิ่งใหญ่อลังการอย่างสนอกสนใจแม้ว่าจะเป็นเวลาเช้ามืด แต่ก็มีผู้คนเดินคราคร่ำเป็นจำนวนมาก ชายหนุ่มร่างสูงโปร่งเดินไปเรื่อย ๆ ก็ชาวเมืองจำนวนมากกำลังยืนเข้าแถวอยู่เบื้องหน้าสถานที่แห่งหนึ่ง ซึ่งเท่าที่เขาจำได้ก็คงจะเป็นวัด ศาสนสถานของศาสนาพุทธ ซึ่งเขาเคยเห็นอยู่ที่หนึ่งตั้งอยู่ในเมืองที่เขาเกิด แต่นั่นก้็ไม่ได้ใหญ่โตและมีผู้คนมากมายเช่นนี้ ด้วยความสงสัยเขาจึงเดินตรงไปยังชาวเมืองกลุ่มนั้น เมื่อเขาเดินไปถึงก็เห็นบรรดาชาวเมืองที่ศรัทธาในศาสนาพุทธกำลังยืนรออย่างสงบเสงี่ยม เบื้องหน้าของพวกเขามีกล่องข้าวและเครือ่งดื่มพร้อมด้วยดอกไม้เครื่องหอมวางอยู่บนโต๊ะ


"พวกท่านกำลังทำสิ่งใดอยู่งั้นหรือ"


เสียงทุ้มนุ่มเอ่ยถามชายวัยกลางคนผู้หนึ่งซึ่งดูเหมือนว่าเขาจะมากับครอบครัวของเขาที่มีทั้งภรรยาและลูก ๆ ชายหญิงอีกสามสี่คนกำลังแกล้งแหย่กันจนคนเป็นแม่ต้องพยายามห้ามปรามให้อยู่ในความสงบ ชายวัยกลางคนผู้นั้นได้ยินคำถามก็หันไปส่งยิ้มให้ชายหนุ่มอย่างเป็นมิตรก่อนจะตอบเขาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน


"พวกข้ารอทำบุญตักบาตรน่ะพ่อหนุ่ม วันนี้เป็นวันบูชาข้าวพระน่ะ จะมีการทำบุญมากมายเลยล่ะ เจ้าคงพึ่งเดินทางมาถึงสินะ มาทำบุญตักบาตรร่วมกับพวกเรามั้ยล่ะ หากเจ้าไม่ได้เร่งร้อนไปทำธุระที่ใด"


ชายหนุ่มได้ยินคำตอบและคำเชื้อเชิญของอีกฝ่ายก็หยุดครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง พลางมองดูสิ่งของที่พวกเขาตระเตรียมมา ก็พยักหน้ารับเบา ๆ


"ย่อมได้ ว่าแต่ต้องเตรียมสิ่งใดบ้างหรือท่าน"


ชายวัยกลางคนได้ยินเช่นนั้นก็หัวเราะเบา ๆ ด้วยความเอ็นดูชายหนุ่ม แล้วส่ายหน้าเล็กน้อย


"มิต้องเตรียมสิ่งใดเลยพ่อหนุ่ม นอกจากทำจิตใจให้สงบ ส่วนการทำทานนั้นก็เอาที่เจ้าสะดวก การทำบุญนั้นจะต้องไม่ทำให้ทั้งเราและเขาเดือดร้อน มิฉะนั้นจะไม่ได้บุญ สุดแล้วแต่เจ้าจะนำไปใส่บาตรเลยพ่อหนุ่ม"


เก้อหลี่ได้ยินเช่นนั้นก็พยักหน้ารับแทนการบอกว่าเขาพอจะเข้าใจในการอธิบายของชายวัยกลางคนผู้นั้น ขึ้นอยู่กับความสะดวกของเรางั้นหรือ ชายหนุ่มคิดในใจพลางมองดูสิ่งที่ครอบครัวนี้เตรียมมา ก็เห็นจะมีข้าวกล่องและดอกไม้เครื่องหอม นั่นก็พอจะทำให้เขานึกได้ว่าพอจะมีสิ่งของเหล่านี้ในกระเป๋าย่ามที่เขาพกติดตัวมาตลอดการเดินทาง ชายหนุ่มหันไปใช้มือล้วงควานหาของบางอย่างในกระเป๋าย่าม ปรากฎว่า เป็นข้าวกล่องใบหนึ่งซึ่งบรรจุอาหารแห้งไว้ภายในกล่อง มีข้าวสาร ไข่เค็ม ผักดอง และน้ำผึ้งอย่างละเก้าชุด lใช้กล่องข้าว (อาหารแห้ง) x 1l


"พอดีข้ามีข้าวกล่องเตรียมไว้อยู่น่ะ ทำทานสักหน่อยไม่ลำบากนักหรอก เดี๋ยวข้าค่อยหาซื้อกินในตลาดหลังทำทานเสร็จละกันนะ"


เสียงทุ้มนุ่มเอ่ยพลางหันไปมองยังชายวัยกลางคนเพื่อถามความเห็น ซึ่งเขาไม่พูดอะไรนอกจากยิ้มกว้างแล้วพยักหน้าสองสามทีแทนการแสดงความเห็น นั่นทำให้ชายหนุ่มยิ้มออกมาบ้าง


ไม่นานหลังจากที่ทั้งสองคนพูดคุยกันจบ พระสงฆ์จำนวนหนึ่งก็ได้เดินออกมาจากประตูวัดด้วยท่าทางสงบเสงี่ยมดูน่าชื่นชมศรัทธายิ่งนัก พระสงฆ์กลุ่มนั้นค่อย ๆ เดินไปยืนหยุดยังครอบครัวชาวเมืองเพื่อรับบิณฑบาตรจากพวกเขา ชายหนุ่มชะโงกหน้ามองดูด้วยความสนใจ ถึงแม้ว่าเขาจะเคยได้เรียนรู้มาบ้างเกี่ยวกับศาสนาพุทธแต่ก็ไม่ได้ศึกษาอย่างลึกซึ้งมากนัก ดังนั้นนี่จึงถือเป็นสิ่งใหม่ที่เขาได้พบเลยทีเดียว พระสงฆ์ค่อย ๆ รับบิณฑิตบาตรจากชาวบ้านทีละครอบครัวจนมาถึงครอบครัวของชายวัยกลางคนที่เก้อหลี่อยู่ร่วมด้วย


"ถอดรองเท้าเสียก่อนนะพ่อหนุ่ม แล้วกล่าวบทสวดตามที่ข้าพูดละกันนะ"


ชายหนุ่มได้ยินที่ชายวัยกลางคนเอ่ยก็ก้มลงมองดูเท้าของชายวัยกลางคนและครอบครัวของเขาซึ่งปรากฎว่า พวกเขาถอดรองเท้าไว้ข้าง ๆ และยืนเท้าเปล่ากันเสียเมื่อไหร่แล้วก็ไม่รู้ เก้อหลี่แม้จะสงสัยแต่ก็ยอมทำตามแต่โดยดี สัมผัสของเท้าเปล่ากับพื้นทางเดินที่โรยด้วยกรวดทำให้เขารู้สึกแข็งตึงและปวดที่อุ้งเท้าเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้หนักหนาอะไรมากนัก ครั้นเมื่อเห็นว่าพระสงฆ์เริ่มเดินมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าพวกเขา ชายวัยกลางคนและครอบครัวก็พากันพนมมือไหว้พระสงค์เหล่านั้น ซึ่งชายหนุ่มก็พนมมือตาม ก่อนจะสวมดมนต์ตามชายวัยกลางคน


"นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ . . . นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ . . . นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ . . ."


ชายวัยกลางคนสวดมนต์นำ บทสวดของเขาฟังดูแปลก ๆ คงจะไม่ใช่ภาษาที่พวกเขาใช้พูดกัน เท่าที่จำได้คงเป็นภาษาจากดินแดนไกลที่พระสงฆ์ผู้เดินทางมาเผยแพร่ศาสนาได้นำมาเผยแพร่พร้อมกับหลักคำสอนด้วยนั่นเอง แม้จะฟังดูแปลก ๆ หูและไม่ค่อยเข้าใจความหมายนัก แต่เขาก็พยายามสวดตามพลางมองดูพระสงฆ์ที่ยืนฟังบทสวดของพวกเขาอย่างสงบนิ่งไม่ไหวติงอะไร ทำให้เขารู้สึกสงบตามเช่นกัน เมื่อพวกเขาสวดมนต์เสร็จแล้ว ชายวัยกลางคนพร้อมครอบครัวก็ยกข้าวกล่องพร้อมดอกไม้เครื่องหอมขึ้นเหนือศรีษะแล้วกล่าวบทสวด ซึ่งชายหนุ่มก็ทำตามด้วยความสนใจ


"สุทินนัง วะตะเม ทานัง อาสะวักขะยาวะหัง โหตุ"


เมื่อกล่าวจบชายวัยกลางคนก็ค่อย ๆ นำข้าวกล่องยื่นใส่ลงในบาตรพระ ขณะที่ภรรยาของเขาก็ได้ช่วยจับแขนของลูก ๆ ประคองให้พวกเขาถวายข้าวกล่องใส่บาตรด้วยเช่นกัน ชายหนุ่มยืนมองอยู่ครู่หนึ่งก็นึกได้ว่าตัวเองก็จะใส่บาตรด้วย จึงหันกลับไปมองพระสงฆ์ที่ยืนอยู่เบื้องหน้าแล้วยิ้มอ่อนเล็กน้อยแทนการกล่าวขออภัย แล้วค่อย ๆ ใช้มือใหญ่หยิบข้าวกล่องของตนใส่บาตร


"นัตถิเมสาระนังอัญยัง สังโฆเม สะระณังวะรัง เอเตนะสัจจะวัชเชนะ โสตถิเมโหตุสัพพะทา"


"อิทังเม ญาตินังโหตุ สุขิตาโหตุญาตะโย"


เมื่อชายวัยกลางคนกล่าวจบ พระสงฆ์ก็พูดบทสวดพร้อมกัน โดยที่ชายวัยกลางและครอบครัวก็พนมมือรับฟังอย่างสงบ ชายหนุ่มมองดูพลางพนมมือฟังด้วยเช่นกัน


"สัพพีติโย วิวัชชันตุ สัพพะโรโค วินัสสะตุ มา เต ภะวัตวันตะราโย สุขี ทีฆายุโก ภะวะอะภิวาทะนะสีลิสสะ นิจจัง วุฑฒาปะจายิโน จัตตาโร ธัมมา วัฑฒันติ อายุ วัณโณ สุขัง พะลัง"


"สาธุ"


ชายวัยกลางคนและครอบครัวกล่าวพร้อมกันพลางก้มหน้าให้หว่างคิ้วจรดนิ้วโป้ง ชายหนุ่มไหว้ตามครอบครัวนั้น เมื่อกล่าวจบ พระสงฆ์กลุ่มนั้นก็ได้เดินจากไป ชายหนุ่มมองดูพระสงฆ์ที่เดินจากไป ก่อนจะหันไปมองชายวัยกลางคนก็พบว่าเขากำลังช่วยภรรยาเก็บข้าวของและโต๊ะเพื่อจะกลับไปทำธุระที่บ้าน


"มีเพียงเท่านี้งั้นหรือท่าน"


"ทำบุญตักบาตรงั้นหรือ ใช่แล้วล่ะเสร็จสิ้นพิธีแล้ว แต่เดี๋ยวพวกข้าจะกลับไปที่บ้านเสียก่อน เตรียมข้าวของไปร่วมพิธีบูชาข้าวพระที่วัดน่ะ เจ้าจะไปร่วมพิธีก็ได้นะแต่อีกหนึ่งชั่วยามน่ะ ระหว่างนี้เจ้าก็ไปทำธุระของเจ้าเสียก่อนก็ได้ แล้วเราค่อยไปพบกันที่วัดก็ได้นะ"


เก้อหลี่ได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกสนใจ ดวงตาของเขาฉายแววประกายออกมา เขายิ้มพลางพยักหน้าเบา ๆ


"เช่นนั้นข้าจะไปรอพวกท่านที่วัดละกันนะ"


ว่าแล้วชายวัยกลางคนก็ได้พาครอบครัวเดินแยกไปจากชายหนุ่ม ชายหนุ่มยืนมองดูวัดที่อยู่เบื้องหน้าช่างน่าสนใจจริง ๆ หวังว่า จะมีสิ่งที่น่าสนใจไว้อย่างที่เขาคิดนะ




ตอนที่ 2 ฝึกนั่งสมาธิ


ช่วงเวลาสองยามหลังจากที่แยกจากครอบครัวของชายวัยกลางคน เก้อหลี่ก็ได้ตรงมายังวัดทันทีที่เขาทำธุระเสร็จซึ่งธุระของเขาก็ไม่ได้มีอะไรมากมายนักเพียงแค่เดินไปยังตลาดเพื่อเดินดูสินค้าต่าง ๆ และไปพูดคุยกับนักปราชญ์ในสำนักขงจื้อที่เผอิญพบเจอพร้อมด้วยนักปราชญ์อีกคนที่นับถือศาสนาพุทธ นั่นทำให้เขาได้รับความรู้เกี่ยวกับศาสนาพุทธเพิ่มเติม ซึ่งน่าจะทำให้เขาสามารถร่วมพิธีกับชายวัยกลางคนผู้นั้นได้สะดวกมากขึ้น ชายหนุ่มร่างสูงโปร่งได้เดินเข้าไปภายในวัดซึ่งพบว่า เริ่มมีชาวบ้านจำนวนหนึ่งได้พากันมายังวัดแล้ว บางส่วนก็พากันหยิบเอาไม้กวาดมากวาดทำความสะอาดลานวัด และที่เขาสนใจคือ กลุ่มคนที่สวมชุดเสื้อผ้าสีขาวผู้ซึ่งกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่นิ่ง ๆ กันใต้ร่มไม้ใหญ่อยู่ราว ๆ สิบกว่าคน มีทั้งชายและหญิง ทั้งหนุ่มสาวและแก่แล้ว เขาเดินไปดูด้วยความสนใจ เมื่อเดินไปถึงก็เห็นพวกเขากำลังนั่งหลับตาอย่างสงบนิ่ง นี่คงจะเป็นการนั่งสมาธิสงบจิตใจกระมัง ที่นักปราชญ์ผู้นั้นบอกไว้คร่าว ๆ ฟังดูมันก็คล้าย ๆ กับการตั้งจิตกรรมฐานของบรรดานักปราชญ์ลัทธิเต๋ากระมังที่ให้จิตใจสงบเพื่อที่มีสมาธิในการเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ได้ ว่าแล้วเขาก็เดินไปนั่งรวมกับกลุ่มชาวบ้านที่สวมใส่ชุดปกติที่นั่งสมาธิกันอยู่ด้านหลังกลุ่มคนที่นุ่งขาวห่มขาว


ชายหนุ่มนั่งลงมองดูชายที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ก่อนจะปรับท่านั่งตาม โดยนั่งให้ขาขวาทับขาซ้าย และวางมือขวาลงบนมือซ้าย แล้วค่อย ๆ หลับตาสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะผ่อนลมหายใจออกอย่างช้า ๆ


"อุกาสะ ณ โอกาสบัดนี้ ข้าขอสมาทานเอาซึ่งพระกรรมฐาน ขอขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธิ และวิปัสสนาญาณ จงบัดเกิดขึ้นในขันธสันดานของข้า ข้าจะตั้งสติกำหนดไว้ที่ลมหายใจเข้าออก ลมหายใจเข้ารู้ ลมหายใจออกรู้ สามหนและเจ็ดหน ร้อยหนและพันหน ด้วยความไม่ประมาท ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป . . ."


เก้อหลี่ตั้งจิตภาวนาไว้ในใจโดยมิได้เปล่งออกมาเป็นคำพูดใด ๆ ดังที่นักปราชญ์ผู้นั้นได้เอ่ยแนะนำเขาไว้ ว่าสิ่งที่เขากำลังกระทำอยู่นั้นเรียกว่า การทำวิปัสสนากัมมัฎฐาน ที่สอนให้คนนั้นเกิดปัญญาได้จากการตั้งสติไว้ที่การกำหนดลมหายใจเข้าออก ซึ่งสิ่งเหล่านี้นั้นทำให้จิตใจตื่นรู้เสมอ และช่วยให้สามารถเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ได้เร็วขึ้น เมื่อเรามีสมาธิที่จะจดจ่อกับการกระทำหรือการเรียนรู้ในสิ่งนั้นอย่างตั้งใจนั่นเอง


"ยุบหนอ . . . พองหนอ . . . ยุบหนอ . . . พองหนอ . . ."


ชายหนุ่มพูดพลางกำหนดลมหายใจเข้าออกช้า ๆ อย่างสงบ อยู่พักใหญ่ ๆ ทันใดนั้นเอง . . . 


เต๊ง . . . เต๊ง . . . เต๊ง . . .


เสียงระฆังถูกตีสามทีเกิดเสียงดังก้องไปทั่วบริเวณ เมื่อสิ้นเสียงระฆังจู่ ๆ ก็มีมือมาสะกิดเบา ๆ ที่ไหล่กว้าง ทำให้ชายหนุ่มต้องลืมตาหันไปดูบุคคลผู้นั้น ซึ่งเป็นชายที่นั่งสมาธิอยู่ข้าง ๆ เขานั่นเอง


"ถึงเวลาไปทำพิธีบูชาข้าวพระแล้วล่ะท่าน"


ชายคนนั้นเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม เก้อหลี่ได้ยินเช่นนั้นก็นึกขึ้นได้จึงพยักหน้ารับ แล้วค่อย ๆ ลุกขึ้นยืน เขาเดินออกมาจากบริเวณนั้นก็พบกับชายวัยกลางคนที่เขาได้ทำบุญตักบาตรเมื่อตอนเช้าตรู่นั่นเอง แน่นอนว่าเขามาพร้อมกับครอบครัว ชายวัยกลางคนผู้นั้นโบกมือเรียกเขา นั่นทำให้ชายหนุ่มเดินเข้าไปหาโดยทันที


"มานานแล้วหรือพ่อหนุ่ม"


ชายวัยกลางคนเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม เก้อหลี่ทำมือโค้งคำนับชายผู้นั้นและภรรยา แล้วยิ้ม


"มาได้สักพักแล้วน่ะท่าน พอดีระหว่างที่่รอพวกท่านมา ข้าก็ลองไปนั่งสมาธิดู มันทำให้จิตใจสงบจริง ๆ นะ"


"ฮ่า เช่นนั้นเองหรือ ดีแล้วล่ะนะ เอาล่ะเราขึ้นไปยังศาลาเถิด พิธีจะเริ่มแล้วเดี๋ยวจะไม่ทันเอา . . ."


ว่าแล้วชายวัยกลางคนก็หิ้วข้าวของที่ภรรยาของเขาได้เตรียมไว้ถวายพระนำครอบครัวของตนไปยังศาลาที่ตั้งอยู่กลางวัด ซึ่งขณะนี้ก็มีชาวบ้านจำนวนมากกำลังเดินขึ้นไป ชายหนุ่มมองดูอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเดินตามไป



ตอนที่ 3 ปฏิบัติธรรม บูชาข้าวพระ ถวายภัตตาหารสังฆทาน


หลังจากที่พบกับครอบครัวของชายวัยกลางคนอีกครั้ง เก้อหลี่ก็ได้ตามพวกเขามายังศาลาของวัด ซึ่งในเวลานี้คราคร่ำไปด้วยชาวเมืองจำนวนมากซึ่งส่วนใหญ่ก็มากันเป็นครอบครัว ชายวัยกลางคนพาครอบครัวไปนั่ง โดยที่เก้อหลี่ก็ได้ตามไปนั่งลงข้าง ๆ


"เจ้าได้เตรียมสิ่งของเพื่อทานถวายเป็นสังฆทานรึเปล่า"


ชายวัยกลางคนหันไปเอ่ยถามเก้อหลี่


"สังฆทาน อ้อ !"


ว่าแล้วชายหนุ่มก็หันไปเอามือล้วงควานหาสิ่งของบางอย่างจากกระเป๋าย่ามของตน เพียงชั่วครู่เขาก็นำสิ่งของออกมาเป็นข้าวกล่องอีกชุดหนึ่ง ซึ่งชุดนี้ดูจะมีอาหารและเครื่องดื่มเยอะกว่าเมื่อเช้า เนื่องด้วยเขาได้ทราบเกี่ยวกับพิธีบูชาข้าวจากนักปราชญ์ว่า จะมีการถวายสังฆทานด้วย จึงได้เตรียมข้าวกล่องเพิ่มอีกชุดนึงเพื่อจะถวายเป็นสังฆทาน คราวนี้เป็ดอาหารเจ อันประกอบไปด้วย ข้าวสวย ผัดผักเก๋าฮะไฉ่ น้ำแกงเม็ดบัวเห็ดหูหนูขาว ฟักเชื่อมแผ่น ข้าวพอง และชาโม่ลี่ฮวาฮาอย่างละ 1 ชุด


"หลังจากที่แยกไปจากพวกท่านเมื่อตอนเช้ามืดข้าก็ได้ไปพบกับนักปราชญ์ที่นับถือพุทธเช่นเดียวกับท่านน่ะ เขาบอกเล่าถึงพิธีกรรมต่าง ๆ ให้ฟัง ข้าจึงได้แวะไปตลาดเพื่อจัดเตรียมข้าวกล่องชุดใหม่ขึ้นมาน่ะท่าน"


เก้อหลี่เอ่ยปากพูดพร้อมรอยยิ้ม พลางยื่นกล่องข้าวชุดนั้นให้ชายวัยกลางคนดู ทั้งชายวัยกลางคนและภรรยาต่างหันไปมองหน้ากันแล้วยิ้ม ก่อนจะหันไปพยักหน้าให้กับชายหนุ่มด้วยความเอ็นดู


ไม่นานนักบรรดาพระสงฆ์ก็ได้เดินแถวขึ้นมายังศาลาอย่างสงบเสงี่ยม ชายวัยกลางคนสะกิดไหล่กว้างให้ชายหนุ่มพนมมือตามเขา ซึ่งชายหนุ่มก็พนมมือตามแต่โดยดีพลางมองดูท่าทางอันสงบของพระสงฆ์เหล่านั้น เมื่อพระสงฆ์ทั้งหลายได้ขึ้นไปนั่งอาสนะที่จัดเตรียมไว้ให้อยู่สูงกว่าชาวเมืองที่มาร่วมพิธีเล็กน้อย ก็พากันกราบไหว้พระพุทธรูปพร้อมเพรียงกัน ครั้นเมื่อเรียบร้อยแล้ว ภายในศาลาก็อยู่ในความเงียบที่ไม่ใช่ความเงียบที่ดูวังเวงนัก 


"เอาล่ะ ๆ ในเมื่อพระสงฆ์ได้มาถึงแล้ว ให้ทุกคนพนมมือแล้วไหว้พระสวดมนต์พร้อมกับข้านะ"


ชายชราผู้หนึ่งที่สวมเสื้อผ้าสีขาวได้เอ่ยปากบอกด้วยน้ำเสียงแแหบแห้ง บรรดาชาวบ้านก็พากันพนมมือแล้วสวดมนต์ตามชายชราผู้นั้น เก้อหลี่ก็พนมมือและพยายามเอ่ยปากสวดมนต์ตามเช่นเดียวกัน ถึงแม้ว่าจะตะกุกตะกักบ้างก็ตามที


"อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ ภะคะวา พุทธัง ภะคะวันตัง อภิวาเทมิ . . ."


เมื่อสวดจบทุกคนก็พากันก้มลงกราบ แล้วสวดมนต์ต่อ


"สวากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม ธัมมังนะมัสสามิ . . ."


เมื่อสวดจบทุกคนก็พากันก้มลงกราบ แล้วสวดมนต์ต่อ


"สุปะฏิปปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ สังฆัง นะมามิ . . ."


เมื่อสวดจบทุกคนก็พากันก้มลงกราบ แล้วสวดมนต์ต่อ


"นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ . . . นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ . . . นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ . . ."


"มะยัง ภันเต วิสุง วิสุง รักขะนัตถายะ ติสะระเณนะสะหะ ปัญจะ สีลานิยาจามะ"


"ทุติยัมปิ มะยัง ภันเต วิสุง วิสุง รักขะนัตถายะ ติสะระเณนะสะหะ ปัญจะ สีลานิยาจามะ"


"ตะติยัมปิ มะยัง ภันเต วิสุง วิสุง รักขะนัตถายะ ติสะระเณนะสะหะ ปัญจะ สีลานิยาจามะ"


เมื่อสวดมนต์จบแล้ว พระสงฆ์ผู้หนึ่งซึ่งดูจะอาวุโสที่สุดได้เอ่ยปากสวดมนต์บทต่อไปด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่ม


"นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ . . . นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ . . . นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ . . ."


"นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ . . . นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ . . . นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ . . ."


"พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ"


"พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ"


"ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ"


"ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ"


"สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ"


"สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ"


"ทุติยัมปิ พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ"


"ทุติยัมปิ พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ"


"ทุติยัมปิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ"


"ทุติยัมปิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ"


"ทุติยัมปิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ"


"ทุติยัมปิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ"


"ตติยัมปิ พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ"


"ตติยัมปิ พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ"


"ตติยัมปิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ"


"ตติยัมปิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ"

 

"ตติยัมปิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ"

 

"ตติยัมปิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ"

 

"ติสะระณะคะมะนัง นิฏฐิตัง"

 

"อามะ ภันเต"

 

"ปาณาติปาตา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ"

 

"ปาณาติปาตา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ"

 

"อะทินนาทานา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ"

 

"อะทินนาทานา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ"

 

"กาเมสุ มิจฉาจารา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ"

 

"กาเมสุ มิจฉาจารา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ"

 

"มุสาวาทา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ"

 

"มุสาวาทา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ"

 

"สุราเมระยะมัชชะปะมาทัฏฐานา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ"

 

"สุราเมระยะมัชชะปะมาทัฏฐานา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ"

 

"อิมานิ ปัญจะสิกขาปะทานิ สีเลนะ สุคะติง ยันติ"

 

"สาธุ"

 

"สีเลนะ โภคะสัมปะทา"

 

"สาธุ"

 

"สีเลนะ นิพพุติง ยันติ ตัสมา สีลัง วิโสธะเย"

 

"สาธุ"

 

ชาวบ้านทุกคนพากันกราบพร้อมกันเมื่อสวดจบเป็นอันจบบทสวดพระรัตนตรัย อารธนาศีล จากนั้นชายชราผู้นั้นก็กล่าวบทสวดอาราธนาพระปริตร

 

"วิปัตติปะฏิพาหายะสัพพะปัตติสิทธิยา สัพพะทุกขะวินาสายะ ปะริตตัง พรูถะ มังคะลัง วิปัตติปะฏิพาหายะสัพพะปัตติสิทธิยา สัพพะภะยะวินาสายะ ปะริตตัง พรูถะ มังคะลัง วิปัตติปะฏิพาหายะสัพพะปัตติสิทธิยา สัพพะโรคะวินาสายะ ปะริตตัง พรูถะ มังคะลัง"

 

พระสงฆ์ผู้อาวุโสจุดเทียนน้ำมนต์แล้วพระสงฆ์ก็เริ่มสวดมงคลสูตร

 

"นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ . . . นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ . . . นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ . . ."

 

"อะเสวะนา จะ พาลานัง ปัณฑิตานัญจะ เสวะนา ปูชา จะ ปูชะนียานัง เอตัมมังคะละมุตตะมัง . . . รูปะเทสะวาโส จะ ปุพเพ จะ กะตะปุญญะตา อัตตะสัมมาปะณิธิ จะ เอตัมมังคะละมุตตะมัง . . . พาหุสัจจัญจะ สิปปัญจะ วินะโย จะ สุสิกขิโต สุภาสิตา จะ ยา วาจา เอตัมมังคะละมุตตะมัง . . . มาตาปิตุอุปัฏฐานัง ปุตตะทารัสสะ สังคะโห อะนากุลา จะ กัมมันตา เอตัมมังคะละมุตตะมัง . . . ทานัญจะ ธัมมะจะริยา จะ ญาตะกานัญจะ สังคะโห อะนะวัชชานิ กัมมานิ เอตัมมังคะละมุตตะมัง . . . อาระตี วิระตี ปาปา มัชชะปานา จะ สัญญะโม อัปปะมาโท จะ ธัมเมสุ เอตัมมังคะละมุตตะมัง . . . คาระโว จะ นิวาโต จะ สันตุฏฐี จะ กะตัญญุตา กาเลนะ ธัมมัสสะวะนัง เอตัมมังคะละมุตตะมัง . . . ขันตี จะ โสวะจัสสะตา สะมะณานัญจะ ทัสสะนัง กาเลนะ ธัมมะสากัจฉา เอตัมมังคะละมุตตะมัง . . . ตะโป จะ พ๎รัห๎มะจะริยัญจะ อะริยะสัจจานะ ทัสสะนัง นิพพานะสัจฉิกิริยา จะ เอตัมมังคะละมุตตะมัง . . . ผุฏฐัสสะ โลกะธัมเมหิ จิตตัง ยัสสะ นะ กัมปะติ อะโสกัง วิระชัง เขมัง เอตัมมังคะละมุตตะมัง . . . เอตาทิสานิ กัต๎วานะ สัพพัตถะมะปะราชิตา สัพพัตถะ โสตถิง คัจฉันติ ตันเตสัง มังคะละมุตตะมันติ . . ."

 

“เอาล่ะต่อไปจะเป็นการสวดบูชาข้าวพระนะ ให้ทุกคนพนมมือแล้วกล่าวตามข้า”

 

ชายชราเอ่ยก่อนจะพนมมือ ซึ่งชาวเมืองทุกคนรวมถึงเก้อหลี่ก็พนมมือตามด้วยเช่นกัน

 

"อิมัง สูปะพยัญชะนะสัมปันนัง สาลีนัง โภชะนัง อุทะกัง วะรัง พุทธัสสะ ปูเชมิ"

 

เมื่อชายชราพูดจบทุกคนก็พูดตามพร้อมกันโดยทันที เมื่อเสร็จแล้วชายชราก็กล่าวบทสวดต่อไป

 

"ต่อไปจะเป็นการถวายภัตตาหารและเครื่องธรรม กล่าวพร้อมกันนะ . . . นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ . . . นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ . . . นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ . . . อิมานิมะยัง ภันเต ภัตตานิ สะปะริวารานิ ภิกขุสังฆัสสะ โอโณชะยามะ สาธุโน ภัณเต ภิกขุ สังโฆ อิมานิ ภัตตานิ สะปะริวารานิ ปะฏิค คัณหาตุ อัมหากัง ทีฆะรัตตัง หิตายะ สุขายะ"

 

เมื่อสวดมนต์เสร็จแล้ว ชายวัยกลางคนก็สะกิดบอกเก้อหลี่ให้นำสิ่งของที่เตรียมมาถวายภัตตาหารแก่พระสงฆ์ ซึ่งเก้อหลี่ก็พยักหน้าก่อนจะคลานเข่าไปประเคนกล่องข้าวเกือบเจ ให้กับพระสงฆ์รูปหนึ่ง ซึ่งท่านก็รับกล่องข้าวชุดนั้นด้วยความเมตตา เมื่อชาวเมืองพากันประเคนถวายภัตตาหารและเครื่องธรรมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว พระสงฆ์ก็ได้ทำการสวดมนต์กล่าวลาข้าวพระพุทธ

 

"เสสัง มังคะลัง ยาจามิ . . ."


เป็นอันจบพิธีการบูชาข้าวพระ ชายวัยกลางคนและครอบครัวชวนให้เก้อหลี่ทานอาหารร่วมกันระหว่างที่รอพระสงฆ์ฉันข้าว


“เดี๋ยวช่วงบ่าย ท่านซือเหวินจิ้งจะมาเทศนาธรรม หากเจ้ามีเวลาก็มานั่งฟังได้นะ ว่าแต่มาทำบุญด้วยกันแต่เช้าแล้วยังมิรู้จักนามรู้จักแซ่เจ้าเลย บอกหน่อยสิ”


ชายหนุ่มนึกขึ้นได้ก็หัวเราะออกมาเล็กน้อยแล้วพยักหน้าเบา ๆ อย่างเป็นมิตร


“ข้าชื่อเก้อหลี่ เป็นชาวเมืองอู๋เว่ย พอดีข้าไปร่ำเรียนที่สำนักปราชญ์ขงจื้อกำลังจะเดินทางกลับเมืองเกิด ก็ได้แวะมายังนครลั่วหยางแห่งนี้ ก็มาเจอพวกท่านนี่ล่ะ”


ชายวัยกลางคนได้ยินเช่นนั้นก็พยักหน้าเบา ๆ พร้อมยิ้มกว้างอย่างเอ็นดูชายหนุ่มราวกับเป็นน้องชายของตน พวกเขานั่งทานอาหารกันจนพระสงฆ์ฉันเพลจนแล้วเสร็จก็ได้กราบลาพระเป็นอันจบพิธีในตอนเช้า . . .




ลักษณะนิสัยรักสงบ

-10 ลดความเครียด

-15 ความเครียดเมื่อโรลนั่งสมาธิ


ลักษณะนิสัยหลังตรง

+15 EXP จากการโรลสร้างความน่าเคารพศรัทธาต่อผู้พบเห็น


←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ตะกร้าสาน
เกราะเกล็ดมังกร
ม้าเหลียง
กลยุทธ์เล่ออี้
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x2
x2
x10
x9
x30
x1
x1
x5
x30
x12
x4
x4
x4
x1
x1
x2
x10
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง เข้าสู่ระบบ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

อย่าลืมเข้าสู่ระบบนะจ๊ะ เข้าสู่ระบบตอนนี้ หรือ ลงทะเบียนตอนนี้

เว็บไซต์นี้ มีการใช้คุกกี้ 🍪 เพื่อการบริหารเว็บไซต์ และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานของท่าน (เรียนรู้เพิ่มเติม)

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้