[นอกเมืองเจียซิ่ว] ทุ่งหญ้าแห่งสายลม - ผูกงอิง

[คัดลอกลิงก์]
ไม่ระบุชื่อ  โพสต์ 2021-9-19 09:12:28 |โหมดอ่าน

ทุ่งหญ้าแห่งสายลม - ผูกงอิง
{ นอกเมืองเจียซิ่ว }








【ทุ่งหญ้าแห่งสายลม - ผูกงอิง】

ที่ราบขนาดใหญ่ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของเมืองเจียซิ่ว
พื้นดินถูกปกคลุมไปด้วยต้นหญ้าอุดมสมบูรณ์
เป็นที่อยู่อาศัยของม้าป่าและสัตว์ต่าง ๆ
บางครั้งชาวบ้านที่เลี้ยงม้าหรือวัวก็จะนำสัตว์ขอตน
มาปล่อยให้กินหญ้าในละแวกนี้

ท่ามกลางพงหญ้าถูกครอบคลุมไปด้วยดอกผูกงอิงขึ้นแซมไปทั่วทุกหัวระแหง
เมื่อถูกลมพัดดอกผูกงอิง (แดนดิไลออน) จะปลิวตามลมไปอย่างสวยงาม
แต่ในความสวยงามนั้นก็สร้างความรำคาญแก่ชาวบ้านระแวกใกล้เคียงไม่น้อย
เมื่อเกษรของผูกงอิงปลิวมาติดตามเสื้อผ้าที่เพิ่งซักตากใหม่ ๆ









โพสต์ 2021-9-19 09:57:55 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Fenyue เมื่อ 2021-11-9 00:21


⌜ 27 ⌟

บทที่ 6
สิ่งที่ต้องทำต่อ
ฉากที่ 4
(3) ทำปลาราดพริกฝากให้พี่ชายทั้งสอง (ประจำวัน)



            อาชาขาวมุ่งหน้าลงใต้ด้วยความเร็วปกติแต่อาจมากกว่าเดิมเพราะไร้สัมภาระจำนวนมากถ่วงบนหลัง เฟินเยว่เก็บเอาเครื่องครัวไว้ที่ห้องพักในโรงเตี๊ยม สิ่งที่พกพาติดตัวมีแต่สิ่งของที่จำเป็น อาทิ ถุงเงินที่ติดข้างเอวอยู่ตลอดเวลาอยู่แล้ว อาวุธของพี่ชายที่พกพาเอาไว้ให้ขู่ศัตรูหวั่นเกรง เครื่องปรุงนานาชนิดที่เอาไว้ปรุงปลาราดพริกเมื่อเดินทางไปถึงที่ และที่ขาดไม่ได้เลยก็คือเปาเปา
            
            หมูป่าคู่หูตอนนี้สะอาดสะอ้านเนื้อตัวหอมฟุ้งเป็นกลิ่นของดอกเหมยจากน้ำอาบอบพฤกษาที่โรงเตี๊ยมจัดเตรียมไว้ให้แขกผู้มาใช้บริการ มันกลิ่นหอมเหมือนกับสาวน้อยผู้เป็นเจ้าของ เพราะนางและมันอาบน้ำด้วยกันเป็นประจำอยู่แล้ว จะมีก็แต่เพียงอาชาสีขาวที่ตามขนยังคงเปื้อนคราบโคลนของเมื่อวานแห้งกรังเป็นด่างดวง เห็นทีว่าวันไหนที่ว่าง ๆ จะต้องจับมันมาขัดสีฉวีวรรณสักหน่อย
            
            เมื่อออกมาถึงนอกเมืองก็เข้าสู่ทุ่งหญ้าที่เด็กสาวเล็งเอาไว้ตั้งแต่ตอนขามาว่าจะให้ไป๋ไป๋ได้ออกวิ่งเล่น ไหน ๆ ยังอาบน้ำให้ไม่ได้ ก็อยากจะเอาใจม้าหนุ่มด้วยการให้มันได้ลงไปย่ำเหยียบบนพื้นหญ้าเขียวชะอุ่มแทนสักหน่อยคงไม่เป็นไร จากความยาวของเส้นทางที่ตรงไปเบื้องหน้าคะแนนด้วยสายตาเท่าที่เห็น คาดว่าระยะทางน่าจะร่วม ๆ สิบลี้เห็นจะได้ หากได้วิ่งกลางทุ่งเป็นสิบลี้อาชาผู้รักความเร็วคงได้สูดอาการสดชื่นจนชุ่มปอด
            
            “ไป๋ไป๋ อยากวิ่งเล่นไหม?”

            เด็กสาวก้มลงไปกระซิบข้างหูม้า เห็นว่าหูมันตั้งชันขึ้นแล้วเพยิดหน้าคล้ายกับตอบตกลง นางคุมม้าลงไปยังทุ่งหญ้าข้างทางแล้วเตะสีข้างเร่งความเร็วเอาให้เต็มกำลังที่มันต้องการ
            
            “วิ่งไปเลยไป๋ไป๋!”
            
            กีบม้าที่บดลงไปบนพื้นหญ้าทำให้ได้กลิ่นหอมตามธรรมชาติฟุ้งขึ้นมาติดจมูก อาชาวิ่งตะลุยไปด้านหน้าด้วยใจคะนอง ผ่านทุ่งดอกดอกผูกงอิง (แดนดิไลออน) สีขาวบริสุทธิ์ สายลมจากแรงม้าพัดพาให้เกศรสีขาวลอยฟุ้งขึ้นในอากาศ ปุยสีขาวราวกับหิมะทว่าไม่ได้ตกลงแต่กลับลอยขึ้นไปเป็นทางยาว เป็นภาพงามตาที่เด็กสาวไม่เคยพบเห็นที่บ้านเกิด
            
            “ว้าว สวยจัง”
            
            มือเล็กเอื้อมคว้าหยิบเกศรดอกผูกงอิงที่ลอยมาเบื้องหน้า เมื่อแบมือออกมาปุยขาวนั้นก็ปลิวหายไปกับสายลมในทันที เปาเปาที่ไม่รู้ว่าสิ่งนี้คืออะไรมันชะโงกหน้าออกมาจากตะกร้าสะพายหลังอ้าปากงับชิมรสแต่ก็ต้องถุยออกมา
            
            สายลมพัดโหมแรงขึ้นยิ่งทำให้ดอกผูกงอิงกระจายตัว ตอนนี้มันติดเต็มตัวเด็กสาวจนเหมือนกับว่านางใส่เสื้อขนสัตว์ เฟินเยว่คิดว่ามันงามมากเกินกว่าที่จะปัดออกในตอนนี้พาให้อารมณ์สุนทรีย์หดหายจึงปล่อยเลยตามเลยไปก่อน คิดไปเองว่าเมื่อออกจากทุ่งหญ้านี้และวิ่งม้าด้วยความเร็วเท่าเดิม สายลมที่อ่อนโยนอาจจะช่วยพัดพาเอาเกศรขาวให้หลุดจากตัวไปหมดแล้วก็ได้
            
            ขณะที่ออกวิ่งก็มีม้าสีน้ำตาลเข้มตัวหนึ่งวิ่งมาขนาบข้าง คงเป็นม้าป่ากระมัง เฟินเยว่เองก็ดูพันธุ์ม้าไม่ออกเสียด้วย มันดูจะสนใจพวกนางอยู่มากก่อนที่จะวิ่งนำไปด้านหน้าด้วยกำลังที่เหนือกว่า ด้านไป๋ไป๋เห็นแล้วก็คิดว่าม้าน้ำตาลหยามมันจึงเร่งความเร็วขึ้นอีกขั้นหวังจะแซง ม้าทั้งสองผลัดกันนำผลัดกันตามอยู่ครู่หนึ่ง เฟินเยว่เห็นแล้วก็ยิ้มดีใจเหมือนว่าไป๋ไป๋จะได้เพื่อนเสียแล้วสิ
            
            ทว่าภาพเบื้องหน้าควรจะเป็นทุ่งดอกไม้และฝูงสัตว์น้อยใหญ่ที่ออกมาหากินนางกลับพบว่ามีกลุ่มคนระบุจำนวนไม่ได้กำลังดึงชายเลี้ยงวัวคนหนึ่งลงไปข้างทาง ยกขาถีบเขาจนล้มลงแล้วเงื้อดาบขึ้นหมายจะฟาดฟันดับชีวา ภาพทั้งหมดเกิดขึ้นเร็วมาก และใช่.. มันเกิดขึ้นตรงหน้านางนี้เอง และด้วยความเร็วของม้าที่ควบแข่งกันมาทำให้เด็กสาวไม่อาจชักม้าให้หยุดได้ทัน
            
            ‘ไม่นะ จะชนแล้ว!’
            
            โครม!!!

            “ฮรี้!!!”
            
           เฟินเยว่หลับตาปี๋ สองมือกำบังเหียนม้าไว้แน่น นางไม่รับรู้อะไรมากไปกว่าเสียงไป๋ไป๋ที่ร้องดังอย่างตื่นตัว รู้สึกว่าม้าที่นั่งอยู่กระโดดลอยตัวขึ้นกลางอากาศ และมีแรงกระแทกที่ด้านหน้า จนทำให้การลงพื้นสั่นคลอน
            
            “เฮ้ย!! อะไรวะ!!!”
            
            เสียงแตกตื่นนั้นมาจากกลุ่มคนชุดเหลือง เฟินเยว่ค่อย ๆ เปิดตามอง ตอนนี้เห็นได้ชัดว่ามีโจรผ้าเหลืองประมาณหกถึงเจ็ดคนถือดาบล้อมนางอยู่ ด้านคนเลี้ยงม้าเป็นชายวัยกลางคนค่อนไปทางสูงอายุ เขายังคงนั่งอยู่ที่พื้นแววตาเบิกค้างอ้าปากกว้าง สีหน้าปะปนไปด้วยอารมณ์ทั้งหวาดกลัวที่ถูกปล้น ทั้งตกใจที่อยู่ ๆ คนที่เงื้อดาบจะฟันเขาปลิวละล่องไปไกลเหมือนเกศรดอกผูกงอิง แล้วก็มีเด็กสาวบนหลังม้าปรากฏกายขึ้นมาแทนที่ตรงนั้น แต่เฟินเยว่ไม่เห็นเลยว่าโจรที่ถูกม้าชนกระเด็นไปไหนแล้ว คงถูกพงหญ้าสูงบดบังร่างอยู่ไม่รู้ว่าเป็นหรือตาย
            
            “เด็กผู้หญิงมาจากไหน!?”
            
            “แล้วพี่สามไปไหนแล้ว!?”
            
            “แกใช่ไหมที่เป็นคนทำร้ายพี่สาม!!”
            
            “ไม่นะพี่สามมมมมมม!!!”
            
            “นังตัวดี!! แกจะต้องชดใช้อย่างสาสม!!”
            
            “มาเป็นเมียของพวกเราทั้งเจ็ดคนซะ!!”
            
            โจรโพกผ้าเหลืองตะโกนโหวกเหวกโวยวายเปลี่ยนเป้าหมายจากคนเลี้ยงวัว ถือดาบเข้ามาจะทำร้ายด้วยความโกรธแค้นแทน เฟินเยว่ทำอะไรไม่ถูก หน้าถอดสี มือที่จับบังเหียนม้าอยู่ทั้งสั่นทั้งอ่อนแรง ไม่มีแม้แต่กำลังที่จะควบม้าหนี
            
            “ลงมานี่เลยนะ!!”
            
            โจรคนหนึ่งคว้าแขนนางเอาไว้แล้วออกแรงบีบกระชากนางให้ลงมาจากม้า เฟินเยว่เกือบจะพลัดตกลงมาแต่ปลายเท้าของนางเกี่ยวโกลนเอาไว้เลยทำให้ไม่ร่วงหล่น
            
            “โอ๊ย!!”

            “ฮรี้!!!”
            
            ไป๋ไป๋สะบัดตัวไปด้านข้างแล้วยกขาหน้าขึ้นถีบกลางอกโจรผ้าเหลืองจนล้มหงายไปอีกคน ก่อนจะลงเท้ากระทืบกลางอกโจรโพกผ้าที่กล้ามาลองดีเสียจนกระอักเลือด
            
            “น้องห้า!! แกนะแก! ตอนแรกว่าจะเอามาเป็นเมีย แต่เปลี่ยนใจแล้ว ฆ่ามัน!! ฆ่าทั้งคนทั้งม้าเลย!!”
            
            สิ้นเสียงสั่งจากโจรที่ดูอาวุโสในกลุ่ม โจรโพกผ้าอีกห้าคนก็เฮโลถือดาบกันเข้ามา โดยระวังระยะของม้าเอาไว้ด้วย พวกมันเห็นช่องโหว่ก็เงื้อดาบขึ้นมาฟัน แต่ไป๋ไป๋ก็เอี้ยวตัวหลบทันราวกับว่ามันเป็นม้าศึกไม่ใช่ม้าบ้าน แต่กระน้้นการจะออกวิ่งไปด้านหน้าจำต้องใช้ระยะห่างที่มากกว่านี้ แม้ไป๋ไป๋จะถูกล้อมแต่ว่ามันไม่ยอมแพ้ ดีดขาหน้าทีขาหลังทีเป็นการข่มขู่ ถึงจะพอรับมือได้แต่หากว่านานไปกว่านี้ไม่ดีแน่
            
            เฟินเยว่กลัวจนแทบจะร้องไห้ แต่ในเวลาแบบนี้น้ำตาของนางกลับไม่ได้ไหลออกมา เมื่อเวลาผ่านไปแม้จะไม่นาน สาวน้อยก็ได้สติกลับคืนมามากขึ้น คิดหาหาทางอะไรสักอย่างบางทีอาจจำเป็นต้องสู้ สิ่งแรกที่คิดได้คือใช้ธนูบนหลังที่ไม่เคยใช้ทำร้ายใครหรือสัตว์ตัวใดก็ตาม แต่นางไร้ซึ่งความกล้าที่จะยิงมัน เฟินเยว่ไม่อยากสังหารคนแม้ว่าเขาจะเป็นโจรชั่วช้าที่เข่นฆ่าชาวบ้านอย่างไร้เห็นผลมานับไม่ถ้วน การจะยิงธนูบนหลังม้าก็ไม่ใช่เรื่องง่าย แค่ใช้สมาธิเล็งเป้าไม่ให้พลาดบนพื้นราบก็ว่ายากแล้ว และยิ่งตอนนี้ตัวเองก็โคลงไปเคลงมาแค่ทรงตัวไม่ให้ร่วงจากหลังม้าก็ยังทำได้ยาก แม้นางจะเป็นชาวเหลียงโจวแต่ก็หาใช่ชาวซงหนูที่ชำนาญการยิงธนูบนหลังม้า
            
            ‘ทำยังไงดี..’
            
            เด็กสาวกัดริมฝีปากจนขึ้นสี นางไม่อยากตาย ไม่อยากให้ไป๋ไป๋ตาย ไม่อยากให้เปาเปาตาย ไม่อยากให้คนเลี้ยงวัวตาย แต่ถ้าไม่ทำอะไรสักอย่างทุกคนจะตายหมด สิ่งต่อมาที่คิดคือใช้ทวนของพี่ใหญ่เฮยหลง ถ้าใช้สันหรือใบทวนทุบก็ไม่น่าจะถึงขั้นฆ่าใครตาย เฟินเยว่ทำใจอยู่นานก่อนที่จะเงื้อทวนจากหลังขึ้นมา หลับตาแล้วกวาดตีออกไปมั่ว ๆ โดยไม่เปิดปลอก
            
            “นี่แน่ะ! ถอยไปนะ!!”
            
            เหล่าโจรพวกนี้ดูแคลนสตรีและย่ำยีศักดิ์ศรีของหญิงสาวที่โชคร้ายมานักต่อนัก พวกเขาใช้กำลังบังคับขืนใจนางเหล่านั้นได้โดยง่ายแม้ว่าพวกนางจะถืออาวุธไว้ในมือ จึงคิดว่าเด็กสาวบนหลังอาชาผู้นี้ก็คงจะไม่ต่าง แต่ว่าเขาประมาทเฟินเยว่จนเกินไป นางไม่เหมือนสตรีนางอื่น แม้จะไม่เคยผ่านการต่อสู้จริงมาก่อน แต่สาวน้อยก็เป็นหญิงสาวสุขภาพดีร่างกายแข็งแรง ทำงานหนักแทบทุกวันโดยไม่หยุดพัก นานทีปีหนถึงจะไม่สบายทีนึง พวกเขาดูถูกกำลังแขนของสาวน้อยที่นวดแป้งติ่มซำทุกวันมากเกินไป!!
            
            ผั่วะ!! ผลัก!! ตุ้บ!! ตั้บ!!
            
            เสียงกระแทกดังขึ้นเมื่อทวนเหล็กกล้าน้ำดีเหวี่ยงไปโดนเหล่าโจรกระจอก ใบทวนที่ไร้ทิศทางและกระบวนยุทธ์ มีแต่แรงและความเร็วเสริมจากม้าเมื่อทิศที่ปิดล้อมได้เปิดกว้างมีช่องโหว่ ไป๋ไป๋ก็ยิ่งขยับตัวหลบหลีกและโจมตีได้ง่าย โจรบางคนถูกใบทวนฟาดลงกลางกระม่อมทำให้ล้มทั้งยืน บางคนก็ถูกฟาดเข้าที่ข้างแก้มจนจมูกหัก ฟันหลุด บ้างก็ได้ยินเสียงกรีดร้องอย่างเจ็บปวด บ้างก็ไร้เสียงเพราะสลบไปทันที
            
            “อ๊ากกก!!”
            
            “โอ๊ย!!”
            
            “อ๊าาาา อย่าเข้ามาน้าาาาาา!!!”
            
            จนทุกอย่างสงบลงเด็กสาวจึงค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมามอง โจรทั้งห้า..ไม่นับสองที่ชิงไปเข้าเฝ้าเง็กเซียนฮ่องเต้ก่อนตั้งแต่ทีแรกลงไปกองอยู่บนพื้น บ้างสลบไสล บ้างไม่ทราบชะตากรรม นางหอบแฮก ยกมือขึ้นทาบอกยังไม่หายจากอาการตกใจ ในตอนนี้มีชายผู้เหลือสติอยู่เพียงผู้เดียวคือลุงคนเลี้ยงวัว
            
            “ทะ.. ท่านลุงเป็นอะไร.. บาดเจ็บไหม...ตรงไหนหรือเปล่าเจ้าคะ”
            
            เฟินเยว่ถามอีกฝ่ายปากสั่น แม้แต่ถ้อยคำยังเรียบเรียงออกมาเป็นประโยคไม่ถูก
            
            “ข้าไม่เป็นไรขอรับ ชายเลี้ยงวัวที่ก้มหัวหลบอยู่ตลอดขณะที่เกิดการต่อสู้ได้ตอบกลับไป เขาพยุงตัวเองลุกขึ้นมาแล้วมองไปรอบ ๆ ด้วยความอึ้ง ก่อนจะค้อมหัวลงขอบคุณยกน้อยยกใหญ่ “ขอบคุณท่านจอมยุทธ์หญิงเป็นอย่างมาก หากไม่ได้ท่านช่วยเอาไว้ ชีวิตข้าคงหาไม่แล้ว”
            
            “จะ..จอมยุทธ์หญิงเลยหรือเจ้าคะ...”
            
            เด็กสาวมองอีกฝ่ายตาโต อันที่จริงคำเรียกนั้นก็ฟังดูเท่ดีอยู่หรอก แต่นางรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้ทำอะไรเลย ทั้งหมดยกให้เป็นความดีความชอบของไป๋ไป๋ถึงจะถูก นางเลยรีบส่ายหน้าปฏิเสธว่าไม่ใช่อย่างนั้นเป็นการใหญ่ แม้จะมีทวนยาวสีเขียวมรกตอยู่ในมือก็ตาม สาวน้อยที่พกทั้งธนูและทวนขี่ม้าออกเดินทางเพียงลำพัง ไม่ว่าใครเห็นต่างก็คิดว่าเฟินเยว่เป็นสตรียอดนักสู้กันทั้งนั้น
            
            “เอ่อ.. ข้าว่าแถวนี้ไม่ปลอดภัย รีบไปกันเถอะเจ้าค่ะ”
            
            นางบอกกับชายเลี้ยงวัวไปซึ่งทั้งสองล้วนแล้วแต่พยักหน้าเห็นด้วย
            
            “เช่นนั้นข้าขอตัวก่อน บุญคุณนี้จะไม่ลืมเลย หากแม่นางติดปัญหาอยากได้ความช่วยเหลือก็ไปหาข้าได้ที่กระท่อมชานเมืองนะขอรับ”
            
            ลุงเลี้ยงวัวค้อมศีรษะขอบคุณนางอีกครั้งก่อนจะรีบไปต้อนฝูงวัวของเขากลับบ้าน
            
            หลังจากที่ชายเลี้ยงวัวจากไปก็มีเสียงย่ำพื้นหญ้าตรงมาทางนี้แทน เด็กสาวรีบหันขวับไปมองกลัวว่าจะเป็นหนึ่งในโจรที่ได้สติกลับคืนมา คราวนี้นางจะไม่สู้แล้วแต่จะหนี  แต่กลับพบว่าเป็นม้าน้ำตาลเข้มตัวนั้นที่เป็นเพื่อนวิ่งเล่นของไป๋ไป๋ มันเข้ามาดมม้าหนุ่มก่อนที่จะมองทั้งม้าขาวและคนซ้อนหลังด้วยสายตาอ่านยาก
            
            “เอ่อ..อะไรเหรอ?” เฟินเยว่ถามไปแต่ก็ไร้เสียงตอบกลับหรือแม้แต่ปฏิกิริยาใดที่เปลี่ยนไปจากเดิม “ขอโทษด้วยนะ แต่ว่าวันนี้ต้องไปแล้วล่ะ ไม่กล้ารับปากด้วยสิว่าจะพาไป๋ไป๋มาวิ่งเล่นด้วยอีกหรือเปล่า” นางพูดออกไปแบบเดิมแต่ม้าน้ำตาลก็ยังคงเงียบกริบ จากเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นบอกได้เลยว่านางค่อนข้างเข็ดขยาดที่จะพาม้าหนุ่มมาวิ่งเล่นแถวนี้แล้ว
            
            “ลาก่อนนะจ๊ะ”
            
            เฟินเยว่คุมม้าให้กลับขึ้นไปบนถนนก่อนจะออกวิ่งไปตามทางมุ่งหน้าสู่เจียซิ่วเพื่อลงใต้ต่อ อย่างน้อยวันนี้ควรไปให้ถึงเหอตงเพื่อหุงหาอาหารให้กับสหายในถ้ำ แต่คราวนี้ไม่ใช่มีเพียงแค่อาชาขาวที่วิ่งไป แต่กลับมีม้าน้ำตาลตามติดมาด้วยอีกหนึ่งตัว


.
.
.



ลักษณะนิสัยเห็นอกเห็นใจ
+20 EXP ทุกครั้งที่โรลเห็นอกเห็นใจช่วยเหลือผู้อื่น หรือ ทำงานช่วยเหลือ





←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
พยัคฆ์ตงเทียน
หยกเชื่อมสัมพันธ์
พู่กันเหวิ่นเซ่า
ถุงหอมจูอวี๋
กลยุทธ์เล่ออี้
บทเพลงยิ้มเย้ยยุทธจักร
หน้ากากขาว
เกราะเกล็ดมังกร
ผ้าคลุมไท่หลง
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x40
x32
x1
x439
x500
x73
x500
x26
x498
x500
x10
x2
x9
x1
x400
x1
x1
x5
x28
x8
x591
x228
x228
x500
x2514
x18
x14
x1
x5
x1
x2
x100
x5
x50
x100
x3
x3
x10
x2
x47
x64
x6
x9
x2
x71
x1
x24
x95
x50
x86
x150
x260
x150
x150
x46
x46
x2
x2
x6
x2
x2
x34
x4
x1
x8
x1
x2
x7
x5
x8
x7
x110
x7
x74
x45
x3
x30
x63
x74
x79
x2
x71
x68
x6
x45
x50
x160
x316
x3
x220
x48
x35
x168
x12
x10
x25
x1
x13
x6
x4
x6
โพสต์ 2021-9-25 11:31:33 | ดูโพสต์ทั้งหมด

⌜39⌟

บทที่ 8
เรื่องราวเข้าใจผิด
ฉากที่ 2


          ทั้งสองเปลี่ยนสถานที่การประลองเป็นทุ่งหญ้าใกล้ ๆ เพื่อที่จะไม่สร้างความเสียหายแก่ร้านบะหมี่และทำให้ผู้อื่นได้รับลูกหลงเป็นอันตราย แม้เฟินเยว่จะกะไว้ว่าการประลองจะจบลงไปอย่างรวดเร็วก็เถอะแต่ก็ต้องย้ายสถานที่อยู่ดี
         
          “กฎกติกาไม่มีอะไรมาก สามารถใช้อาวุธที่ถนัดได้ ในการต่อสู้อาจมีการบาดเจ็บบ้างแต่ห้ามลงมือให้ถึงตาย ใครพูดยอมแพ้ก่อน หรือเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่สามารถสู้ต่อไปได้จะต้องหยุดมือขอรับ”
         
          “งั้น… ข้ายอมแพ้เลยได้ไหมเจ้าคะ..”
         
          “ตลกแล้วนะแม่นาง..”
         
          จอมยุทธ์ตู้ทำปากง้ำสีหน้าขึงขังขึ้นมาว่าไม่เล่นด้วย ยิ่งทำให้เฟินเยว่รู้สึกอยากร้องไห้เข้าไปใหญ่ ในตอนนี้นางทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากกอดทวนของพี่ชายเอาไว้แน่น
         
          “ฮื่อออ ขะ.. ขอโทษเจ้าค่า!!”
         
          ผู้คนเข้ามามุงดูกันหนาแน่นยิ่งขึ้นเมื่อมีการป่าวประกาศว่าจะมีการประลองของสองจอมยุทธ์ ดูท่าทางว่าชื่อเสียงของเด็กสาวที่ปราบโจรถึงเจ็ดคนจะไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ ไม่เพียงแต่คนที่ร้านบะหมี่ แต่ยังมีคนไปเรียกพวกกันให้มามุงดู
         
          “เอาล่ะ พร้อมแล้วหรือยังแม่นางซุน”
         
          “พร้อม... ก็ได้เจ้าค่ะ...”
         
          เด็กสาวตอบเสียงเอื่อยคล้ายคนหมดแรงและปลงต่อโลก นี่คงจะถึงเวลาแล้วจริง ๆ สินะ แม้แต่สายลมยังเป็นใจพัดพาละอองของดอกผูกงอิงก็ลอยละล่องขึ้นเป็นสาย
         
          “ห้า.. สี่.. สาม.. สอง.. หนึ่ง! รับมือ!!”
         
          จอมยุทธ์ตู้นับถอยหลังเป็นสัญญาณ และเมื่อถึงหนึ่งบุรุษร่างใหญ่ก็พุ่งตัวเข้าโจมตีสาวน้อยด้วยกระบี่ทันที เด็กสาวที่เห็นคมกระบี่แวววาวสะท้อนแสงอาทิตย์ก็อ้าปากตาค้าง กะว่าจะให้เขาตีสองสามทีคงไม่ได้แล้ว เพราะการถูกตีด้วยกระบี่มีหวังได้แผลจนเลือดออก แต่คนที่ไม่รู้วิชาไม่ทราบว่าต้องทำอย่างไร นางจึงยกทวนสามพยัคฆ์ฟาดกวาดไปด้านหน้าอย่างมั่ว ๆ พร้อมกรีดร้องออกมาด้วยความตกใจ
         
          “ว้ายยยย!!”
         
          ผลั่ก!
         
          ทวนที่ไม่ได้เปิดคมฝาดสวนออกไปด้านหน้าบัดป้องคมกระบี่ก่อนที่จะพุ่งมาถึงตัว ด้วยแรงของคนที่หลับหูหลับตาฟาดออกไปอย่างรักตัวกลัวตายทำเอากระบี่ที่ถืออยู่ในมือของจอมยุทธ์ตู้เกือบกระเด็นหลุดไป ผู้มีวิชากระโดดหลบถอยหลังทวนยาวที่ฟาดไปฟาดมาอยู่อีกครั้ง เขายิ้มเผล่อย่างพึงพอใจที่สาวน้อยเอาจริงเอาจังขึ้นมาแล้วลงแรงทั้งหมดที่มีออกไป
         
          “ไม่เลวนี่แม่นางซุน แรงดีใช้ได้”
         
          “ขะ.. ขอบคุณเจ้าค่ะ”
         
          เขาชมมานางก็ขอบคุณเอาไว้ก่อนถึงแม้จะอยากวิ่งหนีไปไกล ๆ แทนก็เถอะ
         
          “อย่าเสียเวลาเลย มาประลองกันให้รู้ดำรู้แดงไปเลยดีกว่า!”
         
          เมื่อเลือดในกายเริ่มเดือดพล่านจอมยุทธ์หนุ่มก็ตรงเข้าซัดนางอีกครั้งโดยไม่ออมมือให้อีกต่อไป แต่ก็ได้ยินเสียงร้องจนเสียสมาธิและถูกป้องกันได้อีกครั้ง
         
          “ว้ายยย!! ว้ายยยย!!”
         
          เฟินเยว่แทบจะกรี๊ดออกมาทุกครั้งที่อีกฝ่ายจู่โจมใส่ ถึงกระนั้นจอมยุทธ์ตู้ที่รั้นจะเอาชนะก็ไม่ยอมแพ้ด้วยเช่นกัน จะไม่ยอมทิ้งศักดิ์ศรีแล้วพ่ายแพ้ต่อสตรีอย่างแน่นอน บุรุษโจมตีรวดเร็วและรุนแรงมากยิ่งขึ้นด้วยวรยุทธ์ทั้งหมดที่เรียนมา ในตอนนี้เด็กสาวหลับหูหลับตาป้องกันเหมือนเดิมไม่ได้แล้วด้วยต้องใช้ทวนปัดการโจมตีให้รวดเร็วยิ่งขึ้นจนนางเริ่มจะเหนื่อย
         
          ตู้หยินเห็นจุดอ่อนเขาแทงกระบี่ใส่ทันทีเมื่อเห็นว่าสาวน้อยเงื้อทวนมากันเอาไว้ไม่ทัน
         
          “อ๊าาา!!”
         
          เฟินเยว่หลบไม่ทันแล้ว นางจึงปักทวนลงกับพื้นก่อนที่จะเบี่ยงตัวหลบออกมาทำให้ตู้หยินแทงพลาด เด็กสาวใช้แรงส่งจากการเหวี่ยงตัวเตะก้านคอจนคู่ต่อสู้หน้าคะมำ เรียกเสียงฮือฮาจากผู้ชมได้ทั่วทั้งเขียงนา
         
          “มะ.. เมื่อกี้นี้มัน วิชาจากสำนักไหนข้าไม่เคยเห็นมาก่อน”
         
          ตู้หยินปาดเหงื่อบนใบหน้า ไม่น่าเชื่อว่าแม่นางผู้นี้เห็นดูซื่อ ๆ แต่กลับโจมตีสวนกลับได้อย่างรวดเร็ว ซ้ำยังรู้จักใช้แรงและกำลังซัดเขาที่เป็นบุรุษตัวใหญ่กว่าจนเกือบล้มได้ จอมยุทธ์ตั้งหลักยืนขึ้นก่อนที่จะพิจารณากระบวนท่าดี ๆ แต่ทุกอย่างที่นางออกท่าคล้ายกับคนสู้ไม่เป็น แต่จริง ๆ มันคือวรยุทธ์ที่อ่านทางยากคล้ายกับหมัดเมาสินะ..
         
          “ไม่มีสำนักหรอกเจ้าค่ะ ข้าถึงได้บอกว่าไม่ใช่จอม---”
         
          “อย่างนี้นี่เอง แม่นางคงคิดกระบวนท่าขึ้นมาเองสินะข้าถึงไม่รู้ ...อัจฉริยะยิ่งนัก”
         
          แต่ตู้หยินก็พูดแทรกขึ้นมาแล้วคิดเองเออเองไปอยู่แต่เพียงผู้เดียว ในตอนนี้เฟินเยว่ไม่รู้จะเถียงอย่างไรแล้วหากว่าเขารั้นที่จะเชื่อแบบนั้น หรือว่านางจะต้องยุติศึกครั้งนี้ด้วยการล้มเขาลงไปจริง ๆ
         
          การประลองยกต่อมาเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง คราวนี้เฟินเยว่เป็นฝ่ายบุกโจมตีไปก่อนบ้างเพื่อหวังจะยุติเรื่องราวในครั้งนี้ไปอย่างรวดเร็ว ด้วยอาวุธยาวทำให้เด็กสาวได้เปรียบในเรื่องของระยะ ในการออกท่าทางมั่ว ๆ ของนางในแต่ละที ชาวบ้านต่างส่งเสียงฮือฮากันยกใหญ่
         
          ไม่รู้ทำไมว่าหลังจากที่ลองใช้สมาธิในการต่อสู้ดูแล้วกลับรู้สึกชินมือกับทวนยาวได้อย่างรวดเร็วราวกับว่าเลือดพี่ชายที่ไหลเวียนอยู่ในตัวมันแรง นางพอจะรู้ว่าตนต้องเคลื่อนไหวแบบไหน หลบหลีกอย่างไร ออกอาวุธเมื่อไรเพื่อกันระยะของกระบี่ ถึงได้มีคำกล่าวว่าเรียนรู้จากตำราไม่รวดเร็วสู้ได้ลงมือทำ ไม่เพียงแค่การออกท่ารำทวนแต่การหาจังหวะรุกและหลบยังได้จากการนำกลยุทธ์เล่ออี้มาประยุกต์ใช้ และเมื่อชินกับการต่อสู้เสียงวี้ดว้ายก็หายไปด้วย
         
          “แฮ่ก.. แฮ่ก..”
         
          แต่อาวุธหนักเช่นนี้เริ่มทำให้นางแขนล้าและช้าลงไปทุกขณะ เฟินเยว่โจมตีตู้หยินเข้าเป้า แต่ก็มีบางครั้งเหมือนกันที่นางถูกโจมตีสวนกลับมาเฉียดเสื้อผ้าจนขาดวิ่นและได้รับบาดแผลเพียงถาก ๆ ด้วยความด้อยประสบการณ์เด็กสาวไม่รู้เลยว่าต้องทำอย่างไรตนถึงจะชนะ หิวข้าวก็หิว เถ้าแก่เนี้ยร้านบะหมี่ก็น่าจะเตรียมอาหารของนางเสร็จแล้ว ในหัวเด็กสาวคิดแต่ว่า ถ้าเกิดพูดว่ายอมแพ้ขึ้นมาอีกฝ่ายจะยอมปล่อยนางไปหรือไม่
         
          “คุณชายตู้ ขอเวลาสักครู่เจ้าค่ะ..” นางค้ำทวนเอาไว้กับพื้นแล้วขอเจรจา “หากจบกระบวนยุทธ์ครั้งต่อไปนี้แล้วข้าจะยอมแพ้แล้วนะเจ้าคะ ข้าหิวมากแล้ว”
         
          “โอ้ เช่นนั้นเอง ถ้าอย่างนั้นมาทำให้เรื่องนี้จบกันเถอะ ถ้าใครโดนโจมตีก่อนในครั้งถัดไป ถือว่าอีกฝ่ายเป็นผู้แพ้”
         
          “อะ.. เอาเช่นนั้นก็ได้เจ้าค่ะ ข้าไม่ขัดข้อง”
         
          เฟินเยว่ดันตัวขึ้นมาใหม่หลังรับข้อเสนอดังกล่าว การถูกโจมตีหรือโดนโจมตีก่อนไม่ใช่เรื่องยาก และนางก็เตรียมใจไว้แล้วว่าอาจจะแพ้ อย่างไรเสียก็ไม่คิดอยากเอาชนะตั้งแต่แรก
         
          ยกที่สามเริ่มขึ้น ทั้งสองยืนประจันหน้ากันไม่ไหวติง มีเพียงแค่ดอกผูกงอิงที่ลอยไปลอยมาประกอบฉาก มือที่ถือทวนยาวกระชับมันให้แน่นขึ้น ตั้งท่าการป้องกันคล้ายกับที่เคยเห็นพี่ชายฝึก ทางฝ่ายจอมยุทธ์ตู้ก็ตั้งท่าเตรียมซัดกระบี่ใส่ด้วยเช่นกัน และเมื่อดอกผูกงอิงดอกหนึ่งร่วงหล่นลงมากระหว่างกลางของทั้งสองก็เป็นสัญญาณของจากจู่โจม
         
          ‘ซ้ายงั้นเหรอ?’
         
          เฟินเยว่พยายามจับทิศทางเหมือนครั้งก่อน ๆ จึงป้องกันไปทางซ้าย แต่ทว่าจอมยุทธ์ตู้ใช้กลยุทธ์สับขาหลอกว่าจะโจมตีทางซ้ายแต่เขากลับมุดหลบแล้วฟันที่ด้านล่าง
         
          “อ๊ะ!!”
         
          ด้วยความตกใจที่เห็นอีกฝ่ายก้มลงต่ำจึงใช้หอกค้ำพื้นพยุงตัวกระโดดตีลังกาหลบก่อนที่จะถีบเขาที่หลังของจอมยุทธ์ตู้เข้าอย่างแรง ภาพนั้นเรียกเสียงฮือฮาให้กับชาวฮั่นมุงได้ไม่น้อย
         
          “เฮ!!!”
         
          ‘มะ.. เมื่อกี้ชนะแล้วหรือเปล่านะ’
         
          เฟินเยว่ค่อย ๆ หันหน้ากลับไปดูคู่ต่อสู้ ก็เห็นว่าจอมยุทธ์ตู้กระบี่หลุดมือล้มลงไปกับพื้น
         
          “ข้าน้อยแพ้แล้ว ขอคารวะแม่นางซุน”
         
          ในที่สุดการประลองก็จบสิ้นหลังมีผู้กล่าวขอยอมแพ้ เฟินเยว่รีบเข้าไปดูอาการชายหนุ่มว่าที่ถีบไปเมื่อครู่ทำให้เขาบาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า
         
          “คุณชายตู้บาดเจ็บตรงไหนหรือไม่เจ้าคะ? เมื่อครู่ต้องขอโทษด้วยจริง ๆ เจ้าค่ะ”
         
          “ข้าไม่เป็นอะไร” ตู้หยินยกมือขึ้นปรามเอาไว้ก่อนที่จะลุกขึ้นยืนแล้วเก็บกระบี่เข้าฝัก “การต่อสู้จะมีบาดเจ็บบ้างเป็นเรื่องธรรมดา” ทว่าบุรุษแสดงสีหน้ายิ้มเฝื่อน ๆ กับการพ่ายแพ้ในครั้งนี้ “...ถ้าอย่างไรข้าน้อยมีเรื่องจะขอร้องแม่นางสักอย่างได้หรือไม่?”
         
          “อะไรหรือเจ้าคะ?”
         
          “ข้าน้อยตู้หยินเดินทางมาไกลเพื่อที่จะเข้าแข่งขันการประลองยุทธ์ที่ลั่วหยาง แต่จากการประลองในครั้งนี้ก็พบว่าตัวเองยังมีฝีมืออ่อนด้อยนัก เห็นทีว่าไม่อาจชนะการประลองใหญ่ได้อย่างแน่นอน ปีนี้คงจะต้องกลับไปฝึกฝีมือมาใหม่ ข้าจึงอยากจะขอร้องให้แม่นางซุนช่วยชนะการประลองแทนข้าน้อยด้วยขอรับ”
         
          “เหะ?...” เด็กสาวงงเป็นไก่ตาแตก กำลังเรียบเรียงเรื่องราวในหัวว่าตกลงเขาว่าอย่างไรบ้างนะ แต่เมื่อเข้าใจถ้อยความแล้วนางก็ส่ายหน้าพรึบ ๆ “ไม่เอาหรอกเจ้าค่ะ จะให้ข้าไปประลองอีกเนี่ยนะเจ้าคะ ไม่เอา ๆ”
         
          แต่หลังเสียงของเด็กสาวปฏิเสธไปชาวบ้านมุงก็ส่งเสียงฮือฮาออกมาด้วยความเสียดาย บางคนก็กู่ร้องปลุกใจให้นางเข้าร่วมงานในครั้งนี้
         
          “น่าเสียดาย นางจะไม่ลงแข่งอย่างนั้นหรือ”
         
          “ทั้ง ๆ ที่มีฝีมือแท้ ๆ”
         
          “แม่นางซุน ท่านต้องชนะการแข่งนะ! เพื่อพวกเราชาวเจียซิ่ว!”
         
          เสียงอื้ออึงต่าง ๆ ทำให้เด็กสาวรู้สึกมึนหัว นางรับมือกับสถานการณ์เช่นนี้ไม่เคยถูกเลยจริง ๆ ทำไมผู้คนกลุ่มนี้ถึงคาดหวังในตัวนางกันนักนะทั้ง ๆ ที่ตนก็เป็นเพียงคนผ่านทางมาแต่ได้ต่อสู้ในที่เดิมถึงสองครั้งสองคราวเท่านั้นเอง ด้วยความที่น้ำท่วมปากปฏิเสธไม่ได้จึงจำใจต้องพูดอะไรบางอย่างไปเลี่ยง ๆ
         
          “ขอคิดดูก่อนก็แล้วกันนะเจ้าคะ..”
         
          เด็กสาวตอบกับคนกลุ่มนั้นไปพร้อมกับรอยยิ้มฝืด ๆ


.
.
.





ลักษณะนิสัยขยัน
+2 Point ทุกครั้งที่โรลเรียนรู้

ลักษณะนิสัยเห็นอกเห็นใจ
+20 EXP ทุกครั้งที่โรลเห็นอกเห็นใจช่วยเหลือผู้อื่น หรือ ทำงานช่วยเหลือ







←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
พยัคฆ์ตงเทียน
หยกเชื่อมสัมพันธ์
พู่กันเหวิ่นเซ่า
ถุงหอมจูอวี๋
กลยุทธ์เล่ออี้
บทเพลงยิ้มเย้ยยุทธจักร
หน้ากากขาว
เกราะเกล็ดมังกร
ผ้าคลุมไท่หลง
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x40
x32
x1
x439
x500
x73
x500
x26
x498
x500
x10
x2
x9
x1
x400
x1
x1
x5
x28
x8
x591
x228
x228
x500
x2514
x18
x14
x1
x5
x1
x2
x100
x5
x50
x100
x3
x3
x10
x2
x47
x64
x6
x9
x2
x71
x1
x24
x95
x50
x86
x150
x260
x150
x150
x46
x46
x2
x2
x6
x2
x2
x34
x4
x1
x8
x1
x2
x7
x5
x8
x7
x110
x7
x74
x45
x3
x30
x63
x74
x79
x2
x71
x68
x6
x45
x50
x160
x316
x3
x220
x48
x35
x168
x12
x10
x25
x1
x13
x6
x4
x6
 เจ้าของ| โพสต์ 2021-9-26 23:13:00 | ดูโพสต์ทั้งหมด
[The Watcher] ปลดสกิลสอนธรรมะ



::.คำอธิบายเควส.::
- คำในวงเล็บ อาทิ (พ่อหนุ่ม/สาวน้อย) เลือกคำใดคำหนึ่งมาใช้ ให้เข้ากับคุณ -
- [...] สีน้ำเงิน คือ โรลคำพูดเฉพาะคนมีลักษณะนิสัยตามที่ระบุ -
- ใครมายังมีวงเล็บ [..] โผล่ในโรลจะไม่ส่งรางวัลให้ โปรดตรวจสอบความถูกต้องหลังโพสต์ -




.: เงื่อนไขเควส :.
- มีระดับ "จ้าวลัทธิ" -
- มีระดับ Level 35 ขึ้นไป -
- ใช้แต้มศรัทธา 3,000 แต้ม เพื่อปลดสกิลผู้สอนธรรมะ -
- เข้าร่วมได้คนละ 1 ครั้ง -
- ท่านต้องโรลเพลย์ไปทิ้งผู้ติดตามไว้ที่อื่นก่อน มาเพียงลำพังเท่านั้น -



.: โรลเพลย์เปิด :.

       ผู้เฝ้าดูเฝ้าสังเกตการณ์ชายผู้เปี่ยมด้วยความมุ่งมั่นศรัทธาแรงกล้าที่ปรารถนาจะสร้างนิกายใหม่ขึ้นมาเพื่อกล่อมเกลาผู้คนในยุคสมัยแห่งความวุ่นวาย ก่อนเขาจะสังเกตว่าอีกฝ่ายอยู่ลำพัง เขาได้ส่งเสียงพูดกับคนผู้นี้

       - เขียนโรลเพลย์เข้าฉากคัทซีน ในขณะท่านผ่านมาทางทุ่งหญ้า ก่อนท่านได้ยินเสียงบางอย่างจากบนฟ้า แต่กลับมองไม่เห็นว่าเสียงอะไร ทำให้ท่านคิดว่าเสียงพระเจ้าหรือทวยเทพแล้วแต่ลัทธิศาสนาตามความเชื่อแต่ละคนที่นับถือ -


       "[ชื่อทางการของท่าน] ข้าเฝ้ามองเจ้ามาระยะเวลาหนึ่งแล้ว ดูเหมือนตอนนี้เจ้าจะเริ่มมีความมุ่งมั่นที่ไม่ย่อท้อ" ผู้เฝ้ามองกล่าวขึ้นก่อนจะตอบคำถามอีกฝ่าย "เราเป็นใครนั้นล้วนขึ้นอยู่กับความคิดของเจ้า"

       @Everyone

       "ข้าเห็นความมุ่งมั่นของเจ้าที่ปรารถนาจะสร้างสิ่งใหม่ ศรัทธาจากแดนตะวันตกของแผ่นดินเจ้าที่เจ้าปรารถนานำมันมาเผยแพร่ในดินแดนบ้านเกิด" ผู้เฝ้ามองกล่าวต่ออีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงดังกังวาล "เพราะความศรัทธาของเจ้านำทางข้ามาพบเจ้าที่นี่"

       @Everyone

       "ตอนนี้เจ้าพร้อมหรือยังที่รับพรสวรรค์ของเหล่าผู้สอนธรรมะ ความสามารถที่จะช่วยหนุนให้เหล่าผู้ติดตามเจ้าได้เรียนรู้และมีพัฒนาการตามแรงกระตุ้นทุก ๆ คำพูดของเจ้าคือพลังขับเคลื่อนทักษะทำให้พวกเขาเต็มเปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่นที่จะฝึกฝน" ผู้เฝ้ามองกล่าวถามอีกฝ่าย

       @Everyone

       "หลังจากเราสิ้นสุดการคุยกันนี้ให้เจ้าเดินทางไปยังเทือกเขาฉินหลิง บำเพ็ญเพียรที่นั่น ภาวนาต่อฟ้าดิน 3 ราตรี แล้วเจ้าจะปลดศักยภาพที่ซ่อนเร้นภายในตัวเจ้าออกมา" ผู้เฝ้าดูให้คำแนะนำคุณ ก่อนเสียงเขาค่อย ๆ หายไป


      - สร้างสตอรี่โรลเพลย์จบ -





รางวัล: ปลดสกิลตัวละคร [สอนธรรมะ]
- เขียนโรลเพลย์บำเพ็ญเพียรภาวนาฟ้า ณ เทือกเขาฉินหลิง 3 วัน 3 คืน ไม่ไปไหน (แต่สามารถโรลสร้างสตอรี่อิสระบนเขาได้ไม่จำกัดไม่จำเป็นต้องโรลเดียว)
ในคืนวันที่ 3 ผู้เฝ้ามองจะปรากฎตัวบนน่านฟ้าในสภาพนี้ ก่อนประทานพรปลดศักยภาพในตัวท่านให้




ผู้สอนธรรมะ
คูลดาวน์สกิล: ทุก ๆ 120 ชั่วโมง
สกิลที่ผู้ที่มีความทะเยอทะยานในด้านศาสนาต้องการจะสร้างสิ่งใหม่ ๆ ความเชื่อใหม่ ๆ ให้เกิดขึ้นโดยยึดตนเองเป็นศูนย์กลางแกนนำ
ในสัปดาห์หนึงคุณจะสามารถเผยแพร่ความเชื่อแก่ผู้ติดตามทั้งปวงทำให้พวกเขาได้รับความเข้าใจและความรู้เพิ่มพูนขึ้น
[หลังจากกดใช้สกิลแคปภาพการใช้สกิลและนำไปโรลกับขุนนางในสภาคุณที่ใช้สกิลกับคนนั้น ท่านจะได้รับโบนัส +10 EXP]</b>




←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x1
x2
x12
x5
x636
x241
โพสต์ 2021-10-19 12:38:27 | ดูโพสต์ทั้งหมด
          พอรู้ว่าทำอย่างไรก็ไม่สามารถทำให้เปลี่ยนใจได้ จ้าวเพ่ยก็ไม่อยากจะคะยั้นคะยอให้ตัวเองดูน่ารำคาญเสียเท่าไหร่ ตลอดการเดินทางหญิงสาวมองมือปราบหวังโดยสังเกตุใบหน้าที่ไม่ถึงขั้นรูปงามน่าหลงไหลจากเปลือกนอก ทันทีที่มือปราบรู้ตัวว่าถูกมองก็หันมามองนาง ทำเอาจ้าวเพ่ยรีบหลบตาแทบจะทันที

          อาการที่นางเกิดปรากฏต่อสายตาของเจิ้งหลันและซุนหยาง ก็รู้ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น เจิ้งหลันรู้สึกเอียนเสียจริงกับท่าทีของสตรีปากแดงอย่างจ้าวเพ่ยที่ทำท่าทีเช่นนั้น

          "แม่นางจ้าว.. มีอะไรหรอ"

          "เจ้าคะ??" จ้าวเพ่ยตอบนับมือปราบหวังเมื่อถูกถามออกมา นางกระพริบตามองอีกฝ่ายทันที ทำท่าทีราวกับไม่รู้เรื่องอะไร

          "ข้าเห็นแม่นางมองข้ามานานสองนานแล้ว" มือปราบหวังกล่าวกับจ้าวเพ่ย

          "เห็นหรือคะ??.. เอ่อ.. ข้าคงนั่งไพล่หันไปทางท่าน จึงเหมือนมองท่านสินะเจ้าคะ" จ้าวเพ่ยกล่าวอ้างขึ้นมา ทั้งใช้มือม้วยผมไปพลาง เสี่ยวเฮยในตักของนางเปิดตาขึ้นจากการนอนก็ส่งเสียงร้องเงี๊ยวง้าวออกมาให้นางลูบหัวแมวเบาๆเพื่อเงียบเสียง

          "ดูท่าเสี่ยวเฮยอยากจะลงนะ ส่งมาให้ข้ามา" ผู้ติดตามจ้าวเพ่ยพูดกับนางและยื่นมือจะไปรับ แต่จ้าวเพ่ยกลับอุ้มแมวตัวดำเอาไว้อย่างนั้นและยกขึ้นมากอดแน่น

          "เสี่ยวเฮยอยากจะลงทำไมไม่ให้ลงเล่นเสียเลยล่ะ เปลี่ยนมือไปมาเสียขนาดนี้ก็เฉากันพอดี" เอ่ยทั้งหยุดม้าของนางก็ทำให้การเดินทางชะงักลงชั่วครู่ ทุ่งหญ้ากว้างพอจะพาแมวตัวน้อยๆวิ่งเล่นไปทั่วก็สร้างความสุขใจอก่เสี่ยวเฮียจนเมื่อขาสัมผัสพื้นก็วิ่งเล่นไปมาทันที

          จ้าวเพ่ยหันไปหาทั้งสามเพื่อกล่าวขอโทษที่ทำให้การเดินทางล่าช้าเพราะนาง นางได้แต่พยายามถ่วงเวลาให้มือปราบหวังได้คิดพิจารณาถึงบทลงโทษของนางเจิ้งหลันก่อนจะส่งตัวถึงทางการจริงๆ

          หากถึงยามนั้นแล้ว พึ่งจะมานึกเปลี่ยนใจทีหลังมันก็แก้อะไรไม่ได้แล้ว

          "พักผ่อนก่อนระหว่างนั้นเถอะเจ้าค่ะ ข้าขอแค่เสี่ยวเฮยเล่นจนพอก็พอใจแล้ว" จ้าวเพ่ยบอกพลางเดินไปหาแมวตัวสีดำทันที หญิงสาวเรียกแมวตัวน้อยทั้งยิ้มและนั่งลงรับเจ้าอมววิ่งมานอนกลิ้งกับพื้นหญ้าตรงหน้าตนไปด้วย

          ทางด้านของซุนหยางเองก็มองจ้าวเพ่ยพลางลูบตัวม้าไปพลาง รับรู้ว่าสายตาที่นางลอบมองไปทางมือปราบหวังคล้ายสตรีที่เหมือนเจอเนื้ออันโอชะก็ทำได้แค่ทำเป็นไม่เห็นมันเสียอย่างนั้น

          จ้าวเพ่ยเล่นกับเสี่ยวเฮยได้พักหนึ่งก็ลุกขึ้นและเดินมาทางมือปราบหวัง ริมฝีปากอาบด้วยชาติเผยรอยยิ้มเล็กน้อยเมื่อเดินเข้ามาใกล้ นางเริ่มมีความคิดที่จะอยากสร้างความประทับใจแก่มือปราบบ้าง อย่างที่เขาเคยทำกับนางกับความประทับใจในนิสัยของเขา

          ใบหน้างามเคลื่อนเข้าใกล้อีกฝ่ายอยู่เพียงอกก็ชายตาขึ้นมองมือปราบผู้ก้มมองนางจนตาประสานตา นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนของจ้าวเพ่ยสะท้อนใบหน้าของมือปราบหวังก็สั่นคลอนขึ้นมาอย่างชัดเจน แขนเรียวของนางเอื้อมอ้อมไปราวกับจะกอดอีกฝ่าย แต่หาใช่อย่างนั้นไม่ จ้าวเพ่ยล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าหยิบห่อหมั่นโถวออกมาก่อนจะผละตัวออกแล้วยกห่อนั้นขึ้นมาทั้งเอียงคอยิ้มให้กับมือปราบหวังให้พอเป็นพิธี แล้วค่อยเดินไปหาเสี่ยวเฮยเพื่อแกะห่อหมั่นโถวป้อนให้กับแมวของนาง

          จ้าวเพ่ยอมยิ้มเล็กน้อยกับสิ่งที่นางทำเมื่อครู่ หญิงสาวตั้งใจจะสร้างความประทับใจแต่กลายเป็นว่านางเสียเองที่หน้าแดงขึ้นมา หญิงสาวลูบแมวไปมาขณะมองเสี่ยวเฮยกินหมั่นโถวกินโตไปพลาง มืออีกข้างก็ยกขึ้นจับช่อผมด้วยความที่คะเขินจนไม่รู้จะทำตัวอย่างไร

          เสี่ยวเฮยงับขนมไปพลางก็ยอมให้อีกมือลูบตนไปด้วย จ้าวเพ่ยรีบชักมือออกทันทีเมื่อเห็นมือหนาเข้ามาลูบแมว หญิงสาวหันไปมองคนที่เข้ามานั่งข้างๆก็ยิ้มกว้างขึ้นมาทันที

          สายตาหันไปมองแม่นางเจิ้งก็เห็นว่าอยู่กับซุนหยางราวกับว่ามือปราบฝากให้ผู้ติดตามของนางเฝ้าอยู่ก็หันมาหามือปราบหวังทันที

          "มีอะไรหรือเจ้าคะ"

          "เหมือนแม่นางจ้าวอยากจะบอกอะไรข้านะ"

          "ข..ข้าหรอ.. ข้าไม่ได้จะ.." นางรีบปฏิเสธทันควันก็เห็นสายตาของมือปราบดูเหมือนจะจริงจังกับคำถามจริงๆ "เอ่อ.. ข้าแค่อยากจะรู้เกี่ยวกับ.."

          "นางโจรเจิ้งหรอ.. "

          "หากมีวีธีช่วยลดโทษนางได้คงจะดีนะเจ้าคะ" จ้าวเพ่ยกล่าวทั้งเอียงคอเล็กน้อย หญิงสาวมองไปทางเสี่ยวเฮยที่วิ่งกลับมาหานางก็จับแมวน้อยขึ้นตักทันที "เสี่ยวเฮยน่าจะเล่นพอแล้ว ไปกันเถอะเจ้าค่ะ"

          มือปราบลุกขึ้นก่อนนางทันที เมื่อเห็นว่าจ้าวเพ่ยลุกขึ้นช้าก็ยื่นแขนให้นางจับช่วยดึงขึ้นอีกแรงหนึ่ง

          "ขอบคุณเจ้าค่ะ"

          จ้าวเพ่ยลุกขึ้นและปัดเศษหญ้าติดตามชุดของนางทันทีก่อนจะมองมือปราบเดินออกไป หญิงสาวมองตามหลังและเดินตามไปทันที นางเร่งฝีเท้าไปข้างๆก่อนจะยกยิ้มกว้างขึ้นมาทันที

          "ขอข้าขี่ม้าไปกับนางเจิ้งได้หรือไม่เจ้าคะ"

          "จะพานางหนีหรือไง.."

          "อ๊ะ.. ป.." จ้าวเพ่ยแทบจะหุบยิ้มทันทีก่อนจะหันไปมองนางเจิ้งทำหน้าเหมือนจะเอียนการจีบของจ้าวเพ่ยขึ้นมา

          "ไม่ได้หรอก.. ขออภัยแม่นาง.. ข้าไม่อยากให้แม่นางจ้าวกระทำการอันใดที่ผิดต่อกฏหมายไปอีกคน การช่วยนางโจรหนีไม่นับเป็นการลดโทษหรอกนะ" กล่าวจบก็ขึ้นบนหลังม้าทันที จ้าวเพ่ยหันไปมองซุนหยางก่อนนางจะส่ายหัวเล็กน้อยเพื่อกลับปีนขึ้นไปยังม้าของนางอีกคน

เอฟเฟคลักษณะนิสัย
โลเล
+1 Point เมื่อใช้อุบายแผนการ

มีตัญหา
+2 Point ทุกครั้งที่ดำเนินแผนการจีบฝ่ายตรงข้าม
+15% ในการยั่วยวนเพศตรงข้าม [174]
+30 ความสัมพันธ์ เมื่อเกี้ยวพาราสีอย่างมีชั้นเชิง [174]

ทะเยอทะยาน
+2 Point ทุกครั้งที่ใช้กลอุบาย

เอฟเฟคอัตลักษณ์
งดงาม
+6 Point เมื่อโรลเพลย์บริหารเสน่ห์

NPC [144] เจิ้งหลัน [คลั่ง]

ธาตุและความสัมพันธ์
-15 ความสัมพันธ์ ธาตุน้ำ ข่มกับ ธาตุไฟ

เอฟเฟคลักษณะชื่อเสียง :: หัวดี
-5 ความสัมพันธ์ เมื่อเจอคนหัวคลั่ง
+10 ความโหด เมื่อเจอคนหัวมาร/คลั่ง

ลักษณะนิสัย : มีตัญหา
เจิ้งหลันไม่ชอบคนที่มีนิสัย ตัญหา
NPC [174] หวัง โก่วเจียง [ดี]

ธาตุและความสัมพันธ์
+20 ความสัมพันธ์ ธาตุไฟ เกื้อหนุน ธาตุดิน

เอฟเฟคลักษณะชื่อเสียง :: หัวดี
+15 ความสัมพันธ์ เมื่อเจอคนหัวดี
+30 คุณธรรม เมื่อเจอคนหัวดี

←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
กระบี่ร้อยกฎ
มุกพณาหวาซวี
ม้าเหลียง
กลยุทธ์เล่ออี้
บทเพลงยิ้มเย้ยยุทธจักร
หน้ากากขาว
เกราะเกล็ดมังกร
ผ้าคลุมไท่หลง
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x2
x7
x4
x10
x10
x13
x13
x13
x12
x11
x202
x1
x1
x1
x11
x22
x15
x30
x1
x100
x100
x9
x2
x5
x6
x8
x10
x2
โพสต์ 2022-6-7 20:30:25 | ดูโพสต์ทั้งหมด
ออกเดินทาง 7
กลับไปรายงานแด่วอชเชอร์ เดินทางสักครู่นึง

หญิงสาวออกเดินทางต่อ เข้าสู่เขตภูมิภาคซีเหออีกครั้งหนึ่ง ครั้งนี้นางเดินทางมาได้ระยะทางพอสมควร เธอคิดว่าน่าจะใกล้ถึงเมืองซีเหอแล้วในอีกไม่กี่อึดใจ
เพียงแค่อีกเมืองเดียวก็จะเดินทางไปถึง ตอนนี้ได้ขี่ม้าผ่านทุ้งหญ้าที่ไกลสุดลูกหูลูกตา มีความสบายตาอย่างยิ่งเมื่อมองออกไป

"มันช่างเหนื่อย ก็จริงอยู่..." หญิงสาวเริ่มบ่นพึมพำออกมา

"แต่ว่าการได้ช่วยคนทางอ้อม มันก็ทำให้ข้าสุขใจอยู่เหมือนกัน..." หญิงสาวเอ่ยพร้อมมองขึ้นไปบนท้องฟ้า..

"ไม่รู้ว่าท่านวอชเชอร์จะรับรู้แล้วรึยังนะ?.." หญิงสาวเอ่ยพร้อมมองท้องฟ้า ก่อนจะหันกลับมาตั้งใจในการขี่ม้ามุ่งหน้าไปต่อยังที่หมายแห่งนั้น..

----------------------------------

+2 Point ทุกครั้งที่โรลเรียนรู้ ทะเยอทะยาน
+2 Point ทุกครั้งที่โรลใช้กลอุบาย ทะเยอทะยาน
+2 Point จากการโรลใช้แผนการหรือกลอุบาย หูดี
+4 Point เมื่อโรลเพลย์เรียนรู้ นักวิชาการ
+5 EXP จากการโรลเพลย์บริหารเสน่ห์ คิ้วหงส์
รวม 10 Point / 5 exp




←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ม้าฮั่นเสีย
ตลับผงชาด
ผ้าคลุมขาว
ชุดหนี่ว์จิงเจี๋ยฟางเฉอ
เกาทัณฑ์จย่าเจี๋ยอู๋เยว่
คัมภีร์หนี่กุ้ยเว่ย
ไก่ฟ้าทองแดง
กลยุทธ์เล่ออี้
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x77
x9
x1
x100
x2
x27
x47
x41
x88
x3
x45
x105
x70
x55
x180
x3
x1
x4
x2
x3
x6
x2
x10
x2
x6
x14
x19
x7
x6
x8
x4
x4
x4
x4
x60
x2
x2
x40
x25
x25
x40
x20
x20
x40
x5
x5
x1
x73
x48
x28
x9
x60
x20
x5
x3
x50
x3
x4
x30
x3
x3
x19
x4
x4
x2
x5
x10
x135
x30
x30
x86
x6
x100
x46
x1
x5
x377
x20
x40
x10
x98
x346
x2
x2
x53
x1
x5
x105
x20
x204
x45
x304
x20
x10
x5
x3
x15
x1
x6
x2
x10
โพสต์ 2022-10-13 19:37:28 | ดูโพสต์ทั้งหมด
พักผ่อนก่อนเดินทางกลับ

        เมื่อเสร็จสิ้นกิจธุระของคนลึกลับ  หลี่ซีซวนไม่ได้รีบร้อนกลับเว่ยหนานถึงคาดเดาได้ว่าต้องโดนเฉินหยางบ่นหูชาก็ตาม   ตลอดระยะเวลาควบม้าออกท่องหลายภูมิภาคในแดนเหนือ ชีวิตได้เป็นอิสระอีกครั้งจากภาระทั้งปวงต้องแบกไว้  กระนั่นคือประชาชนไว้ใจและร่วมใจกันสนับสนุนเขาให้ได้ขึ้นมาเป็นใหญ่  หากละทิ้งพวกเขาคงต้องละอายตัวเองไปชั่วชีวิต  เขาเดินจูงมาออกเดินเล่นบนทุ่งหญ้านอกเมืองเจียซิ่ว  สูดรับอากาศบริสุทธิ์  ทั่วแผ่นดินตอนนี้มีแต่โจร ผู้ร้าย  ผู้คนที่หวังสร้างชื่อจากสถานการณ์นี้  ฮั่นจงคือตัวอย่างของผู้ปกครองเมืองอันละเลยหน้าที่ของตนเอง  ใจของเขาเป็นอิสระแต่งานเมืองทำให้เขาต้องทำงาน
     หลี่ซีซวนนอนเล่นบนทุ่งหญ้า  ปากคาบใบหน้าเล่น ปล่อยให้ม้าแทะเล็มหญ้าตามอำเภอใจ  มีความรู้สึกว่าได้ยินเสียงของวัวเป็นฝูงอยู่ไม่ไกลจากจุดที่เขากำลังนอนพักผ่อน  ชักชอบเมืองนี้แล้วสิ  สเน่ห์ของการมีฝูงสัตว์เดินตะลอนไปทั่วทั้งทุ่งหญ้าและลมที่พัดตลอดช่วงบ่าย  ขณะกำลังจะเคลิ้มหลับได้ยินเสียงคนโวยวายว่ามีแสงประหลาดลอยลงมาจากฟากฟ้า  แสงจ้าอ่อนกำลังลงเผยให้เห็นร่างมนุษย์สวมชุดเกราะเต็มยศ  เท้าสัมผัสลงบนทุ่งหญ้า เสียงกระทบกันดัง ทำให้หลี่ซีซวนไม่สามารถนอนต่อไปได้อีกแล้ว ลุกขึ้นมองคนในชุดเกราะเต็มยศ  ฉับพลันร่างนั้นคุกเข่าประสานมือคำนับต่อหลี่ซีซวน ราวกับเจอนายเหนือหัวมิปาน
     "ข้าเทียนอินฉี มาเพื่อรับใช้ท่าน ยินดีติดตามท่านไปทุกแห่ง"
     พลันชุดเกราะนั้นหายไปเหลือเพียงอาภรณ์สีดำสนิท  เทียนอินฉีกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น พลางลุกขึ้นยืน  บุคลิกสุขุมเช่นนี้ ชวนให้นึกถึงหลี่หย่งเมี่ยวเสียจริง
     "มีผู้มีความสามารถดุจฟ้าประทานมาให้กับข้า ข้าย่อมรับคนมีฝีมือไว้ทำงาน นามของข้าชื่อหลี่ซีซวน รั้งตำแหน่งเจ้าเมืองเว่ยหนาน เราเดินทางกลับด้วยกันเถอะ" หลี่ซีซวนเดินเข้ามาหาเทียนอินฉีด้วยความสุภาพ โบกมือพากันเดินชมทุ่งหญ้า  "อินฉี เจ้าว่าทุ่งหญ้าที่นี่เป็นอย่างไร"
     "เรียนนายท่าน ทุ่งหญ้าแห่งนี้เหมาะแก่การทำปศุสัตว์ยิ่งนัก อากาศดี แต่ชาวบ้านที่เลี้ยงสัตว์ย่อมไม่ชอบใจ  เหตุเพราะลมพัดพาดีจนทำให้ดอกผูกงอิงลอยไปติดเสื้อผ้าของพวกเขา"
     เทียนอินฉีปัญญาฉับไวตอบหลี่ซีซวนจากการเดินสังเกต
     "หากไม่เกิดภัยสงครามทั่วแผ่นดิน ข้าอยากให้มีทุ่งหญ้าแบบนี้ไว้เวลาข้าว่างจากภาระงานเมือง" หลี่ซีซวนเดินจูงม้าพลางหัวเราะอารมณ์ดี "เร่งกลับเว่ยหนานกันเถอะ เรายังต้องเดินทางอีกไกล"
     พวกเขาไม่ค่อยได้สนทนากันอีก เร่งฝีเท้าเดินกลับไปให้ทัน  งานเมืองคาดว่าผู้รักษาการเจ้าเมืองคงร้อนในจนนั่งไม่ติดที่แล้ว  เพราะคนคล่องงานดันแอบหนีเที่ยว สุขสำราญเที่ยวจนลืมคิดไปว่าตัวเองเป็นเจ้าเมืองไม่ใช่คนพเนจร
ลักษณะนิสัยใจดำ
+35 EXP ทุกครั้งที่โรลเห็นแก่ตัวไม่สนใจ


←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ตำราเลี่ยจื่อ
ม้าเฟิ่งหวง
กระบี่ร้อยกฎ
เตากำยาน
หน้ากากขาว
เกราะเกล็ดมังกร
ผ้าคลุมไท่หลง
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x55
x2
x4
x3
x1
x3
x8
x3
x15
x19
x20
x20
x10
x1
x1
x1
x1
x9
x6
x10
x1
x2
x30
x3
x10
x2
x1
x3
x15
x35
x2
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง เข้าสู่ระบบ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

อย่าลืมเข้าสู่ระบบนะจ๊ะ เข้าสู่ระบบตอนนี้ หรือ ลงทะเบียนตอนนี้

เว็บไซต์นี้ มีการใช้คุกกี้ 🍪 เพื่อการบริหารเว็บไซต์ และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานของท่าน (เรียนรู้เพิ่มเติม)

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้