
เควสประจำวัน ส่งข้าวสารให้ผู้ว่าการอู๋เว่ย
ตอนที่ 3 น้ำชา หญิงสาว และหมากล้อม

ย้อนเหตุการณ์เมื่อวาน
บ่ายวันนั้น ณ โรงน้ำชาที่มีชื่อเสียงประจำเมืองฉางอาน ว่ากันว่าในช่วงก่อนเข้าสู่กลียุคนั้น โรงน้ำชาแห่งนี้จะมีลูกค้าแวะเวียนเข้ามาไม่ขาดสาย จนได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในสถานที่ที่ผู้ใดมายังเมืองฉางอานก็ต้องแวะมาใช้บริการ ซึ่งแม้ว่าในยามนี้จะเข้าสู่กลียุค แต่ก็ยังคงมีลูกค้าแวะเวียนมาอยู่แทบจะตลอดไม่ว่าจะเป็นลูกค้าประจำและลูกค้าขาจร โรงน้ำชาแห่งนี้บริหารกิจการโดยหลี่ เฟยหลง ชายชราผู้ได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่ซื่อตรง ยุติธรรม อ่อนน้อมและถ่อมตนยิ่งนัก ซึ่งเขานั้นมีบุตรีคนเล็กคอยช่วยบริหารงานโรงน้ำชา
เกวียนเล่มหนึ่งได้เคลื่อนที่มาหยุดยังเบื้องหน้าโรงน้ำชา ชายหนุ่มร่างสูงโปร่งกระโดดลงจากเกวียนแล้วยืดเหยียดแขนเพื่อคลายความเมื่อยล้าจากการที่นั่งเกวียนมานานติดต่อกันหลายชั่วโมง แล้วยืดอกสูดลมหายใจเข้าปอด ก่อนจะหันไปลูบหัวของวัวทั้งสองตัว ชายร่างสูงใหญ่กระโดดลงจากเกวียนเช่นกัน เขายืดเหยียดแขนก่อนจะป้องปากหาวหวอดใหญ่เสียงดัง แล้วมองดูโรงน้ำชาที่ตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้าพวกเขา
“ที่นี่งั้นหรือโรงน้ำชาที่เจ้าเอ่ยถึง ช่างดูใหญ่โตยิ่งนัก ต่างจากพวกโรงเตี้ยมที่ข้าเคยแวะเวียนเสียจริง ๆ ชักอยากจะเข้าไปนั่งดื่มชาให้หายเหนื่อยเสียแล้วสิ”
เฉินกวงเอ่ย เก้อหลี่ที่กำลังลูบหัวของวัวทั้งสองตัวอยู่ก็หันไปมองโรงน้ำชานั้นก็ยิ้ม เขาพยักหน้าให้กับชายร่างสูงใหญ่ก่อนจะกระชับกระเป๋าย่ามที่เขาสะพายไว้กับตัว แล้วเดินนำเฉินกวงเข้าไปยังโรงน้ำชา ชายหนุ่มเดินไปบอกกับพนักงานต้อนรับที่ยืนอยู่หน้าโรงน้ำชาว่า ให้จัดคนไปเฝ้าเกวียนของพวกตน เมื่อพนักงานผู้นั้นพยักหน้ารับแล้ว เก้อหลี่ก็เดินนำเฉินกวงเข้าไปข้างใน
ภายในโรงน้ำชานั้นประดับตกแต่งอย่างเรียบง่ายแสดงถึงนิสัยของผู้เป็นเจ้าของโรงเตี้ยมว่า คงจะเป็นผู้ที่ใช้ชีวิตเรียบง่าย ไม่นิยมความหรูหรามากนัก ดูเหมือนว่าในเวลานี้จะมีลูกค้ามานั่งเพียงไม่กี่โต๊ะนัก ชายหนุ่มกับชายร่างสูงใหญ่จึงมีโต๊ะให้เลือกนั่งเยอะ ขณะที่เขากำลังกวาดสายตามองดูโต๊ะที่ว่างเปล่าอยู่นั้นเขาก็สะดุดตากับโต๊ะหนึ่งที่มีหญิงสาวรูปร่างสูงโปร่งกำลังก้มหน้าก้มตาเขียนอะไรบางอย่างอยู่ เบื้องหน้าของนางนั้นมีชายชราผู้หนึ่งกำลังนั่งพร่ำบอกอะไรบางอย่างให้นางฟัง ชายหนุ่มเห็นดังนั้นก็รู้สึกประหลาดใจแต่ก็ไม่พูดสิ่งใดหรือแสดงอาการใด ๆ ออกมา
“โต๊ะตรงนั้นว่าง ข้าว่าเราไปนั่งตรงนั้นละกันนะ”
ว่าแล้วเก้อหลี่ก็เดินนำเฉินกวงไปนั่งยังโต๊ะที่อยู่ไม่ไกลจากโต๊ะที่หญิงสาวกับชายชรานั่งอยู่มากนัก เก้อหลี่นั่งเอากุมมือพลางกวาดสายตามองดูบริเวณโดยรอบ พลางแอบลอบชำเลืองมองหญิงสาวที่กำลังจดอะไรบางอย่าง มืออีกข้างที่ว่างอยู่นั้นทำท่าทางแปลก ๆ เมื่อชายหนุ่มมองดูดี ๆ ก็คล้าย ๆ กับว่ากำลังนับหรือคำนวณเลขอยู่
“สวัสดีเจ้าค่ะพวกท่านดื่มชาอะไรดีหรือเจ้าคะ”
หญิงสาวผู้ร่างเล็กคนหนึ่งท่าจะเป็นพนักงานของโรงน้ำชาเอ่ยปากพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน ทำให้เฉินกวงที่ได้ยินก็ถึงกับยิ้มกริ่ม ใบหน้าของหญิงสาวดูงดงามน่ารักยิ่งนัก เฉินกวงเอ่ยปากพูดกับหญิงสาว
“พี่เดินทางมาไกล อยากจะได้สุราสักไหมาดื่มเสียให้ชื่นใจสักหน่อย น้องจะพอมีให้พี่ดื่มหรือไม่เล่า”
คำพูดของเฉินกวงทำให้หญิงสาวเอามือป้องปากแล้วหัวเราะเบา ๆ นางส่ายหน้าเล็กน้อย ก่อนจะพูดตอบพร้อมรอยยิ้มและน้ำเสียงอ่อนหวาน
“ไม่มีหรอกเจ้าค่ะ ท่านพี่อย่าได้เย้าแหย่ข้าเลยเจ้าคะ เถ้าแก่ท่านมองดูอยู่เดี่ยวข้าจะโดนดุเอา”
เก้อหลี่ที่นั่งฟังเฉินกวงอยู่ก็พอจะรู้ความคิดของชายร่างสูงใหญ่ ก็เอ่ยปากพูดด้วยน้ำเสีียงทุ้มนุ่มพร้อมรอยยิ้มบาง
“สหายของข้าพูดหยอกเย้าเจ้าเฉย ๆ น่ะ อย่าได้กังวลเลย ข้ากับสหายขอเป็นชุดน้ำชาหลงจิ่งกับของว่างมาสักสองสามชุดละกันนะ”
“เฮ้ยเก้อหลี่ แต่ข้าอยากดื่มสุรานี่นา โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับแม่สาวน้อยผู้นี้”
เฉินกวงพูดขัดโดยทันที ก่อนจะหันไปยักคิ้วหลิ่วตาให้กับหญิงสาว แต่ดูเหมือนว่า พนักงานสาวผู้นั้นจะส่งยิ้มให้กับชายหนุ่มผู้เป็นเจ้านายเสียอย่างงั้น ทำให้เฉินกวงรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย ได้แต่กอดอกแล้วจ้องมองเก้อหลี่ตาเขม็ง พนักงานสาวพยักหน้าให้กับเก้อหลี่ก่อนจะโค้งตัวเล็กน้อยแล้วเดินไปที่ครัว ชายหนุ่มหันกลับไปมองเฉินกวงก็ตกใจเล็กน้อย เขายิ้มขำเบา ๆ แล้วเอ่ยปากถามผู้ติดตามของตน
“ใยถึงหน้าบึ้งตึงเช่นนั้นเล่า”
“ข้าแค่อิจฉาและสงสัยในตัวเจ้าน่ะเก้อหลี่ ข้าออกจะหน้าตาดีกว่า มีเสน่ห์กว่า ไฉนเลยแม่นางผู้นั้นถึงสนใจเจ้าเสียได้”
เก้อหลี่ได้ยินเช่นนั้นก็หัวเราะเบา ๆ แล้วส่ายหน้าเล็กน้อย ก่อนจะยื่นมือไปตบบ่าชายร่างสูงใหญ่ เขายิ้มให้กับผู้ติดตามของตนก่อนจะเอ่ยปากพูด
“เจ้าคิดมากเสียแล้วเฉินกวง นางคงจะหลงเสน่ห์เจ้าแล้วล่ะ แต่คงจะเขินอายเสีย จึงแก้เก้อเจินด้วยการหันมาพูดคุยกับข้ากระมัง”
เฉินกวงได้ยินเช่นนั้นก็ถอนหายใจเบา ๆ แล้วส่ายหน้าให้กับเก้อหลี่
“ข้าอยากจะดื่มสุราสักไหเสียจริง ๆ ให้ตายสิ อยากดื่มสุรา !!!”
เสียงห้าวดังที่เฉินกวงพูด ทำให้ผู้คนที่อยู่ภายในร้านต่างพากันหันไปมองที่โต๊ะของเก้อหลี่และเฉินกวงเป็นตาเดียว ทำให้เก้อหลี่ถึงกับพูดปรามชายร่างสูงใหญ่ให้พูดเบา ๆ เสียหน่อย ด้วยไม่อยากจะให้เกิดเรื่องที่นี่ แต่แล้วหญิงสาวร่างสูงโปร่งที่เก้อหลี่แอบลอบมองตั้งแต่ที่เขาเดินเข้ามาในโรงน้ำชา ก็วางพู่กันลงแล้วลุกขึ้นจากเก้าอี้เดินมายืนอยู่ที่โต๊ะของพวกเขา
“พวกท่านโวยวายเรื่องกระไรงั้นหรือเจ้าคะ มีสิ่งใดให้ข้าช่วยหรือไม่”
หญิงสาวร่างสูงโปร่งยืนกอดอกมองดูพวกเขา ใบหน้าของนางดูงดงามยิ่งกว่า พนักงานหญิงคนเมื่อครู่ที่มาต้อนรับพวกเขาเสียอีก เก้อหลี่ที่ได้ยินคำถามจากหญิงสาวก็กำลังอ้าปากจะเอ่ยตอบ แต่ดูจะไม่ทันเฉินกวงที่ดูเหมือนว่าปากจะทำงานไวกว่าสมองเสียอย่างงั้น
“ข้าอยากได้สุราสักไห น้องสาวพอจะหาให้ข้าดื่มได้หรือไม่เล่าจ๊ะ”
เก้อหลี่ได้ยินเช่นนั้นก็ถึงกับต้องหันไปมองดูท่าทีของหญิงสาวโดยพลัน แต่ดูเหมือนหญิงสาวจะยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหัวเราะเบา ๆ แล้วเอามือเท้าเอวบางอันสมส่วนของนาง ก่อนจะเอ่ยปากพูดด้วยน้ำเสียงหวานที่ฟังดูแข็งขึ้นเล็กน้อย
“เสียใจด้วยนะเจ้าคะ ที่นี่เป็นโรงน้ำชาสกุลหลี่ เราไม่มีสุราให้ท่านได้ดื่มหรอก หากว่าท่านต้องการดื่มสุราล่ะก็เชิญได้หาดื่มที่โรงเตี้ยมเสียเถอะ และหากว่าท่านไม่รู้ว่าโรงเตี้ยมอยู่ที่ใดล่ะก็ ลองไปถามทางจากพนักงานที่อยู่หน้าโรงน้ำชาเสียเถอะนะเจ้าคะ”
ชายหนุ่มร่างสูงโปร่งแม้จะอึ้งเล็กน้อยกับคำตอบของหญิงสาวที่แสดงออกถึงความเฉลียวฉลาดช่างเจรจาของนาง แต่เขาก็แอบลอบยิ้ม ตรงข้ามกับเฉินกวงที่ดูหงุดหงิดยิ่งนัก ด้วยคำพูดของหญิงสาวทำให้เขารู้สึกเหมือนโดนหญิงสาวตบหน้าอย่างจัง
“พูดกันดี ๆ ก็ได้นะน้องสาว ไฉนถึงพูดไล่พวกพี่เช่นนี้เล่า”
เมื่อพูดจบเฉินกวงก็ทำท่าจะลุกขึ้นจากเก้าอี้ด้วยความไม่พอใจ แต่ก็ถูกเก้อหลี่ที่มีความไวมากกว่าลุกขึ้นไปกดไหล่กว้างของชายร่างสูงใหญ่ให้กลับไปนั่งลงเช่นเดิม เก้อหลี่หันไปยิ้มอ่อนให้กับหญิงสาว แล้วเอ่ยปากพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่มอย่างอ่อนโยน
“ขออภัยให้กับสหายของข้าด้วยนะแม่หญิง พอเขาเดินทางมาเหนื่อย ๆ น่ะเลยอยากดื่มสุรา แต่ที่นี่ไม่มีก็ไม่เป็นไรหรอก พวกข้าดื่มน้ำชาได้”
“เฮ้ย ไม่ได้ ๆ ข้าไม่ยอมหรอก แม่สาวคนนี้พูดจาราวกับว่า ข้าโง่เขลาเบาปัญญานัก ข้ายอมไม่ได้”
เฉินกวงตะโกนออกมาพลางดิ้นขัดขืนด้วยความไม่พอใจ หญิงสาวร่างสูงโปร่งเห็นท่าทีเช่นนั้นก็กระหยิ่มยิ้มเยาะ หัวเราะออกมาเบา ๆ ก่อนจะเอ่ยปากพูดด้วยน้ำเสียงแข็งแต่อ่อนหวาน
“กระนั้นหรือ หากแม้ว่า สหายของท่านคิดว่า ตนมิได้โง่เขลาดังเช่นที่ข้าเอ่ยเช่นนั้นก็ลองมาเชาว์ปัญญากับข้าสักคำถามสองคำถามเสียหน่อยละกันนะ”
เก้อหลี่กับเฉินกวงได้ยินคำพูดของหญิงสาวก็หันไปมอง เฉินกวงหัวเราะดังลั่นแล้วยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ ก่อนเอามือเท้าคางมองดูหญิงสาวร่างสูงโปร่ง
“ย่อมได้ หึหึหึ หญิงสาวเช่นเจ้าน่ะหรือจะเชาว์ปัญญา ย่อมได้ หากแม้นว่า ข้าชนะเจ้าจะเลี้ยงสุราและนั่งดื่มกับข้าหรือไม่เล่า”
“เฉินกวง”
เก้อหลี่ที่ได้ยินคำท้าของผู้ติดตามของตนเช่นนั้นก็ถึงกับเอ่ยปากปรามไว้ด้วยเสียงดุ แต่ดูเหมือนหญิงสาวกลับหัวเราะออกมาเบา ๆ ก่อนจะเดินมานั่งเก้าอี้ตรงข้ามกับเฉินกวง แล้วเอามือเรียวงามคู่นั้นมาวางเท้าคาง ก่อนจะยิ้มที่มุมปาก
“ย่อมได้เจ้าค่ะ แต่หากท่านแพ้ ท่านจะต้องยอมจ่ายค่าเสียเวลาด้วยการเลี้ยงน้ำชาแก่ลูกค้าทั้งหมดในโรงน้ำชาของข้านะเจ้าคะ”
เฉินกวงได้ยินเช่นนั้นก็ถึงกับหยุดคิดอยู่ครู่หนึ่ง แต่ด้วยความที่ว่าศักดิ์ศรีมันค้ำคอ เขาไม่ยอมที่จะให้หญิงสาวที่นั่งอยู่ตรงหน้าเขาดูถูกได้ก็กำหมัดแล้วทุบโต๊ะทีนึง
“ย่อมได้ข้ารับคำท้า ลองว่าคำถามของเจ้ามาเลยแม่สาวน้อย”
เก้อหลี่เห็นท่าทางของผู้ติดตามของตนเช่นนั้นก็นั่งลงข้าง ๆ แล้วบอกกับชายร่างสูงใหญ่ด้วยรู้ถึงผลแพ้ชนะล่วงหน้า
“เฉินกวงเจ้าไม่มีเงินที่จะจ่ายหรอกนะ ยอมแพ้นางเสียเถอะ”
“ยอมแพ้งั้นหรือ เหอะ ไม่ได้หรอก ข้ามั่นใจว่าข้าชนะนางแน่นอนเก้อหลี่ หรือหากแพ้ก็คงจ่ายไม่มากหรอกน่า ข้าขอยืมเงินเจ้าก่อนละกันนะ”
เก้อหลี่ได้ยินคำตอบจากเฉินกวงก็ถึงกับส่ายหน้าและถอนหายใจเบา ๆ เขาได้แต่หันไปมองหญิงสาวที่นั่งเท้าคางมองดูพวกเขาด้วยท่าทางเรียบเฉยอย่างใจเย็น หญิงสาวค่อย ๆ เปิดปากพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน
“ท่านชาย หากแม้นว่าท่านมีปัญญายอดเยี่ยมเหนือกว่าข้าแล้วไซร้ ไหนลองชี้แจงแถลงไขให้ข้าฟังถึงคำตอบของปริศนาธรรมนี้แก่ข้าผู้โง่เขลาเสียหน่อยว่า ยักษ์ตนหนึ่งนั่นมีสี่หน้า มีดวงตาสองข้าง ยามดวงตาข้างหนึ่งเปิดสว่าง ดวงตาอีกข้างก็จะริบหรี่ดับมืด มันมีปากที่ใหญ่ถึงสิบสองปาก แต่ละปากนั้นมีฟันไม่มากและไม่เท่ากันนัก บางปากก็มีสิบเจ็ดซี่ บางปากก็มีสิบแปดซี่ และบางปากก็มีสิบเก้าซี่ แต่มันกลับสามารถกลืนกินสรรพสิ่งทั่วทั้งปฐพี ท่านพอจะรู้หรือไม่เล่าว่า ยักษ์ตนนี้คืออะไร จริง ๆ แล้วคงมิเกินปัญญาอันสูงล้ำของท่านนักดอก ตอบครั้งเดียวคงได้ แต่หลี่หย่งเมี่ยวผู้นี้ใจดีให้โอกาสท่านตอบได้สามครั้งเจ้าค่ะ”
เฉินกวงได้ยินคำถามจากหญิงสาวก็พึ่งจะรู้ได้ว่า หญิงสาวผู้นี้คงจะมีปัญญาหลักแหลมดังที่เก้อหลี่พูด แต่ก็สายไปเสียแล้ว ตรงข้ามกับเก้อหลี่ที่เมื่อได้ยินคำถามของหญิงสาวก็แอบลอบยิ้มด้วยเขาพอจะเคยได้ยินอยู่บ้างเกี่ยวกับการตอบปัญหาเชาว์ปัญญาเรื่องปริศนาธรรมเช่นนี้ แต่เขาเลือกที่จะไม่พูดกระไรนอกจากปล่อยให้เฉินกวงที่บัดนี้กำลังเกาหัวแกรก ๆ ด้วยความงุนงงตอบคำถามนั่นเสียให้รู้ซะบ้าง
“อะไรกันว่ะ ยักษ์สี่หน้า สิบสองปาก เอาล่ะ ข้าคิดออกละ ยักษ์ที่เจ้าเอ่ยมามันก็คือ แม่น้ำ ถูกต้องใช่หรือไม่เล่า บอกข้ามาเสียโดยดี”
ชายร่างสูงใหญ่เอ่ยพูดพลางยืดอกกว้างอย่างภูมิใจ เก้อหลี่ที่ได้ยินคำตอบก็ถึงกับลอบแอบส่ายหน้าเบา ๆ หญิงสาวได้ยินคำตอบและเห็นท่าทางของชายร่างสูงใหญ่ก็ถึงกับกลั้นขำไม่ได้ นางส่ายหน้าเบา ๆ แล้วยิ้มกริ่ม
“ไม่ได้เฉียดกับคำตอบเลยแม้แต่น้อยเจ้าค่ะ ท่านตอบผิดไปหนึ่งครั้งแล้ว เหลือโอกาสอีกสองครั้งนะเจ้าคะ”
เฉินกวงเมื่อรู้ว่าตนเองตอบผิดก็ถึงกับเกาหัวแกรก ๆ อีกครั้งด้วยว่าจนปัญญา เขาเอามือใหญ่ลูบคางไปมาพลางครุ่นคิดอีกครั้ง พลางบ่นพึมพำไปมาคนเดียว เก้อหลี่ที่นั่งเอามือเท้าคางมองดูชายร่างสูงใหญ่สลับกับหญิงสาวที่นั่งเอาเล็บเคาะโต๊ะเบา ๆ เป็นจังหวะพลางฮัมเพลงอย่างสบายอารมณ์ เมื่อนางรู้สึกได้ว่า ชายหนุ่มแอบลอบมองนาง ดวงตาเรียวงามก็หันไปสบตามองชายหนุ่มทันที ทำให้เก้อหลี่ต้องหันไปมองเฉินกวงแก้เก้อ พอดีกับที่หญิงสาวที่เป็นพนักงานที่เก้อหลี่กับเฉินกวงพบในตอนแรกนำชุดน้ำชาและของว่างมายังที่โต๊ะ
“เอ่อ . . . น้ำชาและของว่างมาแล้วเจ้าค่ะ”
พนักงานสาวเอ่ยด้วยความเกรงใจพลางมองดูท่าทางของชายหญิงทั้งสามคนด้วยความสงสัย แต่ก็พอเดาได้ว่า นายหญิงคนเล็กนั้นคงจะประลองเชาว์ปัญญากับชายทั้งสองคนนี้เป็นแน่ ซึ่งนางเห็นอยู่บ่อยครั้งเหมือนกัน
“ชงให้กับสหายของข้าและแม่นางคนนั้นเถอะ เพราะข้ารอที่จะดื่มสุราจากแม่นางคนนั้นล่ะนะ”
เฉินกวงเอ่ยปากพูดพลางยิ้มอย่างมั่นใจ แม้ว่าในตอนนี้เขาจะอับจนปัญญาแล้วก็ตาม แต่เขาก็ไม่ยอมแพ้เสียโดยง่าย พนักงานสาวได้แต่ยิ้มแหย ก่อนจะหันไปรินน้ำชาแล้วส่งให้กับเก้อหลี่ ซึ่งเขาก็รับมาจิบด้วยท่าทางอ่อนโยนและสุขุม เช่นเดียวกับหญิงสาวที่รับน้ำชามาจิบอย่างสบายใจ แต่แล้วเฉินกวงที่ใช้สมองอันตื้อของเขาครุ่นคิดครู่หนึ่งก็เอากำปั้นทุบโต๊ะครั้งนึง ราวกับว่าจะรู้คำตอบแล้ว ทำให้พนักงานสาวถึงกับสะดุ้งตกใจ
“ข้ารู้ละ ครั้งนี้ข้าตอบถูกแน่นอน ยักษ์ที่เจ้าบอกนั้นก็คือ ท้องฟ้าอันกว้างใหญ่”
เมื่อพูดจบชายร่างสูงใหญ่ก็กางแขนกว้างแสดงท่าทางประกอบคำตอบของเขา ซึ่งนั่นกลับทำให้หญิงสาวหัวเราะออกมาอีกครั้งแล้วส่ายหน้าเล็กน้อย เช่นเดียวกับเก้อหลี่ที่เมื่อได้ยินคำตอบแล้วก็ถึงกับลอบถอนหายใจอีกครั้ง เฉินกวงรู้สึกหงุดหงิดอีกครั้ง เขาอ้าปากเพื่อจะตอบคำถามครั้งสุดท้าย
“คำตอบสุดท้าย ยักษ์ตนนั้นก็คือ . . .”
“คือ กาลเวลา . . .”
หญิงสาวได้ยินคำตอบจากชายหนุ่มที่ชิงตอบแทนเฉินกวง ก็ถึงกับเงียบแล้วเอียงคอมองชายหนุ่มเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มออกมาอย่างพอใจ เฉินกวงเมื่อได้ยินคำตอบจากเก้อหลี่ก็ถึงกับทำตาโตแล้วมองดูเจ้านายของตน เก้อหลี่ยิ้มก่อนจะพูดอธิบายต่อด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่มน่าฟังว่า
“มันเป็นปริศนาธรรมของชาวพุทธน่ะ ข้าเคยได้ยินอยู่เมื่อสมัยที่ข้าได้เดินทางไปกับท่านลุง เขาเคยพูดคุยแลกเปลี่ยนกับนักปราชญ์ชาวพุทธ ยักษ์ที่แม่นางพูดถึงนั้นคือ กาลเวลา ใบหน้าทั้งสี่ของมันนั้นก็คือ ฤดูกาลที่สี่ฤดู ใบไม้ผลิ ร้อน ใบไม้ร่วง และหนาว ส่วนดวงตาทั้งสองข้างที่เมื่อข้างนึงเปิด อีกข้างจะดับนั้นก็คือ กลางวันและกลางคืนนั่นเอง เมื่อกลางวันสว่างกลางคืนก็จะริบหรี่หายไป และเมื่อกลางคืนสว่างกลางวันก็จะลาลับเช่นกัน ส่วนปากทั้งสิบสองนั้นก็คือ เดือนทั้งสิบสองเดือน และฟันที่ไม่เท่ากันในแต่ละปากนั้นก็คือ จำนวนวันที่ไม่เท่ากันในแต่ละเดือน บ้างก็มีสิบเจ็ดวัน บ้างก็สิบแปดวัน และบ้างก็มีสิบเก้าวัน และการที่มันสามารถกลืนกินทุกสรรพสิ่งได้นั้นก็แสดงถึงว่า ไม่มีสิ่งใดที่จะอยู่เหนือกาลเวลาได้ ทุกสิ่งล้วนเกิดและดับไปตามกาลเวลา นี่คือคำตอบที่ถูกใช่หรือไม่เล่า”
เมื่อพูดจบชายหนุ่มก็มองดูหญิงสาวพร้อมกับยิ้มอ่อนอย่างใจเย็น หลี่หย่งเมี่ยวได้ยินคำตอบจากชายหนุ่มก็หัวเราะเบา ๆ อย่างสุขุมและยิ้มเล็กน้อยอย่างพึงพอใจ ด้วยนางย่อมรู้อยู่แล้วว่า ชายหนุ่มนั้นมีปัญญาที่เหนือกว่าชายร่างสูงใหญ่เป็นแน่ แต่เพียงแค่ไม่คิดจะตอบตั้งแต่แรกเท่านั้นเอง
“ข้าคิดไว้อยู่แล้วเชียวว่า ท่านนั้นมีปัญญาเหนือกว่าสหายของท่าน ใช่แล้วเจ้าค่ะ เป็นคำตอบที่ถูกต้อง แต่ในเมื่อท่านเป็นคนตอบ ข้อตกลงก็ถือไม่ยกเลิกไปนะเจ้าคะ เว้นเสียแต่ท่านจะลองตอบคำถามอื่นอีก ท่านอยากจะลองหรือไม่เล่า แต่คราวนี้หากท่านตอบปริศนาของข้าได้ ข้าจะเลี้ยงน้ำชาและชุดของว่างนี้แก่ท่าน แต่หากท่านตอบผิดท่านต้องจ่ายค่าน้ำชาชุดนี้เป็นราคาสองเท่า”
หญิงสาวเอ่ยปากพูดพลางสบตามองดวงตาคมของชายหนุ่ม แล้วยิ้มกริ่ม ชายหนุ่มได้ยินเช่นนั้นก็เอามือลูบคางพลางครุ่นคิดอย่างใจเย็น เฉินกวงที่เห็นชายหนุ่มสามารถตอบคำถามของหญิงสาวได้ก็ได้ทียุให้เก้อหลี่ตอบคำถามต่อไปเสีย ด้วยเชื่อว่า ชายหนุ่มคงเอาชนะหญิงสาวผู้นี้ได้ไม่ยากเย็นนัก เก้อหลี่ที่หลับตาครุ่นคิดอยู่นั้นก็ลืมตาแล้วสบตามองดูใบหน้างดงามของหญิงสาวแล้วยิ้ม
“อันว่า ปริศนาธรรมเมื่อครู่นั้นหากเปรียบแล้วก็คงเป็นคำถามสำหรับเด็กในความคิดของแม่นาง แต่ถึงกระนั้นหากว่าจะทำให้ข้ามีความรู้เพิ่มขึ้น ก็ถามคำถามมาเสียเถิด เพื่อให้ข้าได้ลองใช้ปัญญาอันน้อยนิดของข้าเสียบ้าง”
เก้อหลี่เอ่ยปากตอบหญิงสาวด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่มน่าฟัง พร้อมกับยิ้มบางให้นาง หญิงสาวได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มออกมาอย่างพึงใจด้วยว่า คงจะได้พบกับคู่แข่งที่สมน้ำสมเนื้อกับตนเสียทีในวันนี้ นางเอามือเท้าคางพลางครุ่นคิดคำปริศนาอยู่ครู่หนึ่งก็เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานว่า
“อันว่า ปริศนาธรรมเมื่อครู่นั้นเท่าที่จำได้ ข้าเคยใช้ถามบรรดานักปราชญ์ที่แวะมาประชันปัญญากับข้าถึงสามสิบคน แต่มีคนตอบได้เพียงยี่สิบคน ส่วนอีกสิบคนนั้นเดินคอตกออกไป แต่มาคำปริศนานี้ทำให้อีกยี่สิบคนที่เหลือ มีเพียงสิบคนเท่านั้นที่ตอบได้ ข้าหวังว่าท่านจะตอบปริศนานี้ได้นะเจ้าคะ อันว่า สี่คนหาม สามคนแห่ หนึ่งคนนั่งแคร่ สองคนพาไปนั้น ท่านอาจจะเคยได้ยินมาบ้าง หากท่านเป็นชาวพุทธ แต่หากไม่ใช่ ก็คงจะยากเสียหน่อย ท่านช่วยชี้แจงแถลงไขให้ข้าฟังเสียหน่อยได้หรือไม่เจ้าคะ ว่าบุคคลทั้งสี่กลุ่มนั้นหมายถึงสิ่งใด”
ชายหนุ่มได้ยินคำถามของหญิงสาวก็นิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่ง เขาเอามือเท้าคางพลางครุ่นคิดอย่างใจเย็น ขณะที่เฉินกวงเมื่อได้ยินคำถามจากหญิงสาวร่างสูงยาวก็ถึงกับเกาหัวอีกคำรบนึง เมื่อเห็นว่าตนเองไม่น่าจะช่วยอะไรชายหนุ่มได้ก็หันไปพูดคุยกับพนักงานสาวก่อนจะให้นางนั่งดื่มชาเป็นเพื่อนตนรอเวลา เก้อหลี่หลับตาครุ่นคิด ประโยคนี้เหมือนกับเขาพึ่งได้ยินมาเมื่อไม่นานนี้เองนา จากที่ใดนะ เมื่อคิดถึงที่หญิงสาวพูดไว้เกี่ยวกับศาสนาทันใดนั้นก็เก้อหลี่ก็นึกขึ้นมาได้ เขาลืมตาแล้วหันไปมองหญิงสาวที่นั่งฮัมเพลงและจิบชาอย่างสงบเสงี่ยม
“ถ้าจำไม่ผิดเหมือนข้าเคยได้ยินจากเจ้าอาวาสวัดไป๋ฉีที่เมืองลั่วหยาง ตอนนั้นข้าได้ไปเข้าร่วมพิธีทำบุญบูชาข้าวพระ ในบ่ายวันนั้นท่านได้เทศนาธรรมะ และเหมือนท่านได้อธิบายถึงปริศนาธรรมนี้ไว้นั่นแหละนะ เอาล่ะ ประโยคปริศนาธรรมที่ว่า สี่คนหาม สามคนแห่ หนึ่งคนนั่งแคร่ และสองคนนำพานั้น โดยรวมแล้วก็คือ การมีอยู่ของมนุษย์เรานั่นเอง ตามหลักธรรมของศาสนาพุทธนั้น สี่คนหามก็หมายถึงธาตุทั้งสี่อันเป็นร่างกายของมนุษย์เรา ดิน น้ำ ลมและไฟ ซึ่งธาตุทั้งสี่จะต้องหามกันอย่างสมดุล หากเสียสมดุลแล้วแคร่ก็จะเอียงเปรียบได้กับร่างกายที่เจ็บป่วย สามคนหามนั้นก็หมายถึงสิ่งที่มนุษย์หลีกหนีไม่พ้น นั่นคือ ความเจ็บป่วย ความแก่ชรา และความตาย หนึ่งคนนั่งแคร่ นั่นก็คือ จิตใจอันหนึ่งเดียวของเราที่จะคอยบังคับธาตุทั้งสี่ และสุดท้ายสองคนพาไปนั้นก็คือ บาปและบุญที่จะคอยชักนำให้คนเราไปตามเส้นทางต่าง ๆ คำตอบเหล่านี้ถูกต้องหรือไม่เล่าแม่นาง”
หญิงสาวได้ยินคำตอบก็ถึงกับอึ้งเล็กน้อยด้วยคิดไม่ถึงว่า ชายหนุ่มจะเคยได้ยินหลักธรรมเช่นนี้ด้วย แต่นางก็มิได้ประหลาดใจกระไรมากมายนัก เหตุเพราะจากที่ชายหนุ่มพูดมานั้นแสดงให้เห็นว่า เขาคงจะเป็นบัณฑิตจากสำนักปราชญ์ที่ใดสักที่เป็นแน่ หญิงสาวใช้มือเรียวปรบมือเบา ๆ สองสามทีแล้วยิ้มให้กับชายหนุ่ม
“ท่านช่างมีความเฉลียวฉลาดโดยแท้เจ้าค่ะ มินึกเลยว่าจะไขปริศนาธรรมนี้ได้ เช่นนั้นตามข้อตกลงข้ายอมแพ้แก่ท่านเจ้าค่ะ”
ชายหนุ่มได้ยินดังนั้นก็ส่ายหน้าเล็กน้อยแล้วยิ้มให้กับหญิงสาว เขาเอ่ยปากพูดกับนาง
“หามิได้ หามิได้ ข้ารู้ดีว่าแม่นางออมมือให้กับเรา อีกอย่างของซื้อของขายย่อมมีราคา เราจะจ่ายเงินเสียตามราคามิคิดจะใช้การเชาว์ปัญญาในครั้งนี้มาเอาเปรียบโรงน้ำชาของแม่นางหรอก”
ขณะที่ชายหนุ่มกำลังพูดคุยกับหญิงสาวอยู่นั้น ชายชราที่นั่งมองดูจากโต๊ะที่เขานั่งอยู่นานแล้วก็เดินมายืนอยู่ที่โต๊ะของพวกเขาแล้วมองดูชายหนุ่มกับหญิงสาว ก่อนจะเอ่ยปากพูดกับชายหนุ่มด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
“ขออภัยนะพ่อหนุ่ม ไม่ทราบว่า บุตรีของข้านั้นสร้างปัญหาอะไรกับท่านหรือไม่ขอรับ”
ชายหนุ่มได้ยินคำถามจากชายชราก็รู้แล้วว่า ที่แท้ชายชราผู้นี้ก็คือ เถ้าแก่เจ้าของโรงน้ำชานี่เอง เขาถึงกับลุกขึ้นยืน แต่ชายชราก็โบกมือห้ามไว้แล้วยิ้มอย่างอ่อนน้อม ทำให้ชายหนุ่มต้องนั่งลงอย่างเกรงใจ ก่อนจะเอ่ยปากพูดตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนน้อมว่า
“มิได้เลยขอรับ ท่านผู้เฒ่า บุตรีของท่านช่างฉลาดหลักแหลมยิ่งนัก สามารถเอาชนะสหายผู้เบาปัญญาและเกือบจะทำให้ข้าอับจนปัญญาจากปริศนาธรรมของแม่นาง คงจะเป็นเพราะบิดาสั่งสอนมาดีเป็นแน่แท้ ถึงได้มีบุตรีที่ชาญฉลาดเช่นนี้”
หญิงสาวได้ยินเช่นนั้นก็แอบลอบยิ้ม แต่เมื่อเห็นชายชราผู้เป็นบิดามองดูอยู่ก็หุบยิ้มแทบไม่ทัน ชายชราหันมายิ้มให้กับชายหนุ่มแล้วหัวเราะเบา ๆ อย่างเป็นมิตร
“ขอบคุณยิ่งนัก ท่านกลาวชมข้าและบุตรีมากเกินจริงเสียแล้วล่ะ”
“ใช่แล้วล่ะท่านพ่อ ชายผู้นี้สามารถตอบปริศนาธรรมของข้าได้อย่างไม่ยากเย็นเลยทีเดียว”
หลี่หย่งเมี่ยวเอ่ยสนับสนุน พลางแอบกล่าวชมชายหนุ่มเสียด้วย ชายหนุ่มได้ยินเช่นนั้นก็ได้แต่ยิ้มบางอย่างเกรงใจ
“แท้จริงแล้ว การตั้งปริศนาธรรมของบุตรีข้านั้นเทียบไม่ได้เลยกับความสามารถในการเล่นหมากล้อมของนาง หากท่านไม่รีบที่จะไปทำธุระที่อื่นใดก็ลองเล่นหมากล้อมกับนางเสียสักตาสองตาหรือไม่เล่า”
ชายชราเอ่ยปากเชิงเชิญชวนชายหนุ่ม ซึ่งหญิงสาวผู้เป็นบุตรีของเขาได้ยินเช่นนั้นก็หันไปมองบิดาของตนแล้วส่ายหน้าเล็กน้อยด้วย ชายหนุ่มเห็นท่าทางของหญิงสาวก็ยิ้มอ่อนแล้วเอ่ยปากพูดตอบอย่างนุ่มนวลว่า
“ข้าเกรงว่า จะเป็นการรบกวนเวลาของท่านและบุตรีเสียมากกว่าขอรับ แต่หากไม่เป็นการรบกวนข้าก็ขอลองเล่นหมากล้อมประชันกับแม่นางเสียสักสามรอบละกันขอรับ”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นชายชราก็หัวเราะเบา ๆ แล้วยิ้มออกมาอย่างพึงใจ เขาหันไปพยักหน้าให้กับพนักงานสาวที่นั่งอยู่ข้าง ๆ เฉินกวงแทนการออกคำสั่ง ซึ่งนางก็ลุกขึ้นยืนแล้วโค้งตัวเดินแยกออกไป ชายชราและหญิงสาวหันมายิ้มให้กับชายหนุ่มเล็กน้อย
“หลี่หย่งเมี่ยว นางมักจะเล่นหมากล้อมกับข้าอยู่ทุกหัวค่ำ แน่นอนนางมีฝีมือในด้านการวางแผนเสียมากมาย และปัญญาของนางล้ำเลิศเสียจนเป็นที่ร่ำลือในฉางอาน แต่ถึงกระนั้นข้าก็ยังเห็นควรว่า นางยังต้องเรียนรู้อีกมากอยู่ดี”
“ใช่แล้วเจ้าค่ะ ลูกยังเบาปัญญาอยู่มากนัก”
หญิงสาวกล่าวสนับสนุนชายชรา พอดีกับที่พนักงานสาวเดินถือชุดหมากล้อมมาวางตั้งไว้ที่โต๊ะข้าง ๆ ก่อนจะจัดการเก็บชุดน้ำชาจากโต๊ะที่กลุ่มของชายหนุ่มนั่งกันอยู่ แล้วนำชุดหมากล้อมมาจัดวางเสียเรียบร้อย ชายชราเดินมานั่งอยู่ระหว่างชายหนุ่มกับหญิงสาวก่อนจะหันไปคุยกับชายหนุ่ม
“เชิญท่านเดินหมากก่อนเลย”
ชายหนุ่มพยักหน้าเบา ๆ ก่อนจะมองดูหมากบนกระดาน เขานั่งมองพิจารณาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเดินหมากในตาแรก แล้วผายมือให้กับหญิงสาว หลี่หย่งเมี่ยวเห็นชายหนุ่มผายมือให้ก็พยักหน้าเบา ๆ นางมองดูท่าทีของชายหนุ่มในการเดินหมากอย่างไม่วางตา นางคิดอยู่ครู่หนึ่งก็ทำการเดินหมากในตาแรกโดยทันที แล้วผายมือให้กับชายหนุ่ม เก้อหลี่มองดูการเดินหมากของหญิงสาวก็เริ่มคิดนานขึ้น เขาใช้เวลาอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเดินหมากต่อไป ซึ่งหญิงสาวก็ทำแบบเดียวกัน จนกระทั่งในตาที่ห้า เมื่อหญิงสาวเดินหมากเสร็จแล้ว เก้อหลี่กลับยิ้มให้กับหญิงสาวแล้วเอ่ยปากพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่ม
“ข้าแพ้แม่นางแล้วล่ะ”
นั่นทำให้คนอื่น ๆ ที่นั่งโต๊ะถึงกับตกใจ เพราะว่าชายหนุ่มกับหญิงสาวพึ่งจะเดินหมากได้ไม่ถึงสิบตาเลย ชายหนุ่มก็กลับบอกยอมแพ้เสียง่าย ๆ เฉินกวงถึงกับเอ่ยถามว่า ทำไมถึงยอมแพ้ง่ายเช่นนี้เล่า เก้อหลี่ก็ยิ้มแล้วอธิบายอย่างใจเย็น
“การเล่นหมากล้อมนั้น ผู้เล่นไม่เพียงแค่จะคิดแก้ปัญหาตาต่อตาเท่านั้น หากแต่ต้องมองการเดินหมากของอีกฝ่าย และวางแผนเดินต่อไปข้างหน้าให้ได้มากที่สุด ซึ่งดูจากการเดินของแม่นางแล้ว นางมองการเดินออกแล้ววางการเดินล่วงหน้าไว้ถึงสิบตา แน่ล่ะข้าแพ้นางอย่างชัดเจนเลย ใช่หรือไม่”
เก้อหลี่พูดพลางหันไปมองหญิงสาวเพื่อขอความคิดเห็นจากอีกฝ่าย หญิงสาวได้ยินดังนั้นก็ยิ้มบางแล้วเอ่ยปากพูดอย่างอ่อนหวานว่า
“ท่านกล่าวเกินจริงแล้วล่ะเจ้าคะ”
“หามิได้เลย เห็นทีข้าคงต้องหาเวลาฝึกฝนการเล่นหมากล้อมเสียแล้วล่ะขอรับท่านเถ้าแก่”
ชายชราได้ยินเก้อหลี่เอ่ยเช่นนั้นก็หัวเราะออกมาอย่างพอใจ เขายิ้มให้กับชายหนุ่มแล้วพยักหน้าเล็กน้อย
“หากท่านมีเวลาก็แวะเวียนมาใช้บริการเราได้เสมอขอรับ”
เก้อหลี่พยักหน้าเล็กน้อย เมื่อเห็นว่า เขาและเฉินกวงใช้เวลาที่โรงน้ำชาแห่งนี้นานพอสมควรแล้วก็พากันลุกขึ้นยืน แล้วโค้งตัวแสดงความเคารพกับชายชรา เก้อหลี่จ่ายเงินให้กับเถ้าแก่โรงน้ำชา แล้วกล่าวลากับเขา ก่อนจะหันไปมองหญิงสาว
“ไว้ข้าแวะมาทำธุระที่ฉางอานอีกครั้ง ข้าจะขอแวะมาเล่นหมากล้อมกับเจ้าอีกนะ แม่นาง”
หญิงสาวลุกขึ้นยืนตาม นางมองดูชายหนุ่มแล้วยิ้มอย่างนอบน้อม ก่อนจะแสดงความเคารพแก่ชายหนุ่ม
“ข้ายินดีเจ้าค่ะ”
“อ้อ . . .”
เก้อหลี่หันไปเอามือล้วงหาอะไรบางอย่างในกระเป๋าย่าม เมื่อหยิบได้แล้วเขาก็นำมันออกมาปรากฎว่า เป็นซุปเยื่อไผ่ชุดหนึ่ง เขายื่นให้กับหญิงสาวแล้วเอ่ยปากบอกกับนางด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่มน่าฟัง
“ข้าขอมอบซุปเยื่อไผ่ถ้วยนี้ให้กับเจ้า แทนการมีน้ำใจที่เจ้าเล่นตอบปริศนาธรรมกับข้านะแม่นาง”
หญิงสาวเห็นซุปเยื่อไผ่ซึ่งเป็นหนึ่งในของโปรดของนางก็ถึงกับแอบตาโต แต่ถึงกระนั้นนางก็เกิดความยับยั้งชั่งใจด้วยคำสอนของบิดาที่ว่า อย่าได้เที่ยวรับสิ่งของจากคนแปลกหน้าเรื่อยเปื่อยแม้ว่า จะดูน่าเชื่อถือเช่นไรก็ตาม นางจึงมองเก้อหลี่แล้วยิ้มอ่อนให้กับเขา
“หามิได้เจ้าค่ะ ท่านเก็บไว้เถอะนะเจ้าคะ เพียงเท่านี้ก็กริ่งเกรงใจมากแล้ว ขอบคุณมากเลยนะเจ้าคะ”
ชายหนุ่มเห็นดังนั้นก็ได้แต่ยิ้มอ่อน แต่เมื่อเขานึกดูแล้วคงเป็นเพราะว่า นางคงจะเกรงใจในตัวบิดาที่เป็นห่วงว่านางจะรับสิ่งของจากคนแปลกหน้ากระมัง เขาจึงหันไปมองชายชราแล้วยื่นซุปเยื่อไผ่ให้กับเขา
“เช่นนั้นแล้วข้าขอรบกวนท่านผู้เฒ่ารับซุปเยื่อไผ่นี้ไว้ให้แก่แม่นางหลี่หย่งเมี่ยวด้วยเถอะขอรับ”
ชายชราเห็นท่าทางของชายหนุ่มก็หันไปมองหญิงสาวแล้วยิ้มเล็กน้อยก่อนจะยื่นมือเหี่ยวย่นแต่ยังมีกำลังวังชามากมายมารับถ้วยซุปเยื่อไผ่ไว้ แล้วมอบให้กับหญิงสาว หลี่หย่งเมี่ยวได้รับถ้วยซุปเยื่อไผ่มาก็ดีใจเนื้อเต้นแต่ก็ต้องสงวนอาการไว้ ได้แต่ยิ้มบางให้กับเก้อหลี่
เมื่อได้มอบของให้กับหญิงสาวเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ชายหนุ่มก็พาเฉินกวงผู้ติดตามของเขาร่ำลาชายชราและหญิงสาวอีกครั้งก่อนจะพากันเดินกลับไปที่เกวียน แล้วเดินตามต่อไปซึ่งตลอดเส้นทางนั้น เฉินกวงก็พูดจาแซวเก้อหลี่เสียมิขาด . . .

ลักษณะนิสัยรักสงบ
-10 ลดความเครียด
ลักษณะนิสัยขยัน
-20 ลดความเครียดเมื่อทำงานหรือกิจกรรมใด ๆ ไม่ให้ว่าง
ลักษณะนิสัยสุขุม
+5 ความสัมพันธ์คนที่มีนิสัยเดียวกัน
ลักษณะนิสัยหลังตรง
+15 EXP จากการโรลสร้างความน่าเคารพศรัทธาต่อผู้พบเห็น
+15 ความสัมพันธ์แรกเริ่มเมื่อได้ทำความรู้จักสหายใหม่
ลักษณะนิสัยว่องไว
+1 Point จากการโรลใช้แผนการและกลอุบาย
+10 EXP จากการโรลทำงาน
มอบ ซุปเยื่อไผ่ x 1 ให้ (164) หลี่ หย่งเมี่ยว