[เมืองฉางอัน] โรงน้ำชาสกุลหลี่

[คัดลอกลิงก์]
ไม่ระบุชื่อ  โพสต์ 2021-9-4 13:31:13 |โหมดอ่าน

โรงน้ำชาสกุลหลี่
{ เมืองฉางอัน }









【โรงน้ำชาสกุลหลี่】

ร้านน้ำชาแห่งนี้อยู่ภายใต้การบริหารงานของหลี่เฟยหลง
เป็นร้านน้ำชาอันโด่งดังและมีชื่อเสียงในเมืองฉางอันนับแต่สมัยก่อน
ต้นตระกูลได้เปิดกิจการครั้งแรกสมัยฮั่นจิ่งตี้ มีลุกค้าแวะเวียนมาไม่ขาดสาย
แม้ปัจจุบันจะเข้ากลียุค แต่ก็พอมีขาประจำบ้างบางครั้ง
ที่นี่มีคนงานค่อนข้างเยอะจึงทำให้ดูแลลูกค้าได้ทั่วถึง

ข่าวลือ: ชายอ้วนท้วน พุงพลุ้ย หักหลังพ่อค้าหวัง ทำคู่ค้าโดนเสียเงินเพิ่มและปิดดีลการค้า
ฟังข่าวลือได้ 8 EXP


ทุกท่านสามารถมาโรลเพลย์ทำงานพาร์ทไทม์ประจำวัน
ค่าจ้าง: 100 อีแปะ - 5 EXP (รายวัน)



เสี่ยวเอ้อห์: [190] ไป๋ เจวี๋ย
[ข้อมูลเพิ่มเติม]





โพสต์ 2021-9-4 14:34:51 | ดูโพสต์ทั้งหมด
  
.: แขกที่สัญจรมา :.

กติกาการโรลเพลย์สนทนาทำความรู้จักขุนพลสัญจรผ่านมา
(0) ก่อนเริ่มทุกครั้ง ท่านต้องเช็คนิสัย NPC เพื่อนำมาโรลบังคับ NPC ที่นี่ (คลิกเพื่อหาข้อมูล NPC)
(1) 1 โรลเพลย์ สามารถเจอได้แค่ 1 คนเท่านั้น ยกเว้นมีระบุว่า xx นั่งกับ xx
(2) ในโรลเพลย์สร้างสถานการณ์พบเจอครั้งแรกได้อิสระ โดยไม่แหกนิสัย NPC
(3) นอกจากทำความรู้จัก พูดคุย ใน 1 โรลเพลย์สามารถมอบของขวัญให้ 1 ชิ้นเท่านั้น
(4) การชักชวนเข้ากองกำลัง บาง NPC ไม่จำเป็นต้องหัวใจเต็ม 10 ดวงเสมอไป นอกจากอยู่ที่การให้ของแล้ว การพูดคุย โรลทิ้งท้ายไว้ และ กำกับว่า "ชักชวน"
ทางทีมงานจะมาคอมเม้นท์ว่าชวนสำเร็จหรือไม่ ถ้าสำเร็จคุณจะได้โต้วาทีกับเขา ถ้าชนะแสดงว่าเขายอมรับใช้คุณ


ความสำคัญก่อนโรลสร้างความสัมพันธ์ NPC
(1) สำคัญมาก ที่คุณจะต้องตรวจเช็ค (ลักษณะนิสัยขัดแย้งกันหรือไม่ สามารถเช็คได้จากที่นี่ คลิก)
(2) รองลงมา ตรวจเช็ต ธาตุวันเกิด และ ปีนักษตร ชงกันหรือไม่ สามารถเช็คได้ที่นี่ (คลิก)
(3) ทุก ๆ การโรลเพลย์ที่มีความขัดแย้งในด้านนิสัย และ ธาตุหรือปีนักษัตรชงกัน เนื้อหาโรลเพลย์คุณจะต้องสร้างให้สมเหตุสมผล
เมื่อความสัมพันธ์ต้องลบลงในโรลเดียวกับจีบ ที่ความสัมพันธ์เพิ่ม โดยการครีเอทสร้างสถานการณ์โรลเพลย์ไม่ถึงกับทะเลาะ ขัดแย้งกัน
แต่ให้คุณเผลอทำอะไรที่ไม่ดี หรือใช้คำพูด หรือ บางอย่างเกี่ยวกับนิสัย ตัวคาร์คุณในโรลนั้นด้วย เพื่อให้มีความเมคเช้นส์ในการลดความสัมพันธ์




←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x1
x2
x12
x5
x636
x241
โพสต์ 2021-9-8 20:17:09 | ดูโพสต์ทั้งหมด
โจรกรรมเป็นสิ่งมิควร

          เมืองฉางอันอันรุ่งโรจน์ ตัวเมืองยิ่งใหญ่สมเป็นเมืองหลวง จิ้นอิ๋งที่นาน ๆ ครั้งได้มาเยือนยังคงตื่นตาได้ทุกคราวราวกับมาคราแรกเสมอ ดวงหน้าหวานที่เศร้าโศกระคนหวั่นหวาดจากเหตุการณ์เมืองหงหนง ยามนี้ประดับเลือดฝาดดูดีขึ้นมากเลยเชียว รอยยิ้มยิ่งวาดผ่านยามเมื่อเดินทางสู่ตัวเรือนของผู้เป็นญาติ แต่แล้วกลับได้ข่าวถึงการออกเดินทางค้าขาย ไหนเลยจะเรื่องส่งตัวพี่สาวผู้เป็นญาติของนางตบแต่งกับขุนนางต่างเมืองผู้หนึ่ง ทำให้การมาเมืองหลวงเพื่อถามเรื่องราวของครอบครัวเป็นอันพลาดไป

          จิ้นอิ๋งคล้ายจะกลับไปซึมอีกหนถ้าไม่เพราะทันเห็นสีหน้าติดห่วงจากถานเจ๋อ ทั้งที่เพิ่งติดตามได้ไม่นานแต่อีกฝ่ายกลับคอยดูแลตัวนางเป็นอย่างดี แม้จะยังหลุดนิสัยที่ไม่น่าดูชมและต้องคอยตักเตือนอยู่บ่อยครา แต่ผู้ติดตามผู้นี้ก็พร้อมรับฟังและเปลี่ยนแปลงให้อย่างเหมาะสมเสมอ ดรุณีน้อยพลันเผยรอยยิ้มขึ้นมาได้ก่อนจะพาอีกฝ่ายที่เพิ่งช่วยเหลือนางไปซื้อเสื้อผ้าตอบแทน ทว่าคล้ายกับว่าถานเจ๋อพาจิ้นอิ๋งมาดูเหล่าอาภรณ์เสียมากกว่า เพราะนางแทบจะเดินทั่วร้านด้วยท่าทางกระตือรือร้น แก้มนวลแดงระเรื่อจากความตื่นเต้นและรอยยิ้มยกรับไม่ขาดเมื่อได้เชยชมผ้าผืนงาม

          " ถานเจ๋อ ชุดนี้เป็นอย่างไร? สนใจหรือไม่? "

          ใช้เวลาครู่ใหญ่จิ้นอิ๋งถึงได้ถามความเห็นผู้ติดตามถึงชุดที่ต้องการ มือเรียวผายหาให้อีกฝ่ายได้เข้ามาดูด้วยตัวเอง ก่อนค่อยคอยผละถอยไปดูชั้นวางผ้าคลุมให้ตัวเองต่อ แต่แล้วจู่ ๆ จิ้นอิ๋งพลันลื่นบางสิ่งจนแทบล้ม เสียงร้องอุทานดังขึ้นเรียกทุกสายตาให้แทบหันมอง ดีที่นางฝึกร่ายรำมาตั้งแต่เด็ก เช่นนั้นจึงทรงตัวกลับคืนได้รวดเร็วไม่ล้มคว่ำให้ขายหน้า จนกลับมายืนตรงได้ด้วยตัวเองหญิงสาวจึงเร่งหันไปโค้งขอโทษผู้คนโดยรอบ ก่อนมาสังเกตใต้รองเท้าตนถึงสิ่งที่เหยียบลื่น

          ร่องรอยของเหลวสีคล้ำถูกปาดไถลตามรอยเท้าที่ไถหา คิ้วเรียวพลันขมวดมุ่นเมื่อรู้สึกว่าน้ำที่หกตรงนี้ดูสีประหลาด ทั้งหยดเป็นดวงบางจุด ทิ้งร่องรอยสีเข้มที่ยังติดชื้นจนพอคาดคะเนได้ว่ามีคนเพิ่งทำของเหลวนี้หกลงไม่นาน แววตาสีนิลไหวระริกก่อนเลื่อนสายตามองชั้นวางตำแหน่งเดียวกันนั้น พบว่ากองผ้าคลุมสีฟ้าได้หายไปพับหนึ่ง ต่างจากส่วนอื่นที่ยังจัดวางเท่ากัน

          " เถ้าแก่เนี๊ยะเจ้าคะ ตรงนี้ไม่ได้เอาผ้าคลุมมาเติมหรือเจ้าคะ? "

          เอ่ยถามเรียกเจ้าของซึ่งหลังอีกฝ่ายเข้ามาเห็นก็นึกสงสัยไม่ต่างกันเพราะเช้านี้ยังไม่ได้ขายผ้าคลุมออกไป และตัวจิ้นอิ๋งที่กางมือกางแขนอย่างบริสุทธิ์ใจว่าไม่ได้หยิบจับไปทำให้เถ้าแก่เนี๊ยะคาดเดาเอาว่าคนงานคงเติมไม่ครบ สุดท้ายก็ขอบคุณจิ้นอิ๋งที่ได้เตือนตน ทั้งนางและถานเจ๋อจึงจับจ่ายซื้อของตามที่ต้องการก่อนออกจากร้านไป โดยจิ้นอิ๋งได้ผ้าคลุมผ้าโปร่งสีขาวมีลายปักดอกเหลียนฮวา (ดอกบัว) ที่ปลายผ้าตามชื่อร้าน ส่วนถานเจ๋อกลายเป็นได้ซื้อชุดเกราะจากร้านตีเหล็กอีกฝั่งแทน เพราะอีกฝ่ายคล้ายอยากได้สิ่งที่ช่วยให้สะดวกในการทำหน้าที่ผู้ติดตามมากกว่า ซึ่งนางก็ไม่คิดขัด
          .
          .
          จนเวลาล่วงเลยเข้าใกล้ยามอู่ นางจึงฝากวานให้ถานเจ๋อเข้าไปยังโรงน้ำชาสกุลหลี่ จัดการซื้อติ่มซำเอาไว้ทานยามเดินทางกลับลั่วหยาง ส่วนตัวนางนั้นขอดูวัตถุดิบทำอาหารยังแผงลอยด้านนอกร้านรอ ระหว่างเดินทอดน่องจิ้นอิ๋งก็สังเกตถึงทหารยามหลายนายเดินเตร่ทั่วอย่างร้อนรน ท่าทางคล้ายกำลังตามหาบางสิ่งเรียกความสนใจให้นางลอบสอบถามด้วยความใคร่รู้และต้องการให้ตนลดความตกใจไปด้วยหากไม่เกี่ยวของกับเหล่าชาวบ้าน แต่ทหารยามนายนั้นกลับอ้ำอึ้งดูไม่อยากเอ่ยบอก ทว่าสุดท้ายก็ชูประกาศแผ่นหนึ่งให้นางดูว่าหากเห็นบุรุษวัยกลางคนหน้าตาเช่นดังประกาศ มีตำหนิรอยแผลเป็นที่มุมปากซ้ายให้รีบมาแจ้งพวกเขา

          ซึ่งลับหลังทหารยามผู้นั้นเจ้าของแผงลอยขายของก็เอ่ยกระซิบแผ่วเล่าถึงข่าวการตามจับบุรุษตามประกาศที่เป็นโจรปล้นชิงและทำร้ายร่างกายมาแล้วเกือบสองอาทิตย์ คล้ายวันนี้จะเจอตัวและฝากแผลแทงจากกระบี่ได้หากก็ยังลอยนวลต่อจนตอนนี้เริ่มหาอย่างจริงจังเพราะอีกฝ่ายบาดเจ็บ จิ้นอิ๋งที่ได้ยินก็เพียงเงียบลง ในใจพลันกังวลยังฝ่ายโจรว่าอยากให้รีบมอบตัวและรับโทษตามเหมาะสมดีกว่าทำคดีต่อให้กลายเป็นจับตายขึ้นมา
          .
          .
          หลังจิ้นอิ๋งซื้อวัตถุดิบบางส่วนสำหรับทำไก่ขอทานและได้ข่าวน่าเป็นห่วงเรื่องโจรให้รีบอยากเดินทางกลับเมืองลั่วหยาง นางจึงย้อนกลับหาโรงน้ำชาเร็วกว่ากำหนดเวลาที่นัดกับถานเจ๋อ และนั่นทำให้นางทันได้ยินเสียงตะคอกโวยวายภายในสลับกับเสียงคุ้นเคยของถานเจ๋อที่พยายามอธิบายบางสิ่งเร่งให้จิ้นอิ๋งต้องเข้าไปภายในตัวโรงน้ำชาอย่างร้อนรน และเพราะเสียงโหวกเหวกทำให้มีทหารยามนายหนึ่งเดินตามมาด้วย แต่แล้วจิ้นอิ๋งกลับชนเข้ากับสตรีนางหนึ่ง อีกฝ่ายมีสีหน้าพรั่นพรึงและตระหนกผวามากจนนางไม่อาจปล่อยไป จับยังไหล่อีกคนประคองออกแรงพอให้สตรีผู้นั้นใจเย็นลง

          " ปล่อย! ...ข้า ข้ากลัวโจรผู้นั้น มันล้วงถุงเงินข้า ดีที่ข้าไหวตัวทัน! ท่านทหารจับมันทีเจ้าค่ะ! "

          สตรีแปลกหน้าเอ่ยเสียงพร่ายิ่งเสริมให้นางดูคล้ายคนตระหนกหนัก พร้อมกันนั้นก็ชี้ไม้ชี้มือไปที่ถานเจ๋อให้จิ้นอิ๋งพลอยหน้าซีดเซียวลง ไหนจะถูกหญิงเบื้องหน้าร้องไห้สะอึกสะอื้นลงลาดไหล่เล็กราวกับเจอที่พึ่ง ทหารผู้นั้นจึงพลันยิ่งหน้ามืดครึ้มหลายส่วนและตรงเข้าจับกุมถานเจ๋อให้จิ้นอิ๋งต้องรีบเอ่ยห้ามขึ้นมา

          " เดี๋ยวเจ้าค่ะ! บุรุษผู้นั้นเป็น- "

          " จับมันไปเสีย! ถุงเงินของข้าก็หายไปยามแม่นางผู้นั้นตะโกนร้องตอนถุงเงินนางอยู่ในมือมัน! " ยังไม่ทันทีที่จิ้นอิ๋งที่จะได้เอ่ยจบประโยค บุรุษร่างโตท่าทางน่าเกรงขามที่นางเพิ่งสังเกตเห็นว่ากำลังยืนคุมตัวถานเจ๋อก็พลันเอ่ยเสียงเข้มดุขึ้น

          ใบหน้าถมึงทึงดูโกรธจัดก่อนผลักให้ผู้ติดตามของนางออกมายังหน้าร้าน ใส่ยังทหารยามที่แทบจะโค้งทั้งท้ายบุรุษผู้นั้นอย่างอ่อนน้อม

          " คำนับท่านฝานโฉว… ข้าจะรีบจับตัวโจรชั่วที่กำเริบเสิบสานใส่ท่านบัดเดี๋ยวนี้ขอรับ! "

          ถานเจ๋อแทบจะหน้าเสียไปพร้อม ๆ กันกับจิ้นอิ๋ง ยามเมื่อทั้งคู่สบสายตาคล้ายผู้ติดตามก็ส่ายหัวให้นางผะแผ่วราวกับอยากจะสื่อให้ผู้เป็นนายของมันเพียงหนึ่งเดียวได้รู้ว่าไม่เป็นความจริง นั่นทำให้จิ้นอิ๋งคล้ายอยากผละไปช่วยพูดแต่กลับโดนรั้งตัวของสตรีที่ยังเกาะซบนางไม่หยุด โดยจะปฏิเสธผลักออกก็ไม่ใช่วิสัยจิ้นอิ๋ง

          " แม่นาง.. ปล่อยข้าก่อนได้หรือไม่เจ้าคะ ข้าต้องช่วยผู้ติดตามของข้า! " นางเอ่ยเสียงอ่อนอย่างใจเย็น แต่อีกฝ่ายที่ได้ยินกลับเร่งเงยหน้าจากลาดไหล่มาสบตาจนจิ้นอิ๋งเผลอชะงักไปเล็กน้อยที่คราบเครื่องประทินโฉมเลอะเปื้อนไปทั่วหน้าอีกฝ่ายที่เพิ่งสะอื้นไห้มา ไหนจะชาดที่นางเพิ่งสังเกตเห็นว่าอีกฝ่ายทาเสียล้นขอบปากข้างซ้ายมาจนเหมือนปากเบี้ยวไปเล็กน้อย

          " ผู้ติดตาม?.. ผู้ติดตาม…. อย่า อย่าไปช่วยมันเลยเจ้าค่ะ นิสัยโจรเช่นนั้นไม่รู้เอามาจากผู้ใด ไม่เหมาะจะติดตามใครหรอกนะเจ้าคะ! "

          สตรีผู้นั้นเอ่ยเตือนเสียงรั้น ตรึงตัวจิ้นอิ๋งไม่ให้ไปไหนจนทันสังเกตเห็นบางสิ่ง นางนิ่งไปก่อนจะเอ่ยรั้งทหารยามที่กำลังมัดกุมตัวถานเจ๋อด้วยน้ำเสียงจริงจัง ทั้งยังบอกว่าอีกฝ่ายเป็นผู้ติดตามอย่างไม่คิดปิดบังทำให้ทหารยามผู้นั้นยอมหยุดรอฟังเสียก่อน

          " แม่นางเจ้าคะ ท่านมีรอบเดือนล่าสุดวันไหนหรือเจ้าคะ? " แต่แทนที่จิ้นอิ๋งจะหันมาสนใจแก้ต่างแทนถานเจ๋อเมื่อนายทหารนายนั้นหยุดยืนรอฟัง นางกลับหันไปหาสตรีอีกนางและเอ่ยคำถามที่ทำให้อีกฝั่งชะงักไป แววตาเริ่มกลอกไปมาก่อนจะกลับมาตีสีหน้าโมโหใส่จิ้นอิ๋งจนนางลอบสะดุ้ง

          " เพลานี้ที่มีโจรอยู่ต่อหน้า เจ้ายังมาสนใจเรื่องหยุมหยิมเช่นนั้นไปเพื่ออะไรแม่นาง!! "

          เสียงตะคอกกลับมาไม่ได้ทำให้จิ้นอิ๋งตกใจมากไปกว่าความแหบกร้าวที่คล้ายกับหญิงเสียงทุ้ม ก่อนนางจะจับชายผ้าคลุมของอีกฝ่ายขึ้นให้เห็นรอยเปื้อนเลือดขึ้นมา จากสีหน้าขึงโกรธของหญิงสาวพลันเปลี่ยนเป็นตกใจจนกำแขนจิ้นอิ๋งแรงขึ้นจนนางแทบนิ่วหน้า

          " เช่นนั้นนี่ไม่ใช่เลือดระดูหรือเจ้าคะ… ข้ายังเห็นรอยเลือดหยดอยู่ที่ร้านผ้าเหลียนฮวาอีกด้วย ตรงตำแหน่งผ้าคลุมสีฟ้าที่หายไปพับหนึ่ง… สีเดียวกับผ้าที่ท่านพันคอเลยนะเจ้าคะ ทั้งยังมีรอยปักดอกเหลียนฮวาประจำร้านด้วย ทั้งที่เถ้าแก่เนี๊ยะท่านบอกว่าเช้านี้ขายผ้าคลุมได้เพียงผืนเดียวคือผืนสีขาวที่ข้าคลุมอยู่ "

          จิ้นอิ๋งกล่าวอย่างใจเย็นพร้อมยกมือจับไล่มายังผ้าคลุมที่อีกฝ่ายใช้พันคอ ก่อนลากนิ้วเรียวมาชี้ที่ลายปัก ซึ่งสิ้นคำทหารยามที่คอยฟังไปด้วยก็เริ่มเอะใจบางอย่าง อีกฝ่ายคล้ายผ่อนมือจากเชือกที่มัดมือถานเจ๋อมาจดจ้องใบหน้าของหญิงที่ดวงหน้าเลอะเครื่องประทินโฉมจากน้ำตาแทนอย่างติดสงสัย

          ถึงอย่างนั้นอีกฝั่งเพียงสีหน้าบิดเบี้ยวไปครู่หนึ่งก่อนจะรีบกระโจนคล้ายจะคว้าบางอย่างจากข้างเอวจิ้นอิ๋ง แต่นางก็ไวกว่าพลางชูสิ่งนั้นสุดแขนเท่าที่แขนเล็ก ๆ ของนางจะชูขึ้นได้ ฉับพลันดวงตาคมของหวนเตียวพลันประกายวาบเมื่อเห็นของในมือของนาง

          " นี่ใช่ถุงของท่านหรือไม่เจ้าคะ? ข้ารู้สึก.. นางพยายามผูกไว้ที่เอวข้าตั้งแต่ก่อนหน้าแล้ว… มอบตัวเถอะนะเจ้าคะ ท่านไม่รู้หรือสตรีไม่นิยมทาชาดเลยขอบปากออกมาเช่นนี้ เพราะจะทำให้ริมฝีปากดูใหญ่ขึ้น… ปิดรอยแผลเป็นสินะเจ้าคะ "

          สตรีผู้นั้นหลังได้ยินคำว่าแผลเป็นพิรุธก็พลันเผยออก สะบัดตัวจิ้นอิ๋งจนกระเด็นราวกับไม่ใช่แรงสตรีเพื่อหนีจาก แต่ทหารยามผู้นั้นที่คอยเฝ้าระวังตั้งแต่ก่อนหน้าก็เข้าจับได้ทันท่วงที รวมถึงบุคคลที่มีนามว่าฝานโฉวก็คล้ายพุ่งมาจับด้วยอีกแรง แววตาดูดุดันและเกรี้ยวกราดไม่น้อยที่โดนปั่นหัวจากโจรที่ทางการกำลังประกาศตามจับเช่นนี้

          ส่วนทางฝั่งถานเจ๋อหลังเหตุการณ์สงบก็สารภาพว่าเห็นถุงเงินของแม่นางที่แท้จริงเป็นบุรุษผู้นั้นทำตกไว้ กะจะคืนแต่ใจหนึ่งด้วยนิสัยละโมบเลยยืนลังเลครู่หนึ่ง แต่ตั้งใจจะคืนจริง ๆ เลยไม่คิดปิดซ่อนถุงที่ตนถืออยู่ ประคองค้างไว้ตั้งแต่แรกจนอีกฝ่ายอาศัยจังหวะเปลี่ยนสถานการณ์ให้เกิดความวุ่นวายเพื่อที่จะได้หนีไปพร้อมถุงเงินของฝานโฉว แต่เพราะดันชนเข้ากับจิ้นอิ๋งเสียก่อนทั้งยังมีทหารยามตามหลังจึงพยายามเอาตัวรอด และจะยัดถุงเงินใส่นางและป้ายความผิดอีกที แต่ก็มาพลาดที่ดันซื้อผ้าคลุมจากร้านเดียวกับนางจนพลอยโดนจับพิรุธหลายสิ่งและสุดท้ายโจรตัวจริงก็ถูกจับกุมได้ในที่สุด

          กระนั้นแม้จะเป็นเรื่องดีที่จับกุมโจรผู้นั้นได้ จิ้นอิ๋งก็ไม่ได้สบายใจไปเสียทั้งหมด เอ่ยขอร้องกลุ่มทหารอีกแรงว่าหากอีกฝ่ายไม่เคยคร่าชีวิตผู้ใดก็ลงโทษตามความเหมาะสมก็เพียงพอ อย่าถึงแลกชีวิตเลย ซึ่งไม่รู้ปากเสียงเล็ก ๆ ของนางจะได้ผลมากน้อยเพียงใด แต่ก็อยากช่วยเท่าที่จะทำได้ด้วยความใจอ่อนอันเป็นข้อเสียร้ายแรงของนางเอง
          .
          .
          ยามเมื่อสถานการณ์สงบเสร็จสิ้น จิ้นอิ๋งก็ได้พาถานเจ๋อไปขอโทษยังบุรุษผู้ที่ดูคล้ายมีอิทธิพลอย่างฝานโฉว แม้เป็นผู้เสียหายด้วยกันทั้งหมด แต่นางก็อยากแสดงความบริสุทธิ์ใจให้ผู้ติดตามของตน พร้อมทั้งยังเลี้ยงชาอีกฝ่ายที่หลังเข้าใจผิดก็ยอมรับว่าตนคิดผิดไม่เอาความถานเจ๋อต่อแม้อีกฝ่ายจะเสียหน้าไป

          " ข้ากู่จิ้นอิ๋ง ขอบคุณน้ำใจท่านฝานโฉวที่ไม่เอาความผู้ติดตามของข้าที่ไม่รีบแก้ไขความเข้าใจผิดจนท่านโดนปั่นหัวจากโจรผู้นั้น ขอบขอบคุณจากใจจริงเจ้าค่ะ " สิ้นน้ำเสียงแสนจริงใจทางร้านก็ได้เสิร์ฟชาโมลี่ฮวาฉามาให้

          " ผิดก็ว่าไปตามผิด! ดีที่เจ้าช่วยจับพิรุธโจรผู้นั้นไว้ด้วย น่าชื่นชมยิ่ง! "

          อีกฝ่ายกล่าวน้ำเสียงห้าวหาญที่ดูจริงใจไม่ต่างจากนาง เรียกรอยยิ้มถ่อมตนจากจิ้นอิ๋งให้เผยออก เพราะตามจริงข้อมูลต่าง ๆ นางก็รู้เพียงบังเอิญและด้วยเหตุการณ์โดนโจรจู่โจมที่หงหนงทำให้นางเริ่มระแวดระวังสังเกตโดนรอบมากขึ้นจนสุดท้ายนางก็ไม่นึกว่าจะได้ช่วยไกล่เกลี่ยคดีและช่วยจับกุมโจรเช่นนี้เหมือนกัน

          ทั้งคู่ไม่ได้คุยอะไรกันต่อมากไปกว่าดื่มชาเงียบ ๆ จนจิ้นอิ๋งเ็นฝ่ายบอกขอตัวเพราะต้องเดินทางกลับเมืองลั่วหยางต่อ ซึ่งอีกบุรุษกลางคนก็ไม่ถือสา ผายมือเชิญให้นางจากลาไป ที่คล้อยหลังอีกฝ่ายจิ้นอิ๋งก็มาตักเตือนถานเจ๋ออย่างจริงจังเกี่ยวกับเรื่องนิสัยส่วนตัวอีกฝ่ายที่แก้ไม่หาย และพยายามร้องขอให้อีกคนแก้ต่างตัวเองเสียบ้างยามเมื่อไม่ได้ทำผิดจริง ไม่ให้นางต้องเกือบจะขวัญหายอย่างก่อนหน้าอีก


[ 087 ] มอบ ชาโมลี่ฮวาฉา ให้

ลักษณะนิสัยใจกว้าง
+4 Point จากการโรลการทูต
ลักษณะนิสัยรู้จักให้อภัย
+2 Point จากการโรลการทูต
ลักษณะนิสัยจริงใจ
+2 Point จากการโรลการทูต

←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
บทเพลงเฟิ่งฉิวหวง
ถุงหอมจูอวี๋
กระบี่
พู่หยกเลือดหงส์
กลยุทธ์เล่ออี้
ม้าเหลียง
หน้ากากขาว
เกราะเกล็ดมังกร
ผ้าคลุมไท่หลง
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x3
x3
x3
x3
x3
x3
x3
x5
x2
x2
x1
x2
x2
x2
x1
x1
x27
x2
x38
x40
x50
x50
x40
x40
x50
x3
x22
x19
x31
x10
x50
x5
x5
x5
x1
x12
x1
x2
x5
x2
x9
x1
x8
x6
x6
x1
x3
x2
x2
x1
โพสต์ 2021-9-12 22:26:53 | ดูโพสต์ทั้งหมด
โรลเดินทางจิบชาสบายๆ



"วันนี้เรามาแวะที่ร้านน้ำชา สกุลลี่กันเถอะนะท่านจีเทียนเต๋าท่านเคยมาฉางอันหรือไม่?"

"ข้าไม่เคยมาเลย ส่วนใหญ่ข้าจะอยู่แถวปาสู่กับนอกด่านมากกว่า อดีตข้าเป็นลูกพ่อค้าคาราวานเลยไม่ค่อยได้มาที่แถวภาคกลางหรือว่าไปทางใต้เพราะสินค้าที่ตระกูลข้าขายนั้นส่วนใหญ่จะรับมาจากทางปาสู่หรือนอกด่านเป็นหลักนะท่าน เหวินหยวน ข้าก็พึ่งที่จะเคยมาเยือนฉางอันนี้แหละ ปกติข้าจะใช้เส้นทางอื่นเพื่อลงใต้ แล้วพวกเราจะเดินทางกันข้าว่าพอเราพักเอาแรงได้แล้วข้าว่าจะเติมข้าวของหน่อยเพราะตอนนี้เหมือนสเบียงอาหารจะเหลือเยอะก็จริงแต่ว่าเอาไปเผื่อมันก็ไม่เลวนะท่าน"

"เอาที่ท่านว่ามาเลย ได้มาเยือนฉางอันแบบนี้ก็ไม่เลวเหมือนกันข้าก็ไม่ได้มาบ่อยเหมือนกันกับท่านเลยเลย ข้าว่าเรามาจิบชากินซาลาเปาพักสักหน่อยก็ไม่ได้แย่ เราเดินทางไกลถ้าไม่แวะพักเมืองเลยข้ากลัวว่าท่านจะไม่ไหวเอา"

"ขอบคุณท่านเหวินหยวนมากจริงๆ ข้าก็ยังไหวอยู่แต่ถ้าได้พักมันก็ดีเหมือนกัน ขอบคุณท่านมากที่ห่วงใยข้าถึงเพียงนี้"

"ไม่เป็นไรหรอกท่านเรากับท่านต่างก็คบหากันด้วยความจริงใจไม่ได้เสแสร้งแกล้งทำกันเสียหน่อย ว่าแต่ท่านหิวหรือไม่ข้าว่าจะสั่งซาลาเปามาเพิ่มเผื่อเอาไว้กินรองท้องตอนกลางทางด้วยจะได้ไม่ต้องทนหิวไป"

"ได้เลยท่าน ข้าขอเพิ่มด้วยถ้าให้ดีก็ขอน้ำชาด้วยนะท่านจะได้พกเอาไปดื่มได้ระหว่างทาง ส่วนนี้ข้ากับท่านดื่มกันตรงนี้ดีกว่า ฮ่าฮ่า ดื่มตรงนี้มันจะได้ไม่เสียรสชาติด้วยตอนนี้ผู้คนยังคงสามารถไปซื้อของกันได้แบบสะดวกสบายใจจริงๆ สมกับที่เป็นเมืองใหญ่ขนาดนี้ ร้านค้าและผู้คนต่างมีจำนวนมากมายจนข้านับไม่ไหวเลยทีเดียว"

ตอนนี้จีเทียนเต๋าและเหวินหยวนนั้นกำลังอยู่ในร้านโรงน้ำชาพร้อมกับจิบสุราไปด้วยเพียงดื่มเพื่อให้มีกำลังไม่ได้ดื่มจนเมามายก่อนที่ทั้งสองจะคุยกันในหลายๆเรื่องระหว่างพักอยู่ที่นี้โดยที่ส่วนใหญ่นั้นก็หนีไม่พ้นเรื่องของเหล่าชาวบ้านหรือว่า ราคาสินค้าที่ตอนนี้นั้นบางชิ้นก็มีราคาถีบตัวสูงมากอต่บางอย่างกับมีราคาที่ต่ำมากจนหน้าใจห่าย ของบางอย่างจากเฉิงตูพอมาที่ฉางอันกับมีราคาเพิ่มอีกสองเท่าเสียด้วยซ้ำ จนจีเทียนเต๋านั้นต้องการไปลงทุนค้าขายเลยเพราะกำไรจากการขนส่งนั้นมันช่างสุดๆเลย


มอบไอเทม เหล้าเก๊กฮวย ให้NPC (064)




←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ชุดไท่หมินลู่
เบ็ดตกปลา
คัมภีร์ไท่หมินลู่
ไก่ฟ้าทองแดง
หวีเซียวเฉิน
กลยุทธ์เล่ออี้
ม้าขาว
หน้ากากขาว
ผ้าคลุมไท่หลง
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x108
x8
x800
x800
x800
x70
x470
x100
x100
x4
x3
x3
x1
x7
x25
x860
x10
x790
x490
x200
x1
x100
x100
x100
x10
x1
x2
x1
x3
x4
x10
x920
x291
x494
x5
x388
x5
x6
x77
x100
x30
x900
x68
x1
x82
x98
x1
x96
x98
x1
x6
x2
x1000
x2
x3
x3
x3
x7
x8
x3
x100
x4
x100
x26
x24
x24
x26
x14
x600
x96
x100
x60
x100
x100
x440
x25
x2
x376
x11
x492
x9
x4
x99
x80
x79
x28
x2
x379
x75
x196
x571
x167
x100
x100
x50
x100
x100
x250
x50
x86
x13
x13
x7
x74
x6
x19
x5
x1150
x324
x17
x11
x10
x10
x490
x10
x2
x42
x62
x38
x1
x108
x35
x96
x99
x85
x505
x1
x598
x3
x3
x1
x8
x24
x404
x4
x102
x6
x24
x491
x288
x39
x90
x154
x8
x1
x10
x75
x10
x93
x500
x250
x150
x250
x550
x250
x3
x500
x242
x36
x18
x465
x1015
x164
x804
x804
x804
x804
x493
x314
x13
x36
x7
x498
x1
x10
x1
x2561
x628
x320
x260
x100
x15
x1
x6
x6
x150
x9999
x2
x7
x18
x5
x2
โพสต์ 2021-9-15 22:32:08 | ดูโพสต์ทั้งหมด
เฉินเซียวเฟิงได้เดินทางมาพักที่โรงน้ำชาสกุลหลี่แต่เมื่อมาถึงกลับพบว่ามีผู้คนอยู่เต็มร้านไม่มีโต๊ะว่างเลย


"ไม่มีโต๊ะว่างเลยรึเสี่ยวเอ้อ?"


เฉินซียวเฟิงถามเสี่ยวเอ้อที่กำลังวุ่นวายเสริฟของในร้านอยู่ก็หันมาบอกด้วยความเหนื่อยหอบว่า


"ขออภัยด้วย ตอนนี้ไม่มีโต๊ะว่างเลยถ้านายท่านไม่รังเกียจพอจะร่วมโต๊ะกับคนอื่นได้รึไม่"


เสี่ยวเอ้อหันมาบอกก่อนจะกลับไปทำงานต่ออย่างเร่งรีบ เฉินเซียวเฟิงได้แต่ถอนหายใจเพราะเดินทางมานานค่อนข้างเหนื่อยจึงได้แต่ไปขอร่วมโต๊ะชายร่างสูงใหญ่คนหนึ่งที่นั่งดื่มอยู่คนเดียว


"ขออภัยที่รบกวน พอดีข้ากับสหายต้องการหาที่นั่งท่านจะว่าอะไรไหมถ้าจะให้พวกข้าร่วมโต๊ะด้วย?"


เฉินเซียวเฟิงกล่าวอย่างสุภาพ ก่อนชายร่างใหญ่จะหันมาสบตามองท่าทางองอาจ กล้าหาญ และผายมือมอบที่นั่งอย่างไม่ได้มีปัญหาใดๆ


"เชิญเลย ข้ามาคนเดียวอยู่แล้วมีผู้ร่วมโต๊ะด้วยก็คงไม่เหงาดี"


ชายคนนั้นตอบด้วยความจริงใจสร้างความประทับใจเล็กๆให้เฉินเซียวเฟิง ก่อนที่ทั้งสองจะนั่งร่วมโต๊ะกับชายแปลกหน้าคนนั้น


"เพื่อเป็นการตอบแทน ข้าขอเลี้ยงสุราท่านได้รึไม่?"


เฉินเซียวเฟิงกล่าวตามมารยาทเพราะรู้สึกเกรงใจเกินไป


"ไม่ต้องตอบแทนอะไรข้าหรอกไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร อีกอย่างข้าไม่นิยมดื่มสุราเท่าไหร่อยู่แล้ว"


"ไม่ดื่มสุรางั้นรึ? เหมือนข้าเลยเช่นนั้นข้าของเลี้ยงชาดีๆตอบแทนแล้วกัน"


เฉินเซียวเฟิงเมื่อเห็นอีกฝ่ายไม่ได้คอเหล้าเหมือนตน ก็รีบสั่งชาโปรดจากเสี่ยวเอ้อมาเลี้ยงโดยไม่รอให้ชายแปลกหน้ามาห้าม ส่วนอู่เว่ยที่พอรู้ว่าต้องมาดื่มชาแบบนี้ก็ได้แต่หน้าเสียดายจนเห็นได้ชัด


"เจ้านี้ช่างมัดมือชกจริงนะ เอาเถอะถือว่าข้ารับน้ำใจนี้แล้วกัน"


ชายแปลกหน้าที่เห็นว่าเฉินเซียวเฟิงสั่งชาไปแล้วก็ปล่อยเลยตามเลยไป


"ขอบคุณที่เข้าใจ ข้าน้อยเฉินเฟิงยินดีที่ได้รู้จักท่าน"


เฉินเซียวเฟิงเริ่มแนะนำตัวตามมารยาทด้วยความจริงใจ จนชายแปลกหน้าเริ่มสนใจในตัวเขานิดๆ


"ข้าฝานโฉว ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันเฉินเฟิง"


ชายแปลกหน้าแนะนำตัวเองกลับบ้าง ก่อนที่ชาจะมาเสริฟพวกเขาที่เพียงได้กลิ่นก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นชาชั้นดี


"นี้มันชาหลงจิ่งรึ?"


ฝานโฉวถามขณะมองและดมกลิ่นชาก็รับรู้ได้ทันทีว่าเป็นชาแบบไหน


"ใช่แล้วขอรับ ทั้งยังเป็นชาโปรดข้าน้อยด้วย"


เฉินเซียวเฟิงตอบตามจริงกลับ เพราะชาหลงจิ่งเป็นชาที่ท่านแม่เขาชอบทำให้ดื่มบ่อยๆจึงติดใจรสชาตินี้นัก


"ฮะๆ เลือกได้ดี! ข้าฝานโชวเองก็ชื่นชอบมันเช่นกัน"


ฝานโฉวหัวเราะเบาๆก่อนจะเริ่มพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับเฉินเซียวเฟิง ทิ้งให้อู่เว่ยเป็นเหมือนส่วนเกินที่ต้องทนดื่มชาแทนสุราไป


"ยามนี้แล้วเหรอเนี่ย ข้าต้องไปแล้วสิ"


ฝานโฉวเมื่อมองท้องฟ้าข้างนอกเริ่มเปลี่ยนสีแล้วจึงเพิ่งรู้ตัวว่าใช้เวลาไปนานแค่ไหน


"เช่นนั้นโชคดีนะขอรับ ท่านฝานโฉว"


เฉินเซียวเฟิงบอกลาเพราะตนเองก็ใกล้ต้องออกเดินทางต่อเช่นกัน


"ฮะๆ งั้นไว้เจอกันใหม่นะเฉินเฟิง เดือนนี้ข้าอยู่ที่โรงเตี้ยมนี้ตลอดนั่นแหละถ้าเจ้าอยากหาเพื่อนคุยก็มาได้เสมอนะ"


ฝานโฉวหัวเราะเบาๆก่อนจะเดินจากไป


"เอาล่ะ งั้นเราก็รีบไปกันต่อเถอะ"


เฉินเซียวเฟิงเร่งอู่เว่ยที่ทำท่าซึมอยู่ซักพัก


"ได้ๆ แต่ขอแวะลั่วหยางก่อนนะ"


อู่เว่ยลุกตามเฉินเซียวเฟิงใบหน้าดูบูดบึ้งเหมือนคนขาดของ


"ไม่ใช่ว่าเราต้องรีบกลับค่ายรึไง?"


"เรื่องนั้นมันก็ใช่.. แต่ออกเดินทางจากค่ายโจรมาข้ายังไม่ได้ดื่มสุราสักนิดเลยนะ เพราะงั้นอย่างน้อยแค่แวะลั่วหยางดื่มสุราขึ้นชื่อที่นั้นสักคืนคงไม่เสียเวลามากไปล่ะมั้ง"


อู่เว่ยพูดอธิบายด้วยท่าทางน่าสงสารสุดจนเฉินเซียวเฟิงต้องใจอ่อน


"ก็ได้ๆ พวกเราจะแวะลั่วหยางกันก่อน"


เมื่ออู่เว่ยได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มแทบแก้มปริ ก่อนจะรีบร้อนนำเฉินเซียวเฟิงไปที่ เมืองลั่วหยาง


[มอบชาหลงจิ่งให้ฝานโฉว 1 ea]
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
เตากำยาน
หน้ากากยักษา
ดาบไท่จี๋
ม้าขาว
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x3
x35
x44
x35
x10
x10
x11
x20
x15
x1
x15
x27
x60
x3
x7
x6
โพสต์ 2021-9-20 12:57:42 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย ZhaoPei เมื่อ 2021-9-24 11:20

คล้ายเหตุการณ์ก่อนหน้านี้เป็นเหตุให้จ้าวเพ่ยเงียบซึมลงอย่างผิดปกติ ซุนหยางเองก็ไม่รู้ควรจะทำอย่างไรให้กลับมาเป็นเฉกเช่นเคย ดั่งที่เคยต่อล้อต่อเถียงตลอดทางกันมาตลอด ตั้งแต่ก้าวเข้ามายังในตัวเมืองฉางอัน สตรีผู้นี้กลับไม่แม้แต่จะปริปากพูดอะไรออกมาแม้เพียงเสี้ยวเดียว

ซุนหยางทำได้เพียงแค่เดินตามนางให้เดินนำไปยังสถานที่ที่นางหวังจะไป แต่สิ่งที่น่าประหลาดใจสำหรับเขากลับก่อขึ้นมา เมื่อจ้าวเพ่ยเลือกจะหยุดที่ตรงหน้าโรงน้ำชาขึ้นชื่อในเมืองและเข้ามายังด้านใน ให้เขาต้องเร่งตามไปให้ทัน

"แม่นาง…"

จ้าวเพ่ยต้องการเพียงแค่สถานที่พักผ่อนพอให้นางได้หายเหนื่อยจากการเดินทางบ้าง นางเดินพาซุนหยางนั่งที่โต๊ะหนึ่งที่พอจะมีที่ว่างสำหรับสองคน ในช่วงกลียุคแต่กลับมีผู้คนมากมายมายังโรงน้ำชา คงจะดูน่าเกลียดเกินไปหากจ้าวเพ่ยคิดว่ามันน่าเหลือเชื่อสำหรับนางที่มีคนเต็มร้านเสียขนาดนี้

"..." ตากลมสวยมองไปรอบๆขณะให้ซุนหยางเรียกเสี่ยวเออร์มายังที่โต๊ะพวกเขา ผู้คนมากมายต่างเป็นคนแปลกหน้าสำหรับนาง คงไม่แปลกที่จะดูสงบเสงี่ยมกว่าที่เคยตั้งแต่ออกจากตัวเรือนมา

นิสัยช่างคุยประจำตัวกลับถูกลบเลือนหายไป ทั้งๆที่ถ้าเป็นอดีตนางคงจะเข้าหาคนมากกว่ามานั่งเงียบเชียบเช่นนี้

"เจ้าต้องการอะไร" เสียงซุนหยางดึงความคิดของจ้่วเพ่ยให้กลับมาอยู่กลับตัวเอง นางหันมองเสี่ยวเออร์ที่ยังรอคอยคำตอบพลางหันมองชาจากโต๊ะที่อยู่ข้างๆ

"...ชาโม่ลีฮวา"

เพียงแค่ตอบตามที่เห็นตามโต๊ะที่อยู่ถัดไป เสี่ยวเออร์รับข้อมูลทั้งหมดก็ได้ละจากไปเหลือเพียงแค่นางกับผู้ติดตามที่ยังคงนั่งอยู่ที่นี่

"เจ้าคิดจะไปที่ไหนต่อ"

"อีกไม่เท่าไหร่ก็จะถึงเทศกาลจงชิวเจี๋ย ข้าอยากมาชมจันทร์ที่นี่"

"เจ้าเดินทางจากเมืองลั่วหยางมายังฉางอัน เพราะแค่.. อยากชมจันทร์"

"ข้าผิดหรือ?" จ้าวเพ่ยเอ่ยถามซุนหยางตรงๆกับคำพูดที่ดูเหมือนเชิงประชดพ่นออกมาจากปากของซุนหยาง อดีตโจรโพกผ้าเหลืองชะงักเล็กน้อยเมื่อถูกมองด้วยสายตาจริงจังปนเศร้าสร้อย ครั้นจะพูดจาหยอกล้ออย่างที่เคยเป็นมาเกรงว่าจ้าวเพ่ยเองจะไม่มีอารมณ์มาเล่นด้วยกับตน

"เจ้าคิดว่าข้าจะทำขนมเยว่ปิงที่ใดได้บ้าง"

"อย่างเจ้าน่ะหรือ ทำอาหารเป็น"

"ข้าเป็นสตรี ทำอาหารมาตั้งแต่เด็ก เหตุใดเจ้าจึงคิดว่าข้าทำไม่เป็น"

"ขออภัยขอรับ" เสียงพูดจากเสี่ยวเออร์ขัดจังหวะการสนทนาของทั้งสองให้เงียบลงทันที น้ำชาถูกยกมายังโต๊ะของจ้าวเพ่ย นางยกน้ำชาร้อนขึ้นมาจิบเพียงนิดก่อนจะวางลงเพื่อต่อบทสนทนาที่ถูกตัดไปเมื่อครู่

จ้าวเพ่ยเงียบลงอีกครั้งเมื่อเห็นบุคคลนิรนามยืนอยู่หลังซุนหยาง เขายกยิ้มเล็กน้อยก่อนจะเดินมานั่งร่วมโต๊ะพร้อมกับสหายของเขาด้วย

"ข้าขอร่วมโต๊ะด้วยนะขอรับ"

"เจ้าค่ะ" จ้าวเพ่ยตอบไปขณะยกน้ำชาขึ้นมาดื่มพอให้รสชาติแผ่ไปทั่วลิ้น นางหันไปมองซุนหยางที่เหมือนจะไม่คิดอะไร หมั่นโถวที่สั่งมาด้วยถูกบุคคลนิรนามหยิบไปทานให้นางแอบเคืองเล่นๆ

เสียงสนทนาของพวกเขายิ่งดังขึ้นเรื่อยๆขาดความเกรงใจ จ้าวเพ่ยหันไปมองซุนหยางกินหมั่นโถวอยู่ไม่หยุดปาก

"ที่กล่าวเมื่อครู่"

"เรื่องขนมเยว่ปิงน่ะหรือ เจ้าลองยืมครัวที่โรงน้ำชาแห่งนี้สิ"

นั่นสิ เรื่องแบบนี้จ้าวเพ่ยดันคิดไม่ได้

หญิงสาวรับรู้ก็คิดจะเรียกเสี่ยวเออร์อีกครั้ง แต่บทสนทนาจากชายคนแปลกหน้าเรียกนางเอาไว้ก่อน

"แม่นางคิดว่าอย่างไร"

"อะไรเจ้าคะ"

"เรื่องที่มีคนหักหลังพ่อค้าหวังอย่างไรเล่า"

ชื่อที่ดูคุ้นเคยให้จ้าวเพ่ยคิดไปถึงพ่อค้าหวังที่จัตุรัสกลางเมือง นางขมวดคิ้วทันทีที่ได้ยินคำนี้ โดยไม่คิดว่าอย่างพ่อค้าหวังจะถูกหักหลังได้

"พ่อค้าหวังน่ะหรือ"

"ใช่.. ข้าได้ยินมาว่า ต้องเสียเงินให้คู่ค้าเอง ทั้งยังถูกปิดการเป็นคู่ค้าไปด้วย"

จ้าวเพ่ยใช้มือปิดปากอย่างตกใจเมื่อได้ยินข่าวนั้น ซุนหยางหรี่ตามองนายตนที่เหมือนจะสนใจข่าวลือที่ 'เขาว่า' กันปากต่อปากได้ดีเสียจริง

"อย่างนั้นน่าสงสารพ่อค้าหวังนะเจ้าคะ ผู้ใดกล้าทำได้ลงคอ"

จ้าวเพ่ยกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงเชิงโกรธ

"ชายอ้วน พุงพลุ้ย แม่นางต้องไปดูประกาศที่จัตุรัสกลางเมือง ที่นั่นมีประกาศจับชายผู้นั้นด้วย"

"ข้าอยากจะเห็นหน้าเสียแล้วสิ"

จ้าวเพ่ยกล่าวก่อนจะหันหน้าไปหาซุนหยางคู่สนทนาเพิ่ม หญิงสาวกล่าวพูดคุยกับผู้ร่วมโต๊ะได้เพียงไม่เท่าไหร่ก็มีเหตุให้ต้องลากันเพียงเท่านี้ นางตัดสินใจเรียกเสี่ยวเออร์มายังที่นี่อีกครั้ง

"มีปัญหาอันใดหรือ" เสี่ยวเออร์กล่าวถาม

"ข้าต้องการใช้ครัวที่โรงน้ำชาแห่งนี้ จะได้หรือไม่" เมื่อได้ยินคำถามจากจ้าวเพ่ยเสี่ยวเออร์ก็บอกให้นางไปพบเพื่อพูดถึงเรื่องนี้จากเถ้าแก่ด้วยตัวเอง

จ้าวเพ่ยตัดสินใจลุกขึ้นเดินตามเสี่ยวเออร์ไปหายังเถ้าแก่ที่ดูแลโรงน้ำชาแห่งนี้ขณะที่ซุนหยางเองเลือกที่จะนั่งเฉยๆที่เดิม

"เถ้าแก่ขอรับ.." ชายแก่ได้ยินเสียงเรียกของเสี่ยวเออร์ก็หันมามอง สายตามองมายังจ้าวเพ่ยที่ยืนอยู่ไม่ไกล หญิงสาวคลี่ยิ้มออกมาให้ดูเป็นมิตรแก่อีกฝ่าย "นางผู้นี้ ต้องการขอใช้ครัวที่นี่"

"ข้าขอใข้เพียงแค่ทำขนมเท่านั้นเจ้าค่ะ"

"หากเพียงทำขนมข้าก็ให้ได้ อย่าทำครัวเสียหาย" เถ้าแก่หลี่กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย จ้าวเพ่ยต้องกล่าวขอบคุณยกใหญ่ที่สามารถให้คนนอกอย่างนางสามารถเข้าใช้ครัวได้

"ขอบคุณมากเจ้าค่ะ"

หลังจากจ่ายค่าน้ำชากับเถ้าแก่โดยตรงแล้ว จ้าวเพ่ยเดินกลับมายังโต๊ะที่ซุนหยางนั่งรออยู่ก่อนจะเรียกอีกฝ่ายให้ลุกตามตนไป ซุนหยางบิดขี้เกียจเล็กน้อยแต่ก็ไม่ยอมลุกไปง่ายๆ

"คราวนี้จะไปไหนอีกล่ะ"

"ข้าเพียงแค่ไปตลาดใกล้ๆนี้ เจ้าก็แค่ช่วยข้าถือของเพียงเท่านั้น"

"อย่างไรก็กลับมา ข้าขออยู่ที่โรงน้ำชาแห่งนี้ไม่ได้หรือ"

"ไม่ได้! เจ้าเป็นผู้ติดตามข้านะ" จ้าวเพ่ยกล่าวทั้งยืนรอให้ซุนหยางลุก เพราะความกดดันที่นางให้มาทำให้อดีตโจรโพกผ้าเหลืองต้องยอมลุกและเดินตามนางออกจากโรงน้ำชาแห่งนี้แต่โดยดี


ฟังข่าวลือ +8 EXP

←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
กระบี่ร้อยกฎ
มุกพณาหวาซวี
ม้าเหลียง
กลยุทธ์เล่ออี้
บทเพลงยิ้มเย้ยยุทธจักร
หน้ากากขาว
เกราะเกล็ดมังกร
ผ้าคลุมไท่หลง
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x2
x7
x4
x10
x10
x13
x13
x13
x12
x11
x202
x1
x1
x1
x11
x22
x15
x30
x1
x100
x100
x9
x2
x5
x6
x8
x10
x2
โพสต์ 2021-9-21 01:43:49 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย ZhaoPei เมื่อ 2021-9-24 11:20

"เชิญขอรับ"

ครัวภายในโรงน้ำขาถูกเปิดออกให้คนนอกอย่างจ้าวเพ่ยและซุนหยางเข้ามาได้อย่างง่ายดายจากเสี่ยวเออร์ เมื่อได้รับอนุญาตจากเถ้าแก่แล้วข้อสำคัญในการทำการตกลงกับเจ้าของโรงน้ำชาที่นี่ คือ ห้ามทำครัวของโรงน้ำชาเสียหายเป็นอันขาด

"คงจะต้องจ่ายค่ายืมครัวให้เถ้าแก่งามๆเสียแล้วกระมัง" จ้าวเพ่ยกล่าวขึ้นมาหลังจากวางห่อวัตถุดิบสำหรับปรุงขนมลง หญิงสาวหันมองซุนหยางที่ถูกลากมาด้วยเอาแต่หาวหวอดๆกับนายผู้ขยันผิดปกติ

"ข้าจะออกไปข้างนอก หากเจ้าต้องการอะไรก็เรียกข้าละกัน"

"ก่อไฟให้ข้าที.." หญิงสาวเอ่ยขัดขึ้นมาก่อนที่ซุนหยางจะออกจากครัวไป เหล่าแม่ครัวที่นี่ต่างดูวุ่นวายกับการต้มชาและทำขนมต่างๆเพื่อให้ทันแก่ความต้องการของลูกค้า กลับยิ่งทำให้ซุนหยางลำบากใจยิ่งขึ้น "ต้องไม่ใช้ทรัพยากรของครัวนี้ พวกเรามาเพียงแต่ขอยืมใช้อุปกรณ์เพียงเท่านั้น"

ซุนหยางจำใจทำตามคำสั่งจ้าวเพ่ยอย่างเลี่ยงไม่ได้ ชายหนุ่มยกเตาออกไปยังนอกร้านทั้งความเกียจคร้านอย่างเต็มรูปแบบ ครั้นพอละสายตาจากจ้าวเพ่ยเขาก็ทำได้เพียงนั่งพักไปก่อน เพื่อที่จะมีเวลาให้ตนได้พักผ่อนจากงานบ้าง

จ้าวเพ่ยเองก็คงใช่ว่าทำขนมเพียงครู่เดียวก็เสร็จ ยิ่งเป็นขนมเยว่ปิ่งยิ่งแล้วใหญ่

ทางด้านจ้าวเพ่ยเองเมื่อได้ตั้งใจทำอะไรแล้วก็ไม่อยากจะไปยุ่งวุ่นวายกับคนอื่นมากนัก หลังจากที่ล้างมือให้สะอาดแล้ว นางก็แกะห่อเม็ดบัวแห้งออกมาแช่น้ำสะอาดค้างไว้ ก่อนจะหันไปเตรียมแป้งขณะรอเม็ดบัวให้พองตัว

หญิงสาวหันไปหาแม่ครัวที่นี่เพื่อถามเกี่ยวกับการแลกน้ำตาลทรายแดงกับน้ำเชื่อม ให้นางพอย่นระยะเวลาการทำลงได้บ้าง หญิงสาวได้วัตถุดิบพร้อมสำหรับทำแป้งก็ไม่รีรอที่จะนำแป้งมาผสมกับน้ำเชื่อมจากน้ำตาลทรายแดงและน้ำด่าง เมื่อคิดว่ามือนางสะอาดพออยู่แล้วก็ได้นำมือลงไปนวดกับแป้งเพื่อให้เข้าเนื้อกันได้อย่างดี

พอนวดแป้งจนคิดว่าได้ที่แล้วต่อไปจึงพักแป้งเอาไว้ นางหาอะไรมาครอบแป้งที่เตรียมจะทำก่อนจะล้างมือและหันไปสนใจกับลูกบัวที่แช่น้ำเอาไว้ก่อนหน้านี้ต่อ เหล่าลูกบัวที่พองตัวจนนุ่มถูกแกะออกตามซีกเพื่อนำเอาแกนกลางออก จ้าวเพ่ยจำได้ดีว่าครั้งแรกที่นางทำกับอาอี๋ นางกลับทำไส้ขนมออกมาขมเอาเรื่อง เพราะมองข้ามเรื่องสำคัญอย่างลูกบัวไปเสียได้

ขณะที่นางจดจ่อกับเรื่องการนำไส้ลูกบัวออกจนสำเร็จ สิ่งที่นางพึ่งจะสังเกตได้ถึงบางสิ่งที่ลืมได้ จ้าวเพ่ยผละออกจากครัวที่เธอกำลังลงมือทำขนมเพื่อไปหาซุนหยางที่อยู่ด้านนอก หญิงสาวขมวดคิ้วทันทีเมื่อเห็นผู้ติดตามนั่งหลับอยู่อย่างนั้นโดยที่เตาไฟเองก็ไม่มีร่องรอยการก่อไฟเลนแม้แต่น้อย

"เจ้า!!"

"อ.. อะ ขอรับ!" ซุนหยางสะดุ้งตื่นขึ้นมาทันทีที่ถูกเรียกกระทันหัน ชายหนุ่มหันมองนายตนกำลังยืนมองด้วยสีหน้านิ่งเฉย ให้เขารีบก่อไฟให้จ้าวเพ่ยทันที

"เมื่อไหร่จะเลิกนิสัยขี้เกียจเสียที" จ้าวเพ่ยบ่นอุบพลางเดินกลับเข้าครัวต่อ "เสร็จแล้วเจ้าบอกข้าด้วย"

สิ่งที่นางควรจะทำระหว่างรอซุนหยางตอนนี้มีเพียงแค่บดลูกบัวที่นิ่มแล้วไปด้วย หญิงสาวหันมองแม่ครัวที่ยังคงวุ่นวายรอบๆก็คงรู้ว่าที่นี่มีลูกค้ามาไม่ขาดสายกว่าที่คิด กลิ่นหอมฟุ้งของเหล่าขนมและน้ำชากลับทำให้นางรู้สึกไม่ตึงเครียดกับขนมที่ทำตรงหน้ามากเกินไป

"มาแล้วขอรับ" ซุนหยางกล่าวขณะยกเตาที่เต็มไปด้วยไฟมาวางยังตุดวางเตาที่ยังว่างอยู่ เมื่อเห็นดังนั้นก่อนที่จะถูกยึดเตานั้นไป จ้าวเพ่ยเร่งมือบดลูกบัวทั้งหมดให้ละเอียดดีเพื่อจะผสมกับน้ำมันพอให้เข้ากันและนำไปเคี่ยวต่อที่เตาของซุนหยางทันที

"ข้าไม่เข้าใจเจ้าจริงๆ ยุ่งยากเสียขนาดนี้เหตุใดไม่หาซื้อเอาเล่า"

"หาซื้อเองได้ข้าคงไม่ลำบากมาทำเองหรอก" จ้าวเพ่ยกล่าวขณะกวนลูกบัวบดของนาง น้ำตาลทรายแดงถูกเทลงเพื่อเพิ่มความหวานให้เนื้อน้ำตาลละลายผสมกับแป้งขณะกวนให้พอข้น หญิงสาวเอาแต่จ้องขนมกวนก็พลันเมื่อล้าทั้งแขนและตาเมื่อต้องใช้เวลาเคี่ยวกวนนานสำหรับนางอยู่พอสมควร ก่อนหน้านี้ก็ออกแรงบดให้เมื่อยมือไปแล้วด้วย

"ข้าออกไปข้างนอกนะ"

"ใกล้จะได้ที่แล้ว อยู่เป็นสหายข้าหน่อยเป็นไรไป"

ซุนหยางมองจ้าวเพ่ยที่เคี่ยวไส้เสร็จนางก็ยกไส้เหนียวจนปั้นเป็นก้อนได้ขึ้นมาพักให้เย็นลง หญิงสาวเริ่มจะทำไส้อื่นๆรอระหว่างนั้นเพื่อจะจัดสรรปันส่วนเวลาที่ใช้ให้คุ้มค่ามากที่สุด ใบหน้าหญิงสาวดูมุ่งมั่นกับสิ่งที่นางกำลังทำมากเกินไป จนดูเป็นคนละคนที่ซุนหยางเคยรู้จักมา

หลังจากเตรียมทุกอย่างให้เข้าที่หมดแล้วจ้าวเพ่ยหยิบไข่เค็มที่อุตส่าห์ไปดั้นด้นหาซื้อมาจนได้ตอกออกเพื่อเอาแต่ไข่แดง เพียงไม่เท่านั้นนางกลับไปล้างมืออีกครั้งก่อนจะลงมือปั้นไส้ เหล่าไส้ขนมที่นางทำเอาไว้ตอนนี้ถูกปั้นและมีบางส่วนที่นางเลือกจะแผ่ออกให้สามารถครอบไข่แดงได้ทั้งหมด จ้าวเพ่ยเลือกที่จะปั้นไส้ให้เสร็จไปเป็นอย่างๆ โดยที่ไม่ให้นางสับสนว่าอะไรควรทำก่อนหลัง

ครั้นพอปั้นไส้ทุกอย่างเรียบร้อย นางก็เปิดแป้งที่ปิดฝาไว้ออก มือเรียวหยิบก้อนแป้งมาปั้นและแผ่ให้สามารถครอบคลุมไส้ขนมที่เตรียมไว้ได้อีกครั้ง นางขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะหันไปหาแม่ครัวที่อยู่ข้างตน

"แม่นาง.. ท่านพอจะมีโมให้ข้ายืมหรือไม่"

เพียงคำถามเดียวทำเอาแม่ครัวชะงักไปครู่หนึ่ง นางหันไปหาคนอื่นๆก่อนผู้ที่คิดว่าน่าจะรู้จุดเก็บจะหยิบแม่พิมพ์ของขนมไว้พระจันทร์มาให้นาง ไม้หนักที่ทำมาอย่างดีถูกถือและลูบและใช้ผ้าเช็ดให้สะอาดอย่างเบามือ ก่อนนางจะนำขนมก้อนแรกที่ปั้นเอาไว้กดลงไปในแม่พิมพ์ด้วยแรงที่มี จนกว่าก้อนขนมจะเซ็ทตัวกับพิมพ์ นางจึงค่อยออกกำลังคว่ำพิมพ์เพื่อนำมันออกมา

ปกติของขนมเยว่ปิ่งจะมีน้ำมันมากอยู่แล้วจึงนำออกจากพิมพ์ได้ง่ายดาย คำว่าพระจันทร์ปรากฏบนหน้าขนมอย่างสมบูรณ์แบบให้นางยิ้มขึ้นมาอย่างพึงพอใจ แต่เมื่อภูมิใจได้ไม่นานนางก็ต้องลงมือทำก้อนอื่นต่อจนหมด หญิงสาวจัดเรียงขนมทั้งหมดให้ซุนหยางนำไปวางที่เตาถ่านที่มอดแล้ว และนำเตาถ่านอีกเตาที่ร้อนขึ้นมาวางไว้ด้านบนของขนมเยว่ปิ่ง ต้องมั่นใจว่าก้นเตาจะไม่ถูกขนมด้วย

"พักดื่มชากันเถอะ" จ้าวเพ่ยเอ่ยกับซุนหยางขณะที่ใช้หลังมือปาดแก้มที่คิดว่าเหงื่อน่าจะไหลลงมา หญิงสาวเดินนำอีกฝ่ายเพื่อออกไปยังโรงน้ำชาก่อนสายตาจะสอดส่องหาที่ว่างให้พอที่จะนั่งพักกันได้อย่างสบายใจ

"เอาล่ะมาคุยกันหน่อย" จ้าวเพ่ยกล่าวกับซุนหยางขณะรอขนมให้อบสุก "เจ้ามองข้าว่าเป็นนายหญิงของเจ้าหรือไม่"

"เจ้าคิดอะไร อย่างไรข้าก็ให้ความเคารพแก่เจ้าอยู่ไม่ใช่หรือ"

จ้าวเพ่ยขมวดคิ้ว สีหน้าแสดงออกอย่างชัดเจนเมื่อเกิดความสงสัยกับคำพูดของซุนหยางขึ้นมา

"ข้าไม่เห็นความเคารพในตัวเจ้าที่มีต่อข้า"

"เจ้าคิดมาก.."

"อย่างนั้นหรือ" ซุนหยางกล่าวบอกกับจ้าวเพ่ยพลางยกน้ำชาขึ้นมาดื่ม หญิงสาวเองยังคงมีสีหน้าเหมือนคิดอะไรอยู่ในหัวก่อนพูดขึ้นมา "ข้าคงคิดไปเอง"

จ้าวเพ่ยนั่งอยู่พอคิดว่านานพอควรแล้วนางก็ลุกออกไปทิ้งให้ซุนหยางนั่งอยู่คนเดียว หญิงสาวเข้ามาเพื่อดูขนมที่นางทำเอาไว้ โชคดีที่เหล่าแม่ครัวได้ช่วยนางเก็บขนมเข้ากล่องอีกแรง นางอาสาที่จะช่วยทำความสะอาดครัวเพื่อเป็นการขอบคุณเหล่าแม่ครัวที่ให้พื้นที่ในการใช้ครัว กว่าจะออกมาก็กินเวลาไปเสียนาน หญิงสาวถือกล่องขนมไปพบกับเถ้าแก่เพื่อขอบคุณและมอบค่าตอบแทนสำหรับการให้ยืมครัวอีกครั้ง

อย่างไรก็ตามจ้าวเพ่ยเองก็เสียดายตำลึงที่ต้องจ่ายไปไม่น้อย เมื่อพยายามคิดในแง่ดีว่าเถ้าแก่ผู้นี้พอจะใจดีแก่นางก็ต้องลดความตระหนี่ลงบ้่ง เพื่อจะไม่ให้นางถูกมองในแง่ลบในภายภาคหน้า

"เสร็จแล้วหรือ" ซุนหยางเอ่ยถามขึ้นมาเมื่อเห็นจ้าวเพ่ยเดินถือกล่องขนมมา นางเปิดกล่องขนมเหยว่ปิ่งให้ส่งกลิ่นหอมไปทั่วบริเวณ หญิงสาวหยิบขนมที่เริ่มเย็นขึ้นมาหนึ่งชิ้นและยื่นให้ซุนหยางที่มองนางอย่างงุนงง

"เจ้าลองกิน หากมีข้อผิดพลาดข้าจะได้ทำใหม่"

"อะไรของเจ้า"

"เห็นข้าเป็นนายหญิงหรือไม่" จ้าวเพ่ยใช้คำว่านายหญิงกดซุนหยางให้เขามองขนมเยว่ปิ่งฝีมือนางอย่างไม่ค่อยไว้ใจ แม้หน้าตาจะดูสวยงามแต่หากว่าจ้าวเพ่ยทำไม่เป็นและให้ตนเป็นหนูลองยาคงจะเป็นสตรีที่โหดใช่ย่อย "อ้าปาก"

ขนมเยว่ปิ่งถูกยื่นเข้าปากของซุนหยางก่อนนางจะปล่อยให้อีกฝ่ายได้ถือเอง จ้าวเพ่ยมองสีหน้าของอีกฝ่ายที่กัดขนมฝีมือนาง โดยแสดงออกมาด้านที่นางค่อนข้างพึงพอใจ รอยยิ้มผุดมุมปากเล็กน้อยเมื่อซุนหยางไม่กล่าวอะไรนอกจากกินขนมฝีมือนางไปจนหมด

"อย่างไรบ้าง?"

"ก็ดี.. ฝีมือสมกับเป็นสตรี"

"สตรีงามแห่งฮั่นจงด้วย" จ้าวเพ่ยใช้มือป้องปากเพื่อหัวเราะกับความน่าภาคภูมิใจของนาง หญิงสาวเรียกซุนหยางให้ลุกขึ้นก่อนจะเดินนำอีกฝ่ายออกจากโรงน้ำชา เพื่อหาที่พักในฉางอันไปก่อนเพื่อเตรียมตัวออกเดินทางกันต่อ


มอบ 300 ตำลึงเงิน ให้กับ เถ้าแก่หลี่ เฟยหลง
มอบขนมเยว่ปิ่ง ให้กับ ซุนหยาง(ผู้ติดตาม)

←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
กระบี่ร้อยกฎ
มุกพณาหวาซวี
ม้าเหลียง
กลยุทธ์เล่ออี้
บทเพลงยิ้มเย้ยยุทธจักร
หน้ากากขาว
เกราะเกล็ดมังกร
ผ้าคลุมไท่หลง
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x2
x7
x4
x10
x10
x13
x13
x13
x12
x11
x202
x1
x1
x1
x11
x22
x15
x30
x1
x100
x100
x9
x2
x5
x6
x8
x10
x2
โพสต์ 2021-10-13 22:26:54 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย GeLi เมื่อ 2021-10-13 22:53


เควสประจำวัน ส่งข้าวสารให้ผู้ว่าการอู๋เว่ย

ตอนที่ 3 น้ำชา หญิงสาว และหมากล้อม



ย้อนเหตุการณ์เมื่อวาน


บ่ายวันนั้น ณ โรงน้ำชาที่มีชื่อเสียงประจำเมืองฉางอาน ว่ากันว่าในช่วงก่อนเข้าสู่กลียุคนั้น โรงน้ำชาแห่งนี้จะมีลูกค้าแวะเวียนเข้ามาไม่ขาดสาย จนได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในสถานที่ที่ผู้ใดมายังเมืองฉางอานก็ต้องแวะมาใช้บริการ ซึ่งแม้ว่าในยามนี้จะเข้าสู่กลียุค แต่ก็ยังคงมีลูกค้าแวะเวียนมาอยู่แทบจะตลอดไม่ว่าจะเป็นลูกค้าประจำและลูกค้าขาจร โรงน้ำชาแห่งนี้บริหารกิจการโดยหลี่ เฟยหลง ชายชราผู้ได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่ซื่อตรง ยุติธรรม อ่อนน้อมและถ่อมตนยิ่งนัก ซึ่งเขานั้นมีบุตรีคนเล็กคอยช่วยบริหารงานโรงน้ำชา


เกวียนเล่มหนึ่งได้เคลื่อนที่มาหยุดยังเบื้องหน้าโรงน้ำชา ชายหนุ่มร่างสูงโปร่งกระโดดลงจากเกวียนแล้วยืดเหยียดแขนเพื่อคลายความเมื่อยล้าจากการที่นั่งเกวียนมานานติดต่อกันหลายชั่วโมง แล้วยืดอกสูดลมหายใจเข้าปอด ก่อนจะหันไปลูบหัวของวัวทั้งสองตัว ชายร่างสูงใหญ่กระโดดลงจากเกวียนเช่นกัน เขายืดเหยียดแขนก่อนจะป้องปากหาวหวอดใหญ่เสียงดัง แล้วมองดูโรงน้ำชาที่ตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้าพวกเขา


“ที่นี่งั้นหรือโรงน้ำชาที่เจ้าเอ่ยถึง ช่างดูใหญ่โตยิ่งนัก ต่างจากพวกโรงเตี้ยมที่ข้าเคยแวะเวียนเสียจริง ๆ ชักอยากจะเข้าไปนั่งดื่มชาให้หายเหนื่อยเสียแล้วสิ”


เฉินกวงเอ่ย เก้อหลี่ที่กำลังลูบหัวของวัวทั้งสองตัวอยู่ก็หันไปมองโรงน้ำชานั้นก็ยิ้ม เขาพยักหน้าให้กับชายร่างสูงใหญ่ก่อนจะกระชับกระเป๋าย่ามที่เขาสะพายไว้กับตัว แล้วเดินนำเฉินกวงเข้าไปยังโรงน้ำชา ชายหนุ่มเดินไปบอกกับพนักงานต้อนรับที่ยืนอยู่หน้าโรงน้ำชาว่า ให้จัดคนไปเฝ้าเกวียนของพวกตน เมื่อพนักงานผู้นั้นพยักหน้ารับแล้ว เก้อหลี่ก็เดินนำเฉินกวงเข้าไปข้างใน


ภายในโรงน้ำชานั้นประดับตกแต่งอย่างเรียบง่ายแสดงถึงนิสัยของผู้เป็นเจ้าของโรงเตี้ยมว่า คงจะเป็นผู้ที่ใช้ชีวิตเรียบง่าย ไม่นิยมความหรูหรามากนัก ดูเหมือนว่าในเวลานี้จะมีลูกค้ามานั่งเพียงไม่กี่โต๊ะนัก ชายหนุ่มกับชายร่างสูงใหญ่จึงมีโต๊ะให้เลือกนั่งเยอะ ขณะที่เขากำลังกวาดสายตามองดูโต๊ะที่ว่างเปล่าอยู่นั้นเขาก็สะดุดตากับโต๊ะหนึ่งที่มีหญิงสาวรูปร่างสูงโปร่งกำลังก้มหน้าก้มตาเขียนอะไรบางอย่างอยู่ เบื้องหน้าของนางนั้นมีชายชราผู้หนึ่งกำลังนั่งพร่ำบอกอะไรบางอย่างให้นางฟัง ชายหนุ่มเห็นดังนั้นก็รู้สึกประหลาดใจแต่ก็ไม่พูดสิ่งใดหรือแสดงอาการใด ๆ ออกมา


“โต๊ะตรงนั้นว่าง ข้าว่าเราไปนั่งตรงนั้นละกันนะ”


ว่าแล้วเก้อหลี่ก็เดินนำเฉินกวงไปนั่งยังโต๊ะที่อยู่ไม่ไกลจากโต๊ะที่หญิงสาวกับชายชรานั่งอยู่มากนัก เก้อหลี่นั่งเอากุมมือพลางกวาดสายตามองดูบริเวณโดยรอบ พลางแอบลอบชำเลืองมองหญิงสาวที่กำลังจดอะไรบางอย่าง มืออีกข้างที่ว่างอยู่นั้นทำท่าทางแปลก ๆ เมื่อชายหนุ่มมองดูดี ๆ ก็คล้าย ๆ กับว่ากำลังนับหรือคำนวณเลขอยู่


“สวัสดีเจ้าค่ะพวกท่านดื่มชาอะไรดีหรือเจ้าคะ”


หญิงสาวผู้ร่างเล็กคนหนึ่งท่าจะเป็นพนักงานของโรงน้ำชาเอ่ยปากพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน ทำให้เฉินกวงที่ได้ยินก็ถึงกับยิ้มกริ่ม ใบหน้าของหญิงสาวดูงดงามน่ารักยิ่งนัก เฉินกวงเอ่ยปากพูดกับหญิงสาว


“พี่เดินทางมาไกล อยากจะได้สุราสักไหมาดื่มเสียให้ชื่นใจสักหน่อย น้องจะพอมีให้พี่ดื่มหรือไม่เล่า”


คำพูดของเฉินกวงทำให้หญิงสาวเอามือป้องปากแล้วหัวเราะเบา ๆ นางส่ายหน้าเล็กน้อย ก่อนจะพูดตอบพร้อมรอยยิ้มและน้ำเสียงอ่อนหวาน


“ไม่มีหรอกเจ้าค่ะ ท่านพี่อย่าได้เย้าแหย่ข้าเลยเจ้าคะ เถ้าแก่ท่านมองดูอยู่เดี่ยวข้าจะโดนดุเอา”


เก้อหลี่ที่นั่งฟังเฉินกวงอยู่ก็พอจะรู้ความคิดของชายร่างสูงใหญ่ ก็เอ่ยปากพูดด้วยน้ำเสีียงทุ้มนุ่มพร้อมรอยยิ้มบาง


“สหายของข้าพูดหยอกเย้าเจ้าเฉย ๆ น่ะ อย่าได้กังวลเลย ข้ากับสหายขอเป็นชุดน้ำชาหลงจิ่งกับของว่างมาสักสองสามชุดละกันนะ”


“เฮ้ยเก้อหลี่ แต่ข้าอยากดื่มสุรานี่นา โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับแม่สาวน้อยผู้นี้”


เฉินกวงพูดขัดโดยทันที ก่อนจะหันไปยักคิ้วหลิ่วตาให้กับหญิงสาว แต่ดูเหมือนว่า พนักงานสาวผู้นั้นจะส่งยิ้มให้กับชายหนุ่มผู้เป็นเจ้านายเสียอย่างงั้น ทำให้เฉินกวงรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย ได้แต่กอดอกแล้วจ้องมองเก้อหลี่ตาเขม็ง พนักงานสาวพยักหน้าให้กับเก้อหลี่ก่อนจะโค้งตัวเล็กน้อยแล้วเดินไปที่ครัว ชายหนุ่มหันกลับไปมองเฉินกวงก็ตกใจเล็กน้อย เขายิ้มขำเบา ๆ แล้วเอ่ยปากถามผู้ติดตามของตน


“ใยถึงหน้าบึ้งตึงเช่นนั้นเล่า”


“ข้าแค่อิจฉาและสงสัยในตัวเจ้าน่ะเก้อหลี่ ข้าออกจะหน้าตาดีกว่า มีเสน่ห์กว่า ไฉนเลยแม่นางผู้นั้นถึงสนใจเจ้าเสียได้”


เก้อหลี่ได้ยินเช่นนั้นก็หัวเราะเบา ๆ แล้วส่ายหน้าเล็กน้อย ก่อนจะยื่นมือไปตบบ่าชายร่างสูงใหญ่ เขายิ้มให้กับผู้ติดตามของตนก่อนจะเอ่ยปากพูด


“เจ้าคิดมากเสียแล้วเฉินกวง นางคงจะหลงเสน่ห์เจ้าแล้วล่ะ แต่คงจะเขินอายเสีย จึงแก้เก้อเจินด้วยการหันมาพูดคุยกับข้ากระมัง”


เฉินกวงได้ยินเช่นนั้นก็ถอนหายใจเบา ๆ แล้วส่ายหน้าให้กับเก้อหลี่


“ข้าอยากจะดื่มสุราสักไหเสียจริง ๆ ให้ตายสิ อยากดื่มสุรา !!!”


เสียงห้าวดังที่เฉินกวงพูด ทำให้ผู้คนที่อยู่ภายในร้านต่างพากันหันไปมองที่โต๊ะของเก้อหลี่และเฉินกวงเป็นตาเดียว ทำให้เก้อหลี่ถึงกับพูดปรามชายร่างสูงใหญ่ให้พูดเบา ๆ เสียหน่อย ด้วยไม่อยากจะให้เกิดเรื่องที่นี่ แต่แล้วหญิงสาวร่างสูงโปร่งที่เก้อหลี่แอบลอบมองตั้งแต่ที่เขาเดินเข้ามาในโรงน้ำชา ก็วางพู่กันลงแล้วลุกขึ้นจากเก้าอี้เดินมายืนอยู่ที่โต๊ะของพวกเขา


“พวกท่านโวยวายเรื่องกระไรงั้นหรือเจ้าคะ มีสิ่งใดให้ข้าช่วยหรือไม่”


หญิงสาวร่างสูงโปร่งยืนกอดอกมองดูพวกเขา ใบหน้าของนางดูงดงามยิ่งกว่า พนักงานหญิงคนเมื่อครู่ที่มาต้อนรับพวกเขาเสียอีก เก้อหลี่ที่ได้ยินคำถามจากหญิงสาวก็กำลังอ้าปากจะเอ่ยตอบ แต่ดูจะไม่ทันเฉินกวงที่ดูเหมือนว่าปากจะทำงานไวกว่าสมองเสียอย่างงั้น


“ข้าอยากได้สุราสักไห น้องสาวพอจะหาให้ข้าดื่มได้หรือไม่เล่าจ๊ะ”


เก้อหลี่ได้ยินเช่นนั้นก็ถึงกับต้องหันไปมองดูท่าทีของหญิงสาวโดยพลัน แต่ดูเหมือนหญิงสาวจะยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหัวเราะเบา ๆ แล้วเอามือเท้าเอวบางอันสมส่วนของนาง ก่อนจะเอ่ยปากพูดด้วยน้ำเสียงหวานที่ฟังดูแข็งขึ้นเล็กน้อย


“เสียใจด้วยนะเจ้าคะ ที่นี่เป็นโรงน้ำชาสกุลหลี่ เราไม่มีสุราให้ท่านได้ดื่มหรอก หากว่าท่านต้องการดื่มสุราล่ะก็เชิญได้หาดื่มที่โรงเตี้ยมเสียเถอะ และหากว่าท่านไม่รู้ว่าโรงเตี้ยมอยู่ที่ใดล่ะก็ ลองไปถามทางจากพนักงานที่อยู่หน้าโรงน้ำชาเสียเถอะนะเจ้าคะ”


ชายหนุ่มร่างสูงโปร่งแม้จะอึ้งเล็กน้อยกับคำตอบของหญิงสาวที่แสดงออกถึงความเฉลียวฉลาดช่างเจรจาของนาง แต่เขาก็แอบลอบยิ้ม ตรงข้ามกับเฉินกวงที่ดูหงุดหงิดยิ่งนัก ด้วยคำพูดของหญิงสาวทำให้เขารู้สึกเหมือนโดนหญิงสาวตบหน้าอย่างจัง


“พูดกันดี ๆ ก็ได้นะน้องสาว ไฉนถึงพูดไล่พวกพี่เช่นนี้เล่า”


เมื่อพูดจบเฉินกวงก็ทำท่าจะลุกขึ้นจากเก้าอี้ด้วยความไม่พอใจ แต่ก็ถูกเก้อหลี่ที่มีความไวมากกว่าลุกขึ้นไปกดไหล่กว้างของชายร่างสูงใหญ่ให้กลับไปนั่งลงเช่นเดิม เก้อหลี่หันไปยิ้มอ่อนให้กับหญิงสาว แล้วเอ่ยปากพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่มอย่างอ่อนโยน


“ขออภัยให้กับสหายของข้าด้วยนะแม่หญิง พอเขาเดินทางมาเหนื่อย ๆ น่ะเลยอยากดื่มสุรา แต่ที่นี่ไม่มีก็ไม่เป็นไรหรอก พวกข้าดื่มน้ำชาได้”


“เฮ้ย ไม่ได้ ๆ ข้าไม่ยอมหรอก แม่สาวคนนี้พูดจาราวกับว่า ข้าโง่เขลาเบาปัญญานัก ข้ายอมไม่ได้”


เฉินกวงตะโกนออกมาพลางดิ้นขัดขืนด้วยความไม่พอใจ หญิงสาวร่างสูงโปร่งเห็นท่าทีเช่นนั้นก็กระหยิ่มยิ้มเยาะ หัวเราะออกมาเบา ๆ ก่อนจะเอ่ยปากพูดด้วยน้ำเสียงแข็งแต่อ่อนหวาน


“กระนั้นหรือ หากแม้ว่า สหายของท่านคิดว่า ตนมิได้โง่เขลาดังเช่นที่ข้าเอ่ยเช่นนั้นก็ลองมาเชาว์ปัญญากับข้าสักคำถามสองคำถามเสียหน่อยละกันนะ”


เก้อหลี่กับเฉินกวงได้ยินคำพูดของหญิงสาวก็หันไปมอง เฉินกวงหัวเราะดังลั่นแล้วยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ ก่อนเอามือเท้าคางมองดูหญิงสาวร่างสูงโปร่ง


“ย่อมได้ หึหึหึ หญิงสาวเช่นเจ้าน่ะหรือจะเชาว์ปัญญา ย่อมได้ หากแม้นว่า ข้าชนะเจ้าจะเลี้ยงสุราและนั่งดื่มกับข้าหรือไม่เล่า”


“เฉินกวง”


เก้อหลี่ที่ได้ยินคำท้าของผู้ติดตามของตนเช่นนั้นก็ถึงกับเอ่ยปากปรามไว้ด้วยเสียงดุ แต่ดูเหมือนหญิงสาวกลับหัวเราะออกมาเบา ๆ ก่อนจะเดินมานั่งเก้าอี้ตรงข้ามกับเฉินกวง แล้วเอามือเรียวงามคู่นั้นมาวางเท้าคาง ก่อนจะยิ้มที่มุมปาก


“ย่อมได้เจ้าค่ะ แต่หากท่านแพ้ ท่านจะต้องยอมจ่ายค่าเสียเวลาด้วยการเลี้ยงน้ำชาแก่ลูกค้าทั้งหมดในโรงน้ำชาของข้านะเจ้าคะ”


เฉินกวงได้ยินเช่นนั้นก็ถึงกับหยุดคิดอยู่ครู่หนึ่ง แต่ด้วยความที่ว่าศักดิ์ศรีมันค้ำคอ เขาไม่ยอมที่จะให้หญิงสาวที่นั่งอยู่ตรงหน้าเขาดูถูกได้ก็กำหมัดแล้วทุบโต๊ะทีนึง


“ย่อมได้ข้ารับคำท้า ลองว่าคำถามของเจ้ามาเลยแม่สาวน้อย”


เก้อหลี่เห็นท่าทางของผู้ติดตามของตนเช่นนั้นก็นั่งลงข้าง ๆ แล้วบอกกับชายร่างสูงใหญ่ด้วยรู้ถึงผลแพ้ชนะล่วงหน้า


“เฉินกวงเจ้าไม่มีเงินที่จะจ่ายหรอกนะ ยอมแพ้นางเสียเถอะ”


“ยอมแพ้งั้นหรือ เหอะ ไม่ได้หรอก ข้ามั่นใจว่าข้าชนะนางแน่นอนเก้อหลี่ หรือหากแพ้ก็คงจ่ายไม่มากหรอกน่า ข้าขอยืมเงินเจ้าก่อนละกันนะ”


เก้อหลี่ได้ยินคำตอบจากเฉินกวงก็ถึงกับส่ายหน้าและถอนหายใจเบา ๆ เขาได้แต่หันไปมองหญิงสาวที่นั่งเท้าคางมองดูพวกเขาด้วยท่าทางเรียบเฉยอย่างใจเย็น หญิงสาวค่อย ๆ เปิดปากพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน


“ท่านชาย หากแม้นว่าท่านมีปัญญายอดเยี่ยมเหนือกว่าข้าแล้วไซร้ ไหนลองชี้แจงแถลงไขให้ข้าฟังถึงคำตอบของปริศนาธรรมนี้แก่ข้าผู้โง่เขลาเสียหน่อยว่า ยักษ์ตนหนึ่งนั่นมีสี่หน้า มีดวงตาสองข้าง ยามดวงตาข้างหนึ่งเปิดสว่าง ดวงตาอีกข้างก็จะริบหรี่ดับมืด มันมีปากที่ใหญ่ถึงสิบสองปาก แต่ละปากนั้นมีฟันไม่มากและไม่เท่ากันนัก บางปากก็มีสิบเจ็ดซี่ บางปากก็มีสิบแปดซี่ และบางปากก็มีสิบเก้าซี่ แต่มันกลับสามารถกลืนกินสรรพสิ่งทั่วทั้งปฐพี ท่านพอจะรู้หรือไม่เล่าว่า ยักษ์ตนนี้คืออะไร จริง ๆ แล้วคงมิเกินปัญญาอันสูงล้ำของท่านนักดอก ตอบครั้งเดียวคงได้ แต่หลี่หย่งเมี่ยวผู้นี้ใจดีให้โอกาสท่านตอบได้สามครั้งเจ้าค่ะ”


เฉินกวงได้ยินคำถามจากหญิงสาวก็พึ่งจะรู้ได้ว่า หญิงสาวผู้นี้คงจะมีปัญญาหลักแหลมดังที่เก้อหลี่พูด แต่ก็สายไปเสียแล้ว ตรงข้ามกับเก้อหลี่ที่เมื่อได้ยินคำถามของหญิงสาวก็แอบลอบยิ้มด้วยเขาพอจะเคยได้ยินอยู่บ้างเกี่ยวกับการตอบปัญหาเชาว์ปัญญาเรื่องปริศนาธรรมเช่นนี้ แต่เขาเลือกที่จะไม่พูดกระไรนอกจากปล่อยให้เฉินกวงที่บัดนี้กำลังเกาหัวแกรก ๆ ด้วยความงุนงงตอบคำถามนั่นเสียให้รู้ซะบ้าง


“อะไรกันว่ะ ยักษ์สี่หน้า สิบสองปาก เอาล่ะ ข้าคิดออกละ ยักษ์ที่เจ้าเอ่ยมามันก็คือ แม่น้ำ ถูกต้องใช่หรือไม่เล่า บอกข้ามาเสียโดยดี”


ชายร่างสูงใหญ่เอ่ยพูดพลางยืดอกกว้างอย่างภูมิใจ เก้อหลี่ที่ได้ยินคำตอบก็ถึงกับลอบแอบส่ายหน้าเบา ๆ หญิงสาวได้ยินคำตอบและเห็นท่าทางของชายร่างสูงใหญ่ก็ถึงกับกลั้นขำไม่ได้ นางส่ายหน้าเบา ๆ แล้วยิ้มกริ่ม


“ไม่ได้เฉียดกับคำตอบเลยแม้แต่น้อยเจ้าค่ะ ท่านตอบผิดไปหนึ่งครั้งแล้ว เหลือโอกาสอีกสองครั้งนะเจ้าคะ”


เฉินกวงเมื่อรู้ว่าตนเองตอบผิดก็ถึงกับเกาหัวแกรก ๆ อีกครั้งด้วยว่าจนปัญญา เขาเอามือใหญ่ลูบคางไปมาพลางครุ่นคิดอีกครั้ง พลางบ่นพึมพำไปมาคนเดียว เก้อหลี่ที่นั่งเอามือเท้าคางมองดูชายร่างสูงใหญ่สลับกับหญิงสาวที่นั่งเอาเล็บเคาะโต๊ะเบา ๆ เป็นจังหวะพลางฮัมเพลงอย่างสบายอารมณ์ เมื่อนางรู้สึกได้ว่า ชายหนุ่มแอบลอบมองนาง ดวงตาเรียวงามก็หันไปสบตามองชายหนุ่มทันที ทำให้เก้อหลี่ต้องหันไปมองเฉินกวงแก้เก้อ พอดีกับที่หญิงสาวที่เป็นพนักงานที่เก้อหลี่กับเฉินกวงพบในตอนแรกนำชุดน้ำชาและของว่างมายังที่โต๊ะ


“เอ่อ . . . น้ำชาและของว่างมาแล้วเจ้าค่ะ”


พนักงานสาวเอ่ยด้วยความเกรงใจพลางมองดูท่าทางของชายหญิงทั้งสามคนด้วยความสงสัย แต่ก็พอเดาได้ว่า นายหญิงคนเล็กนั้นคงจะประลองเชาว์ปัญญากับชายทั้งสองคนนี้เป็นแน่ ซึ่งนางเห็นอยู่บ่อยครั้งเหมือนกัน


“ชงให้กับสหายของข้าและแม่นางคนนั้นเถอะ เพราะข้ารอที่จะดื่มสุราจากแม่นางคนนั้นล่ะนะ”


เฉินกวงเอ่ยปากพูดพลางยิ้มอย่างมั่นใจ แม้ว่าในตอนนี้เขาจะอับจนปัญญาแล้วก็ตาม แต่เขาก็ไม่ยอมแพ้เสียโดยง่าย พนักงานสาวได้แต่ยิ้มแหย ก่อนจะหันไปรินน้ำชาแล้วส่งให้กับเก้อหลี่ ซึ่งเขาก็รับมาจิบด้วยท่าทางอ่อนโยนและสุขุม เช่นเดียวกับหญิงสาวที่รับน้ำชามาจิบอย่างสบายใจ แต่แล้วเฉินกวงที่ใช้สมองอันตื้อของเขาครุ่นคิดครู่หนึ่งก็เอากำปั้นทุบโต๊ะครั้งนึง  ราวกับว่าจะรู้คำตอบแล้ว ทำให้พนักงานสาวถึงกับสะดุ้งตกใจ


“ข้ารู้ละ ครั้งนี้ข้าตอบถูกแน่นอน ยักษ์ที่เจ้าบอกนั้นก็คือ ท้องฟ้าอันกว้างใหญ่”


เมื่อพูดจบชายร่างสูงใหญ่ก็กางแขนกว้างแสดงท่าทางประกอบคำตอบของเขา ซึ่งนั่นกลับทำให้หญิงสาวหัวเราะออกมาอีกครั้งแล้วส่ายหน้าเล็กน้อย เช่นเดียวกับเก้อหลี่ที่เมื่อได้ยินคำตอบแล้วก็ถึงกับลอบถอนหายใจอีกครั้ง เฉินกวงรู้สึกหงุดหงิดอีกครั้ง เขาอ้าปากเพื่อจะตอบคำถามครั้งสุดท้าย


“คำตอบสุดท้าย ยักษ์ตนนั้นก็คือ . . .”


“คือ กาลเวลา . . .”


หญิงสาวได้ยินคำตอบจากชายหนุ่มที่ชิงตอบแทนเฉินกวง ก็ถึงกับเงียบแล้วเอียงคอมองชายหนุ่มเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มออกมาอย่างพอใจ เฉินกวงเมื่อได้ยินคำตอบจากเก้อหลี่ก็ถึงกับทำตาโตแล้วมองดูเจ้านายของตน เก้อหลี่ยิ้มก่อนจะพูดอธิบายต่อด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่มน่าฟังว่า


“มันเป็นปริศนาธรรมของชาวพุทธน่ะ ข้าเคยได้ยินอยู่เมื่อสมัยที่ข้าได้เดินทางไปกับท่านลุง เขาเคยพูดคุยแลกเปลี่ยนกับนักปราชญ์ชาวพุทธ ยักษ์ที่แม่นางพูดถึงนั้นคือ กาลเวลา ใบหน้าทั้งสี่ของมันนั้นก็คือ ฤดูกาลที่สี่ฤดู ใบไม้ผลิ ร้อน ใบไม้ร่วง และหนาว ส่วนดวงตาทั้งสองข้างที่เมื่อข้างนึงเปิด อีกข้างจะดับนั้นก็คือ กลางวันและกลางคืนนั่นเอง เมื่อกลางวันสว่างกลางคืนก็จะริบหรี่หายไป และเมื่อกลางคืนสว่างกลางวันก็จะลาลับเช่นกัน ส่วนปากทั้งสิบสองนั้นก็คือ เดือนทั้งสิบสองเดือน และฟันที่ไม่เท่ากันในแต่ละปากนั้นก็คือ จำนวนวันที่ไม่เท่ากันในแต่ละเดือน บ้างก็มีสิบเจ็ดวัน บ้างก็สิบแปดวัน และบ้างก็มีสิบเก้าวัน และการที่มันสามารถกลืนกินทุกสรรพสิ่งได้นั้นก็แสดงถึงว่า ไม่มีสิ่งใดที่จะอยู่เหนือกาลเวลาได้ ทุกสิ่งล้วนเกิดและดับไปตามกาลเวลา นี่คือคำตอบที่ถูกใช่หรือไม่เล่า”


เมื่อพูดจบชายหนุ่มก็มองดูหญิงสาวพร้อมกับยิ้มอ่อนอย่างใจเย็น หลี่หย่งเมี่ยวได้ยินคำตอบจากชายหนุ่มก็หัวเราะเบา ๆ อย่างสุขุมและยิ้มเล็กน้อยอย่างพึงพอใจ ด้วยนางย่อมรู้อยู่แล้วว่า ชายหนุ่มนั้นมีปัญญาที่เหนือกว่าชายร่างสูงใหญ่เป็นแน่ แต่เพียงแค่ไม่คิดจะตอบตั้งแต่แรกเท่านั้นเอง


“ข้าคิดไว้อยู่แล้วเชียวว่า ท่านนั้นมีปัญญาเหนือกว่าสหายของท่าน ใช่แล้วเจ้าค่ะ เป็นคำตอบที่ถูกต้อง แต่ในเมื่อท่านเป็นคนตอบ ข้อตกลงก็ถือไม่ยกเลิกไปนะเจ้าคะ เว้นเสียแต่ท่านจะลองตอบคำถามอื่นอีก ท่านอยากจะลองหรือไม่เล่า แต่คราวนี้หากท่านตอบปริศนาของข้าได้ ข้าจะเลี้ยงน้ำชาและชุดของว่างนี้แก่ท่าน แต่หากท่านตอบผิดท่านต้องจ่ายค่าน้ำชาชุดนี้เป็นราคาสองเท่า”


หญิงสาวเอ่ยปากพูดพลางสบตามองดวงตาคมของชายหนุ่ม แล้วยิ้มกริ่ม ชายหนุ่มได้ยินเช่นนั้นก็เอามือลูบคางพลางครุ่นคิดอย่างใจเย็น เฉินกวงที่เห็นชายหนุ่มสามารถตอบคำถามของหญิงสาวได้ก็ได้ทียุให้เก้อหลี่ตอบคำถามต่อไปเสีย ด้วยเชื่อว่า ชายหนุ่มคงเอาชนะหญิงสาวผู้นี้ได้ไม่ยากเย็นนัก เก้อหลี่ที่หลับตาครุ่นคิดอยู่นั้นก็ลืมตาแล้วสบตามองดูใบหน้างดงามของหญิงสาวแล้วยิ้ม


“อันว่า ปริศนาธรรมเมื่อครู่นั้นหากเปรียบแล้วก็คงเป็นคำถามสำหรับเด็กในความคิดของแม่นาง แต่ถึงกระนั้นหากว่าจะทำให้ข้ามีความรู้เพิ่มขึ้น ก็ถามคำถามมาเสียเถิด เพื่อให้ข้าได้ลองใช้ปัญญาอันน้อยนิดของข้าเสียบ้าง”


เก้อหลี่เอ่ยปากตอบหญิงสาวด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่มน่าฟัง พร้อมกับยิ้มบางให้นาง หญิงสาวได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มออกมาอย่างพึงใจด้วยว่า คงจะได้พบกับคู่แข่งที่สมน้ำสมเนื้อกับตนเสียทีในวันนี้ นางเอามือเท้าคางพลางครุ่นคิดคำปริศนาอยู่ครู่หนึ่งก็เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานว่า


“อันว่า ปริศนาธรรมเมื่อครู่นั้นเท่าที่จำได้ ข้าเคยใช้ถามบรรดานักปราชญ์ที่แวะมาประชันปัญญากับข้าถึงสามสิบคน แต่มีคนตอบได้เพียงยี่สิบคน ส่วนอีกสิบคนนั้นเดินคอตกออกไป แต่มาคำปริศนานี้ทำให้อีกยี่สิบคนที่เหลือ มีเพียงสิบคนเท่านั้นที่ตอบได้ ข้าหวังว่าท่านจะตอบปริศนานี้ได้นะเจ้าคะ อันว่า สี่คนหาม สามคนแห่ หนึ่งคนนั่งแคร่ สองคนพาไปนั้น ท่านอาจจะเคยได้ยินมาบ้าง หากท่านเป็นชาวพุทธ แต่หากไม่ใช่ ก็คงจะยากเสียหน่อย ท่านช่วยชี้แจงแถลงไขให้ข้าฟังเสียหน่อยได้หรือไม่เจ้าคะ ว่าบุคคลทั้งสี่กลุ่มนั้นหมายถึงสิ่งใด”


ชายหนุ่มได้ยินคำถามของหญิงสาวก็นิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่ง เขาเอามือเท้าคางพลางครุ่นคิดอย่างใจเย็น ขณะที่เฉินกวงเมื่อได้ยินคำถามจากหญิงสาวร่างสูงยาวก็ถึงกับเกาหัวอีกคำรบนึง เมื่อเห็นว่าตนเองไม่น่าจะช่วยอะไรชายหนุ่มได้ก็หันไปพูดคุยกับพนักงานสาวก่อนจะให้นางนั่งดื่มชาเป็นเพื่อนตนรอเวลา เก้อหลี่หลับตาครุ่นคิด ประโยคนี้เหมือนกับเขาพึ่งได้ยินมาเมื่อไม่นานนี้เองนา จากที่ใดนะ เมื่อคิดถึงที่หญิงสาวพูดไว้เกี่ยวกับศาสนาทันใดนั้นก็เก้อหลี่ก็นึกขึ้นมาได้ เขาลืมตาแล้วหันไปมองหญิงสาวที่นั่งฮัมเพลงและจิบชาอย่างสงบเสงี่ยม


“ถ้าจำไม่ผิดเหมือนข้าเคยได้ยินจากเจ้าอาวาสวัดไป๋ฉีที่เมืองลั่วหยาง ตอนนั้นข้าได้ไปเข้าร่วมพิธีทำบุญบูชาข้าวพระ ในบ่ายวันนั้นท่านได้เทศนาธรรมะ และเหมือนท่านได้อธิบายถึงปริศนาธรรมนี้ไว้นั่นแหละนะ เอาล่ะ ประโยคปริศนาธรรมที่ว่า สี่คนหาม สามคนแห่ หนึ่งคนนั่งแคร่ และสองคนนำพานั้น โดยรวมแล้วก็คือ การมีอยู่ของมนุษย์เรานั่นเอง ตามหลักธรรมของศาสนาพุทธนั้น สี่คนหามก็หมายถึงธาตุทั้งสี่อันเป็นร่างกายของมนุษย์เรา ดิน น้ำ ลมและไฟ ซึ่งธาตุทั้งสี่จะต้องหามกันอย่างสมดุล หากเสียสมดุลแล้วแคร่ก็จะเอียงเปรียบได้กับร่างกายที่เจ็บป่วย สามคนหามนั้นก็หมายถึงสิ่งที่มนุษย์หลีกหนีไม่พ้น นั่นคือ ความเจ็บป่วย ความแก่ชรา และความตาย หนึ่งคนนั่งแคร่ นั่นก็คือ จิตใจอันหนึ่งเดียวของเราที่จะคอยบังคับธาตุทั้งสี่ และสุดท้ายสองคนพาไปนั้นก็คือ บาปและบุญที่จะคอยชักนำให้คนเราไปตามเส้นทางต่าง ๆ คำตอบเหล่านี้ถูกต้องหรือไม่เล่าแม่นาง”


หญิงสาวได้ยินคำตอบก็ถึงกับอึ้งเล็กน้อยด้วยคิดไม่ถึงว่า ชายหนุ่มจะเคยได้ยินหลักธรรมเช่นนี้ด้วย แต่นางก็มิได้ประหลาดใจกระไรมากมายนัก เหตุเพราะจากที่ชายหนุ่มพูดมานั้นแสดงให้เห็นว่า เขาคงจะเป็นบัณฑิตจากสำนักปราชญ์ที่ใดสักที่เป็นแน่ หญิงสาวใช้มือเรียวปรบมือเบา ๆ สองสามทีแล้วยิ้มให้กับชายหนุ่ม


“ท่านช่างมีความเฉลียวฉลาดโดยแท้เจ้าค่ะ มินึกเลยว่าจะไขปริศนาธรรมนี้ได้ เช่นนั้นตามข้อตกลงข้ายอมแพ้แก่ท่านเจ้าค่ะ”


ชายหนุ่มได้ยินดังนั้นก็ส่ายหน้าเล็กน้อยแล้วยิ้มให้กับหญิงสาว เขาเอ่ยปากพูดกับนาง


“หามิได้ หามิได้ ข้ารู้ดีว่าแม่นางออมมือให้กับเรา อีกอย่างของซื้อของขายย่อมมีราคา เราจะจ่ายเงินเสียตามราคามิคิดจะใช้การเชาว์ปัญญาในครั้งนี้มาเอาเปรียบโรงน้ำชาของแม่นางหรอก”


ขณะที่ชายหนุ่มกำลังพูดคุยกับหญิงสาวอยู่นั้น ชายชราที่นั่งมองดูจากโต๊ะที่เขานั่งอยู่นานแล้วก็เดินมายืนอยู่ที่โต๊ะของพวกเขาแล้วมองดูชายหนุ่มกับหญิงสาว ก่อนจะเอ่ยปากพูดกับชายหนุ่มด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย


“ขออภัยนะพ่อหนุ่ม ไม่ทราบว่า บุตรีของข้านั้นสร้างปัญหาอะไรกับท่านหรือไม่ขอรับ”


ชายหนุ่มได้ยินคำถามจากชายชราก็รู้แล้วว่า ที่แท้ชายชราผู้นี้ก็คือ เถ้าแก่เจ้าของโรงน้ำชานี่เอง เขาถึงกับลุกขึ้นยืน แต่ชายชราก็โบกมือห้ามไว้แล้วยิ้มอย่างอ่อนน้อม ทำให้ชายหนุ่มต้องนั่งลงอย่างเกรงใจ ก่อนจะเอ่ยปากพูดตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนน้อมว่า


“มิได้เลยขอรับ ท่านผู้เฒ่า บุตรีของท่านช่างฉลาดหลักแหลมยิ่งนัก สามารถเอาชนะสหายผู้เบาปัญญาและเกือบจะทำให้ข้าอับจนปัญญาจากปริศนาธรรมของแม่นาง คงจะเป็นเพราะบิดาสั่งสอนมาดีเป็นแน่แท้ ถึงได้มีบุตรีที่ชาญฉลาดเช่นนี้”


หญิงสาวได้ยินเช่นนั้นก็แอบลอบยิ้ม แต่เมื่อเห็นชายชราผู้เป็นบิดามองดูอยู่ก็หุบยิ้มแทบไม่ทัน ชายชราหันมายิ้มให้กับชายหนุ่มแล้วหัวเราะเบา ๆ อย่างเป็นมิตร


“ขอบคุณยิ่งนัก ท่านกลาวชมข้าและบุตรีมากเกินจริงเสียแล้วล่ะ”


“ใช่แล้วล่ะท่านพ่อ ชายผู้นี้สามารถตอบปริศนาธรรมของข้าได้อย่างไม่ยากเย็นเลยทีเดียว”


หลี่หย่งเมี่ยวเอ่ยสนับสนุน พลางแอบกล่าวชมชายหนุ่มเสียด้วย ชายหนุ่มได้ยินเช่นนั้นก็ได้แต่ยิ้มบางอย่างเกรงใจ


“แท้จริงแล้ว การตั้งปริศนาธรรมของบุตรีข้านั้นเทียบไม่ได้เลยกับความสามารถในการเล่นหมากล้อมของนาง หากท่านไม่รีบที่จะไปทำธุระที่อื่นใดก็ลองเล่นหมากล้อมกับนางเสียสักตาสองตาหรือไม่เล่า”


ชายชราเอ่ยปากเชิงเชิญชวนชายหนุ่ม ซึ่งหญิงสาวผู้เป็นบุตรีของเขาได้ยินเช่นนั้นก็หันไปมองบิดาของตนแล้วส่ายหน้าเล็กน้อยด้วย ชายหนุ่มเห็นท่าทางของหญิงสาวก็ยิ้มอ่อนแล้วเอ่ยปากพูดตอบอย่างนุ่มนวลว่า


“ข้าเกรงว่า จะเป็นการรบกวนเวลาของท่านและบุตรีเสียมากกว่าขอรับ แต่หากไม่เป็นการรบกวนข้าก็ขอลองเล่นหมากล้อมประชันกับแม่นางเสียสักสามรอบละกันขอรับ”


เมื่อได้ยินเช่นนั้นชายชราก็หัวเราะเบา ๆ แล้วยิ้มออกมาอย่างพึงใจ เขาหันไปพยักหน้าให้กับพนักงานสาวที่นั่งอยู่ข้าง ๆ เฉินกวงแทนการออกคำสั่ง ซึ่งนางก็ลุกขึ้นยืนแล้วโค้งตัวเดินแยกออกไป ชายชราและหญิงสาวหันมายิ้มให้กับชายหนุ่มเล็กน้อย


“หลี่หย่งเมี่ยว นางมักจะเล่นหมากล้อมกับข้าอยู่ทุกหัวค่ำ แน่นอนนางมีฝีมือในด้านการวางแผนเสียมากมาย และปัญญาของนางล้ำเลิศเสียจนเป็นที่ร่ำลือในฉางอาน แต่ถึงกระนั้นข้าก็ยังเห็นควรว่า นางยังต้องเรียนรู้อีกมากอยู่ดี”


“ใช่แล้วเจ้าค่ะ ลูกยังเบาปัญญาอยู่มากนัก”


หญิงสาวกล่าวสนับสนุนชายชรา พอดีกับที่พนักงานสาวเดินถือชุดหมากล้อมมาวางตั้งไว้ที่โต๊ะข้าง ๆ ก่อนจะจัดการเก็บชุดน้ำชาจากโต๊ะที่กลุ่มของชายหนุ่มนั่งกันอยู่ แล้วนำชุดหมากล้อมมาจัดวางเสียเรียบร้อย ชายชราเดินมานั่งอยู่ระหว่างชายหนุ่มกับหญิงสาวก่อนจะหันไปคุยกับชายหนุ่ม


“เชิญท่านเดินหมากก่อนเลย”


ชายหนุ่มพยักหน้าเบา ๆ ก่อนจะมองดูหมากบนกระดาน เขานั่งมองพิจารณาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเดินหมากในตาแรก แล้วผายมือให้กับหญิงสาว หลี่หย่งเมี่ยวเห็นชายหนุ่มผายมือให้ก็พยักหน้าเบา ๆ นางมองดูท่าทีของชายหนุ่มในการเดินหมากอย่างไม่วางตา นางคิดอยู่ครู่หนึ่งก็ทำการเดินหมากในตาแรกโดยทันที แล้วผายมือให้กับชายหนุ่ม เก้อหลี่มองดูการเดินหมากของหญิงสาวก็เริ่มคิดนานขึ้น เขาใช้เวลาอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเดินหมากต่อไป ซึ่งหญิงสาวก็ทำแบบเดียวกัน จนกระทั่งในตาที่ห้า เมื่อหญิงสาวเดินหมากเสร็จแล้ว เก้อหลี่กลับยิ้มให้กับหญิงสาวแล้วเอ่ยปากพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่ม


“ข้าแพ้แม่นางแล้วล่ะ”


นั่นทำให้คนอื่น ๆ ที่นั่งโต๊ะถึงกับตกใจ เพราะว่าชายหนุ่มกับหญิงสาวพึ่งจะเดินหมากได้ไม่ถึงสิบตาเลย ชายหนุ่มก็กลับบอกยอมแพ้เสียง่าย ๆ เฉินกวงถึงกับเอ่ยถามว่า ทำไมถึงยอมแพ้ง่ายเช่นนี้เล่า เก้อหลี่ก็ยิ้มแล้วอธิบายอย่างใจเย็น


“การเล่นหมากล้อมนั้น ผู้เล่นไม่เพียงแค่จะคิดแก้ปัญหาตาต่อตาเท่านั้น หากแต่ต้องมองการเดินหมากของอีกฝ่าย และวางแผนเดินต่อไปข้างหน้าให้ได้มากที่สุด ซึ่งดูจากการเดินของแม่นางแล้ว นางมองการเดินออกแล้ววางการเดินล่วงหน้าไว้ถึงสิบตา แน่ล่ะข้าแพ้นางอย่างชัดเจนเลย ใช่หรือไม่”


เก้อหลี่พูดพลางหันไปมองหญิงสาวเพื่อขอความคิดเห็นจากอีกฝ่าย หญิงสาวได้ยินดังนั้นก็ยิ้มบางแล้วเอ่ยปากพูดอย่างอ่อนหวานว่า


“ท่านกล่าวเกินจริงแล้วล่ะเจ้าคะ”


“หามิได้เลย เห็นทีข้าคงต้องหาเวลาฝึกฝนการเล่นหมากล้อมเสียแล้วล่ะขอรับท่านเถ้าแก่”


ชายชราได้ยินเก้อหลี่เอ่ยเช่นนั้นก็หัวเราะออกมาอย่างพอใจ เขายิ้มให้กับชายหนุ่มแล้วพยักหน้าเล็กน้อย


“หากท่านมีเวลาก็แวะเวียนมาใช้บริการเราได้เสมอขอรับ”


เก้อหลี่พยักหน้าเล็กน้อย เมื่อเห็นว่า เขาและเฉินกวงใช้เวลาที่โรงน้ำชาแห่งนี้นานพอสมควรแล้วก็พากันลุกขึ้นยืน แล้วโค้งตัวแสดงความเคารพกับชายชรา เก้อหลี่จ่ายเงินให้กับเถ้าแก่โรงน้ำชา แล้วกล่าวลากับเขา ก่อนจะหันไปมองหญิงสาว


“ไว้ข้าแวะมาทำธุระที่ฉางอานอีกครั้ง ข้าจะขอแวะมาเล่นหมากล้อมกับเจ้าอีกนะ แม่นาง”


หญิงสาวลุกขึ้นยืนตาม นางมองดูชายหนุ่มแล้วยิ้มอย่างนอบน้อม ก่อนจะแสดงความเคารพแก่ชายหนุ่ม


“ข้ายินดีเจ้าค่ะ”


“อ้อ . . .”


เก้อหลี่หันไปเอามือล้วงหาอะไรบางอย่างในกระเป๋าย่าม เมื่อหยิบได้แล้วเขาก็นำมันออกมาปรากฎว่า เป็นซุปเยื่อไผ่ชุดหนึ่ง เขายื่นให้กับหญิงสาวแล้วเอ่ยปากบอกกับนางด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่มน่าฟัง


“ข้าขอมอบซุปเยื่อไผ่ถ้วยนี้ให้กับเจ้า แทนการมีน้ำใจที่เจ้าเล่นตอบปริศนาธรรมกับข้านะแม่นาง”


หญิงสาวเห็นซุปเยื่อไผ่ซึ่งเป็นหนึ่งในของโปรดของนางก็ถึงกับแอบตาโต แต่ถึงกระนั้นนางก็เกิดความยับยั้งชั่งใจด้วยคำสอนของบิดาที่ว่า อย่าได้เที่ยวรับสิ่งของจากคนแปลกหน้าเรื่อยเปื่อยแม้ว่า จะดูน่าเชื่อถือเช่นไรก็ตาม นางจึงมองเก้อหลี่แล้วยิ้มอ่อนให้กับเขา


“หามิได้เจ้าค่ะ ท่านเก็บไว้เถอะนะเจ้าคะ เพียงเท่านี้ก็กริ่งเกรงใจมากแล้ว ขอบคุณมากเลยนะเจ้าคะ”


ชายหนุ่มเห็นดังนั้นก็ได้แต่ยิ้มอ่อน แต่เมื่อเขานึกดูแล้วคงเป็นเพราะว่า นางคงจะเกรงใจในตัวบิดาที่เป็นห่วงว่านางจะรับสิ่งของจากคนแปลกหน้ากระมัง เขาจึงหันไปมองชายชราแล้วยื่นซุปเยื่อไผ่ให้กับเขา


“เช่นนั้นแล้วข้าขอรบกวนท่านผู้เฒ่ารับซุปเยื่อไผ่นี้ไว้ให้แก่แม่นางหลี่หย่งเมี่ยวด้วยเถอะขอรับ”


ชายชราเห็นท่าทางของชายหนุ่มก็หันไปมองหญิงสาวแล้วยิ้มเล็กน้อยก่อนจะยื่นมือเหี่ยวย่นแต่ยังมีกำลังวังชามากมายมารับถ้วยซุปเยื่อไผ่ไว้ แล้วมอบให้กับหญิงสาว หลี่หย่งเมี่ยวได้รับถ้วยซุปเยื่อไผ่มาก็ดีใจเนื้อเต้นแต่ก็ต้องสงวนอาการไว้ ได้แต่ยิ้มบางให้กับเก้อหลี่


เมื่อได้มอบของให้กับหญิงสาวเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ชายหนุ่มก็พาเฉินกวงผู้ติดตามของเขาร่ำลาชายชราและหญิงสาวอีกครั้งก่อนจะพากันเดินกลับไปที่เกวียน แล้วเดินตามต่อไปซึ่งตลอดเส้นทางนั้น เฉินกวงก็พูดจาแซวเก้อหลี่เสียมิขาด . . .


 

ลักษณะนิสัยรักสงบ

-10 ลดความเครียด

 

ลักษณะนิสัยขยัน

-20 ลดความเครียดเมื่อทำงานหรือกิจกรรมใด ๆ ไม่ให้ว่าง

 

ลักษณะนิสัยสุขุม

+5 ความสัมพันธ์คนที่มีนิสัยเดียวกัน

 

ลักษณะนิสัยหลังตรง

+15 EXP จากการโรลสร้างความน่าเคารพศรัทธาต่อผู้พบเห็น

+15 ความสัมพันธ์แรกเริ่มเมื่อได้ทำความรู้จักสหายใหม่

 

ลักษณะนิสัยว่องไว

+1 Point จากการโรลใช้แผนการและกลอุบาย

+10 EXP จากการโรลทำงาน

 

มอบ ซุปเยื่อไผ่ x 1 ให้ (164) หลี่ หย่งเมี่ยว

←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ตะกร้าสาน
เกราะเกล็ดมังกร
ม้าเหลียง
กลยุทธ์เล่ออี้
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x2
x2
x10
x9
x30
x1
x1
x5
x30
x12
x4
x4
x4
x1
x1
x2
x10
โพสต์ 2021-10-14 21:05:58 | ดูโพสต์ทั้งหมด
ครอบครัวพร้อมหน้า

        นานเท่าไหร่แล้วนับตั้งแต่สิ้นลายเพราะโจรโพกผ้าเหลืองไม่ได้หวนคืนบ้านเกิด  หลี่หย่งเมี่ยวได้รับข่าวจากบิดคาดเดาไาของตนที่ไปได้ข่าวมาตอนไปทำธุระที่นครลั่วหยาง  ขุนนางผู้ใหญ่ที่หลี่เฟยหลงสนิทสนมด้วยแจ้งข่าวว่าบุตรชายของเขาที่มีตำแหน่งเป็นผู้บัญชาการกองพันทหาร  โดนโจรโพกผ้าเหลืองบุกปล้นค่ายยามดึกสงัด  ทั้งยังเผาค่ายสังหารทหารจนหมดสิ้น  เหตุการณ์นี้หลี่เฟยหลงพอจะคาดเดาได้ลางๆ เนื่องจากบุตรชายผู้นี้มิได้ช่ำชองในพิชัยสงครามเช่นบุตรสาว  พ่ายยับดับอนาถย่อมทำให้บุตรชายเสียศักดิ์ศรีแต่ไม่กระทบถึงวงศ์ตระกูล  มันสมัครใจไปรับราชการทหารเอง  ผู้ใดในบ้านคัดค้านหาฟังคำไม่อาศัยโจรโพกผ้าเหลืองสั่งสอนสักคราจะได้สำนึกขึ้นมาได้บ้าง  แต่กลับส่งผลถึงบุตรสาวที่ความร่าเริง  ความซุกซน  ความชอบต่อการต่อและแก้บทพิชัยสงครามกับพวกทหาร  มันน้อยลงจนเถ้าแก่อย่างตนต้องออกหน้าบ่อยครั้ง  หลังจากนั้นไม่นานบุตรสาวเอาแต่ดูแลกิจการโรงน้ำชามากกว่ามานั่งเล่นสนุกให้เป็นที่สนุกสนานของผู้คนเช่นกาลก่อน

        กลับบ้านคราวนี้คงมีเรื่องเล่า  เรื่องที่อยากพูดคุยเยอะแยะ  การพเนจรสัญจรทั่วแผ่นดินสุดท้ายก็ต้องกลับสู่ถื่นฐานอันคุ้นเคยอยู่ดี  หลี่ซีซวนเดินทางออกจากลั่วหยางทั้งบอกบริกรของโรงเตี๊ยมว่าจะกลับมาพักแค่เดินทางไปทำธุระส่วนตัวชั่วคราว  หนนี้ขอกลับไปพบหน้าครอบครัวบ้างกลัวว่านานไปจะจำหน้ากันไม่ได้เสียก่อน  ลั่วหยางกับฉางอันระยะทางไม่ไกลกันมานักเดินเพียง 2 วันก็ลุถึงนครฉางอันอดีตนครหลวงอันสวยงาม  สถานที่ที่เกิดและเติบโตมาทั้งยังโดนทำโทษจนคิดว่าบิดาลำเอียงรักน้องมากกว่าตนเอง  แต่เพราะปัญญาของน้องสาวหลี่ซีซวนจึงรอดพ้นโทษมาได้เป็นส่วนใหญ่  ระหว่างที่เดินอยู่ในนครฉางอันได้ยินแว่วว่าบุตรสาวของเถ้าแก่แห่งโรงน้ำชื่อดังเพิ่งชนะบุรุษหนุ่มผู้หนึ่งมา   ทำให้หลี่ซีซวนผู้เดินผ่านมาได้ยินอดอมยิ้มไม่ได้  มันคือความภาคภูมิใจของตระกูลหลี่  ด้านปัญญาบุตรสาวผู้นี้ยังเด่นล้ำกว่าบิดาและเหนือว่าพี่ชายอย่างเทียบไม่ติด  ผู้ใดในนครฉางอานยังโค่นนางลงไม่ได้
        หลี่ซีซวนเดินทางเรื่อยมาจนมาถึงด้านหน้าของโรงน้ำชา  มองดุผู้คนยังคงหลั่งไหลมาใช้บริการไม่ขาดสายแม้จะไม่หนาแน่นเท่ากาลก่อน  โรงน้ำชาสถานที่ที่หลีซีซวนไม่เคยได้มาช่วยกิจการเลยซักครั้งเดียว  เอาแต่เที่ยวเล่นเตร็ดแตร่กับเพื่อนฝูง  บางทียังมีแอบไปดูลูกสาวบ้านอื่นกับกลุ่มเพื่อน  เขาเดินเข้าไปด้านในโรงน้ำชาความรู้สึกและบรรยากาศอันคุ้นเคยกลับมาอีกครั้งแม้ว่ามันจะนานมากแล้วก็ตาม  ฉับพลันสายตาม 3 คู่ประสานมองตากันอย่างมิได้นัดหมาย  บุคลที่ห่างหายจากบ้านไปนานได้กลับมาเยี่ยมเยียนอีกครั้งและคนที่เข้ามาโผกอดหลี่ซีซวนเป็นใครไปไม่ได้ถ้าไม่ใช่น้องสาวจอมซนคนนี้  ทั้งคู่ต่างก็ล่วงเข้าสู่วัยผู้ใหญ่กันแล้วแต่ความคุ้ยเคย  สนิทสนมตามประสาพี่น้องวันเวลามิอาจพรากไปจากพวกเขาได้เลย  ความคิด  ความอ่านยังเป็นพี่น้องเหมือนอย่างเคย
   "พี่ใหญ่ มู่อิงไม่ได้มากับพี่ด้วยเหรอ"  หลี่หย่งเมี่ยวมองหาคนด้านหลังที่ตามพี่ชายของนางออกจากฉางอันไป
   "มู่อิงไปเป็นลูกบุญธรรมของตระกูลหม่าที่อู๋เว่ยแล้ว  อย่าได้ห่วงนางเลย"  เหตุการณ์ในวันนั้นพอจะเดาได้ว่าน้องสาวเอ็นดู  ดรุณีน้อยที่มาจากเฉิงตูมากแค่ไหน
   "ตอนนี้พี่เดินทางเข้าเมืองมา ผู้คนลือว่าเจ้าใช้ปัญญาและหมากล้อมชนะบุรุษผู้หนึ่งมาหรือ"  หลี่ซีซวนโดนน้องสาวลากให้มานั่งโต๊ะไม้อย่างดีตรงด้านข้างของโรงน้ำชา  เถ้าแก่หลี่สั่งให้เตรียมอาหารวางออกมา
   "มันก็แค่ความสนุกเท่านั้นแหละ อย่าใสใจเลย พี่หายไปนานเป็นอย่างไรบ้าง"  
    นางดูตื่นเต้นและดีใจที่พี่ชายของนางกลับมาเยี่ยมบ้าน  ที่ผ่านมาเพียงเห็นผ่านๆกับตอนเจอมู่อิงเท่านั้น  มองดูพี่ชายของนางในเวลานี้มิต่างจากชนชั้นพเนจร  เพียงแค่แต่งตัวไม่มอซอ
   "ท่านพ่อ หย่งเมี่ยว  ข้าได้ซื้อคฤหาสถ์หลังไว้ที่หนานชาง เจียงหนาน  หากอยากเยี่ยมข้าเมื่อใดไปหาข้าได้ที่นั้นเสมอ"  หลี่ซีซวนมองดูท่าทีของบิดาใบหน้าปรากฏรอยยิ้มเล็กน้อย  ราวกับดีใจที่บุตรชายมีหลักมีฐาน  ต่างกับหลี่หย่งเมี่ยวที่ดูดีใจเป็นที่สุด  เขารู้ว่านางรู้ซึ้งในพิชัยสงครามและสภาพพื้นที่ทุกอย่างในแผ่นดิน  มิแปลกที่แสดงท่าทีนี้ออกมา  แดนใต้สวรรค์แห่งแดนดิน  ภูมิอากาศดีตลอดทั้งปี  
      "เจ้ามีหลักมีฐานแล้วย่อมเป็นที่น่ายินดี  แต่งงานมีครอบครัวได้แล้ว  คนเดียวบ้านมันกวา้งเกินไป"  หลี่เฟยหลงนั่งหัวเราะชอบใจ  ย่อมรู้ดีว่าบุตรชายของตนกลัวการผูกมัดเป็นที่สุด ยกเว้นเจอสตรีที่ถูกใจ  ไม่แน่ว่าอาจจะเปลี่ยนความคิดของลูกชายได้   "วันนี้มีเทศกาลฉงหยางมีของมาขายเต็มไปหมด  เจ้าสองพี่น้องไปเที่ยวกันสิ"
   "ไปสิ พี่ใหญ่ ข้าอยากออกไปเที่ยว ข้าอุดอู้อยู่ในนี้จนน่าเบื่อ"  หลี่หย่งเมี่ยวลุกขึ้นจากเก้าอี้ทันที ยืนเขย่าแขนพี่ชายตัวเอง
   "ข้าเอาซุปเยื่อไม้ไผ่มาฝาก  ข้ารู้ว่าเจ้าชอบกิน"  หลี่ซีซวนให้คนไปเอามาจากหลังม้า  พลันบริกรโรงน้ำชานำมาให้เถ้าแก่น้อยรับประทาน  นางนั่งรับประทานอย่างชอบใจเพราะเป็นของโปรด
   "เจ้าสองพี่น้องไปเที่ยวกันให้สนุกละ  วันนี้พ่ออนุญาตเจ้าหนึ่งวัน  หย่งเมี่ยว"  เถ้าแก่หลี่ไม่ค่อยใจดีกับลูกๆ  นานทีปีหนจะได้ยินออกจากปาก  
     สองพี่น้องแทบไม่เชื่อหูตัวเองว่าบิดาจะเอ่ยประโยคทำนองนี้ออกมา  ปรกติเข้มงวดเป็นที่สุด  ทั้งสองคำนับเถ้าแก่หลี่แล้วพารีบออกจากโรงน้ำชา
มอบซุปเยื่อไผ่ 1 ถ้วย ให้กับ [164]
ธาตุ-ปีนักกษัตร
ไม้-หยิน ปีมะเส็ง

เอฟเฟคหัว-หัวคลั่ง
+10 ความสัมพันธ์เมื่อเจอคนชื่อเสียงหัวมาร
+10 ความชั่วเมื่อเจอคนหัวชั่ว / หัวเลว



←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ตำราเลี่ยจื่อ
ม้าเฟิ่งหวง
กระบี่ร้อยกฎ
เตากำยาน
หน้ากากขาว
เกราะเกล็ดมังกร
ผ้าคลุมไท่หลง
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x55
x2
x4
x3
x1
x3
x8
x3
x15
x19
x20
x20
x10
x1
x1
x1
x1
x9
x6
x10
x1
x2
x30
x3
x10
x2
x1
x3
x15
x35
x2
โพสต์ 2021-10-16 02:06:28 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย ZhaoPei เมื่อ 2021-10-16 02:07

         เพราะเลยเวลานัดแนะมานานพอดูทำให้จ้าวเพ่ยรีบร้อนออกจากย่านการค้าเพื่อมายังโรงน้ำชาตามที่นางนัดสถานที่เจอกับผู้ติดจามของนาง หญิงสาวสอดส่องหาซุนหยางไปทั่วโรงน้ำชาก็พบบุรุษหน้าตาคุ้นเคยให้นางยิ้มออกมาและเร่งฝีเท้าก้าวเข้าหาแทบจะทันที

         "ซุนหยาง…" นางกล่าวขึ้นมาทั้งปั้นยิ้มทันทีเมื่อเห็นสีหน้าไม่รับแขกของอีกฝ่าย "ข้าขออภัยที่ผิดหมายนัด ข้ามัวแต่เลือกซื้อของที่ย่านการค้าเพลินไปหน่อย"

         "ไม่เป็นไรหรอก.. ข้าเองก็พึ่งมาถึงเช่นกัน"

         "อย่างนั้นหรือ.." จ้าวเพ่ยเอ่ยขณะรวบชุดเพื่อนั่งฝั่งตรงข้ามกับผู้ติดตามของนาง หญิงสาวหยิบย่ามขึ้นมาเพื่อ หยิบของบางอย่างขึ้นมา ปิ่นปักผมอันใหม่ถูกนำขึ้นมากลัดผมต่อหน้าอีกฝ่ายทั้งยิ้มขึ้นมา "เจ้าคิดว่าอย่างไร งามกว่าที่เคยเป็นหรือไม่"

         "ข้าไม่เห็นจะแตกต่างจากเดิมอย่างไร เสียเวลาซื้อของเช่นนี้หรือ.. เปลืองตำลึงเสียเปล่า"

         "เหล่าบุรุษมักจะชอบสตรีผู้มีความสวยงามอยู่แล้ว น่าแปลกที่เจ้าไม่ชอบมัน" จ้าวเพ่ยกล่าวขณะแตะปิ่นปักผมราวกับผิดหวังเล็กน้อยเมื่อไม่ใช่ตามที่คาดเอาไว้

         "เจ้าหวังให้ข้าชอบมันหรือ?" ผู้ติดตามเอ่ยถามนางขึ้นมา ทำเอาจ้าวเพ่ยเงยหน้ามองและตีหน้าครุ่นคิดอยู่ในหัว

         "จะว่าใช่.. มันก็ใช่" นางเอ่ยออกมาอย่างตรงไปตรงมาและคลี่ยิ้มขึ้นมาบางเบา "หากเป็นที่หมายตาบ้าง มันก็เป็นการดีกว่าอยู่แค่ในเงามืด"

         "คิดกับข้ามากกว่าผู้ติดตามแล้วหรือไง"

         "แน่นอน" จ้าวเพ่ยพูดอย่างอารมณ์ดี สร้างความนิ่งเงียบแก่ซุนหยางขึ้นมา เมื่อได้รับคำตอบที่ไม่คิดว่าจะกล่าวออกมาจากปากของจ้าวเพ่ย "เจ้าเปรียบเสมือนสหายคนสนิทคนหนึ่งของข้า ข้าคิดว่าข้ารู้ทุกอย่างเกี่ยวกับเจ้าแล้วนะ"

         "เจ้ารู้ว่าอย่างไร" ซุนหยางกล่าวถามนางขึ้นมา ขณะมองจ้าวเพ่ยเริ่มใช้มือม้วนช่อผมยาวพาดผ่านคอลงมาตามเนินอกของนาง

         "รู้ว่าเจ้าชอบสุรา.. ไม่ชอบทำงาน และเอาแต่นอน"

         "..."

         จ้าวเพ่ยเห็นว่าซุนหยางนิ่งเงียบก็ยกมือขึ้นเพื่อเรียกเสี่ยวเออห์มาหานาง หญิงสาวเอ่ยสั่งน้ำชามาหนึ่งเซ็ทขณะที่นางเองเริ่มจะเก็บข้าวของลงย่ามเพื่อเตรียมพร้อมจะออกเดินทางต่อไป

         "อ้อ.. ข้าได้เรื่องมาว่า เจ้าไปมีเรื่องกับชายในหอนางโลมหรือ" ซุนหยางกล่าวเปิดประเด็นขึ้นมาใหม่ เขาเหลือบทองจ้าวเพ่ยเล็กน้อย พลันนึกถึงเมื่อครั้งออกจากห้องแล้ว เสี่ยวเออห์ก็แจ้งเขาในเรื่องที่เคยเกิดขึ้นก่อนหน้านี้เกี่ยวกับนางให้

         "เจ้านั่นหาว่าข้าเป็นนางคณิกานี่ ทั้งยังจะพาข้าเข้าห้อง เป็นเจ้าจะนิ่งเฉยหรือ" จ้าวเพ่ยขึ้นอารมณ์เมื่อยังนึกถึงเหตุการณ์ในหอนางโลมไม่หาย หญิงสาวกอดอกทันทีด้วยความหงุดหงิด "ข้าอยากให้เจ้ามาเห็นเสียจริง สีหน้าตอนที่เจ้านั่นพ่ายแพ้กับข้าเพราะจะทำร้ายข้าที่หอนางโลมน่ะ"

         "เจ้าชนะมาได้อย่างไรหรือ"

         "เหล่าชายช่วยกันจับเอาไว้ก่อนจะทำร้ายข้าน่ะ" จ้าวเพ่ยตอบออกไป เป็นจังหวะที่น้ำชานำมาถึงที่ที่พวกนางอยู่ หญิงสาวจับชายแขนเสื้อและจับกาน้ำชารินลงจอกเพื่อยื่นมันให้กับซุนหยาง ก่อนนางจะรินน้ำชาในส่วนของนางไปด้วย

         "นั่นเพราะเจ้าเป็นสตรีอย่างไรล่ะ.. " ผู้ติดตามนางกล่าวเสริมออกมาพลางหยิบน้ำชามาดื่มหนึ่งจอกพอให้โล่งคอลงบ้าง "หากเจ้าเป็นชายชาตรีเช่นเดียวกัน ก็จะถูกลากออกจากหอนางโคมพร้อมกันแล้ว"

         จ้าวเพ่ยพยักหน้าเข้าใจ นางหาใช่สตรีหัวทึบที่จะไม่รู้เรื่องราวอะไรเลยแม้แต่การถูกปกป้องเพราะเป็นเพศที่อ่อนแอเช่นนี้ ครั้นคิดอย่างนั้นก็แอบรู้สึกดีขึ้นมาบ้างเมื่อเห็นว่าตัวนางเองสำคัญพอที่จะมีผู้คนไม่ละเลยตัวตนของนางอยู่บ้าง

         "ข้าคิดว่าเพราะความงดงามของข้าเสียอีก" นางกล่าวออกมาอย่างขำๆ ขณะเดียวกันก็บ่งบอกถึงความมั่นใจในรูปลักษณ์ของตัวเอง หญิงสาวหรี่ตามองซุนหยางที่ได้ยินนางพูดก็ทำหน้าคล้ายว่าไม่เชื่อที่นางกล่าวมาอย่างไรอย่างนั้น

         "จะว่างดงามหรือ ข้าว่าเจ้าก็อาจพอจะเป็นหนึ่งในสาวงามได้นะ" วางถ้วยน้ำชาลงทั้งถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย ซุนหยางนึกสนุกขึ้นมาหากจะแกล้งสตรีผู้เอาความมั่นใจลงเปลือกนอกของนางไปเสียหมด แต่หากได้ตัดสินใจทำการใดๆกลับเอาแต่ลังเล จนมีเอกลักษณ์พิเศษคือการกัดนิ้วเมื่อต้องคิดอะไรที่มันจะต้องส่งผลถึงสิ่งที่ตามมา "แต่ติดอย่างเดียวที่เจ้าไม่สามารถมีเฉกเช่นสาวงามคนอื่นๆได้"

         "อะไรหรือ??" นางกล่าวถามทั้งจ้องซุนหบางด้วยตากลมโตสีน้ำตา หญิงสาวรอคำตอบจากปากผู้ติดตามไม่วางตา เพื่อที่จะรู้ถึงข้อเสียของนางและปรับปรุงให้ทันท่วงทีก่อนจะดัดยากไปกว่านี้

         "นิสัยเจ้าไง"

         "ซุนหยาง!!" เมื่อได้ยินดังนั้นจ้าวเพ่ยก็เอ็ดขึ้นมาด้วนความโกรธเล็กน้อย นางมองไปรอบๆโรงน้ำชาเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีใครมองเมื่อครู่ก็ลุกขึ้นยันโต๊ะทันที "ทำอย่างกับเจ้ามีนิสัยที่ดีสมกับเป็นสุภาพบุรุษอย่างนั้นแหละ"

         "อย่างน้อยข้าก็ไม่ได้ตีสองหน้าเฉกเช่นสตรีแถวๆนี้นะ"

         "ซุนหยาง!!"

         "เรียกข้าอะไรเสียมากมาย กลัวผู้อื่นไม่รู้นามของข้าหรือไง"

         เมื่อได้ยินผู้ติดตามนางกล่าวเช่นนั้น จ้าวเพ่ยก็มองไปยังรอบๆโรงน้ำชา ก่อนนางจะทำเป็นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นและนั่งลงที่เดิม นางหยิบน้ำชาขึ้นมาจิบขณะที่สายตากรีดจิกไปยังอีกฝ่ายเพื่อต่อว่าทางสายตาโดยไม่มีคำพูดใดๆออกจากปากแม้สักคำตลอดเวลาที่นั่งอยู่ที่นี่

         "ไปกันเถอะ.. ข้าต้องเร่งนำปลาไปให้พ่อค้าหวังเสียก่อนรสชาติจะจืดชืด ไม่เช่นนั้นคงจะโดนเอ็ดจากพ่อค้าที่ซีเหอเป็นแน่" นางกล่าวขึ้นมาท่ามกลางบรรยากาศมาคุ หลังจากที่จิบน้ำชาจนพอตะเติมเรี่ยวแรงได้แล้วจึงลุกออกจากที่นั่งพบเพื่อออกเดินทางต่อ

         จุดหมายต่อไปคือเมืองลั่วหยาง เมืองที่แม้ไม่ใหญ่และศิวิไลซ์เท่าฉางอัน แต่ก็ครึกครื้นไปด้วยผู้คนและอารยธรรมมากมายที่พอจะเรียกได้ว่าแหล่งรวมความเจริญอีกเมืองเลยก็ว่าได้



เอฟเฟคอัตลักษณ์ตัวละคร
+ งดงาม +
+6 Point เมื่อโรลเพลย์บริหารเสน่ห์

←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
กระบี่ร้อยกฎ
มุกพณาหวาซวี
ม้าเหลียง
กลยุทธ์เล่ออี้
บทเพลงยิ้มเย้ยยุทธจักร
หน้ากากขาว
เกราะเกล็ดมังกร
ผ้าคลุมไท่หลง
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x2
x7
x4
x10
x10
x13
x13
x13
x12
x11
x202
x1
x1
x1
x11
x22
x15
x30
x1
x100
x100
x9
x2
x5
x6
x8
x10
x2
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง เข้าสู่ระบบ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

อย่าลืมเข้าสู่ระบบนะจ๊ะ เข้าสู่ระบบตอนนี้ หรือ ลงทะเบียนตอนนี้

เว็บไซต์นี้ มีการใช้คุกกี้ 🍪 เพื่อการบริหารเว็บไซต์ และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานของท่าน (เรียนรู้เพิ่มเติม)

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้