เพียงแค่ต้องการที่คุ้มหัวนอนเพียงเท่านั้น จ้าวเพ่ยพยายามจะเตือนตัวเองเมื่อเข้ามายังสำนักงานจัดขายบ้าน เพราะซุนหยางกล่าวกับนางว่าที่นี่ได้จัดขายบ้านยึดจำนองหรือบ้านเก่าอยู่ นั่นหมายความว่าจ้าวเพ่ยอาจจะได้บ้านถูกกว่าราคาจริงที่ควรจะจ่ายก็ได้
"ยินดีต้อนรับแม่นาง.. ต้องการให้ข้ารับใช้อะไรหรือไม่" เสียงชายวัยกลางคนดังขึ้นเมื่อเห็นจ้าวเพ่ยก้าวเข้ามายังสำนักงานของเขา ท่าทีภูมิฐานและรอยยิ้มช่างเหมาะกับการติอนรับบริการผู้มาเยือนเสียจริง จ้าวเพ่ยเข้ามายังด้านในได้รับการบริการอย่างดีขณะที่นางก็ยังคงคิดหนักว่าควรจะซื้อหรือว่าพักโรงเตี๊ยมต่อไปดี
"นางต้องการบ้านขอรับ"
ซุนหยางกล่าวแทนจ้าวเพ่ย เผยให้เห็นสายตาของพนักงานต้อนรับมองมาที่นาง ชุดที่นางสวมแม้จะเก่าแต่ก็มีราคา จากการคาดเดาสตรีนางนี้คงไม่ได้คิดจะมาจำนองบ้านในกลียุคเช่นนี้แน่
"เชิญขอรับแม่นาง.. ที่นี่มีบ้านหลุดจำนองมากมาย ต้องการแบบไหนบอกข้าได้" เขากล่าวทั้งพาจ้าวเพ่ยเข้ามานั่งยังข้างใน หญิงสาวมองรอบๆสำนักงานจัดขายบ้าน ก่อนจะหันมองพนักงานต้อนรับแบบเกร็งๆ
"ข้าต้องการบ้านและที่ดินหลังเล็กๆพออยู่ได้เจ้าค่ะ.." นางกล่าวสิ่งประสงค์ก่อนจะวางเงินสำหรับค่าบ้าน นางเองไม่อยากจะต้องวางเงินมัดจำสำหรับการหาบ้านที่ต้องการ แต่ต้องการที่จะเห็นว่าบ้านที่นางจะได้รับมีขนาดเช่นไร และมีตำหนิหรือไม่
"บ้านและที่ดินหลังเล็ก.." พนักงานหรี่ตามองจ้าวเพ่ยทั้งประเมินนางไปด้วย อย่างสตรีงามเช่นนางคงจะไม่ขัดสนเงินมากขนาดแค่เพียงหาบ้านหลังเล็กอยู่หรอก "กระท่อมขนาดเล็กที่หมู่บ้านโว่หลงกัง ตั้งอยู่หลังน้ำตก แม่นางสนใจหรือไม่"
"พอได้หรือไม่.." จ้าวเพ่ยหันไปถามความคิดเห็นจากซุนหยางทั้งถือถุงตำลึงของนางแน่น หญิงสาวเองก็ไม่มั่นใจสักเท่าไหร่ด้วยนิสัยติดตัวยากจะแก้ไขจากสตรีผู้เคยถูกกำหนดเส้นทางมาตลอดต้องมาคิดเองเช่นนี้
จ้าวเพ่ยคิดอยู่นานขณะที่พนักงานรอคำตอบ เขาเองเหลือบมองซุนหยางขณะอุ้มแมวอยูาก็คิดอะไรขึ้นมาได้ สตรีนางนี้คงไม่ได้คาดหวังจะซื้อกระท่อมแต่แรก.. การขายพื้นที่ที่ใหญ่กว่าย่อมเป็นผลดีต่อผลงานของเขาอยู่แล้ว
"แม่นางเลี้ยงแมวด้วยหรือ.. ข้าคิดว่ากระท่อมแบบนี้คงจะเล็กไปสำหรับแม่นาง เป็นคนชอบเข้าสังคมสิท่า จากที่ข้าดู.." พนักงานกล่าวทั้งเริ่มเอ่ยข้อเสนอเพิ่มเติมเพื่อเป็นตัวเลือกให้กับจ้าวเพ่ย เขายกตัวอย่างอสังหาที่ต้องการขายให้แก่จ้าวเพ่ยที่ดูใหญ่เหมาะกับนางสักที่สองที่
"เมืองอู๋จวิ๋นมีคฤหาสหรูรแม่นางเป็นเจ้าของ หรือหากแม่นางคิดว่ามันใหญ่เกินไปสำหรับแม่นางที่ด่านฉีกวนมีคฤหาสขนาดกลาง ซึ่งเป็นบ้านร้าง แต่แม่นางไม่ต้องกลัวไป ไม่มีผีสางใดๆแน่นอน"
"ข้าจะอยู่เพียงแค่คุ้มหัวนอนเพียงเท่านั้นเจ้าค่ะ อยู่ใหญ่โตไม่มีเงินจ้างคนทำความสะอาดหรอก เช่นนั้นมันจะยิ่งกินเนื้อข้าเข้าไปอีก" จ้าวเพ่ยกล่าวปฏิเสธอย่างนุ่มนวล หญิงสาวยังยืนยันที่จะเอากระท่อมขนาดเล็กที่น่าจะพออยู่ได้เพียงเท่านั้น อย่างไรก็ตามนางหาใช่สตรีร่ำรวยที่จะต้องมาอาศัยอยู่คฤหาสเสียเท่าไหร่นัก
"ซื้อบ้านสักที ข้าว่าแม่นางควรจะใช้สอยได้มากกว่านอนนะขอรับ.."
"ฮะๆ.. ข้าก็สตรีจนเพียงนี้ เอาเท่าที่ไหวไปก่อนนะเจ้าคะ.."
จ้าวเพ่ยหัวเราะแห้งๆ นางยิ้มออกมาขณะมองซุนหยางเพื่อขอความเห็น แต่เพราะอีกฝ่ายไม่ได้มีส่วนร่วมในการออกค่าใช้จ่ายใดๆจึงเลือกจะเงียบเพื่อให้จ้าวเพ่ยตัดสินใจด้วยตัวนางเอง
เพราะนางยืนยันเช่นนั้นหนังสือสัญญาจึงถูกส่งมาให้หญิงสาวอ่านเพื่อตัดสินใจก่อนจะซื้อครั้งสุดท้าย จ้าวเพ่ยเองเม้มปากเล็กน้อยด้วยความกังวลกับสิ่งที่พนักงานขายพูด หากนางเลือกแบบนี้เท่ากับว่าแค่ซื้อสำหรับพักผ่อน แน่นอนกว่าที่ดินน้อยเช่นนี้ทำอะไรไม่ได้มากอยู่แล้ว
"แม่นางมีงบให้เท่าไหร่ล่ะ กระท่อมเพียงเท่านั้น แม่นางคงไม่คิดจะอาศัยจนแก่เฒ่าใช่หรือไม่" พนักงานขายถามออกมาขณะที่จ้าวเพ่ยกำลังตัดสินใจ ดวงตาคมกริบละออกจากหนังสือเพื่อมองหน้าพนักงานเล็กน้อย ดูท่าว่าเขาพร้อมจะเสนอบ้านราคาไม่เกินที่จ้าวเพ่ยตั้งงบเอาไว้ นางเองก็ใช่สตรีพอเพียงจะต้องมาอาศัยอยู่ที่นั่นโดยหลอกตัวเองว่าเพียงพอแล้วแน่นอน
"เสนอมาได้นะเจ้าคะ.. หากมันทำให้ข้าสนใจ"
"มีไร่ชาเซ้งกิจการที่หมู่บ้านเซี่ย แม่นางสนใจหรือไม่"
"ไร่ชา? หรือเจ้าคะ" จ้าวเพ่ยทวนคำพูดของพนักงานขายที่เสนอนางแต่ดูหน้าของเขาเหมือนจะรู้ว่าอย่างไรนางก็คงจะปฏืเสธเพราะจ้าวเพ่ยเองได้บอกมาก่อนหน้านี้ว่านางเองก็สตรีจนๆคนหนึ่งคงเป็นไปได้ยากหากซื้อไร่ราคาสูงที่หมู่บ้านนั้น
"ราคาสูงหน่อย แต่คุ้มค่าหากแม่นางซื้อ" พนักงานมองหน้าจ้าวเพ่ยมีท่าทีคิดอยู่นานก็หันไปมองซุนหยางผู้มาด้วยกัน "พ่อหนุ่ม.. คิดว่าอย่างไร"
"นางบอกข้าว่าต้องการบ้านขอรับ.. แต่ข้าคิดว่านางคงจะอยากซื้อไว้สำหรับเหตุการณ์ข้างหน้าด้วย ดูท่านางจะใช้อาศัยระหว่างรอชายมาสู่ขอกระมัง"
"นั่นไง!" พนักงานตบเข่าฉาดใหญ่ เขาเกิดความคิดที่จะโน้มน้าวจ้าวเพ่ยขึ้นมาทันที "ไร่ชาเหมาะกับแม่นางแล้ว หากออกเรือนไป อย่างไรไร่ชาก็ไม่สูญเปล่า.. แม่นางคิดดูสามีของแม่นางจะโชคดีเพียงไรที่ได้ฟูเหรินเป็นเจ้าของไร่ชาขนาดใหญ่เพียงนี้"
"นางก็ชอบชาอยู่นะขอรับ.. เรียกว่ากินแทนน้ำเปล่าเลยก็ได้"
"นั่นเหมาะกับแม่นางแล้ว ราคาไร่ชาที่เซ้งไม่เท่าไหร่เอง"
จ้าวเพ่ยหันมองซุนหยางที่กล่าวออกไปเช่นนั้นเหมือนยิ่งทำให้พนักงานเชียร์ให้นางซื้อไร่ชาขนาดใหญ่ หญิงสาวคิดเพียงจะมาซื้อบ้านกลับยกนิ้วขึ้นมากัดเบาๆด้วยความคิดหนัก ยิ่งทำให้ผู้ติดตามของนางนึกขำที่ปั่นหัวนางได้ขนาดนี้
"เอาตามที่เจ้าว่าเลย.." ซุนหยางกล่าวทั้งลูบขนเจ้าเสี่ยวเฮยไปด้วย เขาโน้มหน้าเข้ามากระซิบข้างหูของนางให้พอได้ยินสองคน "มือปราบของเจ้าจะรู้สึกอย่างไร หากเจ้าซื้อไร่ชากันนะ"
"เจ้า!!" จ้าวเพ่ยรีบผลักอีกฝ่ายออกทั้งหน้าขึ้นสีมา นางเผลอนึกไปถึงเหตุการณ์ในอนาคตอย่างไรไร่ชาคงไม่สูญเปล่าหากแต่งงานจริงๆ แต่มีอย่างหนึ่งที่นางจะเสียไปคือความตั้งใจซื้อบ้านจริงๆ
พนักงานเองก็ใคร่รู้ว่ามีอะไรทำให้นางหน้าแดงเช่นนี้ เขามองจ้าวเพ่ยไล้มือลงมาที่กลางอกของนางเพื่อควบคุมจังหวะการเต้นของหัวใจให้กลับมาดังเดิม หญิงสาวก้มหน้าลงเล็กน้อยเพื่อไม่ให้ถูกสังเกตุได้ว่านางมีท่าทีแปลกไป
"แล้ว.."
"ที่พักมีเรือนขนาดเล็กให้ขอรับ คุ้มค่าที่แม่นางเสียไปเชียว" เขากลับกลับทันควันราวกับรู้ว่าจ้าวเพ่ยต้องการถามอะไร
สตรีงามคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้าเล็กน้อย นางตัดสินใจตกลงซื้อไร่ชาโดยไม่รู้แม้แต่ราคา หญิงสาวรับเอกสารฉบับใหม่มาดูเพื่อให้เข้าใจเกี่ยวกับไร่ชาที่นางจะซื้อ ครั้นพอจะลงลายมือชื่อ เสียงหนึ่งก็เอ่ยขึ้นมาทำให้นางชะงักลงทันที
"หนึ่งหมื่นสามพันตำลึงเงินนะขอรับ"
ราคาสูงพอๆกับคฤหาสเผลอๆแพงกว่าคฤหาสขนาดกลางด้วยซ้ำ หากเทียบกับที่นางต้องอาศัยอยู่เนือนหลังเล็กๆ จ้าวเพ่ยเงยหน้าขึ้นมองพนักงานเล็กน้อยก่อนจะหยิบถุงตำลึงเพื่อตรวจตรางบทั้งหมดที่นางมีอยู่
"กระท่อมราคาเท่าใดหรือเจ้าคะ"
"หนึ่งพันห้าร้อยตำลึงเงิน"
ราคาห่างกันเป็นเท่าตัว จ้าวเพ่ยเม้มปากเมื่อคิดเรื่องไร่ชาขนาดใหญ่และกระท่อมเล็กๆ หญิงสาวตัดใจจากสิ่งใดสิ่งหนึ่งออกไปให้พ้นด้วยการตัดสินใจลงลายมือชื่อและลงตราประทับของนางแทบจะทันที หญิงสาวมือสั่นเล็กน้อยยามต้องยื่นถุงตำลึงเงินของนางให้พนักงานเพื่อนับมัน ด้วยจำนวนไม่ใช่น้อยๆก็ปาไปหลายเค่อ กว่าจะทำธุรกรรมด้านอสังหาเสร็จดี
"ข้าขอรวมภาษีของเมืองด้วยนะขอรับ"
"เจ้าค่ะ.."
ตอนนี้นางได้เป็นเจ้าของไร่ชาแล้ว แต่แลกกับเงินจำนวนมากก็อดเสียดายไม่ได้อยู่ดี เจ้าเสี่ยวเฮยกระโดดลงจากซุนหยางเพื่อไปหาจ้าวเพ่ย ตากลมโตสีอำพันมองไปที่เอกสารเห็นตราประทับของจ้าวเพ่ยมันก็ใช้อุ้งเท้าแปะๆเพื่อบ่งบอกว่าต้องการเป็นเจ้าของร่วมสร้างรอยยิ้มแก่สตรีเล็กน้อย
"เรียบร้อยดีขอรับ นี่เงินส่วนที่เหลือ ขอบคุณที่ใช้บริการขอรับ ข้าจะจัดการส่วนที่เหลือให้แม่นางเอง"
จ้าวเพ่ยยิ้มรับและเดินออกจากสำนักงานจัดหาบ้านทันที อย่างน้อยๆนางก็ได้ทั้งบ้านและที่ดิน แต่สีหน้าของนางกลับรู้สึกไม่ค่อยดีใจเลยสักนิด ซุนหยางได้ออกตามมาติดๆก็ ระเบิดเสียงหัวเราะที่กลั้นมานานแทบจะทันที
"ฮ่าๆ บ้านราคาเกือบหมื่นห้าตำลึงเงิน.. ไหนเจ้ากล่าวว่าจะซื้อแค่คุ้มหัวนอนไง"
"เพราะเจ้านั่นแหละ! ไม่ช่วยข้าห้ามเขาเลย" จ้าวเพ่ยบ่นอุบอิบ นางไม่คิดว่าจะได้เสียเงินมากขนาดนี้ หากเป็นเช่นนี้คงจะต้องหางานรับจ้างให้มากกว่านี้เพื่อพอเลี้ยงทั้งตัวนาง เสี่ยวเฮย และค่าเบี้ยเลี้ยงแก่ซุนหยาง ยังดีที่นางยังพอมีอีแปะติดตัวบ้างไม่เช่นนั้นคงได้ตัวเบากว่านี้แน่ๆ
ครั้นพอคิดถึงคนไกลหญิงสาวก็เผลอยิ้มออกมาเล็กน้อย นางเองก็อยากจะรู้ว่าเขาคนนั้นคิดอย่างไรที่นางซื้อไร่ชามา อยากจะบอกข่าวคราวเรื่องนี้ให้เขาได้รับรู้สักหน่อย จ้าวเพ่ยหันไปหาซุนหยางเพื่อหวังจะให้เขาพานางไปส่งยังซีเหอ แต่พอดูแล้วท่าจะมืดไปเสียหน่อย คงจะอ่อนเพลียกันไปซะหมด น่าจะต้องพักที่นี่ไปเสียก่อนเพื่อเตรียมออกเดินทางอีกครา
ดำเนินการซื้อ
แบบฟอร์มขอซื้อบ้าน ชื่อทางการเจ้าของบ้าน: จ้าว เพ่ย
วันเดือนปีเกิด: 18 ตุลาคม หย่งคังศก ปีที่ 1 ฮวงจุ้ยธาตุประจำวันเกิด: ธาตุไฟ - หยาง
คำอธิบายบ้านของคุณ: หลังเซ้งกิจการ สตรีแซ่จ้าวได้เข้ามารับช่วงต่อในการดูแลไร่ชา และต่อเติมให้เป็นไร่ที่สมบูรณ์ยิ่งขึ้น อย่างไรก็ดีเพื่อสร้างรายได้แก่ชาวบ้านที่นี่ นางก็ยังคงเปิดรับคนงานที่จะเข้ามาช่วยเหลือดูแลไร่อยู่เสมอ ไร่ชาแห่งนี้มีแมวตัวน้อยสีดำมักจะวิ่งเล่นไปมาในยามที่เจ้าของไร่มาอาศัยพักผ่อนอยู่ที่แห่งนั้น มันมักจะคอยขัดขวางการทำงานของคนงานและขัดขวางผู้มาเยือนเสมอ
จ่ายค่าบ้าน : ไร่ชาเหมาเฟิง | เซ้งกิจการ ราคา 13,000 ตำลึงเงิน + ภาษี 10% รวมราคาค่าบ้าน 14,300 ตำลึงเงิน
|