
สำนักม่อก่อตั้งโดย ม่อจื่อ เป็นนักปรัชญาสมัยโบราณ มีชีวิตอยู่ตรงกับช่วงสิ้นสุดยุคชุนชิว และ เริ่มต้นสมัยจ้านกั๋ว เป็นผู่ก่อตั้งสำนักม่อเจีย ตามคำบอกเล่ากันมาว่าม่อจื่อนั้นเป็นคนโลเลสับสนเล็กน้อยและพูดตะกุกตะกัก จนต้องให้ศิษย์คนสนิทของเขา เป็นตัวแทนล่ามแปลงคำพูดของม่อจื่อในการเจรจาให้เขา แม้เขาจะดูเป็นคนไม่เอาไหนแต่ในอีกด้านหนึ่ง ม่อจื่อนับเป็นอัจฉริยะบุคคลแห่งยุค ที่มีความเข้าใจในเรื่องกลไกไม่ต่างกับหลู่ปัง หรือเรียกได้ว่าเขามีหลู่ปังเป็นต้นแบบ และเขายังนิยมตั้งชื่อตามสีต่าง ๆ จนกลายเป็นกระแสนิยมที่เกิดในสำนักม่อ เหล่าสานุศิษย์มากมายต่างทำตาม เวลาสร้างสรรค์ผลงานใหม่ พวกเขามักจะตั้งชื่อสิ่งเหล่านั้นตามสี ซึ่งสำนักม่อยังมุ่งเน้นแนวคิดที่จะต่อต้านแนวคิดของสำนักขงจื่อ ที่ยึดถือจารีตประเพณีนิยมตามแบบราชวงศ์โจว นอกจากนี้สำนักม่อ ยังเป็นกลุ่มนักคิดที่ยกระดับพัฒนาปรัชญา ไปสู่ระดับการอ้างเหตุผลถกเถียงทางปรัชญาอีกด้วย รวมทั้งสำนักม่อในสมัยหลัง ยังมีการโต้แย้งทางตรรกวิทยา และประเด็นทางปรัชญาภาษา แต่ค่อนข้างจะแตกต่าง จากทางปรัชญาตะวันตกทั้งทางด้านรูปแบบและวิธีการ รวมไปถึงการสรรสร้างกลไกพิสดารต่าง ๆ มากมาย
ประวัติความเป็นมา
หลังราชวงศ์ฉินรวมแผ่นดิน สำนักม่อที่รู้สึกว่าฉินสื่อหวงตี้อาจคิดสังหารเหล่าสำนักม่อจนสิ้น พวกเขาจึงได้ซ่อนตัวเองจากโลกภายนอกในสถานโบราณเกาหยาง ที่ตั้งลับของสำนักม่อในสมัยราชวงศ์ฉิน พวกเขาเก็บตัวอยู่ภายในสำนัก รอบนอกที่เต็มไปด้วยกลไกยากต่อการเข้าถึง แต่ก็มีอาจารย์บางท่านใช้ชีวิตด้านนอกเพื่อนำความรู้ในเรื่องกลไก สร้างสิ่งประดิษฐ์ต่าง ๆ ในการช่วยเหลือชาวบ้านที่เดือดร้อน ดังคำกล่าวของม่อจื่อ "ความรักต่อสรรพสิ่ง และการช่วยเหลือกัน" และสำนักม่อยังเป็น 1 ในสำนักสำคัญที่มีส่วนร่วมช่วยเหลือกองทัพประชาชนหลิวปังในการโค่นล้มทรราชย์ฉิน ด้วยเทคโนโลยีกลไกของพวกเขาทำให้หลิวปังกองทัพที่มีแต่ชาวบ้านสามารถเติบโตอย่างรวดเร็ว หลังสถาปนาราชวงศ์ฮั่นสำนักม่อได้ขอลาจากราชสำนักเร้นกายในขุนเขา พวกเขายังคงใช้ความรู้ในการช่วยเหลือชาวบ้านในไต้หล้า ไม่มุ่งหวังตำแหน่งขุนนาง ฮั่นเกาจู่พระราชทานที่ดินให้สำนักม่อในเขตเหลียงโจวใต้ บริเวณภูเขาซาง รอยต่อชิงไห่กับเหลียงโจวใต้ แต่ทว่าความสงบสุขของสำนักม่อกลับอยู่ได้เพียงระยะเวลาสั้น ๆ เมื่อถึงยุคสมัยฮั่นเฉิงตี้ สำนักม่อได้แตกออกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งยังยึดปณิธานม่อจื่อและใช้กลไกของพวกเขาสร้างความสุขปวงประชา แต่อีกกลุ่มกลับไม่คิดนั้น เขาคิดว่าพวกเราตีความม่อจื่อผิดไป ควรใช้ความรู้ของสำนักม่อในการช่วยเหลือแผ่นดินและสร้างความสงบสุข กลุ่มสันติเรียกตัวเองว่าซางโม่ ยังคงตั้งค่ายสำนักที่เดิมที่ฮั่นเกาจู่พระราชทาน ส่วนกลุ่มที่แสวงหาความรุ่งโรจน์และก้าวหน้าเรียกตัวเองว่า กลุ่มหลี่จุน ได้พากันไปรับใช้หวังหมั่งที่เป็นขุนนางที่มีความสามารถในเวลานั้น เพื่อนำพายุคสมัยรุ่งเรืองสู่แผ่นดินและสร้างความยิ่งใหญ่ให้สำนักม่อ พวกเขากับหวังหมั่งใช้เวลาศึกษากลไกและม้วนคัมภีร์เก่าแก่จากโบราณสถานต่าง ๆ ของสำนักม่อที่โดนลืมเลือนไปกับกาลเวลาเพื่อนำความรู้เหล่านั้นมาสร้างความเจริญรุ่งเรือง พอมาถึงยุคฮั่นผิงตี้ หวังหมั่งเห็นว่าราชวงศ์ฮั่นอ่อนแอเกินไป เขาและกองกำลังหลี่จุนได้ยึดอำนาจราชสำนักก่อตั้งราชวงศ์ซิน เพื่อการนั้นหวังหมั่งได้มอบหมายให้กองกำลังหลี่จุนกวาดล้างค่ายซางโม่ที่เป็นกลุ่มสำนักม่อเช่นเดียวกันเพื่อมิให้พวกเขาใช้ความรู้กลไกในการช่วยเหลือกบฎฮั่นที่ยังหลงเหลือไม่ยอม สานุศิษย์ที่เหลือรอดของซางโม่ไม่กี่คนได้เข้าร่วมกับกองกำลังหลิวซิ่วในเวลาต่อมา หลังจากที่เกิดความแตกแยกในกองทัพลู่หลินเนื่องจากเหตุการณ์บางอย่าง หลิวซิ่วได้รับความช่วยเหลือจากศิษย์ซางโม่ที่รอดชีวิตในการต่อกรกับกองกำลังหลี่จุนและเครื่องจักรกลสงคราม แม้ความสามารถด้านทรัพยากรไม่เทียบเท่าแต่ความสามัคคีและความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของกองกำลังหลิวซิ่วทำให้พวกเขาสามารถโค่นล้มและฟื้นฟูราชวงศ์ฮั่นได้สำเร็จ ศิษย์สำนักม่อหรือซางโม่ภายใต้การนำของผู้นำคนปัจจุบันได้มีอิสระในการตัดสินชีวิตมากขึ้น บางส่วนเลือกนำความรู้กลไกไปช่วยเหลืองานในราชสำนักฮั่น บางส่วนก็พเนจรช่วยเหลือชาวบ้านสร้างความสุขให้ผู้คน สร้างความรักและปรองดองต่อชาวบ้านในไต้หล้าตามเจตคติของม่อจื่อ ของเล่นต่าง ๆ ถูกคิดค้นขึ้นมามากมาย สำนักม่อยุคหลังจึงได้เลิกละเครื่องจักรสงครามต่าง ๆ ม้วนคัมภีร์แปลนเครื่องจักรกลไกต่าง ๆ ถูกเจ้าสำนักฉู่หงนำไปซ่อนไว้ยังซากโบราณสถานเก่าแก่ที่ห่างไกลในซีอวี้และลืมเลือนไปตามกาลเวลา เพื่อมิให้ศิษย์สำนักม่อคนใดต้องนำความรู้กลไกเหล่านี้ไปใช้ในการเข่นฆ่าสังหารชีวิตผู้บริสุทธิ์มากมายอีกต่อไป......
Coming Soon
|