สาส์นท้ารบ
นานเท่านานของคืนวันเหมันตฤดูมอบความรู้สึกของความยาวนานแห่งวันเวลาให้กับมนุษย์บนพื้นโลก ทิวากาลสั้นลง ราตรียาวนานขึ้น ความเสียดสีของความหนาวในฤดูหนาวไม่ได้ลดลงแม้แต่น้อย ใจกลางโถงใหญ่ของจวนเจ้าเมืองมีเจ้าเมืองกำลังนั่งดูแผนงานและตรวจทานบัญชีทรัพย์สินของเมืองเว่ยหนาน ด้านข้างรายล้อมด้วยที่ปรึกษาและขุนพล หนนี้เพิ่มเซี่ยงอวี่มาวางแผนงานการฝึกซ้อมและตรวจแผนที่เมืองเว่ยหนาน ประตูเมืองสี่ด้านได้เสริมความแข็งแกร่ง ความทนทาน ไม่วางใจกับโจรร้ายข้างบ้าน ทั้งต้องสังเกตุการณ์ทุกวัน เฝ้าระวังมิได้ขาด ราชสำนักมีจดหมายถามไถ่เป็นระยะ จึงตอบไปแบบหว่านแห ขนาดราชสำนักยังไม่ส่งกำพลมาช่วยหนุน เว่ยหนานไม่กล้าขยับตัวผลีผลามพลาดท่าจะพากันทั้งเมือง หลากหลายเรื่องราวภายในเว่ยหนานกำลังคลี่คลายพร้อมกับการยกระดับตัวเองทีละก้าว ก้าวทีละก้าวด้วยความมั่นคง กระบี่ประจำตัวไม่ได้วางพาดบนแท่นวางกระบี่ มิทราบเซี่ยงอวี่นำไปที่ใดยังไม่ส่งคืน การไตร่สวน ชำระความคดีลักลอบขนของผิดกฎหมาย ติดสินบนเจ้าหน้าที่ เทียนอินฉีนั่งแท่นตุลาการตัดสินคดีความ การไตร่สวนใช้เวลาครึ่งวันผลสรุปของคดีคือประหารชีวิตไม่ละเว้น หลี่ซีซวนนั่งอ่านการสรุปคดีความในโถงใหญ่ ค่อยประทับตราเจ้าเมืองรับรองลงไปบนแผ่นกระดาษสรุปคดี เซี่ยงอวี่เดินเข้ามาในโถงใหญ่พร้อมดรุณีนางหนึ่งในมือถือกระบี่อันคุ้นตา ค่อยรู้ว่ามันหายไปที่ใดมา "นายท่าน น้องสาวของนายท่านรำกระบี่เป็นสวยงามนัก หากได้รับการฝึกเพลงทวน คิดว่าคงรำเพลงทวนได้งามสง่าบนหลังม้าแน่นอน" เซี่ยงอวี่ผายมือให้หลี่หย่งเมี่ยวนั่งลง พลางรับกระบี่นางมือของนางมาวางไปที่เดิม "พี่ใหญ่ ข้าได้ยินว่าพวกท่านเพิ่งกลับจากการตรวจท้องที่และชำระคดี ท่านเซี่ยงอวี่จึงชวนข้าดวลหมากล้อม ระหว่างรอพวกท่านพิจารณาคดี" หลี่หย่งเมี่ยวได้ปรับความเข้าใจกับหลี่ซีซวน จากการประสานงานของเถ้าแก่เนี้ยจาง เจ้าของร้านขายน้ำชาที่หลี่ซีซวนสนิทสนม ทำให้กลับมาปรองดองกันเช่นเดิม ด้วยวัยของทั้งคู่ที่เติบโต หลายอย่างได้เปลี่ยนแปลงพร้อมวัยของพวกเขา พวกชาวเมืองเว่ยหนานต่างแอบคิดกันว่า เมื่อใดที่หลี่ซีซวน เจ้าเมืองหนุ่มพิโรธหรืออาละวาด ผู้ที่จะระงับดับโทสะของเขาได้ ไม่ใช่เฉินหยางที่ปรึกษาคนสนิท หากเป็นเถ้าแก่เนี้ยจางเจ้าของร้านขายน้ำชาที่เจ้าเมืองให้ความเกรงใจและอ่อนลงให้มาตลอดนั่นเอง ดั่งเช่นพี่น้องทะเลาะกันก็ได้เถ้าแก่เนี้ยจางเป็นผู้ประสานรอยร้าวให้จนกลับมาสนิทใจได้ดังเดิม หรือเจ้าเมืองหนุ่มจะหลงเสน่ห์สตรีมีอายุ เพราะนางมีรูปร่างอวบอัด ไม่มีสิ่งใดหย่อนคล้อย ทั้งยังไม่มีครอบครัว พวกเขาทั้งคู่ต่างต้องอัชฌาศัยซึ่งกันและกัน คนที่รู้เรื่องนี้ดีที่สุดอย่างเฉินหยางกลับนิ่งเฉยไม่ปริปากสักครึ่งคำ ด้วยรู้อารมณ์และนิสัยของเจ้านายดี สิ่งใดที่ไม่เป็นที่ชอบใจหรือไม่ได้เอ่ยปากออกมาเอง อย่าได้พลการทำเอง "เช่นนั้นเจ้าจะได้มีเพื่อน เพราะข้าจะออกตรวจพื้นที่ทุกวันแล้ว" หลี่ซีซวนไม่กล่าวตำหนิสิ่งใด พยักหน้ารับทราบ "เซี่ยงอวี่ วันนี้ท่านตามพวกเราออกตรวจท้องที่ด้วย เผื่อว่าเจอโจรฝีมือฉกาจ" ขุนพลอีกคนหนึ่งยังไม่ให้ออกแสดงฝีมือ ให้ควบคุมทหารในค่ายในช่วงเวลาที่เขายังหาเวลาปลีกตัวไปค่ายทหารไม่ได้ ในที่นี้ไม่มีใครมีฝีมือเก่งกาจ เซี่ยงอวี่นับว่าเหมาะสมที่สุด อีกฝากฝั่งหนึ่งของนครเว่ยหนานได้เกิดเหตุการณ์หนึ่ง ดั่งเป็นบทสอบบทใหญ่ของเจ้าเมืองเว่ยหนาน ชะตาและศรัทธาจะดีขึ้นหรือแย่ลงอยู่ที่จุดนี้เป็นสำคัญ ประตูเมืองทิศเหนือทางผ่านไปนครหลวง ลั่วหยาง จุดตรวจเข้มงวดไม่แพ้ประตูผ่านไปนครฉางอาน มีคนผู้หนึ่งยืนถืออาวุธบริเวณหน้าประตูทิศเหนือ รูปร่างสูงใหญ่กำยำ ทหารยามทำได้เพียงระวังตัว ชาวบ้านบริเวณนั้นต่างทยอยมายืนดูคนใจกล้า ผู้อาจหาญ อยากมีปัญหาทั้งที่ยังไม่ก้าวล่วงผ่านประตูเมืองเข้ามา มันถือกระบี่กวัดแกว่ง คล่องแคล่ว ราวกับกำลังท้าทายให้พยัฆ์ออกมาจากที่ซุ่ม "พ่อ แม่ พี่น้อง ทั้งหลาย ข้ามีนามว่า กวนอู๋ไต้ เดินทางมาจากแดนเหนือได้ยินว่า เมืองเว่ยหนานคับคั่งด้วยขุนศึก ขุนพล จึงอยากขอท้าประลองฝีมือว่าจริงดั่งคำลือหรือไม่" กวนเลี่ยงประกาศกร้าว ก้องทั่วแทบบริเวณประตูเหนือ แววตามุ่งมั่นเป็นประกาย "กวนอู๋ไต้ เมืองเว่ยหนานของพวกเรามีขุนพลเจนจัดเชิงอาวุธ เจ้าจะสู้ไหวหรือ ข้าว่าเจ้าล้มเลิกความตั้งใจไปเถอะ" หวางคุนออกหน้าพูดแทนชาวเมืองเว่ยหนาน เพราะได้ยินจากทหารที่ออกมาจากค่ายว่าขุนพลในค่ายทหาร มักชอบประลองฝีมือเป็นนิจ "น้องชาย สัจจะลูกผู้ชายมีค่ามากกว่าพันชั่งทองคำ หากว่าข้าแพ้ยินดีติดตามเจ้าเมืองของพวกเจ้าออกศึก ลงสนามรบ หากว่าขุนพลเจนศึกของพวกเจ้าแพ้ ข้าขอแลกข้าวสองหมื่นหาบเป็นการแลกเปลี่ยน น้องชายจะว่าอย่างไร" "พี่ชาย ข้อตกลงท้าดวล จำต้องให้เจ้าเมืองตัดสินใจเอง" พวกชาวบ้านแถบนั้นรวมทั้งหวางคุนล้วนต้องยอมรับจากใจว่าคนผู้นี้กินดีหมีหรืออย่างไร ถึงได้ขวัญกล้าปานนี้ บรรดาผู้ติดตามเจ้าเมืองหนุ่มล้วนคือผู้เจนจัดในทักษะเฉพาะของตนเองตัวเจ้าเมืองเองล้วนปัญญาเยี่ยม เหลี่ยมจัดไม่เป็นรองใคร อย่างหลังได้ยินมาจากเฉินหยางกับหลี่หย่งเมี่ยว ขณะเดียวกันทางด้านของหลี่ซีซวนและคณะติดตามประกอบไปด้วยเฉินหยาง เทียนอินฉี และเซี่ยงอวี่ กำลังออกเดินตรวจตราท้องที่ประจำวันและพวกเขาทั้งหมดกำลังเดินมาทางประตูด้านทิศเหนือเช่นกัน สื่งที่พวกเขาได้เห็นตามครรลองสายตือคือกลุ่มชาวบ้านกำลังยืนรายล้อมสองฟากฝั่ง ทหารยามเฝ้าประตูเมืองยืนคุมเชิงสถานการณ์ไม่ให้มีเรื่องวิวาท ไม่นานพวกเขาเดินทางมาถึงบริเวณประตูเมืองทิศเหนือ "กวนอู๋ไต้ เราขอบอกกล่าวต่อเจ้าว่า ผู้ที่ยืนอยู่เบื้องหน้าของเจ้าคือเจ้าเมืองเว่ยหนาน หลี่ซีห่าว ของพวกเรา" ท่านผู้เฒ่าตะโกนบอกออกมาจากกลุ่มฟากหนึ่งให้ได้ยินโดยทั่ว "นี่หรือเจ้าเมืองของพวกเจ้า บุคลิกเหมือนคนเจ้าสำอางค์ ข้ายังสงสัยว่ามือเคยจับอาวุธบ้างหรือไม่?" กวนอู๋ไต้เปิดศึกสงครามลิ้นก่อนไม่เกรงใจผู้ใด "เกิดเรื่องอันใด ใยให้คนผู้นี้หลบหลู่เจ้าเมืองไม่เกรงใจเช่นนี้" เฉินหยางตวาดเสียงดัง กราดสายตาอย่างต้องการหาคนมาตอบคำถามให้ชัดเจน "หรือต้องให้ข่มขูถึงจะยอมตอบกันออกมาได้" "รายงาน คนผู้นี้บอกว่าชื่อกวนอู๋ไต้มาจากทางเหนือ มันได้ยินว่าเมืองของเรามีขุนพลเจนจัดจึงเดินทางมาขอท้าประลอง หากมันชนะจะขอแลกข้าวสองหมื่นหาบ หากมันแพ้ยินดีติดตามเจ้านายออกจากทุกสมรภูมิ" ทหารเฝ้าประตูเมืองรีบวิ่งเข้ามารายข้อมูลไม่มีตกลงหล่น ชาวเมืองต่างหันมามองหน้าเจ้าเมืองเป็นสายตาเดียวกันว่า เขาจะตัดสินใจอย่างไรต่อคำท้ารบนี้ ชาวเมืองทั้งหลายที่อาศัยอยู่ที่นี่มานานย่อมรู้ดีว่าเจ้าเมืองของพวกเขาไม่ใช่คนจำพวกยอมแพ้ หากยังไม่ได้ลงมือทำจนถึงที่สุด และไม่เคยหลีกหนีภัยหรืออันตรายใดๆที่มาเยือนถึงประตูเมืองเว่ยหนาน หลี่ซีซวนยืนใช้ความคิดครู่หนึ่ง จึงปลดกระบี่ออกจากเอวส่งให้เซี่ยงอวี่ "พี่ชาย ข้าขอให้เพื่อนของข้าดวลฝีมือกับท่านแล้วกัน ท่านจะว่าอย่างไร?" หลี่ซีซวนไม่ได้หันมาถามเซี่ยงอวี่ หากยื่นกระบี่เป็นคำถามกับคำตอบไปพร้อมกัน เซี่ยงอวี่ไม่ลังเลรับกระบี่มาพลางดึงมันออกมาจากฝักทันที "เช่นนั้นย่อมได้ ข้าไม่ได้มีปัญหาใด" กวนเลี่ยงตั้งท่าเตรียมพร้อม ประเมินคู่ต่อสู้ไปในตัว รูปร่างสูงใหญ่ กำยำ น่าเกรงขาม "ข้า เซี่ยงอวี่ ขอรับการชี้แนะ" เซี่ยงอวี่ยกกระบี่ขึ้นระดับสายตา แววตามุ่งมั่น มืออีกข้างค่อยๆดึงกระบี่ออกจากฝักช้าๆ ค่อยตวัดกลางอากาศจนเกิดเสียงลมรอบตัว บรรดาชาวเมืองต่างเคยเห็นฝีมือเชิงกระบี่ของเจ้าเมืองหนุ่มเจ้าสำราญ มิเคยได้ประจักษ์ทักษะเชิงประบี่ของที่ปรึกษารวมถึงขุนพลข้างกาย สาส์นท้ารบมาถึงประตูบ้าน หากไม่ออกไปรบสักครั้งหนึ่ง มันจะเป็นที่ครหาต่อคนทั้งเมืองและอาจกลายเป็นชาวบ้านไม่เชื่อมั่นในตัวพวกเขา มันเท่ากับว่าที่ทำมาทั้งหมดล้วนสูญเปล่า กระเทือนออกไปเป็นวงกว้าง ไม่นานเกินหนึ่งรอบลมหายใจ พวกเขาต่างได้ชมการประลองยุทธของสองผู้แกร่งกล้า กระบี่สองเล่มเกิดการปะทะกันฉับไว เพียงอึดใจเดียวกวนเลี่ยง ผู้มาท้าทายถึงประตูเมืองเว่ยหนานถอยร่นกลับไปไม่เป็นท่า ขณะเดียวกับเซี่ยงอวี่ยืนมั่นคงดุจปราการเหล็ก ยกแรกก็เห็นความต่างชัดเจนขนาดนี้ "ฝีมืออ่อนหัดขนาดนี้ ริจะมาท้าผู้อื่นรบ เจ้ามิต่างจากอะไรกับมุสิกคิดเผยอตัวสู้กับพยัคฆ์" เซี่ยงอวี่ตะโกนขู่ขวัญ รู้สึกว่าคู่ต่อสู้ฝีมือไม่ทัดเทียม อ่อนหัด "ทหารในค่ายพยัคฆ์ที่ข้าฝึกมือปรือ เพียงทหารชั้นปลายแถวสามารถล้มเจ้าได้เพียงชั่วหม้อข้าวเดือด" ไม่มีใครบริเวณประตูเมืองทิศเหนือสงสาร ต่างก็เตือนว่าจะได้ท้าทายขุนพลพยัคฆ์ ดือรั้นไม่ฟัง "เจ้ามันแค่มีแรง ไร้ปัญญา ข้าจะล้มพยัคฆ์ฺให้เจ้าได้เห็น" กวนเลี่ยงรู้สึกเสียหน้า อับอาย ถูกหยามเกียรติ รีบลุกขึ้นมาตั้งท่าต่อสู้อีกครั้ง "ความอัปยศนี้ ข้ากวนอู๋ไต้จะมอบให้กับเจ้าเอง" การประลองยุทธ์เกิดขึ้นอีกคำรบหนึ่ง ครั้งนี้เซี่ยงอวี่หลบหลีกได้คล่องแคล่ว สะบัดอาวุธของอีกฝ่ายพลางรุกกลับได้อย่างไหลลื่น จังหวะการหลบหลีกสวยงามกว่าของหลี่ซีซวน การพลิกตัวหลบรัศมีของกระบี่รวดเร็ว ขณะเดียวกันสามารถโต้กลับไปรวบรัด ฉับไว ทว่าได้รอยถากจากคมกระบี่ของกวนเลี่ยงตรงต้นแขนขวามาหนึ่งรอย กลายเป็นกวนเลี่ยงมีบาดแผลเต็มตัว ต่างจากเซี่ยงอวี่อาภรณ์สะอาดตา ชาวเมืองต่างประจักษ์แก่สายตาแล้วว่าเซี่ยงอวี่ขุนพลพยัคฆ์ฝีมือเหนือชั้น ผลลัพธิ์สุดท้ายกวนเลี่ยงคุกเข่าลงวางอาวุธลงพื้น "ท่านเจ้าเมือง ข้าแพ้ต่อขุนพลของท่านแล้ว ข้าขอติดตามรับใช้ท่านได้หรือไม่" กวนเลี่ยงคุกเข่าสองข้างบนพื้น ประสานมือเข้าด้วยกันด้วยความนอบน้อม กระบี่วางตรงหน้าบ่งบอกว่าไม่ขอต่อสู้ "ข้าได้เห็นฝีมือของเจ้า ไม่นับว่าเป็นคู่ต่อสู้ของเซี่ยงอวี่ หากนับว่าเป็นขุนพลคนหนึ่งได้ ใยข้าจะไม่รับคนไว้ทำงาน" หลี่ซีซวนเดินเข้ามาประคองให้กวนเลี่ยงลุกขึ้น "แต่นี้ต่อไปเจ้าเข้าไปอยู่ค่ายทหารพยัคฆ์หยก ให้ชุนซิ่นฝึกเจ้าเพิ่มเติม" "ขอบคุณ ท่านเจ้าเมืองที่เมตตา" "การประลองยุทธ์เสร็จสิ้นแล้ว ทุกคนแยกย้ายได้" หลี่ซีซวนรับกระบี่คืนมาจากเซี่ยงอวี่ แล้วให้เขาพาตัวกวนเลี่ยงไปค่ายทหารทันที การมีขุนศึก ขุนพล เพิ่มมาอีกหนึ่งคนย่อมดี และมันจะดีกว่านี้หากได้ที่ปรึกษาเพิ่มมาอีกหนึ่งคน การภายหน้ายังต้องใช้กำลังคนอีกมาก ยิ่งมีโจรร้ายอยู่บ้านด้วยแล้ว ไม่เคยไว้ใจมันได้เลย พวกเขาเดินทางกลับจวนเจ้าเมืองไปดื่มชา ตรวจงานเอกสารกันต่อ ลักษณะนิสัยใจดำ +35 EXP ทุกครั้งที่โรลเห็นแก่ตัวไม่สนใจเซี่ยงอวี่ ลักษณะนิสัยหลัก ฟันเขี้ยว +15 EXP เมื่อโรลเพลย์ข่มขู่ สร้างความหวาดกลัว +3Point ทุกครั้งที่โรลต่อสู้พร้อมข่มขู่อีกฝ่ายแข็งแกร่งดุจเซี่ยงอวี่ +6 Point เมื่อโรลเพลย์ต่อสู้ระบบนิสัยจากการเรียนรู้ มีแผลเป็น +2 Point เมื่อโรลต่อสู้ระบบและพ่ายแพ้หรือชนะ แต่เขียนให้เกิดรอยแผล
ลเพลย์สร้างความ
|