-ไลฟ์ไตล์เจ้าเมืองเสิ่น- เรือนสงบจิต ♦ • ♦ • ♦ • ♦ • ♦ • ♦ • ♦ • ♦ ช่วงรุ่งสางแสงตะวันหลบเร้นหลังเมฆหมอก อากาศชื้นเมื่อยามเม้ดฝนปรอยลงมาพาลให้เหล่าชาวเมืองเลือกที่จะอุดอู้อยู่ในเคหสถานบ้านพัก ช่วงเวลาที่เหมาะนักกับการเอนกายแล้วโยนงานทุกอย่างทิ้งไว้เบื้องหลัง ทว่าจ้าวจื่อหลงกลับหอบทั้งหมวกสานกันฝนรวมไปถึงร่มกระดาษน้ำมันกับข้าวของใช้จำเป้นไม่น้อยขึ้นรถม้าของท่านเจ้าเมือง ท่าทีราวกับกำลังออกเดินทางไปไหนสักที่
ขนของเข้าออกร่วมสิบรอบ ทำเอาผู้ที่ฝึกยุทธ์ท่ามกลางสายฝนอย่างแม่ทัพเยว่เฟยเกิดความสงสัย เขาสลัดหยาดน้ำฝนออกจกาคมอาวุธออกไปถามคนทันทีที่เก็บกระบี่เสร็จ “ขุนพลจ้าว.. นั่นกำลังทำสิ่งใดอยู่หรือ” จ้าวจื่อหลงหันมาในทันใด แต่กลับลดเสียงลงไม่คล้ายเวลาปกติเืม่อตอบคำถาม “ท่านแม่ทัพ? คือว่า.. ของพวกนี้ของท่านเจ้าเมืองขอรับ” แขนในชุดเกราะขาวชี้ไปที่ด้านในปล่อยให้อีกฝ่ายตรวจสอบตามสบาย ปม้ว่าพอพูดชื่อเจ้าเมืองแม่ทัพเยว่ออกจะให้ความเกรงใจอยุ่หลายส่วนก็ตาม อาศัยความกล้าเสี่ยงต่อการก้าวก่ายกิจส่วนตัวของเจ้าเมือง เยว่เฟยเพียงเดินไปตรวจตราและพลิกดูข้าวของพอเป็นพิธี หากเกิดว่าของด้านในเป้นสมบัติล้ำค่าแล้วเขาที่เป้นคนแรกเยอะเผลอทำเสียหายคงเกิดเรื่องเอาได้ มือหนาของแม่ทัพลูบไปจนเจอวัตถุแปลกๆ เมื่อพลิกผ้าขึ้นดูค่อยพบว่ามันคือสุนัขกล หน้าตาคล้ายของเล่นเด็กอีกหลายตัวในหีบซึ่งขวนให้พิศวงเข้าไปอีก อีกกล่องก็ไม่พ้นแป้งชาดเครื่องแต่งหน้าของเหล่าสตรี ตามมาด้วยชุดของเด็กและผู้ใหญ่หลากหลายรุปแบบ เจ้าเมืองเสิ่นจะเอาของพวกนี้ไปทำไมกันนะ? จ้าวจื่อหลงที่รออยุ่นานก็พบว่าไม่มีวาจาใดจากอีกฝ่ายจึงขึ้นไปบนรถม้า “หากท่านแม่ทัพไม่มีสิ่งใดแล้ว ข้าขอตัวก่อนขอรับปล่อยให้เจ้าเมืองรอนานเกรงจะไม่เหมาะ” “ขออภัยด้วยไมไ่ด้เจตนาจะรั้ง เอาสิ ทำงานของเจ้าต่อเถอะ” แม้เยว่เฟยจะพูดแบบนั้นแต่เขากลับเดินตามรถม้าไปเงียบๆ จื่อหลงเองก็ไม่สามารถห้ามปรามได้ในเมื่ออีกฝ่ายมียศสูงกว่าตน จุดหมายของรถม้าอยุ่สุดสายถนนในละแวกที่เงียบสงัด ทันทีที่แนวไผ่เขียวใบสุดท้ายพ้นสายตาเยว่เฟยค่อยพบว่าจ้าวจื่อหลงขนของเหล่านั้นลงไปทางเรือนด้านหลังของโรงหมอประจำเมืองซินเย่ น่าแปลกที่เรือนนี้ตั้งอยู่แยกจากส่วนอื่นๆ เพระาข้าวของนั้นเยอะกว่าที่คนเดียวจะย้ายไหวเยว่เฟยจึงเสนอตัวเข้าไปช่วย “ขอบคุณขอรับ.. อีกเดี่ยวท่านเข้าไปแล้วต้องเบาเสียงสักหน่อย” จื่อหลงหอบกล่องของเล่นไปตั้งตามีท่ได้รับมอบหมาย ปล่อยให้อีกฝ่ายเดินตามเข้ามาพร้อมกับลังอาภรณ์และของจำพวกต้นไม้กระถางดอกไม้ป่า
“.....ได้” แม่ทัพหนุ่มยิ่งขมวดคิ้วทันทีที่ก้าวเข้ามาในเรื่อนที่มีบรรยากาศอึมครึม กลิ่นของยาที่เข้มข้นเสียจนแทบหายใจไม่ออก ไหนจะกลิ่นอับแปลกๆ หรือว่าเกิดอะไรขึ้นกับท่านเจ้าเมือง? ลงคิดแบบนั้นเส้นประสาททั่วร่างก็ตึงเครียดขึ้นมา ท่ามกลางความฟุ้งซ่านสมาธิอยุ่ไม่สุขของเยว่เฟยเท้าทั้งสองข้างก้นำให้เขาก้าวผ่านเตียงไม้ของเหล่าผู้ป่วยไปเรื่อยๆ และได้พบว่าทุกเตียงมีแต่คนที่อาการสาหัสเกินจะเยียวยารักาา ส่วนมากแววตาล่องลอยเข้าใกล้ขั้นตรีฑูตแล้ว มุมด้านในสุดนั้นเองจึงได้พบชายอาภรณ์ครามเป็นสีสันเดียวที่เด่นชัดขัดกับบรรยากาศรอบๆ บุคคลที่เห็นแค่แผ่นหลังเขาก็สามารถบอกได้ว่าคือใคร “จื่อหลงช่วยเอาตุ๊กตาให้เด็กทางนั้นที…” โม่เสวียนนั้นมือมไ่ว่างแต่พอทราบได้ว่าผู้ที่สามารถลงน้ำหนักเท้าอย่างมั่นคงในเรือนแห่งนี้นอกจากท่านหมอก็คงไม่พ้นขุนพลที่ตนลากมาด้วย “ขอรับ.. คือว่า” ก่อนขุนพลเกราะขาวจะก้าวไปหาเตียงของเด็กชายวัยห้าหนาวที่กำลังหายใจรวยรินอย่างเดยีวดาย เขายังได้เตือนให้เจ้าเมืองเห็นว่ามีคนอื่นมากับตนด้วย “ท่านมาทำอันใดอยู่ที่นี่หรือขอรับ? พรุ่งนี้มีประชุมสภาขุนนางครั้งใหญ่รออยู่” เยว่เฟยก้าวเข้ามาพูดก่อนสายตาคู่คมนั้จับจ้องไปยังมือคู่ขาวที่กำลังกุมนิ้วผ่ายผอมของหญิงชราบนเตียงเอาไว้โดยไม่นึกรังเกียจ เขาสงสัยเจตนาของอีกฝ่ายจริงๆ กับคนใกล้ตายเหล่านี้ เจ้าเมืองที่มักจะยุ่งกับงานบริหารทำไมจึงพาตัวเองมาอยู่ตรงนี้ “แม่ทัพเยว่? ท่านก็เห็นแล้วนี่ สถานที่แห่งนี้มีไว้สำหรับสิ่งใด.. อย่าได้นำเรื่องเหล่านัน้มารบกวนความสงบของพวกเขาเลย” คำตอบของเท้าเมืองเสิ่นเรียกสายตาอันโรยแรงของเหล่าคนป่วยระยะสุดท้ายไปรวมกันที่แผ่นหลังแม่ทัพ เยว่เฟยลดระดับเสียงของตนเองลงถึงอย่างนัน้ก็ไม่มีวี่แววที่จะจากไป เขาเฝ้ามองอีกฝ่ายปลอบโยนและใช้ข้าวของที่เตรียมมาแต่ละชิ้นด้วยความสงสัย ตุ๊กตากลไกสุนัขถูกมอบให้เด็กชายคนนั้นที่ขาของเขาเกินครึ่งถูกรอยไหม้กัดกินจนไม่อาจอยุ๋ได้เกินอาทิตย์นี้ “นี่ไงล่ะ ตุ๊กตาหุ่นไม้แบบนี้ใช่รึเปล่าที่พ่อเจ้าสัญญาจะมอบให้? เขาไมไ่ด้หลอกเจ้านะ มันเป็นของเจ้าแล้ว” “เจ้าหมาน้อยจริงๆด้วย เจ้าหมาน้อยของท่านพ่อ ขอบ..ขอบคุณฮะ” เด็กน้อยรวบรวมเรี่ยวแรงอย่างยากลำบากยื่นมือออกมาแตะตุ๊กตาตัวนั้นทว่าก็ยังไม่สามารถกระดิกตัวได้ จื่อหลงที่มองอยุ่ข้างๆ จึงได้ช่วยนำมันเข้าไปไว้ใต้ฝ่ามือน้อยจนกระทั่งเห้นรอยยิ้มบนใบหน้าอันหม่นหมอง อีกด้านคือตลับแป้งชาดมันถูกนำไปไว้ที่เตียงของหญิงสาวที่ทั้งร่างเต็มไปด้วยฝีหนอง ทั่วทั้งร่างทุกข์ทรมานเพียงนี้แล้วใบหน้านั้นจะยังหลงเหลือความงามอยู่อีกหรือ? เยว่เฟยที่เห็นมือที่พุพองค่อยๆ เอื้อมหยิบตลับแป้งชาดขึ้นมาแล้วทาลงไปบนใบหน้าทั้งแบบนั้นเขาก็ขนลุกยิ่งกว่าเจอเหล่าศพทหารกลับมาเดินได้ ไม่อาจทนมองไหวจึงเบือนสายตาออกไป เป็นภาพที่ใครเห็นก็เกิดความรุ้สึกสยดสยองแต่เจ้าเมืองเสิ่นนั้นลุกขึ้นและเดินไปหยุดอยุ่ด้านข้างเตียง ช่วยนางหยิบต่างหูขึ้นสวมตามด้วยค่อยๆ บรรจงรวบเส้นผมที่หลงเหลือจากการหลุดร่วงนั้นพันเก็บไว้ด้านข้าง “คุณชาย.. ข้า.. งามไหม?” หญิงสาวผู้นั้นหันมาถามทั่วทั้งใบหน้าที่ถูกแต่งแต้มเต้มไปด้วยน้ำเลือดและน้ำหนอง ขณะที่นางพูดสองแก้มที่บวมอักเสบก็มีรอยเปื่อยของผิวหนังยับย่นไปตามแรงขยับ “งาม เจ้าคือสตรีที่งดงามที่สุดในนครแห่งนี้” แม้จะเป็นเช่นนั้นโม่เสวียนก็ส่งยิ้มให้หญิงสาวโดยไม่นึกรังเกียจ ดวงตาของนางเต้มไปด้วยหยาดน้ำที่คลอหน่วยทำไมนางจะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายพูดเพื่อทำให้ตนสบายใจ แต่ถึงอยา่งนั้นในช่วงเวลาแห่งความสิ้นหวังเกินจะดิ้นรนมันก็เป็นเสมือนน้ำทิมพย์ชโลมใจ “ขอบคุณ ข้าขอใช้เพลงนี้.. ตอบแทนคุณชาย” เรี่ยวแรงที่มาถึงขีดจำกัดทำให้รุ้ตัวว่าคงอยู่ไม่พ้นค่ำคืนนี้ อย่างน้อยนางคิดจะตอบแทนเขาจึงใช้เรือนพำนักห่งความตายต่างเวทีการแสดงครั้งสุดท้าย เสียงร้องอันระโหยจากลำคอที่แหบห้าง แม้ไม่เสนาะหูเหมือนวันวานและผู้ฟังก้จะตามตนไปในไม่ช้า ถึงอยา่งนั้นนางก็จะขอจากไปโดยไม่ติดค้างสิ่งใด หลังจากเปลือกตาของหญิงสาวปิดลงอีกครั้ง เจ้าเมืองเสิ่นก็ให้คนด้านนอกนำศพของนางออกไปทำพิธี ส่วนตัวของเขานั้นเดินไปหยิบกิ่งเหมยสีขาวกลับไปหาท่านยายคนแรกอีกหน ใช้น้ำเสียงที่อ่อนโยนชนิดที่เยว่เฟยได้ยินแล้วแทบไม่อยากเชื่อว่านี่คือเจ้าเมืองที่เคยตัดสินคดีความคนนั้นกล่าว “ท่านยายดูสิ นี่คือกิ่งเหมยเชิงเขาไป๋หลงที่ท่านอยากเห็นใช่รึไม่? ข้านำมันมาให้แล้ว” หญิงชราผู้สูญเสียขาไปในระหว่างใช้แรงงานหนักเผยอเปลือกตาขึ้นช้าๆ นางเห้นดอกไม้สีขาวชนิดเดียวกันกับที่สามีตนเคยเก้บมาให้ในความครงจำก็ดูสดชื่นขึ้นทันตา แม้จะพูดไมไ่ด้แล้วแต่ดวงตาสามารถสื่อผ่านความรู้สึกว่าแสนยินดีแค่ไหน มือที่ผอมจนจับกระดูกขยับเล้กน้อยและดม่เสวียนก็รับรุ้ได้ทันทีรีบนำกิ่งเหมยไปใกล้ๆ จับมือของท่านยายวางลงสัมผัสกับกลีบเหมย ทีละน้อยที่ลมหายใจของนางค่อยๆ เงียบลงจนไร้เสียงคล้ายว่าได้ปล่อยวางสิ่งสุดท้ายในโลกนี้อย่างสมบูรณ์ เยว่เฟยและจื่อหลงยังคงเฝ้ามองภาพที่ท่านเจ้าเมืองแวะเวียนไปยังเตียงอื่นๆ โดยลักษณะเช่นนี้อีกร่วมชั่วยาม จวบจนท่านหมอใหญ่เข้ามาสนทนาด้วยจึงได้หยุด และไม่ลืมที่จะมอบทุนรอนไว้สำหรับค่าทำศพแก่ผู้ที่ไร้ญาติมิตร ค่ารักาาสำหรับผู้ยากไร้ดังเช่นที่เคยทำมา ที่ด้านนอกเรือนสุขติโม่เสวียนก็พบว่าแม่ทัพเยว่นั้นยังคงรอตนอยุ่คล้ายมีบางสิ่งอยากจะพูด “ในเมื่อรักษาไม่ได้และพวกเขาทำได้เพียงเฝ้ารอความตาย ท่านอยากถามสินะว่าข้าทำแบบนี้ไปเพื่ออะไร?” คนชุดครามเลิกคิ้วมองอีกฝ่าย ปล่อยให้จ้าวจื่อหลงจัดการเรื่องนำเงินบริจาคไปลงบัญชีของโรงหมอ “......” เยว่เฟยไม่ตอบรับหรือปฎิเสธเขาใช้เพียงสายตาคมเข้มที่จับจ้องอีกฝ่ายราวกับต้องการจะเรียนรู้คนผู้นี้ “ชางเจียเชื่อถือในจิตวิญญาณอันเป็นนิรันดร์ และข้าเองก็เชื่อว่าทุกชีวิตมีคุณค่าให้ใครสักคนที่จดจำต่อให้พวกเขาจะเคยเป็นใคร เคยทำสิ่งใดมา จะเป็นนางโลมหรือมารดาของใครสักคนในยามที่จากไปก็ควรมีผู้ที่อยู่ตรงนั้น พูดบางคำ หรือทำบางเรื่องเพื่อพวกเขาตอบแทนความเหนื่อยยากที่ผ่านมา ได้ขอบคุณการต่อสู้บนเส้นทางที่ยาวไกล” “ข้าคิดว่าท่านจะเคลื่อนไหวต่อเมื่อมีผลประโยชน์.. เหมือนกับที่ผู้มีอำนาจส่วนใหญ่ทำกันเสียอีก” พูดให้ถูกคือเหมือนที่พวกขุนนางส่วนใหญ่ทำ เยว่เหยคิดว่าตนคงต้องทำความเข้าใจนายคนปัจจุบันใหม่อีกรอบ “ดูโง่เขลาใช่ไหม? หากมันเข้าใจยากสำหรับเจ้าก็คิดเสียว่า… ตราบเท่าที่ยังมีลมหายใจคนเหล่านี้ก็คือประชากรชาวซินเย่ ไม่ว่าเจ้าหรือพวกเขาก้คือคนของข้าเช่นกัน” เจ้าเมืองเสิ่นใช้ผ้าเช็ดทำความสะอาดมือก่อนจะนำขนมเปี๊ยะออกมากัดกิน เขาเห็นสายตาอ่านยากของแม่ทัพเยว่จึงยื่นขนมเปี๊ยะมันเทศให้อีกฝ่ายครึ่งหนึ่งเผื่อว่าจะหิว “ข้ามิใช่พวกไร้เหตุผล แต่ก็มิใคร่อธิบายสิ่งีท่ตนเองทำนัก หากเจ้าสงสัยก็แค่พูดมันออกมา”
“ได้.. ทำไมท่านถึงเอาเคืรอ่งประทินโฉมไปให้กับหญิงคนนั้น แทนที่จะเป็นการช่วยให้นางหลุดพ้นจากความทรมานไวขึ้น” ใช่แล้วล่ะ สำหรับเยว่เฟย กรณีที่มีทหารบาดเจ็บปางตายและเกินหนทางเยียวยารักษาตนจนเลือกหนทางกรุณาด้วยปลิดชีวิตอีกฝ่ายให้เร็วและไร้ความเจ็บปวด “ที่เจ้ากล่าวเช่นนี้ แน่นอนว่าไม่รู้เรื่องที่นางเป็นใคร” โม่เสวียนหยุดไปก่อนพูดต่อ “ข้าได้ยินว่าครั้งหนึ่งนางเคยเป้นหญิงนางดลมอันดับหนึ่งของเมืองซินเย่ ด้วยรูปโฉมงดงามและน้ำเสียงที่ไพเราะ ถึงขั้นถูกขนานนามเป็นเทพธิดาหอเซียงโหลว แต่ต่อมาเกิดป่วยเป้นโรคประหลาด โรคร้ายกัดกินและพรากทุกสิ่งไปจากนาง อดทนสู้มาได้จนถึงตอนนี้ แม่ทัพเยว่คิดว่ามมันเป็นเรื่องง่ายนักหรือ?” “....ข้าแค่ไม่เข้าใจ ทั้งที่นางมีตัวเลือกมากมายที่จะยุติความทรมาน แต่ทำไมถึงกลับไม่ยอมปล่อยวาง” เจ้าเมืองเสิ่นถอนหายใจเสียงอ่อน “แม้แต่สัตว์เดรัจฉานยังรักตัวกลัวตาย คนเล่าใยไม่ต่างกัน? นางกัดฟันสู้โรคร้ายมาได้จนป่านนี้ ฟังว่ามีความมุ่งหมายเดียวคือกลับไปร้องเพลงที่หออีกครั้ง ได้พบปะผู้คนที่รักและชื่นชมในภาพวันวาน นั่นคือความปรารถนาทั้งหมดที่ฉุดยื้อหญิงผู้หนึ่งจากน้ำพุเหลือง” “สุดท้ายเมื่อไร้หนทางรักษา แทนที่จะขอยาปลิดชีพจากท่านหมอ.. นางกลับบอกข้าว่า ให้ตนได้สวมชุดการแสดงอีกครั้ง แม่ทัพเยว่ ท่านอาจไม่คิดว่าเรื่องนี้สำคัญ แต่สำหรับข้าแล้ว ชางเจียปฎิบัติต่อทุกคนอย่างเท่าเทียม ข้าไม่มีทางปล่อยให้ผู้ที่กำลังร้องขอความหวังครั้งสุดท้ายในช่วงความเป็นความตายไปทั้งแบบนั้น” “ข้าไม่คิดว่าการติดตามมาคร้้งนี้จะทำให้ได้เห็นเจ้าเมืองในมุมอื่น ได้เปิดหูเปิดตาแล้ว ชักอยากรู้ว่าเจียหลุนชางมีดีอย่างไรถึงสามารถเบิกแนวทางความคิดท่านได้” ถ้อยคำที่ทรงพลังร่วมกับเนตรสีครามลุ่มลึกอันเปี่ยมไปด้วยพลังมุ่งมั่นทำเอาบุรุษหาญอย่างเยว่เฟยสั่นไหวในอก คนผู้นี้ช่าง.. แปลกประหลาด และมีแนวคิดที่พิศดาร หากทว่าเขากลับรุ้สึกยินดีที่ตนได้รับใช้อีกฝ่าย เสิ่นโม่เสวียนเจ้าแก่งนักเรื่องสร้างความประทับใจให้ผู้คน “หากสนใจ ใยไม่ลองสัมผัสด้วยตนเองดูสักครา? ที่จวนหวางยังมีตำราชางเจียอีกหลายเล่มว่างอยู่ มันกำลังรอเจ้าของอยู่พอดี” น้ำเสียงทุ้มเปี่ยมสเน่ห์นี้จะเป็นใครอื่นมิได้นอกจากบุรุษชุดขาว ราชครูหลิวซีเนี่ยน เขาได้ยินว่าเจ้าเมืองมาใช้เวลาที่โรงหมอจึงเร่งตามมาเผื่อว่าอีกฝ่ายได้รับบาดเจ้บ การปรากฎตัวอย่างกระทันกันทำเอาสองคนไม่ทันเตรียมคำพูดหรือตั้งตัว ราชครุหนุ่มตีเหล็กตอนกำลังร้อนอีกคราว “ความเมตตามิได้สะกดถูกก็เรียนรู้ได้ ท่านอาจตีว่าการสังหารให้พ้นทุกข์นั้นคือน้ำใจ แต่สำหรับบางคนที่ยังคงมีห่วง ต่อให้เหลือแค่วิญญาณก็ยินดีที่จะได้พบหน้าคนในดวงใจ ว่างอย่างไรแม่ทัพเยว่ สนใจจะเรียนรุ้วิถีของชางเจียไหม?” “.............” เยว่เฟยคอ่นข้างสับสนอยุ่บ้าง หากอาการสั่นไหวในอกเมื่อครุ๋นั้นคือความศรัทธาจริงดังที่อีกฝ่ายชี้แนะ เช่นนั้นเขาเองก้สมควรจะให้โอกาสตนเองได้ทดลองแนวทางใหม่ๆ บ้างรึเปล่านะ? “ไม่ต้องห่วงแม่ทัพเยว่ ท่านราชครู ต่อให้คนในเรื่อนสุขติเป็นท่าน.. ข้าก็จะปฎิบัติด้วยอย่างเสมอภาคเช่นกัน” คนที่ตอกตะปูปิดฝาโลงยังคงเป้นโม่เสวียน -ชักชวนเยว่เฟยเปลี่ยนศาสนา- สมทบทุนค่ารักษาชาวเมือง 200 ตำลึงเงิน สมทบทุนค่าทำศพไร้ญาติ 200 ตำลึงเงิน ♦ • ♦ • ♦ • ♦ • ♦ • ♦ • ♦ • ♦ -เอฟเฟคตัวละคร- (สถาปนิก) +2 Point เมื่อโรลเพลย์บริหารพัฒนาเมือง(เลื่อมใสศรัทธา) +3 Point จากการโรลทำงาน (ทะเยอทะยาน) +2 Point ทุกครั้งที่โรลพัฒนาเมือง +2 Point ทุกครั้งที่โรลเรียนรู้ +2 Point ทุกครั้งที่โรลใช้กลอุบาย
(อัจฉริยะ) +5 Point จากการโรลใช้แผนการและกลอุบาย +5 Point จากการโรลเรียนรู้(หูดี) +5 EXP จากการโรลสร้างปฏิสัมพันธ์กับคนอื่น +2 Point จากการโรลใช้แผนการหรือกลอุบาย(เห็นอกเห็นใจ) +3 Point จากการโรลปกครองเมืองด้วยความเมตตาธรรม +20 EXP ทุกครั้งที่โรลเห็นอกเห็นใจช่วยเหลือผู้อื่น หรือ ทำงานช่วยเหลือ -2 Point เมื่อใช้อุบายแผนการ (นักวิชาการ) +4 Point เมื่อโรลเพลย์เรียนรู้(นักวางแผน) +5 Point เมื่อโรลเพลย์วางแผน ดำเนินกลอุบาย(นักบริหาร) +3 Point เมื่อโรลเพลย์บริหารพัฒนาเมือง(ผู้ควบคุมดูแล) +2 Point เมื่อโรลเพลย์บริหารพัฒนาเมืองรวม 41 Point 55exp -25 ความเครียดจากการกิน -ระบบเสริม- -25 ความเครียดโรลทำงาน +20 คุณธรรม พบหัวดี +20% ความภักดีชุนพลในสังกัดเกิดความรักคุณมากขึ้น (เห็นอกเห็นใจ). . [H-010] เยว่เฟย ดี +35 มอบขนมเปี๊ยะ(หูดี) +15 ความสัมพันธ์กับคนที่คุยด้วย +20 ความสัมพันธ์ เมื่อโรลกับคนที่คุณสนใจ (ผู้กล้า) +20 ความสัมพันธ์ จากอิเว้นท์ชักชวนศาสนา +15 ความสัมพันธ์กับขุนนางในสภา (นักบริหาร) +5 พูดคุยรายวันรวม +110 . เอฟเฟคเยว่เฟย +10 EXP เมื่อโรลแสดงความห้าวหาญ (กล้าหาญ) +5 EXP เมื่อโรลเพลย์พูดปลุกใจผู้คน (กล้าหาญ) +2 Point จากโรลช่วยเหลือส่งเสริมผู้อื่นโดยบริสุทธิ์ใจ (ซื่อสัตย์) +5 EXP จากการโรลประพฤติตนน่าเชื่อถือ สร้างความไว้ใจต่อผู้อื่น (ซื่อสัตย์) +7 EXP จากการทำงานช่วยเหลือเจ้านาย (ซื่อสัตย์) +10 EXP จากการทำงานช่วยเหลือราชสำนักฮั่น (ซื่อสัตย์) +5 EXP ในขณะที่โรลเพลย์ปฏิบัติหน้าที่ตามที่ได้รับมอบหมาย (ซื่อสัตย์)รวม + 2 Point 42 EXP . เอฟเฟคจ้าวจื่อหลง +10 EXP เมื่อโรลแสดงความห้าวหาญ (กล้าหาญ) +5 EXP เมื่อโรลเพลย์พูดปลุกใจผู้คน (กล้าหาญ) +2 Point จากโรลช่วยเหลือส่งเสริมผู้อื่นโดยบริสุทธิ์ใจ (ซื่อสัตย์) +5 EXP จากการโรลประพฤติตนน่าเชื่อถือ สร้างความไว้ใจต่อผู้อื่น (ซื่อสัตย์) +7 EXP จากการทำงานช่วยเหลือเจ้านาย (ซื่อสัตย์) +10 EXP จากการทำงานช่วยเหลือราชสำนักฮั่น (ซื่อสัตย์) +5 EXP ในขณะที่โรลเพลย์ปฏิบัติหน้าที่ตามที่ได้รับมอบหมาย (ซื่อสัตย์) +1 Point ทุกครั้งที่โรลเรียนรู้ (เที่ยงธรรม) +20 EXP เมื่อโรลเพลย์หยิ่งในศักดิ์ศรี (มีแผลเป็น) +4 Point เมื่อโรลเพลย์บริหารเสน่ห์ (หล่อ/สวย)รวม +7 POINT +62 EXP . เอฟเฟคหลิวซีเยี่ยน (งดงาม) +6 Point เมื่อโรลเพลย์บริหารเสน่ห์(ถ่อมตน) +2 Point จากการโรลให้เกียรติอีกฝ่าย +10 EXP จากการโรลสรรเสริญคู่สนทนาด้วยความจริง(สุขุม) +2 Point ทุกครั้งที่โรลเรียนรู้ +20 EXP ทุกครั้งที่โรลอดทน(เจ้าเล่ห์-เสแสร้ง) +4 Point จากการโรลวางแผนใช้อุบาย +30% คุ้มครองแผนการของคุณไม่ถูกเปิดโปงรวม 14pt 30exp . . —----------- x4.5 ความศรัทธา ทุกครั้งที่คุยแลกเปลี่ยนศาสนากับคนศาสนาเดียวกัน -ชีเยี่ยน- สุขุม, โม่เสวียน-เห็นอกเห็นใจ,เลื่อมใสศรัทธา +20 ความศรัทธา เมื่อโรลเผยแพร่ความกล้าหาญ +10 ความศรัทธา ทุกครั้งที่โรลเผยแพร่ลัทธิ
(เลื่อมใสศรัทธา) +25 ความศรัทธา ทุกครั้งที่โรลเผยแพร่ลัทธิ +15 ความศรัทธา ทุกครั้งที่โรลเผยแพร่ลัทธิหรือ โรลเกี่ยวกับศาสนา x4 ความศรัทธา เจ้าลัทธิ x2 ความศรัทธา VIP
|