-การกลับมาของเจ้าเมือง- -โรลแลกเปลี่ยนความเชื่อ- กลับธรรมดาโลกไม่จำ ♦ • ♦ • ♦ • ♦ • ♦ • ♦ • ♦ • ♦
ห่างหายจากจิงโจวไปนานถึงครึ่งเดือนเศษเมื่อต้องเดินทางกลับก็อดหวนให้นึกถึงรสชาติขนมเปี๊ยะมรกตที่โรงน้ำชามิได้ โม่เสวียนหมายมาดในใจทันทีที่เขาเหยียบเท้าเข้าสู่เมืองซินเย่หลังสะสางเรื่องวุ่นวายที่ตนก่อทิ้งไว้ให้เหล่าขุนนาง ตนจะผลัดอาภรณ์เป็นชุดที่สวมสบายกว่านี้ เลือกรองเท้าที่นุ่มสุดและตามด้วยเหมาขนมจากชั้นสองของหอผานถาวให้หมดเกลี้ยง ‘อื้ม.. ดูเหมือนจื่อหลงเองก็ชอบของหวาน จะพาเขาไปด้วยดีไหมนะ?’
ระหว่างที่คิดพลางขบวนเดินทางที่ประกอบไปด้วยอาชาขาวไป๋หลงที่จ้าวหยุนขี่อยู่ข้างๆ รถม้าที่ด้านในมีจ้าวฟูเหรินมารดาของเขากับสาวใช้อีกสามนาง รวมไปถึงวั่นเจียฝออดีตขุนโจรและเซวียนหยวนหมิงบุรุษเกศาทองกับอาชาคู่ใจ ฝั่งของโม่เสวียนที่มิได้แล่นนำคณะแต่กลับเลือกที่จะอยู่รั้งท้ายเพราะต้องการสนทนากับกองคาราวานที่อาศัยพวกตนนำทางไปด้วยจึงปล่อยจอมยุทธเซวียนหยวนเป้นผู้นำอยู่ด้านหน้าไป
“ท่านอาโม่ หากไปถึงที่เมืองแล้วเรื่องท่านแม่ของข้า.. จะให้นางพำนักที่ใดนะขอรับ” จื่อหลงลูบแผลเป็นีท่ถูกสัมผัสเมื่อครุ๋อย่างภูมิใจ หลังตอบรับคำเชิญเข้าร่วมกองกำลังตัวเขาในฐานะผู้กล้ารุ่นเยาว์ยังไม่เคยออกจากหมู่บ้านมาไกลขนาดนี้ ยังมีอีกหลายเรื่องต้องเรียนรุ้อีกมาก สิ่งเดียวที่พอเป็นจุดห่วงนั่นคือครอบครัว อดคาดหวังไมไ่ด้ว่าเจ้าเมืองซินเย่จะปฎิบัติต่อคนสำคัญของตนเป็นอย่างดี
“จวนข้ามีเรือนหลังที่ว่างเปล่าอยู่มากมาย จะนายหญิงหรือบ่าวรับใช้ล้วนไม่มี ให้พวกนางไปอยู่ก็ไม่ต้องกังวลว่าจะถูกใครรังแก วางใจเถอะ” บัณฑิตรัตติกาลยืนยันด้วยน้ำเสียงหนักแน่น จื่อหลงนั้นจะด้านกำลังหรือความสัตย์ซื่อก็ดีทั้งหมด เสียเพียงแค่ความขี้เกรงใจเท่านั้น ซึ่งจุดนี้โม่เสวียนเองก็หาได้รังเกียจไม่
ยิ่งพวกเขาสนทนาเรื่องราวล่วงหน้าแต่ละก้าวของอาชาก็เข้าใกล้ประตูเมืองทิศตะวันออกขึ้นเรื่อยๆ
@Xuanwu
บุรุษเกศาทองได้ยินคำของชายแปลกหน้าที่สวมกวานแล้วมาคำนับเขาท่ามกลางสายตาของผู้คนมากมาย แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะทักคนผิดก็ทำเอาต่อมแกล้งคนในตัวเริ่มทำงาน บางทีบัณฑิตหน้ามนคิ้วบางผู้นี้คงจะมาจากที่อื่นไม่เคยพบเจ้าเมืองมาก่อนสินะ เขาจะตั้งใจจะทดสอบเจตนาอีกฝ่ายจึงมิได้กล่าวตอยรับรึปฎิเสธ
“ออกมาต้อนรับเช่นนี้นับว่าลำบากพวกเจ้าแล้ว พึ่งมาใหม่หรือข้าไม่คุ้นหน้าเท่าไร” หากว่าเปลี่ยนจากจื่อหลงเป็นเจ้าเมืองเสิ่นยืนม้าอยู่ด้านข้างแน่นอนว่าจินจ้านไม่บังอาจเล่นลิ้น สิ่งที่เสนิมการสวมรอยก็เพื่อตรวจสอบจุดประสงค์ของอีกฝ่ายล้วนๆ
@Xuanwu
จื่อหลงที่คราแรกยังอ่านสถานการตรงหน้าไม่ออกยังเริ่มตงิดใจว่าบุรุษที่ติดตามอารักขาท่านเจ้าเมืองกลับมาพร้อมพวกเขาหนนี้กำลังทำอันใดอยู่ แต่เมื่อเขาทวนคำว่า 'สมัครทำงานในจวนเจ้าเมือง' เป็นไปได้รึไม่ว่าอนาคตอาจต้องร่วมงานกับคนตรงหน้า แต่ทำไมบัณฑิตผู้นอบน้อมต้องมาคำนับบุรุษผมทองที่มีสถานะเท่าเทียมกันด้วยเล่า?
"ท่านเซวียน หากจื่อหลงฟังไม่ผิด คนที่ชายผู้นี้กำลังแนะนำตัวมิใช้กับท่าน หากเป็นเจ้าเมืองเสิ่น?"
'อ่า… แน่นอนว่าข้ารู้' จินจ้านเดาะลิ้นในลำคอ คนแซ่จ้าวมาขัดความสำราญตนแท้ๆ ในเมื่อถูกเปิดโปงด้วยความซื่อของจ้าวจื่อหลง จอมยุทธ์หนุ่มจึงชักม้าเดินผ่านบัณฑิตผู้นั้นไปราวไร้ความผิด
"ตามที่ได้ยินนั่นล่ะ เกรงว่าเจ้าต้องแนะนำตัวอีกครั้งเมื่อพบท่านเจ้าเมือง พยายามเข้าล่ะ.. เขาอยู่ไม่ไกลนักหรอก"
@Xuanwu
เดิมทีคนชุดครามที่อยู่บนอานอาชาจื่อเมี่ยวก็กำลังแทะข้าวโพดย่างเพลินๆ เขาเลือกรั้งท้ายเพื่อไม่ต้องกังวลต่อสายตาชาวบ้านนัก กลับกลายเป็นว่าช่วงที่กำลังเคี้ยวอย่างเอร็ดอร่อยพ่อค้าปศุสัตว์ด้านหน้าก็เอะอะขึ้นมา เห็นทีด้านหน้าคงเกิดเรื่องอย่างไรซินเย่ก็เป็นเมืองในความปกครองของตนมือบางชักสายบังเหียนเดินหน้าขึ้นไปดูสถานการณ์ ทันทีที่เห็นว่าเกิดอะไรขึ้นฝักข้าวโพดในมือถูกโยนไปคนละทิศอย่างไร้ความใยดี
เจริญเถอะ งานต้อนรับเขาไม่ใช่ว่าจะมีคนถูกโคเหยียบตายนะ!!
ไวเท่าความคิดอาศัยความชำนาญที่ฝึกฝนมาเพื่อใช้ในการศึกโม่เสวียนกระทุ้งโกลนเร่งม้ามุ่งไปยังบัณฑิตหนุ่มคนนั้น เขาไม่เกรงกลัวพ่อโคที่กำลังหัวเสียเรียกได้ว่าวัดดวงกันกับฝีเท้าจัดจ้านของเจ้าม้าลายด่างกันทีเดียว เมื่อได้ระยะที่คาดหวังได้แส้หวดในมือสะบัดครั้งหนึ่งเหล่าชาวเมืองก็ได้ตกตะลึงกับการเหินของอาชาข้ามหลังเจ้าโควัยคึกเมื่อเกือบม้าทั้งสี่ข้างลงแตะพื้น มือที่ว่างจากการกุมบังเหียนก็ตวัดร่างของบัณฑิตที่เห็นหลังไวๆ ขึ้นมานั่งซ้อนตน
“จับให้มั่น” เจ้าของนัยน์ตาสีสมุทราครามเน้นย้ำด้วยเสียงสั้น ที่ต้องพูดแบบนั้นเพราะตนคงไม่อาจยืนม้ารอให้โคถึกตามมาขวิดพวกเขาจนกระเด็นไปคนละทาง
@Xuanwu
ผมสีนิลที่ถูกรวบสูงแกว่งสะบัดตามแรงเหวี่ยงบนหลังอาชาที่กำลังควบเต็มฝีเท้าผู้ที่นั่งซ้อนอยู่ในระยะใกล้ชิดกับเขายังครองสติอยู่ได้ในสถานการร์เช่นนี้ นั่นเป็นสิ่งที่ทำให้เจ้าเมืองเสิ่นต้องมองอีกฝ่ายใหม่ว่าคงมิใช่แค่บัณฑิตหนอนตำราธรรมดาแน่ ในเมื่ออีกฝ่ายไม่หวาดกลัวแม้จะพึ่งเฉียดตายโม่เสวียนแน่นอนว่าคิดส่งเสริมคนสักครา
“เกาฑัณฑ์ของข้า? แน่นอน.. หากว่าเจ้าสามารถใช้มันได้ล่ะก็” ในน้ำเสียงราวกับเจือด้วยรอยยิ้มแม้ผู้พูดยังคงหันไปอีกทาง ด้านข้างอานม้ามีเกาฑันณ์จย่าเจียอู่เยว่แขวนอยู่ผิวเผินเหมือนว่ามันคือคันศรทั่วไป ผู้ที่สัมผัสดูจึงจะรู้ว่าธนูลื่อชื่อนี้หนักถึงสองร้อยชั่ง
ด้วยอยู่บนอานม้าเดียวกันแม้จะไม่ได้ตั้งใจแต่ผู้บังคับทิศทางก็สามารถรับรู้ถึงการเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายได้ ดังเขาคาดไว้บัณฑิตที่มิได้ฝึกเรี่ยวแรงแขนระดับตนคงเป็นเรื่องยากที่จะควบคุมเกาทัณฑ์นี้ โม่เสวียนชั่งใจเพียงเสี้ยวในเมื่อด้านหน้าราวห้าจั้งคือย่านชุมชนที่เต็มไปด้วยชาวเมืองสัญจร จะปล่อยอาชาหรือโคคลั่งเข้าไปอาจมีผู้บาดเจ็บได้ มีข้อสรุปแล้วเขาเบี่ยงกายเล็กน้อยใช้ไหล่หนุนกับหลังอีกฝ่าย มือเรียวเอื้อมไปน้าวสายศรที่ค้างคาจนสุด เพราะตัวของเขาสูงยามเอ่ยใบหูของบัณฑิตหนุ่มจึงเฉียดริมฝีปากแตกระแหง
“เล็งไปที่ล่างคอสองชุ่น อย่าขาดรึเกินจะทำให้มันทรมาน” เป็นเสียงที่เบาพอจะได้ยินเพียงสองคน คล้ายคำสั่งมากกว่าคำแนะนำ ถึงอย่างนั้นหัตถ์หยกขาวก็ยังคงส่งแรงหนุนให้ปลายนิ้วอีกฝ่าย
@Xuanwu
“ด้านนอกนั้นเกิดอะไรขึ้น” สวินโหยวกำลังตรวจตราอยู่บนหอสังเกตการณ์ร่วมกับชวีผิงและมู่ชุน ได้เห็นสถานการณ์เข้าก็ไร้คำพูดในทันที ดูเหมือนพ่อหนุ่มลู่จะสร้างความสนใจแก่ชาวเมือง รวมทั้งเข้าไปอยู่ในสายตาของท่านเจ้าเมืองได้เป็นผลสำเร็จ ด้วยวิธีที่เขาเองก็ไม่ทันคาดคิด…
“เจ้าหนุ่มหน้าอ่อนนั้นดูเบาไม่ได้จริงๆ เกาทัณฑ์ของนายท่าน ข้าเคยยกมาครั้งหนึ่งหนั่งกว่าสองร้อยชั่ง ไม่นึกว่าเขาจะสามารถใช้งานมันได้” มู่ชุนออกความเห็นเขาคิดว่าเร็วๆ นี้ตนคงต้องท้าประลองวัดระดับฝีมือกับอีกฝ่ายสักหน
เมื่อสิ้นภัยร้ายโม่เสวียนจึงผ่อนฝีเท้าม้าลงเป็นเวลาเดียวกับที่พวกเขาเข้าสู่ย่านใจกลางเมือง หลังจากถนนเส้นนี้ไปควบอาชาในทางสัญจรถือว่ามีโทษ เจตนาทำให้ชาวบ้านแตกตื่นผู้ที่เป็นเจ้าเมืองย่อมต้องทำตัวเป้นแบบอย่างที่ดีแก่เหล่าขุนนาง ร่างในชุดครามพลิกตัวลงจากอานก่อนจากนั้นก็นึกขึ้นได้ว่าอาชาจื่อเมี่ยวสูงเพียงนั้น ไม่แน่ว่าอีกฝ่ายจะก้าวลงมาได้ง่ายๆ
“เจ้าไม่บาดเจ็บที่ใดนะ?” มือคู่ขาวยื่นไปรับหากว่าอีกฝ่ายต้องการความช่วยเหลือ ตนเพียงเสนอไว้ก่อน อีกเดี่ยวยังต้องไปสะสางเรื่องราคาโคหนุ่มตัวนั้นกับพ่อค้าคาราวาน อย่างไรเสียก็ถือว่าการสังหารมันเป็นคำสั่งของเขากึ่งหนึ่ง
@Xuanwu
“อื้ม มิใช่เรื่องใหญ่อันใด หนหน้าระวังตัวด้วย แม้จะอยู่กลางถนนใหญ่พึงคำนึงถึงความไม่ประมาทเสมอ” โม่เสวียนนั้นมีจิตช่วยเหลือโดยธรรมชาติ ต่อให้อีกฝ่ายมิได้รับน้ำใจเขาจึงเพียงเก็บมือกลับมาก่อนไปหยิบเกาทัณฑ์บนพื้นที่หล่นอยู่มาแขวนข้างอานตามเดิม การเคลื่อนไหวของเขาปราดเปรียวไม่คล้ายเหล่าคุณชายที่สงวนท่วงท่าให้คนดู แต่ก้คงไว้ซึ่งความเรียบง่ายสง่างามอย่างมีเอกลักษณ์
@Xuanwu
นานแล้วที่ไม่มีผู้ใดถามนามของเขาโดยตรง ส่วนใหญ่ผู้คนรอบกายจะทราบฐานะของตนผ่านคำเล่าลือก่อนพบตัวเสียอีก โม่เสวียนยังคงตงิดใจกับท่าทีของคนตรงหน้า พึ่งผ่านสถานการณ์เฉียดตาย แม้จะดูเหนื่อยล้ากลับไม่พบแววความเสียขวัญในดวงตาของอีกฝ่าย
อาจเพราะคิ้วที่บางเสียจนไม่อาจแสดงสายรุ้งแห่งอารมณ์ทำให้อีกฝ่ายดูเฉยชาผิดจากคนปกติ
“ถือว่าเจ้าตั้งสติได้ดีในยามคับขัน… แต่ก่อนตอบคำถามนั้นข้าคงต้องถามก่อนว่าเหตุใดเจ้าจึงมายืนอยุ่กลางท้องถนนกลางขบวนปศุสัตว์ได้?”
@Xuanwu
บุรุษผิวหิมะเลิกคิ้วอย่างฉงนสนเท่ห์ นี่เป็นคำตอบที่เขายังไม่ทันคิดว่าจะรับมือเช่นไรเมื่ออยู่นอกศาลาว่าการ ปกติตนคือผู้เฟ้นหาผู้มีความสามารถและเชิญชวนอีกฝ่าย เรียกได้ว่าบุรุษตรงหน้าคือคนแรกที่อาสามาเข้าร่วมด้วยตนเอง ออกจะประทับใจอยู่บ้างแล้วสิ “เช่นนั้นก็บังเอิญนัก ข้า…”
เจ้าของนัยน์เนตรครามยังกล่าวไม่ทันจบ เหล่าขุนนางและบัณฑิตแห่งเมืองซินเย่พร้อมด้วยการนำของสวินอี้และก่วนจิ้งก็เร่งรุดมาถึงก่อน แม้ว่าคนส่วนใหญ่จะรอต้อนรับอยู่ที่จวนเจ้าเมือง ทว่าขุนนางที่หมายเอาหน้าและสร้างความแตกต่างพลาดโอกาสทองของการสร้างความประทับใจนี้ไปได้อย่างไร
“คาราวะท่านเจ้าเมือง ขอต้อนรับการกลับมาโดยสวัสดิภาพขอรับ” ฟ่านหลี่เป็นคนแรกที่เข้าคุกเข่าอยู่เบื้องหน้าบุรุษชุดคราม ตามมาด้วยจางเซี่ยอินที่โดนชิงที่ดีสุดไปเสี้ยววิ
@Xuanwu
“จินจ้าน.. ข้าจำไม่ได้ว่าอนุญาตให้เจ้ารังแกคนต่อหน้าเมื่อใด” เจ้าเมืองเสิ่นกล่าวเสียงเรียบๆ นั่นก็เพียงพอจะดับอารมณ์สนุกของจอมยุทธ์หนุ่ม เขาชักม้ากลับไปรายงานเรื่องราวระหว่างทางกับสหายอย่างชีเยี่ยนดูจะเป็นความคิดที่ดีกว่าในตอนนี้
“ทุกท่านลุกขึ้นเถิด ทำเช่นนี้ข้าจะรู้สึกผิดเอาได้.. ครึ่งเดือนผ่านไปเหมือนว่าจะพบทั้งผู้ที่คุ้นหน้าและมิตรสหายใหม่ ไหนๆ วันนี้เราก็มีโคหนึ่งตัวมิสู้ข้าเป็นเจ้าภาพจัดเลี้ยงมื้อใหญ่ในค่ำคืนนี้ให้กับทุกคนเป็นไร?”
เพื่อจัดการปัญหาวุ่นวายเมื่อครู่ โม่เสวียนไม่คิดว่าจะให้หนึ่งชีวิตดับสูญอย่างเสียเปล่า เขาเข้าไปประคองสือเค่อแต่ละคนให้ลุกขึ้นด้วยตนเองโดยที่ไม่ลืมสังเกตความเปลี่ยนแปลงของแต่ละคนไว้ด้วย อีกทางหนึ่งก้นำจ้าวจื่อหลงและสวินอี้กับบัณฑิตหนุ่มเมื่อครู่มายืนอยู่เบื้องหน้าทั้งคณะ
“ถือโอกาสแนะนำผู้มีความสามารถทั้งสามท่านที่จะได้ร่วมงานในอนาคต ผู้นี้คือบัณฑิตแห่งเฉินหลิว ญาติผู้หลานของอาจารย์สวินโหยว ‘สวินเหวินยื่อ’ ทางด้านนี้คือสุภาพบุรุษแห่งเจิ้นเติ้ง ‘จ้าวจื่อหลง’ ข้าทุ่มเทไปมากเพื่อเชิญทั้งสองมาเป็นกำลังแก่เมืองซินเย่” โม่เสวียนไม่ห่วงทั้งสองคนที่พึ่งแนะนำไปเท่าไร เพราะรุ้ดีถึงความสามารถพวกเขา หากแต่สำหรับบัณฑิตคิ้วบางตนเห็นเพียงความใจเด็ดในการคว้าธนูบนหลังม้าเท่านั้น ไม่ทราบแม้กระทั่งชื่อจึงส่งสัญญาณให้ผู้ที่สามารถตอบได้ “ส่วนอีกคน..”
@Xuanwu
“นามของข้าคือ เสิ่น โม่เสวียน นามรอง ตี้จิง… เจ้าเป็นคนแรกในเมืองแห่งนี้ที่ถาม บัณฑิตลู่เฉินแห่งเจียงหนาน ข้ามาจากเจียงเยี่ยเรายังนับว่าเป็นคนบ้านเดียวกัน”
@Xuanwu
“กล่าวหนักไปแล้ว.. เรื่องนั้น ข้ามิได้ไม่ชอบ เพียงแต่ถูกเรียกโดยฐานะจนแทบจะลืมความรู้สึกเวลาแนะนำนามของตนไปแล้ว เท่านั้นเอง” รอยยิ้มอ่อนโยนถูกคลี่ออกราวกับจันทร์เสี้ยวที่สดใส เจ้าเมืองมีใบหน้าที่หมดจดต่างจากบุรุษหยาบกระด้าง ผู้ที่พบเห็นท่าทางเช่นนี้โดยมากจึงรู้สึกว่าน่ามองไม่น้อย
@Xuanwu
“หืม.. นั่นมิใช่..” หากว่าเป็นของมีค่าหรือสมบัติแน่นอนว่าดึงดูดเจ้าเมืองผู้ขีดเส้นตายเรื่องการรับสินบนมิได้ ทว่าสิ่งที่บัณฑิตลู่นำออกมานั้นกลับทำให้เขาพิศวงอยู่มากในเมื่อมันเป็นเครื่องรางไม้ที่มีสัญลักษณ์คุ้นตา แน่นอนว่าโม่เสวียนย่อมรู้จักสิ่งที่ตนสร้างเป็นอย่างดี แววตาสีอ่อนที่ใช้มองยังอีกฝ่ายจึงยิ่งทอความเป็นมิตรมากขึ้น “ใบของพฤกษาแห่งปัญญา.. เจ้าเป็นผู้ศรัทธาในชางเจียหรือ?
@Xuanwu
สาวกของชางเจียมีอยู่ไม่มากเมื่อเทียบกับลัทธิอื่นถึงอย่างไรเมื่อศาสดาได้รับของที่มาจากศรัทธาย่อมเกิดความรุ้สึกยากจะปฎิเสธเสมอ โม่เสวียนก่อนรับตำแหน่งก็บุกเบิกความเชื่อแนวคิดใหม่ไว้ก่อนแล้ว จะขุนนางรอบกายเขาก็ล้วนเป็นผู้ที่ทราบถึงการคงอยู่ของเจียหลุนชาง อีกอย่างเครื่องรางชิ้นนี้หาใช่สมบัติมีราคาแต่เป็นวัตถุทางจิตใจ นับว่าลู่เฉินฉลาดเลือกเดินหมาก มือเรียวจึงยื่นไปรับของสิ่งนั้นมาและผูกไว้กับด้ามมีดสั้นข้างเอว “ในเมื่อกล่าวถึงเพียงนั้นข้าจะปฎิเสธความปรารถนาดีจากผู้มีศรัทธาได้อย่างไร หากวันไหนเจ้าเหนื่อยหน่ายกับสิ่งงมงาย ปรารถนาวิถีแห่งปัญญาและการพัฒนาตนเองขึ้นมาล่ะก็ ประตูของเทวสถานเทียนจีจะเปิดต้อนรับเจ้าเสมอ”
@Xuanwu
“ด้วยวิถีของเจียหลุนชาง ซินเย่จึงเป็นนครที่มอบความเท่าเทียมต่อทุกเพศ ทุกคนสามารถเลือกหนทางของตนเอง บุรุษจะร่ายรำหรือสตรีจะจับดาบรับใช้บ้านเมือง กระทำได้ทั้งนั้น เราปฎิบัติต่อผู้คนโดยไม่สนเรื่องชาติกำเนิด เผ่าพันธุ์ หรือแม้แต่ความเชื่อ.. ลู่เฉิน เจ้ากำลังยืนอยู่ต่อหน้าผู้ที่เป็นศาสดาของชางเจีย มิต้องกังวลหากเกิดคำถามในเรื่องใด ข้ายินดีช่วยไขความกระจ่าง”
@Xuanwu
ช่วงเวลาแห่งการแผยแพร่ที่มิได้สัมผัสมานานทำให้เส้นเลือดในกายคล้ายได้รับการปลุกความกระตือรือร้น โม่เสวียนคงต้องยอมรับว่าการพบหน้าหนนี้ให้บรรยากาศแปลกใหม่กว่าทุกครั้ง ในเมื่อรับเครื่องรางจากอีกฝ่ายมาแล้ว ตนก็ต้องมอบบางสิ่งที่ไม่น้อยหน้าไปกว่ากันตอบแทน เขานำเกาทัณฑ์สำรองอีกอันขึ้นมาด้วยเจตนาบางอย่าง
“ดูแล้วที่หน้าประตูเมืองเจ้าเองมีทักษะในการยิงธนูไม่เลว แม้จย่าเจียอู่เยว่อาจจะหนักเกินไปในเวลานี้ก็ยังมีเกาทัณฑ์ที่คู่ควรกว่า.. ธนูนี้ข้าหลอมด้วยตนเอง น้ำหนักกำลังดี มอบให้เจ้าคิดเสียว่าข้ามอบให้ไว้เป็นศาสตราป้องกันตัวในยามมีภัย ส่วนในถุงก็เอาไว้ยกระดับของชิ้นนี้ในอนาคต” คันศรไร้นามที่หลอมขึ้นสดใหม่ผ่านการเดินทางของเจ้าเมือง พร้อมกับทุนรอนในการตั้งตัวสามร้อยตำลึงทองเป็นระดับที่เเพียงพอให้คนรอบข้างริษยาตาร้อนได้แล้ว เดิมทีเจ้าเมืองซินเย่ก็มิใช่คนตระหนี่กับผู้ติดตามที่ถูกชะตาเขาใจถึงยิ่งกว่านี้เสียอีก
@Xuanwu
“มิต้องเกรงใจในเมื่อเป็นสิ่งที่สมควรได้รับ ว่าแต่เจ้าชอบของหวานไหม” โม่เสวียนกำลังรื่นรมย์เขาได้ทั้งขุนพลมาเป็นกำลังสำคัญในอนาคต ไหนจะเรื่องที่คล้ายว่าสมประสงค์ไปทุกอย่างช่วงนี้พลางคิดว่าอากาศสดใสมีวี่แววมงคลอยู่น่าชวนทุกคนไปดื่มน้ำชากัดขนมในหอผานถาว ท่วายังไม่ทันได้เอ่ย เมฆครึ่มจากทางตะวันตกก็มาในรูปของฟางอี้กับข่าวจากจวนว่าการ
“รายงานท่านเจ้าเมืองเสิ่น หลิวไท่ฝูเรียนให้ท่านไปพบในทันทีที่กลับมาถึงขอรับ”
คนชุดครามรำพันในใจ อ่า… ทำไมรู้สึกเหมือนฝนจะตก หนาวๆ ร้อนๆ ชอบกล
♦ • ♦ • ♦ • ♦ • ♦ • ♦ • ♦ • ♦
-เอฟเฟคตัวละคร- (เลื่อมใสศรัทธา) +2 Point ทุกครั้งที่โรลเรียนรู้ +2 Point ทุกครั้งที่โรลใช้กลอุบาย
(อัจฉริยะ) +5 Point จากการโรลใช้แผนการและกลอุบาย +5 Point จากการโรลเรียนรู้(หูดี) +5 EXP จากการโรลสร้างปฏิสัมพันธ์กับคนอื่น +2 Point จากการโรลใช้แผนการหรือกลอุบาย(เห็นอกเห็นใจ) +20 EXP ทุกครั้งที่โรลเห็นอกเห็นใจช่วยเหลือผู้อื่น หรือ ทำงานช่วยเหลือ -2 Point เมื่อใช้อุบายแผนการ(นักวิชาการ) +4 Point เมื่อโรลเพลย์เรียนรู้(นักวางแผน) +5 Point เมื่อโรลเพลย์วางแผน ดำเนินกลอุบายรวม 21 Point 55exp +30 โหด -25 ความเครียดจากการกิน -ระบบเสริม- -25 ความเครียดโรลทานอาหาร +30 คุณธรรม พบหัวดี x3 +30 โหด พบหัวคลั่ง x3 EXP ให้จื่อหลง . [235] เซวียนหยวน หมิง [คลั่ง] +15 ความสัมพันธ์กับคนที่คุยด้วย (หูดี) +10 คลั่ง พบ มาร +20 ความสัมพันธ์ เมื่อโรลกับคนที่คุณสนใจ (ผู้กล้า) +20 ธาตุเกื้อหนุน ดิน หนุน ทอง +5 พูดคุยรายวันรวม 65 . เอฟเฟคตัวละครเซวียนหยวน หมิง +9 EXP จากการโรลเข้าสังคมกับสหายระดับ สหายรู้ใจ-อู้ม่าน +4 Point จากการโรลใช้กลอุบาย (หวาดระแวง) +2 Point ทุกครั้งที่โรลเรียนรู้ (สุขุม) +20 EXP ทุกครั้งที่โรลอดทนต่อความทรมาน (สุขุม) +5 EXP จากการโรลสร้างปฏิสัมพันธ์กับคนอื่น (ตัวหอม) +15 EXP จากการโรลสร้างความน่าเคารพศรัทธาต่อผู้พบเห็น (หลังตรง) +3 Point ทุกครั้งที่โรลการทูต (หลังตรง) +30 EXP (จำเป็นต้องมีลักษณะนิสัยชอบเข้าสังคม) เมื่อโรลเพลย์มีปฏิสัมพันธ์คนอื่น (หลังตรง) +2 Point จากการโรลใช้แผนการหรือกลอุบาย (หูดี)รวม 11 POINT 79 EXP
.
เอฟเฟคจ้าวจื่อหลง +1 Point ทุกครั้งที่โรลเรียนรู้ (เที่ยงธรรม) +20 EXP เมื่อโรลเพลย์หยิ่งในศักดิ์ศรีและภาคภูมิใจแผลเป็นทุกแผลบนร่างกาย (มีแผลเป็น) +4 Point เมื่อโรลเพลย์บริหารเสน่ห์ (หล่อ/สวย)รวม +5 POINT +20 EXP
. . —-----------
x3.5 ความศรัทธา ทุกครั้งที่คุยแลกเปลี่ยนศาสนากับคนศาสนาเดียวกัน -จื่อหลง- กล้าหาญ, โม่เสวียน-เห็นอกเห็นใจ,เลื่อมใสศรัทธา +20 ความศรัทธา เมื่อโรลเผยแพร่ความกล้าหาญ (กลางเหตุการณ์ไปเลย) +10 ความศรัทธา ทุกครั้งที่โรลเผยแพร่ลัทธิ
(เลื่อมใสศรัทธา) +25 ความศรัทธา ทุกครั้งที่โรลเผยแพร่ลัทธิ +15 ความศรัทธา ทุกครั้งที่โรลเผยแพร่ลัทธิหรือ โรลเกี่ยวกับศาสนา x4 ความศรัทธา เจ้าลัทธิ x2 ความศรัทธา VIP
|