[เมืองซีเหอ] โรงเตี๊ยมเซียวหรง

[คัดลอกลิงก์]
ไม่ระบุชื่อ  โพสต์ 2021-11-1 15:06:20 |โหมดอ่าน

โรงเตี๊ยมเซียวหรง
{ เมืองซีเหอ }






【โรงเตี๊ยมเซียวหรง】

โรงเตี๊ยมขนาดกลางภายในตัวเมืองซีเหอ มีที่พักเกือบสิบห้องให้ได้พักพิง
ในชั้นสองและสาม ส่วนชั้นแรกเป็นพื้นที่ของโรงเตี๊ยมที่ขายอาหารหลายประเภท
และถูกกล่าวขานของผู้คนในเมืองถึงรสชาติที่ดีของอาหารเหล่านั้น
โดยเมนูที่แนะนำจะเป็นในส่วนของอาหารจานปลาและอาหารทะเลเกือบทุกประเภท
ที่แทบไร้กลิ่นคาวใด ซึ่งแม้จะมีราคาขึ้นมาอีกระดับด้วยเพราะหาวัตถุดิบได้ยากจากพื้นที่
กระนั้นชาวบ้านหลาย ๆ คนที่มาเยือนยังโรงเตี๊ยมนี้ ส่วนมากก็เต็มใจจ่ายกลับไปด้วยกันทั้งนั้น

ทุกท่านสามารถมาโรลเพลย์ทำงานพาร์ทไทม์ประจำวัน
ค่าจ้าง: 320 อีแปะ - 10 EXP (รายวัน)





เถ้าแก่ : เซียว หรง
อุปนิสัย : เถ้าแก่เซียวเป็นเถ้าแก่วัยกลางคนนิสัยเคร่งขรึมผู้หนึ่ง
มักไม่ค่อยพูดค่อยจาและตีหน้าขึงอยู่เสมอ ทว่ายามพูดคุยกับฟูเหรินที่ช่วยดูแล
ส่วนครัวมักจะมีท่าทีที่อ่อนลงอยู่เสมอ รอยยิ้มเดียวถูกส่งมอบให้แค่ฟูเหรินเท่านั้น
แม้แต่บุตรชายที่คอยช่วยเหลืองานโรงเตี๊ยมอยู่เสมอก็ยังถูกเถ้าแก่เซียวเคร่งครัดด้วยอยู่ตลอด
ถึงอย่างนั้นก็หาใช่คนใจร้ายไส้ระกำใด ด้วยไม่เคยแสดงกิริยาหยาบคายใดต่อลูกค้า
เพียงแค่พูดน้อยก็เท่านั้นและมักชอบแอบแถมสุราหรือชาดีให้อยู่เสมอ
เมื่อได้ยินคนเอ่ยชมอาหารที่ภรรยาของตนได้ทำ







โพสต์ 2021-11-1 23:20:38 | ดูโพสต์ทั้งหมด
โรลเผยแผ่ศาสนาชาวซีเหอ



หลังจากการแยกกับสหายท่านโกซุ่นแล้วนั้นพวกของของจีเทียนเต๋าก็ได้เดินทางมายังเมืองซีเหอในช่วงบ่ายเกือบจะเย็นแล้วทุกคนจึงหาโรงเตี๊ยมแล้วก็เตรียมตัวที่จะเข้าไปพักผ่อนภายในเมืองนั้นเองหลังจากที่หาโรงเตี๊ยมได้แบ้วนั้นจีเทียนเต๋าก็ขอให้ทุกคนนั้นไปพักผ่อนกันก่อนได้โดยที่ตนเองนั้นจะพูดอะไรในโรงเตี๊ยมสักเล็กน้อยก่อน

"คาราวะพ่อแม่พี่น้องทุกท่าน ข้ามีนามว่าจีเทียนเต๋าผู้นำของศาสนาไท่หมินลู่ วันนี้ที่ข้ามาเยือนซีเหอก็เพื่อที่จะเผยแผ่คำพูด วิธีคิดและการกระทำบางอย่างที่จะช่วยให้ทุกท่านนั้นได้มีชีวิตที่ดีขึ้นกัน เอาล่ะพวกท่านอาจจะเห็นว่าข้านั้นดูไม่น่าเชื่อถือแต่ว่าข้าก็อยากให้พวกท่านนั้นฟังข้าก่อนก็แล้วกันค่อยตัดสินใจ ข้านั่นเชื่อว่าพวกเราทุกคนนั้นล้วนแล้วแต่เป็นคนดีได้เพียงแค่เรานั่นเริ่มเปลี่ยนวิธีคิดของตัวเราเอง ศาสนาไท่หมินลู่ไม่แบ่งแยกว่าใครจะเป็นอะไรมาก่อน หรือว่าจะเคยทำอะไรมาก่อน จอเพียงแค่กลับตัวกลับใจเป็นคนดีก็เพียงพอแล้ว ยังไม่รวมถึงที่พวกเรานั้นจะไม่มีการกีดกันบุคคลเพียงเพราะเพศของอีกฝ่ายที่เกิดมา ทุกคนล้วนแล้วแต่จะมีสิทธิที่จะเลือกไม่ใช่ว่าเป็นผู้หญิงแล้วจะทำในสิ่งที่ผู้ชายทำไม่ได้ เราจะไม่ให้ผู้ชายนั้นจะมีภรรยาหลายคนเพียงเพราะว่าคำว่ารัก ถ้าเรารักเค้าจริงเราจะต้องมีเค้ามีเพียงคนเดียว เราจะให้ทุกคนมีสิทธิที่จะเดินตามความฝันของตนเอง มันหมดซึ่งยุคที่ผู้หญิงจะต้องกลายเป็นเพียงของเล่นในสายตาของผู้มีอำนาจ มันจะหมดยุคที่ผู้ชายจะต้องมีภรรยาหลายคนแล้ว ใครที่เห็นด้วยกับข้าโอกาศของพวกท่านนั้นมาถึงแล้วขอเพียงพวกเรารวมพลังกันก็จะมีพลัง ถึงเวลาแล้วขอให้พวกท่านกลับไปคิดให้ดีว่าท่านจะปล่อยให้โอกาศนี้ผ่านไปหรือว่าจะคว้ามันกันชาวซีเหอทุกคน!!! พวกท่านจะให้ลูกหลานของพวกท่านต้องพบเจอกับชะตากรรมที่พวกท่านนั้นเลือกไม่ได้อย่างนั้นหรืออย่างไรกัน? ได้เวลาฉีกโซ่พวกนั้นออกมาได้แล้วอย่าให้คนที่พวกท่านรักนั้นจะต้องทุกข์ทรมานอีกต่อไปเลย"


ใช้ลักษณะนิสัยถ่อมตน
+15ความศรัทธา
เลื่อมใสศรัทธา
+40ความศรัทธา
ติ่งหูยาว
-10ผู้ให้ความสนใจ
+10ความสัมพันธ์ขุนนางในสภา
+30ความศรัทธา
หลังตรง
+25ความศรัทธา

(×4 EXP =ค่า ศรัทธา)



←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ชุดไท่หมินลู่
เบ็ดตกปลา
คัมภีร์ไท่หมินลู่
ไก่ฟ้าทองแดง
หวีเซียวเฉิน
กลยุทธ์เล่ออี้
ม้าขาว
หน้ากากขาว
ผ้าคลุมไท่หลง
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x108
x8
x800
x800
x800
x70
x470
x100
x100
x4
x3
x3
x1
x7
x25
x860
x10
x790
x490
x200
x1
x100
x100
x100
x10
x1
x2
x1
x3
x4
x10
x920
x291
x494
x5
x388
x5
x6
x77
x100
x30
x900
x68
x1
x82
x98
x1
x96
x98
x1
x6
x2
x1000
x2
x3
x3
x3
x7
x8
x3
x100
x4
x100
x26
x24
x24
x26
x14
x600
x96
x100
x60
x100
x100
x440
x25
x2
x376
x11
x492
x9
x4
x99
x80
x79
x28
x2
x379
x75
x196
x571
x167
x100
x100
x50
x100
x100
x250
x50
x86
x13
x13
x7
x74
x6
x19
x5
x1150
x324
x17
x11
x10
x10
x490
x10
x2
x42
x62
x38
x1
x108
x35
x96
x99
x85
x505
x1
x598
x3
x3
x1
x8
x24
x404
x4
x102
x6
x24
x491
x288
x39
x90
x154
x8
x1
x10
x75
x10
x93
x500
x250
x150
x250
x550
x250
x3
x500
x242
x36
x18
x465
x1015
x164
x804
x804
x804
x804
x493
x314
x13
x36
x7
x498
x1
x10
x1
x2561
x628
x320
x260
x100
x15
x1
x6
x6
x150
x9999
x2
x7
x18
x5
x2
โพสต์ 2021-11-2 17:58:11 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Fenyue เมื่อ 2021-11-9 01:03

      
⌜118⌟
        
บทที่ 20
เรื่องวุ่นวายที่ซีเหอ
ฉากที่ 2
                    
          ขณะเลือกซื้อบ๊วยจำนวนหนึ่งพันลูกที่ตลาดซีเหอเด็กสาวได้ยินข่าวเรื่องการประหารชีวิตนักโทษหญิงที่ลอบสังหารแม่ทัพใหญ่ในซีเหอแล้วยังสังหารสตรีชาวบ้านแถมยังวางยากองทัพ สิ่งที่นางทำล้วนเป็นโทษทัณฑ์เกินให้อภัย น่าตกใจกว่านั้นคือชื่อเสียงเรียงนามของนักโทษหญิงผู้นั้น คราแรกเฟินเยว่นึกชื่ออยู่นานว่าคุ้นหูมาจากไหน นางคือ เจิ้งหลัน สตรีที่เซ้งถ้ำเสือขาวต่อจากตงฮั่ว ความสับสนก่อเกิดขึ้นในใจมากมาย จริงอยู่ว่าแม่นางเจิ้งดูทำตัวมีพิรุธน่าสงสัย ทว่านางก็เล่นกับเปาเปาอย่างดี คนที่อ่อนโยนกับสัตว์โลกมีหรือจะกระทำการโหดร้ายเช่นนั้นได้
         
          แม้จะพบพานกันเพียงแค่ครั้งเดียวและได้ต่อบทสนทนากันเพียงสั้น ๆ ทว่าเฟินเยว่ก็มั่นใจว่าหญิงสาวผู้นั้นไม่ใช่คนเลวร้ายถึงขนาดฆ่าแกงผู้บริสุทธิ์ได้ลงคอ หรืออีกอย่างคือนางคือผู้เคราะห์ร้ายแล้วถูกใส่ความ อาจจะเป็นแพะที่ถูกตั้งข้อหาให้รับโทษแทนผู้มีศรี คดีเช่นนี้มีเกลื่อนกลาดเห็นได้ทั่วไปในสังคม ทว่านางเองก็ไม่ได้รู้จักกับหญิงสาวผู้นั้นดีพอ ดังนั้นจึงสรุปไม่ได้ว่าแม่นางเจิ้งเป็นคนอย่างไรกันแน่ ถึงกระนั้นชาวบ้านตัวเล็ก ๆ อย่างนางคงไม่อาจทำอะไรได้อยู่ดี
         
          เสร็จเรียบร้อยเฟินเยว่ก็กลับไปที่โรงเตี๊ยมเซียวหรงที่ประจำ ที่นั่งรออยู่ด้านล่างมีเพียงแค่เหลียงต้าซิ่นจิบชาผู่เอ๋อร์สบายใจเฉิบอยู่เพียงลำพังทว่าตงฮั่วไม่ได้อยู่ตรงนี้ มีเพียงแค่เปาเปาที่นั่งบนตักทำตัวเหมือนหมูเปลี่ยนเจ้าของใหม่ ที่ตงฮั่วไม่อยู่ตรงนี้ไม่แน่ว่าสหายหนุ่มคงขึ้นไปพักผ่อนเสียกระมัง เขาอาจจะยังไม่ชินกับการตื่นนอนตอนกลางวันเพราะตอนรับงานเฝ้ายามก็อยู่กะกลางคืน
         
          “ตงฮั่ว… เอ้ย คุณชายซูพักผ่อนอยู่หรือเจ้าคะ?”
         
          “มาถึงขนาดนี้แล้วเจ้าอยากเรียกซูเสวียนจินอย่างไรก็เรียกเถอะ”
         
          บัณฑิตหนุ่มเอ่ยแซว บางทีก็รู้สึกตะหงิด ๆ เวลาที่ทั้งสองคนสนิทชิดเชื้อกันและหลุดพูดชื่อตรง ๆ มาหลายครั้งแต่ก็ต้องมาแก้เรียกแซ่แทบทุกครั้ง ทำอย่างกับว่าเขาไม่รู้ความสัมพันธ์ของเด็กทั้งสองคนอย่างไรอย่างนั้น
                    
          “เอาอย่างนั้นก็ได้เจ้าค่ะ”
         
          เด็กสาวตอบรับแบบเขิน ๆ ในใจรู้สึกประหม่าเล็กน้อย เรียกเสียสนิทเชียวแต่ช่วงสองวันมานี้ตงฮั่วเย็นชาใส่นางตลอด ถามคำตอบคำ ไม่ชวนพูดก่อนเช่นก่อนหน้า ไม่น่าเชื่อเลยว่าเพียงแค่อีกฝ่ายเห็นหน้าตาเหมือนผีตายโหงของนางเข้าไปเพียงครั้งเดียวก็ทำตัวเหมือนเป็นคนอื่นคนไกล ในใจรู้สึกเจ็บช้ำอยู่ไม่น้อยทว่าจะโกรธเขาก็ทำไม่ลงจึงได้แต่น้อยใจแต่ไม่แสดงออก
         
          “เขาบอกว่าขออยู่ตัวคนเดียวสักพักน่ะ ว่าจะถามอยู่ว่าช่วงนี้พวกเจ้าทั้งสองคนทะเลาะอะไรกันอยู่หรือเปล่า”
         
          ได้ยินคำตอบสีหน้าของเด็กสาวก็สลดลง คำว่าขออยู่คนเดียวสักพักของตงฮั่วหมายความว่าออกไปตกปลาหรือว่าอยากหลบหน้านางกันแน่ โดยปกติแล้วเด็กหนุ่มเป็นคนตรงไปตรงมาหากปวดท้องก็พูดว่าขอไปถ่ายทุกข์ อยากไปตกปลาก็พูดว่าอยากตกปลา หรืออยากไปดูบางสิ่งที่เขาสนใจก็มักจะบอกก่อนเสมอไม่แยกตัวไปเอง แต่ถึงอยากหลบหน้าก็ไม่เห็นจะต้องปลีกวิเวกออกไปเพียงลำพังเช่นนี้เลย เฟินเยว่กลัวเหลือเกินว่าเขาจะนำตัวไปสู่อันตรายหรือจากไปโดยไม่กลับมากอีก
         
          หยดน้ำพรั่งพรูออกจากดวงตาสีอ่อน ทั้งเรื่องพี่ชายและเรื่องบุรุษที่แอบหลงรักทำตัวห่างเหินในเวลาใกล้ ๆ กัน มันยากเหลือเกินที่จะฝืนทำตัวเข็มแข็งได้ไหว สุดท้ายก็เสียน้ำตาอีกครั้งต่อหน้าสหายทั้งที่ไม่อยากให้เขาพลอยลำบากใจไปด้วย มือน้อย ๆ ยกแขนเสื้อปาดน้ำตาทั้งที่มือทั้งสองข้างหิ้วถุงบ๊วยเต็มสองมือโดยไม่มีท่าทีว่ามันหนัก
         
          “ว้าย! แม่นางซุน เกิดอะไรขึ้น!?”
         
          “ขอ..ขอโทษเจ้าค่ะ ข้าพยายามแล้ว... แต่ว่าห้ามมัน.. ไม่ให้หยุดไหล.. ไม่ได้เลยเจ้าค่ะ”
         
          เห็นเด็กสาวที่เข้มแข็งมาตลอดหลั่งน้ำตาต่อหน้าบัณฑิตหนุ่มก็ถึงกับอุทานออกมาเป็นตัวของตัวเอง เขารีบแกะถุงบ๊วยออกจากมือนางทว่ามันก็หนักเกินกว่าจะถือเองไหวทั้งสองถุงจึงช่วยได้แค่ถุงเดียว
         
          “ถ้าอย่างนั้นเราขึ้นไปคุยกันที่ห้องกันดีกว่า มา ตามข้ามานะ”
         
          ต้าซิ่นวางเงินค่าน้ำชาเอาไว้บนโต๊ะ ก่อนจะเดินนำเด็กสาวไปที่ห้องพักโดยมีเจ้าเปาเปาวิ่งตามมาดุ๊ก ๆ ไขกุญแจเปิดห้องได้ก็พาสาวน้อยไปนั่งแล้วรินน้ำให้ดื่มจะได้สบายใจ
         
          “ไหนเรื่องมันเป็นอย่างไร เล่าให้ข้าฟังซิ”
         
          “ซื้ดดดด” เด็กสาวสูดน้ำมูกที่หยดย้อยจนใบหน้ากลับมาดูไม่ได้อีกครั้ง “ข้าก็ไม่ทราบเหมือนกันเจ้าค่ะ เขาดูเปลี่ยนไปตั้งแต่… ตั้งแต่เช้าเมื่อวาน บางทีเขาอาจจะรังเกียจหน้าข้าตอนเครื่องสำอางเลอะก็ได้เจ้าค่ะ หน้าข้าตอนนั้น มันแย่ ฮึก! มันแย่มากจริง ๆ เจ้าค่ะ!”
         
          “รังเกียจเพราะเครื่องสำอางเลอะเนี่ยนะ?”
         
          ชายหนุ่มเลิกคิ้วขึ้นหนึ่งข้าง มือก็ยื่นผ้าเช็ดหน้าให้เด็กสาวได้ซับน้ำตาหรือไม่ก็สั่งน้ำมูก เนตรหงส์มองดูใบหน้าของเด็กสาว ตอนร้องไห้ดูไม่งามก็จริง แต่ก็ไม่ถือกับอัปลักษณ์จนน่ารังเกียจ หากเป็นเหตุผลนั้นจริงจะน่าโกรธอีกฝ่ายมาก แต่อยู่ด้วยกันมานาน ระหว่างเดินทางก็นอนร่วมห้องกันหลายคืน แม้จะรู้สึกเขม่นเจ้าเด็กโลกมืดคนนั้นอยู่บ้างทว่าต้าซิ่นก็รู้ว่าตงฮั่วเป็นคนตรงไปตรงมาและไม่มองอะไรเพียงแค่เปลือก แถมพอเป็นเรื่องของเด็กสาวตรงหน้าทีไรเขาก็ทำตัวเหมือนหมาตามเจ้าของทุกที แค่ไม่ได้แสดงออกนอกหน้าแต่แค่มองเข้าไปในดวงตาก็รู้แล้วว่าคิดอะไรอยู่
         
          “ไม่หรอกมั้ง ข้าคิดว่าซูเสวียนจินไม่ใช่คนเช่นนั้นหรอก”
         
          “ข้าก็คิดว่าเข้าไม่ใช่.. แต่ทำไมกันล่ะเจ้าคะ? ข้าไม่เข้าใจเลยจริง ๆ … พรืดดดดด”
         
          รำพึงจบก็สั่งน้ำมูกใส่ผ้าเช็ดหน้าออกมาพรืดใหญ่
         
          “ข้าก็สังเกตมาว่าเขาดูซึม ๆ หลังคืนงานเลี้ยงเหมือนกัน ตอนแรกคิดว่าเดินทางมาเพลียง่วงนอนจึงไม่อยากพูด แต่หลังจากนั้นดูเหมือนมีอะไรลำบากใจบางอย่าง เอาเป็นว่าเอาไว้เขากลับมาข้าจะถามเขาให้แล้วกันนะ ตอนนี้อย่าเพิ่งคิดอะไรมากเลย”
         
          “เจ้าค่ะ ต้องรบกวนคุณชายเหลียงด้วยนะเจ้าคะ”
         
          เด็กสาวค้อมศีรษะลงขอบคุณทว่าหน้ามืดกระทันหันหัวจึงโขกขอบโต๊ะเข้าจัง ๆ
         
          โป๊ก!!
         
          “ว๊ายยย!!!”
         
          ต้าซิ่นรีบพยุงไหล่ของเด็กสาวขึ้นมา เมื่อสัมผัสถูกตัวนางก็พบว่าเฟินเยว่ตัวร้อนจี๋
         
          “ตายแล้ว เจ้าไม่สบายนี้นา นอนพักก่อน”
         
          หลังมือที่เรียวยาวและเนียนนุ่มกว่าสตรีแตะหน้าผากของเด็กสาว ไม่ต้องเทียบกับร่างกายของตนเองก็รู้ได้ทันทีว่าสาวน้อยที่บัณฑิตติดตามได้ป่วยไข้เข้าเสียแล้ว แม้ว่านางจะเป็นคนแข็งแรงแต่ทว่าเมื่อเจอไข้ใจเข้าไปมาก ๆ ร่างกายก็พลอยได้รับผลกระทบไปด้วย ชายหนุ่มค่อย ๆ พยุงร่างของดรุณีไปนอนที่เตียงทว่าเฟินเยว่กับยกมือปรามไว้
         
          “ข้ายังพักไม่ได้เจ้าค่ะ ยังต้องทำ.. บ๊วยดองอีก...”
         
          “บ๊วยดอง? นี่รับงานมาอีกอย่างนั้นเหรอ?”
         
          ในตอนนี้คนที่อยากดุมากกว่าเด็กหนุ่มคิ้วพยัคฆ์ก็คือเด็กสาวที่ไม่รู้จักประมาณตนคนนี้เนี่ยแหล่ะ คนจะป่วยคงไม่อยู่ ๆ ก็ไข้ขึ้นเมื่อครู่นี้หรอก นางต้องไม่สบายมาก่อนหน้าแล้วอาการจึงกำเริบขึ้นทีหลัง รู้ตัวเองว่าไม่สบายก็ยังจะรับงานมาแทนที่จะพักผ่อนราวกับไม่อยากกลับบ้านที่อันติงไว ๆ อย่างไรอย่างนั้น
         
          “เจ้าค่ะ ข้า.. คุยกับเถ้าแก่แล้ว.. พี่ชายยังไม่มา.. เลยรอ.. เจ็ดวัน… ก็เลย...”
         
          “ไม่ต้องพูดแล้ว เจ้าพูดไม่รู้เรื่องแล้วเนี่ย นอนพักเสีย แล้วข้าจะจัดการเรื่องงานต่อเอง ตกลงไหม?”
         
          ต้าซิ่นดุเด็กสาวแล้วพาร่างที่สติเลือนลางใกล้วูบเข้าทุกทีไปนอนพักบนเตียง เขาถอดผ้าโพกศีรษะนางออกแต่มิได้คลายผมเปียให้ จัดแจงนำผ้าสะอาดชุบน้ำบิดให้หมาดแล้วเช็ดตามใบหน้าและคอของเด็กสาว ก่อนจะวางผ้าเปียกอังศีรษะลดไข้ แล้วจับผ้านวมหนาคลุมห่มท่วมถึงคอ
         
          ยิ่งอีกฝ่ายทำดีต่อนางเฟินเยว่ก็ร้องไห้ออกมาอีกรอบ ราวกับว่าสาวแกร่งคนนั้นบัดนี้ได้พังทลายไม่เหลือชิ้นดี เด็กสาวรู้สึกละอายใจเหลือเกินที่สุดท้ายก็เป็นภาระของผู้อื่น ทั้งต้องคอยดูแลและยังต้องทำงานแทนทั้งที่ไม่ใช่เรื่องของเขาเลย แต่ร้องไห้ต่ออีกไม่เท่าไรเด็กสาวก็ม่อยหลับไปด้วยพิษไข้และความเพลีย
         
          “เฮ้อ.. คงไม่ต้องถึงขนาดไปบำบัดจิตกับหมอชุนหรอกนะ...”
         
          เหลียงต้าซิ่นถอนหายใจออกมา ชาวไท่หยวนอย่างเขารู้ดีว่าซินแสคนนั้นเก่งกาจเชี่ยวชาญทั้งรักษาโรคภัยไข้เจ็บและโรคทางใจ แต่ก็ชอบใช้วัตถุดิบประหลาดกับคนไข้คล้ายเป็นหนูลองยาด้วยเช่นกัน ดวงตาคู่งามเหลือบมองไปยังถุงบ๊วยที่หิ้วมาจนแขนแทบขาด แม้คราวก่อนที่รับมาไม่ได้มีส่วนร่วมในการทำทว่าก็พอจะจำได้ว่าต้องไปส่งงานที่ไหนอย่างไรต่อ
         
          “บ๊วยดองอย่างนั้นหรือ.. แล้วมันทำอย่างไรกันล่ะเนี่ย”
         
          ก่อนจะลงมือทำบ๊วยดองคงต้องไปหาวิธีการทำหรือไม่ก็ต้องรอเด็กสาวตื่นฟื้นไข้ขึ้นมาบอกสูตรก่อนเสียกระมัง...
      
.
.
.
      

พัฒนาตัวละครในสังกัด
[NPC ในสังกัด] เหลียง ต้าซิ่น มอบ ชาผู่เอ๋อร์
-------------------------------------------
รับทราบข่าวลือเรื่องการประหาร เจิ้งหลัน




←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
พยัคฆ์ตงเทียน
หยกเชื่อมสัมพันธ์
พู่กันเหวิ่นเซ่า
ถุงหอมจูอวี๋
กลยุทธ์เล่ออี้
บทเพลงยิ้มเย้ยยุทธจักร
หน้ากากขาว
เกราะเกล็ดมังกร
ผ้าคลุมไท่หลง
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x40
x32
x1
x439
x500
x73
x500
x26
x498
x500
x10
x2
x9
x1
x400
x1
x1
x5
x28
x8
x591
x228
x228
x500
x2514
x18
x14
x1
x5
x1
x2
x100
x5
x50
x100
x3
x3
x10
x2
x47
x64
x6
x9
x2
x71
x1
x24
x95
x50
x86
x150
x260
x150
x150
x46
x46
x2
x2
x6
x2
x2
x34
x4
x1
x8
x1
x2
x7
x5
x8
x7
x110
x7
x74
x45
x3
x30
x63
x74
x79
x2
x71
x68
x6
x45
x50
x160
x316
x3
x220
x48
x35
x168
x12
x10
x25
x1
x13
x6
x4
x6
โพสต์ 2021-11-4 06:28:01 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Fenyue เมื่อ 2021-11-9 01:04

        
⌜120⌟
     
บทที่ 20
เรื่องวุ่นวายที่ซีเหอ
ฉากที่ 4


          “เมื่อคืนไปไหนมาถึงได้กลับห้องเสียดึกดื่น”
         
          เหลียงต้าซิ่นเปิดประเด็นทันทีหลังจากที่เสี่ยวเอ้อห์นำอาหารเช้าที่สั่งมาส่งแล้วออกไปจากห้องพัก
         
          ไม่ได้ผิดคาดไปมากเท่าไร ว่าแล้วเชียวว่าจะต้องถูกดุ ทว่าเด็กหนุ่มคิ้วพยัคฆ์ทำหูทวนลมทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ยามเมื่อถูกสหายบัณทิตที่นอนร่วมห้องคาดคั้นเอาคำตอบราวกับว่าเป็นบิดามารดรเสียอย่างนั้น ตงฮั่วทำเมินเช่นทุกครั้งจับตะเกียบพุ้ยข้าวเข้าปากสลับกับทานฮวาเจียวปิ้งย่าง เป็นมื้อเช้าที่รสจัดดุดันอยู่ไม่น้อย
         
          อยู่ด้วยกันมาเป็นเดือนมีหรือจะไม่รู้นิสัยของสหายร่วมทาง ต้าซิ่นจับทางออกแล้วว่าเด็กหนุ่มผู้นี้ไม่สนใจคำบ่นด่าว่ากล่าว ไม่ใช่เพราะว่าเป็นเด็กดีเชื่อฟัง แต่ตรงกันข้ามตงฮั่วเป็นคนไม่สนใจใยดีในสิ่งที่คนอื่นพูดในเรื่องที่ไม่อยากฟัง จะมีอยู่แค่เรื่องเดียวที่หากพูดออกไปอีกฝ่ายจะเงี่ยหูฟังในทันที
         
          “แม่นางซุนไม่สบายนะ ลุกไปไหนไม่ไหวได้แต่นอนซมอยู่ในห้อง”
         
          “เยว่เอ๋---... อะแฮ่ม! แม่นางซุนไม่สบายอย่างนั้นหรือ นางเป็นอะไร”
         
          ได้ผล หากเป็นเรื่องของซุนเฟินเยว่ทีไรซูตงฮั่วก็จะหันขวับไปสนใจทุกที
         
          ‘ทีแบบนี้ล่ะก็ว่าง่ายราวกับลูกสุนัขไม่มีผิด..’
         
          “มาถึงขนาดนี้แล้วเจ้าอยากเรียกซุนเฟินเยว่ว่าอย่างไรก็เรียกเถอะ” ชายหนุ่มกล่าวประโยคเดิมอีกครั้งให้แก่คู่เด็กวัยรุ่นได้ฟัง เขาถอนหายใจก่อนจะตอบคำถามก่อนหน้า “ก็เพราะเจ้าน่ะสิ!” ปลายนิ้วเรียวชี้หน้าของตงฮั่วอย่างคาดโทษทำเอาตงฮั่วเลิกลั่กดูมีพิรุธผิดปกตินิสัยของคนไม่สนโลก
         
          ‘ไม่น่าหรือว่า… แค่คิดในใจเองคงไม่ถึงกับทำให้นางท้อง… หรอกมั้ง’
         
          ตงฮั่วหน้าถอดสี แม้จะปลอบใจตัวเองแต่ก็ยังรู้สึกกังวลอยู่ไม่หาย เขารู้มาว่าปลากัดแค่จ้องตาก็ท้องได้ แต่กับคนนั้นหากท้องได้เพียงแค่สบตาคงได้เป็นพ่อคนโดยที่ไม่รู้ตัว ทว่าเขาก็ไม่ได้มีความรู้เกี่ยวกับการกำเนิดเด็กมากนัก ขนาดมโนภาพในวันนั้นยังเหลือเชื่อเลยว่าตนรู้ขั้นตอนกระบวนการได้อย่างไร หรือมันอาจเป็นสัญชาตญาณการสืบพันธุ์ของสัตว์โลกก็ว่าได้ที่ต่อให้ไม่รู้ในเชิงทฤษฎีแต่ก็เข้าใจกระบวนการในการปฏิบัติ
         
          “เลิกลั่กเชียว ทำอะไรมาสินะ”
         
          เหลียงต้าซิ่นหรี่ตามองสหายรุ่นน้องราวกับจับผิด ด้านตงฮั่วก็หลีกหนีสายตาอย่างเปิดเผย ไม่โกหก ไม่บิดเบือน ช่างเป็นคนที่อ่านออกง่ายเสียจริง ๆ
         
          “ข้าก็แค่...”
         
          “อะไร?”
         
          “....”
         
          ถึงจะถูกคาดคั้นเอาความแต่จะให้สารภาพเรื่องไร้ยางอายแบบนั้นออกมาก็ทำใจเล่าได้ยาก ต้าซิ่นรุกไล่เสียจนเด็กหนุ่มต้องวางถ้วยข้าวแล้วถอยหนีหลังติดฝา
         
          “เรื่องนี้เรื่องใหญ่ เป็นอะไรเล่ามาเดี๋ยวนี้เลยนะ”
         
          “.... เอาวะ เล่าก็เล่า” หมดสิ้นทางหนีเด็กหนุ่มก็จำเป็นจะต้องเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นในคืนวันงานเลี้ยงหน้ากาก ด้วยความด้อยประสบการณ์และความรู้เขาอาจจะไม่สามารถแก้ปัญหาเหล่านี้ได้ด้วยตัวคนเดียว บางทีจะต้องพึ่งพาปัญญาของบัณฑิตมาช่วยเหลือ “วันก่อนที่เยว่เอ๋อร์ไปงานเลี้ยงแล้วนางเมาน่ะ ตอนนั้นข้าพานางขึ้นไปพักในที่ห้องแล้ว ข้าเผลอ...”
         
          “เจ้าเผลอล่วงเกินนางอย่างนั้นเหรอ เจ้าหมาชั่ว!”
         
          ได้ยินถึงตรงนี้บัณฑิตก็เงื้อพัดฟาดแขนเด็กหนุ่มผั่วะ ๆ ด้วยหลงเข้าใจผิด ฝ่ายโดนตีก็ได้แต่เบี่ยงตัวหลบไปมาไม่คิดต่อสู้
         
          “ไม่! ข้าไม่ได้ทำ!” มือแกร่งที่ฝึกยุทธยื้อแย่งพัดในมืออีกฝ่ายมาแล้วซ่อนไว้ที่ด้านหลัง “ก็..ก็แค่คิดเฉย ๆ ”
         
          “เจ้าหมาลามก”
         
          เหลียงต้าซิ่นถลึงตามองอีกฝ่ายอย่างเอาเรื่อง แม้เขาจะเป็นคนหัวสมัยใหม่ที่ยอมรับความเท่าเทียมทางเพศ แต่กับการล่วงประเวณีก่อนแต่งงานถือเป็นเรื่องผิดผีที่ให้อภัยไม่ได้
         
          “ข้ารู้ว่าข้ามันเลวที่คิดเช่นนั้นกับสหาย แต่ว่าข้าไม่ได้ทำอะไรนางจริง ๆ นะสาบานได้ ที่ทำก็แค่อุ้มนางไปนอนบนเตียงเพราะเดินต่อไปไม่ไหว ชุดของนางมันเอ่อ.. มันเปิดเผยมาก ข้าก็เลยเพียงแค่จินตนาการแต่ไม่ได้แตะต้องนางนอกจากพาอุ้มไปนอนบนเตียง จากนั้นเยว่เอ๋อร์ก็ร้องไห้ออกมา พอรู้ว่านางมีเรื่องทุกข์ใจข้าก็จับมือนางไว้จนนางหลับ ทำแค่นั้นจริง ๆ นะ!”
         
          ตงฮั่วสารภาพออกมาหมดเปลือกแม้จะน่าอายแค่ไหนแต่ก็จำต้องเล่าออกมาจนหมด ท่าทางของเขาสลดลงอย่างมากไม่เหลือมาดเด็กหนุ่มร่างใหญ่ที่ใคร ๆ ก็หวาดกลัว บัณฑิตเหลียงก็กอดอกฟังราวสีหน้าบึ้งตึงราวกับเป็นอาจารย์ฝ่ายปกครอง
         
          “ข้าเองก็กลัวเหมือนกันว่าหากมีครั้งต่อไปจะเผลอทำอะไรขาดสติ” ภาพเหตุการณ์เมื่อวานตอนขากลับลงมาจากน้ำตกฉิงเซ่อยังคงติดตา เขากลัวมากว่าตัวเองก็จะกลายเป็นสัตว์ป่าแล้วย่ำยีเฟินเยว่เหมือนโจรเหล่านั้น แล้วหากเป็นเช่นนั้นจริงสตรีอย่างนางจะทัดทานแรงจากบุรุษเช่นเขาได้เยี่ยงไร “...ส่วนหนึ่งข้ารู้สึกผิดต่อนางจึงไม่กล้าสู้หน้า ด้วยความกลัวจิตใจของตัวเองก็อีกส่วน...”
         
          “เพราะฉะนั้นเจ้าก็เลยหลบหน้านาง ข้าเข้าใจถูกหรือไม่?”
         
          “....”
         
          ตงฮั่วตอบรับเพียงแค่พยักหน้าลงช้า ๆ ท่าทางเหมือนสุนัขที่สำนึกผิดทำให้บุรุษเกิดความใจอ่อนขึ้นมาหลายส่วน อย่างไรเสียเด็กน้อยรู้จักยับยั้งชั่งใจตนเอง และรู้ว่าสิ่งที่เขาทำนั้นผิดจึงคิดอยากแก้ไข แม้จะผิดวิธีไปหน่อยทว่าก็ไม่ได้เกินจะให้อภัย
         
          “เพราะฉะนั้นเจ้าก็เลยทำเป็นหนีหน้านางเพื่อเว้นระยะห่างไม่ให้ได้ใกล้ชิด? เมื่อวานนางร้องไห้หนักมากจนถึงขั้นเป็นลมเลยนะที่เจ้าเมินหน้าหนีไปน่ะ”
         
          “.... นางล้มป่วยเพราะข้าอย่างนั้นเหรอ?”
         
          คำบอกเล่าของบัณฑิตเท่าเอาเด็กหนุ่มหน้าชา เขารู้อยู่แล้วว่าช่วงนี้สหายสาวจิตใจอ่อนไหวด้วยเรื่องของพี่ชาย แล้วนางยังร้องไห้จนล้มป่วยเพราะตนเองอีก ความผิดนี้ดูจะเกินให้อภัยเสียยิ่งกว่าจินตนาการลามก
         
          “ข้า… ควรทำยังไง?”
         
          “ถ้าให้ข้าแนะนำล่ะก็พูดคุยปรับความเข้าใจ แล้วก็สารภาพเรื่องในใจเสีย หากเห็นพ้องต้องกันก็จัดพิธีแต่งงาน แต่เจ้าต้องมั่นใจจริง ๆ ว่ารักแม่นางซุน อยากใช้ชีวิตร่วมกันกับนาง ไม่ใช่เพราะเพียงแค่ตัณหาราคะ”
         
          ต้าซิ่นได้ทีหยิบฉวยเอาพัดกลับคืนมาจากมือของคนซึม
         
          “แต่งงานงั้นเหรอ… ไม่ได้หรอก”
         
          “ทำไมล่ะ? หากสมรสกันแล้วพวกเจ้าจะทำอะไรก็ไม่มีคนติฉินนินทาหรอก และมันดีแก่ตัวฝ่ายหญิงเองด้วย”
         
          “ข้าสาบานต่อหลุมศพท่านพ่อเอาไว้แล้ว หากยังล้างแค้นไม่สำเร็จก็จะไม่ขอมีความสุขหรอก”
         
          บัณฑิตเหลียงปริบตาฟัง แม้เดินทางมาด้วยกันทว่าไม่ได้รู้ประวัติเชิงลึกของเด็กหนุ่มคนนี้เพราะอีกฝ่ายไม่ยอมปริปากเล่า ที่แย้มมาเมื่อครู่เรื่องการล้างแค้นเขาก็เพิ่งรู้ ทว่านี่ไม่ใช่เวลาซักถาม หากอีกฝ่ายพร้อมอยากเล่าก็ให้เขาเล่าออกมาเองเสียดีกว่า ในตอนนี้ชายหนุ่มทำได้เพียงแค่แสดงความคิดเห็นในมุมของตนเองออกมา
         
          “แล้วเจ้าคิดว่าบิดาจะตายตาหลับอย่างนั้นหรือเมื่อมองลงมาแล้วเห็นว่าลูกชายยังจมปรักกับเรื่องการแก้แค้นโดยที่ใช้ชีวิตอมทุกข์ไร้ซึ่งความสุขในชีวิต ซูเสวียนจินเจ้าเพิ่งจะอายุสิบห้าก็ละทิ้งความสนุกสนานของวัยเยาว์ไปเสียแล้ว ไม่คิดว่ามันน่าเสียดายเหรอ?”
         
          “ข้าไม่เสียดายหรอก”
         
          ตงฮั่วตอบกลับทันควัน จิตใจเขาอยู่กับการแก้แค้นจนไม่คิดถึงอย่างอื่น ชีวิตและความสนุกสนานในวัยเยาว์อะไรกัน ในเมื่อสักวันเด็กน้อยก็ย่อมต้องโตขึ้นตามปกติแท้ ๆ เข้าสู่โลกของผู้ใหญ่ไวขึ้นกว่านี้อีกสักนิดจะเป็นอะไรไป
         
          “งั้นเอาใหม่ เจ้าลองในมุมที่กลับกันดูสิ ในตอนนี้เจ้ายังไม่มีบุตรคงไม่เข้าใจ แต่หากเป็นว่าวันหนึ่งเจ้าถูกใครสักคนสังหาร แล้วแม่นางซุนปฏิญาณตนเองว่าจะต้องล้างแค้นแทนเจ้าให้ได้ หากไม่ได้ชีวิตไม่ขอมีความสุขอีกล่ะ เจ้าเองก็จะดีใจที่นางเทียวออกตามหาคน ๆ นั้น นำตัวเองเข้าไปเสี่ยงอันตรายเพื่อแก้แค้นให้สำเร็จ หากไม่สำเร็จจะไม่มีความสุขไปจนแก่เฒ่า เจ้าอยากเห็นนางเป็นเช่นนั้นอย่างนั้นหรือ”
         
          ตัวอย่างที่ต้าซิ่นยกมาทำเอาตงฮั่วจุกจนพูดไม่ออก เด็กหนุ่มไม่เคยคิดในมุมนั้นมาก่อนเลยสักครั้ง เขารู้เพียงแค่ว่าพวกโจรผ้าเหลืองจะต้องถูกกำจัดให้สิ้นจากแผ่นดินด้วยน้ำมือของตัวเอง โดยไม่เคยมองในมุมของบุคคลรอบข้างเลยแม้แต่น้อย ท่านพ่อจะคิดเช่นไร เฟินเยว่จะคิดเช่นไร พี่จือกงจะคิดเช่นไร อาจเหมือนหรือแตกต่างคงตัดสินได้ยากเพราะขนาดว่าเขายังเพิ่งจะได้ลองมองมุมใหม่นี้หลังจากที่เหลียงต้าซิ่นชี้นำ
         
          “แต่ข้าสาบานไปแล้ว หากไม่ทำตามนั้นจะไม่ผิดคำสัตย์อย่างนั้นหรือ ไม่ว่าท่านพ่อจะรับรู้หรือไม่ แต่ข้าก็รู้สึกผิดต่อใจตัวเองอยู่ดี”
         
          “เรื่องนั้นข้าก็ไม่รู้หรอก แต่ก่อนอื่นเลยเจ้าควรกลับมาสนทนากับแม่นางซุนให้เหมือนเดิมนะ ยังไม่ต้องคิดถึงเรื่องแต่งงานก็ได้หากว่าเจ้าไม่สบายใจ”
         
          “ข้าก็ยังกลัวอยู่ดี หากว่าอยู่กับนางสองต่อสองอีกครั้ง การกระทำของข้าจะเผลอไปล่วงเกินนางเข้าจริง ๆ หรือไม่”
         
          “อย่ามัวแต่กลัวไปเลย เรายังต้องเดินทางด้วยกันไปอีกนาน ลองไปคุยกับนางดูก็รู้ว่าแท้จริงแล้วใจเจ้าคิดเช่นไรกันแน่” บัณฑิตเหลียงส่งกุญแจห้องของซุนเฟินเยว่ยัดใส่มือของเด็กหนุ่ม “ข้าไว้ใจเจ้า คิดว่าเจ้าควบคุมตนเองได้ เอาล่ะ หิวแล้วกินข้าวกันต่อเถอะ จากนั้นก็ไปดูแลแม่นางซุนปรับความเข้าใจกันให้ดี ๆ ล่ะ”
         
          กล่าวจบเหลียงต้าซิ่นก็กลับมานั่งประจำที่แล้วลงมือทานมื้อเช้าบ้าง รู้สึกคิดผิดที่ให้เด็กหนุ่มเป็นคนเลือกรายการอาหารเสียจริงเชียว มื้อเช้าควรทานอาหารง่าย ๆ รสอ่อน ๆ แต่ด้วยความใจลอยของซูตงฮั่วกลับสั่งฮวาเจียวปิ้งย่างมาเสียนี่...
         
.
.
.


[152] ซู ตงฮั่ว [มาร]
มอบ ฮวาเจียวปิ้งย่าง

[NPC ในสังกัด] เหลียง ต้าซิ่น
มอบ ฮวาเจียวปิ้งย่าง
     

←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
พยัคฆ์ตงเทียน
หยกเชื่อมสัมพันธ์
พู่กันเหวิ่นเซ่า
ถุงหอมจูอวี๋
กลยุทธ์เล่ออี้
บทเพลงยิ้มเย้ยยุทธจักร
หน้ากากขาว
เกราะเกล็ดมังกร
ผ้าคลุมไท่หลง
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x40
x32
x1
x439
x500
x73
x500
x26
x498
x500
x10
x2
x9
x1
x400
x1
x1
x5
x28
x8
x591
x228
x228
x500
x2514
x18
x14
x1
x5
x1
x2
x100
x5
x50
x100
x3
x3
x10
x2
x47
x64
x6
x9
x2
x71
x1
x24
x95
x50
x86
x150
x260
x150
x150
x46
x46
x2
x2
x6
x2
x2
x34
x4
x1
x8
x1
x2
x7
x5
x8
x7
x110
x7
x74
x45
x3
x30
x63
x74
x79
x2
x71
x68
x6
x45
x50
x160
x316
x3
x220
x48
x35
x168
x12
x10
x25
x1
x13
x6
x4
x6
โพสต์ 2021-11-5 02:50:03 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Fenyue เมื่อ 2021-11-9 01:04

     
⌜121⌟
     
บทที่ 20
เรื่องวุ่นวายที่ซีเหอ
ฉากที่ 5
            
          หลังจากที่ทานอาหารเช้าเสร็จสิ้นตงฮั่วก็ถือถาดชามข้าวต้มยืนทำใจอยู่หน้าห้องสหายหญิงด้วยถูกไหว้วานให้ไปดูแล ความลำบากใจก่อตัวขึ้นจนสูดลมหายใจได้ไม่ทั่วท้อง ไม่ใช่เพราะว่าไม่อยากจะดูแลเด็กสาวที่ป่วยไข้ ทว่าซูตงฮั่วรู้สึกผิดบาปเหลือเกินจนไม่กล้าสู้หน้า แต่ในเมื่อมาถึงขั้นนี้แล้วเขาก็จำต้องรวบรวมกำลังใจเคาะให้สัญญาณแล้วผลักบานประตูเข้าไป
         
          ภายในห้องพักของสตรีสงบเงียบมีเพียงเสียงของลมหายใจติดขัดพรั่งพรูออกมาเป็นสาย เฟินเยว่ยังไม่ตื่นนอนขึ้นมา ใบหน้าที่หลับไหลซีดจางกว่าปกติ ในยามนี้สิ่งที่ขยับเคลื่อนไหวอยู่ในห้องมีเพียงแค่หมูป่าเปาเปา ตอนแรกมันนอนกกท้องให้เด็กสาวอยู่ แต่พอรู้ว่ามีคนเข้ามามันก็กระโดดผึงลงจากเตียงแล้ววิ่งไปคาบชามอาหารหมูใบอันว่างเปล่าลากมาแทบเท้าตงฮั่ว
         
          “หิวงั้นเหรอ รอแป๊บ”
         
          เด็กหนุ่มวางถาดข้าวต้มลงบนโต๊ะก่อนที่จะเปิดกระเป๋าหาเสบียงอาหารว่าพอจะให้อะไรเป็นอาหารหมูได้บ้าง ก่อนหน้าเขาคิดว่าสัตว์กินพืชเพียงแค่ให้ผักหรือผลไม้มันก็ทานได้หมด แต่กับเจ้าหมูตัวนี้แล้วไม่ใช่ มันเลือกกินมากกว่านั้น อย่างผักที่มีรสขมหรือเหม็นเขียวมากจนเกินไปมันจะไม่ยอมกิน แต่กับผักผลไม้ที่มีรสหวานมันชอบนัก หรืออาหารคนที่ไม่รสจัดจนเกินไปอย่างหมั่นโถวหรือขนมหวานไส้ถั่วมันก็ทานได้
         
          “มีแค่นี้”
         
          ตงฮั่วนำพุทราเชื่อมใส่ถาดให้มันกิน แม้จำนวนไม่มากนักแต่ก็หวังว่าจะพออิ่มท้องไปได้บ้าง…
         
          เสร็จธุระจากหมูก็มาดูคน เด็กหนุ่มเลื่อนเก้าอี้ไปนั่งลงข้างเตียงเกลี่ยเส้นผมที่ปรกอยู่ออกจากใบหน้าของเด็กสาว สีหน้าที่หลับไหลดูทรมาณราวกับว่ากำลังต่อสู้อยู่กับบางสิ่ง ผืนผ้าชุบน้ำที่อังใบหน้าลดอุณหภูมิของร่างกายแห้งสนิทไปแล้วจำต้องชุบน้ำแล้วนำมาวางพาดบนหน้าผากใหม่ ด้วยความเย็นขัดกับอุณหภูมิของร่างกายทำให้ดวงตาสีน้ำค้างอ่อนค่อย ๆ เปิดปรือขึ้นมามองด้วยสายตาง่วงงุน
         
          “ตงฮั่ว..?”
         
          “ขอโทษ.. ทำให้ตื่นหรือเปล่า?”
         
          เด็กหนุ่มชักมือกลับแล้วไขว้ไปด้านหลัง เผลอทำตัวมีพิรุธทั้งที่แท้จริงแล้วไม่มีอะไร คงจะเป็นสัญชาตญาณของคนที่มีชนักติดหลัง ทางด้านเด็กสาวเมื่อตั้งสติมองให้ดี ๆ รู้ตัวว่าสหายกลับมาแล้ว ยังคงใจดีและไม่เมินเฉยต่อนาง ไม่ได้มีท่าทีรังเกียจเหมือนเมื่อก่อนหน้าน้ำตาก็คลอปริ่มอยู่ที่หางตาแต่ไม่ถึงกับไหลลงมา เฟินเยว่เกลียดตัวเองเหลือเกินที่ช่วงนี้จิตใจหวั่นไหวทำตัวอ่อนแอมากกว่าปกติ ถึงป่วยไข้แต่นางก็ไม่มีสิทธิ์จะมางอแงร้องขอให้เห็นใจหรอก ริมฝีปากเผยอยิ้มแล้วยันตัวขึ้นนั่งทำราวกับว่าตนเองไม่ได้รู้สึกอะไร
         
          “ไม่เลยเจ้าค่ะ ตอนนี้กี่โมงกี่ยามแล้วหรือเจ้าคะ” ผ้าบนหน้าผากร่วงหล่นลงกับตักจึงหยิบจับนำมาซับที่ต้นคอเอาไว้แทน ดวงตาของสาวน้อยทอดมองออกไปนอกหน้าต่าง ตะวันขึ้นเสียจนสว่างไสวเช่นนี้คงจะสายโด่งมากแล้วทีเดียวเชียว “จริงสิ ต้องทำบ๊วยดองส่งให้เถ้าแก่หวังนี่นา”
         
          “ป่วยขนาดนี้ยังจะคิดถึงแต่เรื่องงานอีก”
         
          ถูกเด็กหนุ่มดุไปแต่แม้เขาจะหน้าดุสักเพียงไหนก็จับได้ถึงความรู้สึกห่วงหาอาทรที่มีต่อกันได้อยู่เสมอ แตกต่างจากตงฮั่วเมื่อวันก่อนที่ทำตัวเย็นชาและเมินเฉยเหมือนกับคนไม่รู้จักกันโดยสิ้นเชิง สิ่งที่ตอบกลับไปได้จึงมีเพียงแค่รอยยิ้มแหย ๆ ดังเช่นทุกครั้ง
         
          “ขอโทษเจ้าค่ะ แต่ว่ารับงานมาแล้วก็อยากจะทำให้สำเร็จนี่เจ้าคะ”
         
          “คนป่วยก็พักไป ข้าเป็นสหายเจ้า เจ้าไหว้วานงานให้ข้าทำแทนได้” นัยน์ตาพยัคฆ์มองสะกดเด็กสาวให้เชื่อฟัง “แต่ก่อนอื่น...” ร่างสูงใหญ่เอี่ยวตัวกลับไปแล้วยกชามข้าวต้มที่เริ่มเย็นลงแต่อุ่นกำลังพอดีมาให้ตรงหน้าของเฟินเยว่ “ต้องกินข้าวเติมพลังเสียก่อน”
         
          เห็นอีกฝ่ายยกชามข้าวต้มมาให้ตรงหน้ามิหนำซ้ำยังตักขึ้นจรดริมฝีปากคล้ายจะป้อนดรุณีน้อยก็หน้าแดงลามไปจนถึงใบหู สายตาประหม่าทำตัวไม่ถูกกลอกดวงตาสลับมองใบหน้าสหายหนุ่มสลับกับช้อนที่จ่อตรงปาก อันที่จริงเด็กสาวไม่ได้ไร้เรี่ยวแรงถึงขนาดจะทานอาหารเองไม่ไหว แต่ในเมื่อคนที่อยู่ในใจทำถึงเพียงนี้ก็คงจะไม่ปฏิเสธ นางอ้าปากแล้วค่อย ๆ ละเลียดทานข้าวต้มรสอ่อนจากช้อนคันนั้น ด้วยความไม่ชินจึงทำหกแล้วย้อยลงปลายคางจนต้องนำมือมารองไว้
         
          บุรุษไม่ได้ต่อว่าอันใด เขาหาผ้าสะอาดมาให้แล้วซับใบหน้าของคนที่กินหกเลอะเทอะ ซึ่งผ้าที่หยิบหามาเป็นผ้าโพกศีรษะของเด็กสาวที่ถอดทิ้งเอาไว้นั่นเอง แม้จะรู้สึกซาบซึ้งใจแต่เด็กสาวก็อดที่จะกลั้วขำแก้เขินแทนไม่ได้
         
          “ตงฮั่วดูแลข้าดีเกินไปแล้วเจ้าค่ะ จริง ๆ แล้วข้าทานเองก็ได้...”
         
          “ไม่ได้มากเกินไปหรอก ตอนข้าบาดเจ็บเจ้าก็ดูแลข้าแบบนี้เช่นกันไม่ใช่รึ?”
         
          เด็กหนุ่มถามกลับแล้วป้อนข้าวต้มให้ใหม่เป็นคำต่อไป อย่างไรก็ดูเหมือนว่าบุรุษตรงหน้าจะดื้อดึงเสียให้ได้คงมีแต่ต้องยอมโอนอ่อนผ่อนตาม จริงอยู่ที่ว่านางเคยพยาบาลอีกฝ่ายอย่างใกล้ชิด แต่ก็ไม่เคยคิดหวังสูงว่าเขาจะมาทำดีตอบ ความอ่อนโยนที่ไม่สมหน้าตาของคนตัวใหญ่ร่างกายเต็มไปด้วยรอยบาดแผลทำให้สาวน้อยใจเต้นไม่เป็นส่ำ
         
          “ขอบคุณมากนะเจ้าคะตงฮั่ว”
         
          เมื่อได้กลับมาสนทนากันมากขึ้นท่าทีของทั้งคู่ก็ผ่อนคลายลงแล้วสนิทสนมกันดังเดิม ข้าวต้มหมูถูกป้อนเข้าปากคำแล้วคำเล่าจนหมดถ้วย หากผู้ป่วยทานอาหารได้ดีขนาดนี้แปลว่าอาหารเจ็บป่วยคงทุเลาลงไปได้ในไม่ช้า
         
          “แล้วอาการของเจ้าเป็นไงบ้าง?”
         
          คำถามที่ออกจากปากเป็นสิ่งที่ผู้ถูกถามไม่อยากตอบ เฟินเยว่เกรงใจสหายเป็นอย่างมากหากให้เขาได้รับรู้ถึงอาการเจ็บป่วยของตนเอง เด็กสาวจึงเลือกที่จะตอบออกไปอย่างเลี่ยง ๆ
         
          “ดีขึ้นมากแล้วเจ้าค่ะ บ่ายนี้ก็คงจะลุกขึ้นมาทำอะไรต่อมิอะไรได้แล้ว”
         
          ทว่าคำตอบที่ได้รับกลับทำให้หัวคิ้วพยัคฆ์ขมวดขึง แม้ว่าเด็กสาวจะทานอาหารได้แต่ก็ยังไม่หายจากอาการซีดเซียว
         
          “ไม่เห็นจะดูเป็นอย่างนั้น” ตงฮั่วถอนหายใจออกมาแรง ๆ แล้วคุยเปิดอกกับสหายสาวไปตรง ๆ “เรื่องพี่ชายคนโตของเจ้าข้ารู้หมดแล้วนะ พวกเราเดินทางด้วยกันเหมือนเป็นคู่หู มีอะไรก็ต้องบอกกัน พูดตรง ๆ ข้าไม่ค่อยพอใจเท่าไรที่ถูกปิดบัง เหมือนว่าไม่รู้อะไรเลยอยู่แค่คนเดียว”
         
          ได้ยินคำตัดพ้อต่อว่าเข้าไปเด็กสาวก็ใจแป้วขึ้นมาทันที เฟินเยว่ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายไปทราบเรื่องนั้นมาจากไหนเพราะว่าตัวเองปิดปากเงียบไม่เคยได้บอกให้ใครได้รับรู้นอกเสียจากเถ้าแก่หวังทู่ แต่คงไม่ใช่เถ้าแก่หวังนำความมาบอก คงจะมีแต่ตัวนางเองที่เผลอละเมอพูดออกมายามไม่ได้สติ หรืออาจจะเป็นคืนวันนั้นในงานเลี้ยงที่ไม่รู้สึกตัว รู้แค่ว่านางดื่มไปหนักอย่างที่ไม่เคยเป็นแล้วมีใครสักคนดูแลพาไปส่งห้อง ซึ่งนั้นเป็นตงฮั่วอย่างไม่ต้องสงสัย
         
          ‘หรือว่าเขาจะโกรธเพราะเรื่องนี้ก็เลยเมินเฉยใส่’
         
          เด็กสาวเข้าใจอย่างถ่องแท้แล้วว่าสุดท้ายความคิดมากเกินไปของนางกลายเป็นทำให้อีกฝ่ายไม่พอใจขึ้นมา หลังจากที่ได้เรียนรู้ซึ่งกันและกันแล้วเฟินเยว่ก็ยินดีที่จะปรับปรุงตัว
         
          “บัณฑิตเหลียงบอกข้าว่า การที่เจ้าป่วยมันเป็นเพราะข้า… เพราะว่าข้าเจ้าจึงร้องไห้จนเป็นลม ในส่วนนี้ตัวข้าเองก็ต้องรับผิดชอบ”
         
          “อะ..” มือเรียวยกขึ้นลูบแก้ม หางคิ้วใบหลิวลู่ตก ความงอแงของนางในวันนั้นดูท่าจะทำให้ใครหลายคนต้องเดือดร้อน เฟินเยว่ไม่อยากให้คนตรงหน้ารู้สึกผิดในใจเอาเสียเลย ในเมื่อเขาให้กล่าวมาตรง ๆ นางก็คงต้องเล่าทุกสิ่งที่อยู่ในใจออกไปด้วยปากของนางเองตอนที่ยังมีสติ “ช่วงนี้อารมณ์ของข้าขึ้น ๆ ลง ๆ เพราะสะเทือนใจเรื่องของท่านพี่ด้วยส่วนหนึ่งเจ้าค่ะ ข้าไม่รู้ว่าเล่าอะไรให้ตงฮั่วฟังไปแล้วบ้าง หากจะขอเล่าใหม่ตั้งแต่ต้นจะยินดีรับฟังหรือไม่เจ้าคะ”
          “ก็ต้องยินดีอยู่แล้วสิ”

          ในเมื่ออีกฝ่ายยินยอมเด็กสาวจึงเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ฟังอีกครั้ง
         
          “ตอนที่ข้าไปส่งกล่องข้าวให้คุณชายเฉาเมิ่งเต๋อที่ประตูเมืองลั่วหยางจึงได้สนทนากับคุณชายเฉาเรื่องทางบ้านไปเล็กน้อย ไม่คิดเลยว่าเรื่องราวที่ข้าเล่าให้ฟังจะไปเข้าหูของทหารรักษาการณ์ท่านหนึ่ง เมื่อข้าขอตัวแยกย้ายกลับเขาเข้ามมาทักข้าเอาไว้แล้วบอกว่าเคยเป็นสหายของพี่ชายเจ้าค่ะ ราว ๆ สี่ปีก่อนเขาและท่านพี่ครั้งหนึ่งเคยอาสาเข้าร่วมรบกับกองทหารที่ด่านซันไห่เพื่อป้องกันชาวนอกด่านรุกราน ทว่าผู้ที่รอดชีวิตมีเพียงแค่สหายของพี่ชายกับคนอีกหยิบมือ ข้าก็ไม่ทราบเช่นกันเจ้าค่ะว่าทำไมถึงไม่ได้รับจดหมาย การส่งข่าวผิดพลาดหรือว่าทางบ้านปกปิดไม่ให้รับทราบก็ไม่รู้”
         
          เฟินเยว่กลั้นใจเล่าทั้งหมดออกไปในคราเดียว พอได้ระบายความในใจออกมาตรง ๆ กับสหายที่ไว้ใจได้เช่นนี้แล้วกลับรู้สึกโล่งอกมากขึ้นทวีคูณแตกต่างกับยามที่เก็บความเศร้าหมองเอาไว้ภายในใจคนเดียวเสียลิบลับ
         
          “ข้าเสียใจด้วยนะกับเรื่องนั้น”
         
          “ขอบพระคุณเจ้าค่ะ มาคิด ๆ ดูแล้ว พอนึกถึงเรื่องที่ข้าไม่ได้รับข่าวของพี่ชายในตอนนั้นก็รู้สึกน้อยใจทางบ้านอยู่ไม่น้อย แต่ก็ยังคิดปิดบังตงฮั่วอีก ข้าขอโทษนะเจ้าคะ ที่เผลอทำให้ไม่พอใจ ข้าคิดน้อยเกินไปเองเจ้าค่ะ”
         
          เฟินเยว่ค้อมศีรษะลงขอโทษเด็กหนุ่มอย่างจริงจัง ด้วยท่าทางนั้นทำเอาตงฮั่วหน้าเหวอไปเล็กน้อยพลางคิดว่าเขาดุนางจนเกินไปหรือเปล่า การจะปล่อยให้เด็กสาวคิดโทษตัวเองมันก็ไม่ยุติธรรมสำหรับนางเลย เพราะสิ่งที่ทำให้การวางตัวของเขาแปลกไปสาเหตุมันเกิดขึ้นมาจากอีกเรื่องหนึ่ง แม้จะยากลำบากที่สารภาพผิดทว่าเป็นลูกผู้ชายก็ควรจะต้องยอมรับในสิ่งที่ตนทำ
         
          “อันที่จริงข้าก็มีเรื่องที่จะต้องสารภาพกับเจ้าเหมือนกัน แล้วเราก็ควรจะคุยกันให้รู้เรื่องในวันนี้”
         
          “เจ้าคะ?”
         
          เด็กสาวเงยหน้าพร้อมปริบตาถาม คนตรงไปตรงมาอย่างตงฮั่วมีเรื่องใดที่ปิดบังนางด้วยอย่างนั้นหรือ? ก่อนเปิดปากพูด ท่าทีของสหายหนุ่มดูซ่อนความลังเลและอึกอักอยู่ไม่น้อย หัวคิ้วเสือพาดกลอนขมวดมุ่นเข้าหากันใบหน้าเคร่งเครียดเต็มไปด้วยความรู้สึกอันหลากหลาย ตงฮั่วหายใจไม่ทั่วท้อง การสารภาพของเขาอาจจะเปลี่ยนความสัมพันธ์อันดีให้แย่ลงไปตลอดกาล
         
          “บางทีข้าอาจคิดกับเจ้า… ไม่ใช่แค่สหาย แต่เป็นอะไรที่มากกว่านั้น ข้าไม่เคยรู้สึกเช่นนี้กับผู้ใดมาก่อนแต่ก็ยังไม่แน่ใจว่ามันคืออะไรกันแน่” ริมฝีปากของบุรุษเม้มเข้าหากันอย่างแน่นหนา “ยามอยู่ด้วยกันสองต่อสอง ยามเมื่อเจ้าขาดสติ ข้าเองก็หวั่นใจกลัวตัวเองเหลือเกินว่าเผลอทำเรื่องชั่วช้าลงไปจึงตัดสินใจออกห่างแต่ก็มารู้ว่าคิดผิด ขอโทษด้วยที่ทำให้เจ้าต้องเสียใจ”
         
          เมื่อได้ฟังประกอบกับสังเกตท่าทีกระวนกระวายใจของเด็กหนุ่มภายในอกของเด็กสาวก็เกิดความรู้สึกอันหลากหลายขึ้นไม่แพ้กัน นางไม่คิดเลยว่าอีกฝ่ายจะมีใจตอบกลับแถมยังทำตัวน่ารักน่าเอ็นดูเสียขนาดนั้น จากที่แอบปลื้มอยู่ในใจความรู้สึกนั้นก็มากขึ้นยิ่งกว่าเดิม และยอมรับในน้ำใจของบุรุษที่กล้าสารภาพออกมาตามตรงกับอกุศลที่ก่อเกิดขึ้นในจิตใจ ไม่รู้ด้วยว่าอาศัยอยู่กับพี่ชายหรือไม่จึงพอจะรู้ใจบุรุษว่าไม่ได้ขาวสะอาดไปเสียทั้งหมด หากเป็นผู้อื่นนางอาจจะไม่ยอมรับ ทว่ากับชายผู้มีใจให้เป็นพิเศษเด็กสาวกลับไม่ได้รังเกียจเดียดฉันท์หากว่าเขาจะใจเกเรไปบ้าง
         
          อย่างว่านั่นแหล่ะ คนที่ดีใจว่าได้จูบทางอ้อมกับอีกฝ่ายจะมีหน้าไปโกรธเขาได้อย่างไร เผลอ ๆ แล้วจิตใจของบุรุษอาจจะไร้เดียงสาเสียยิ่งกว่าก็เป็นได้…
         
          “ตงฮั่วอย่าโทษตัวเองเลยนะเจ้าคะ ข้าเข้าใจว่ามัน.. เอ่อ.. เป็นเรื่องธรรมชาติของบุรุษเจ้าค่ะ หากเพียงแค่คิดแต่ไม่ได้ลงมือกระทำจริงก็ไม่น่าจะผิดอะไรนะเจ้าคะ อย่างพี่ชายยังมีหนังสือแปลก ๆ เอาไว้อ่านบำบัดเลยเจ้าค่ะ”
         
          “ตะ.. แต่ว่าที่ข้าจินตนาการมันเป็นข้ากับเจ้านะ! อา…..”
         
          ฝ่ายหนุ่มผู้อ่อนต่อโลกยกมือขึ้นลูบใบหน้าที่ขึ้นสีจัดของตนเอง ไม่รู้ว่าจะรู้สึกอย่างไรดีเลย ยามเมื่อสารภาพพูดตรง ๆ เลยเขาคิดว่าอีกฝ่ายคงจะโกรธแล้วด่าเขาว่าเป็น ‘เจ้าหมาลามก’ อย่างที่บัณฑิตเหลียงปรามาสเอาไว้ แต่ไฉนนางจึงเข้าใจ กลายเป็นว่าเขากลับไม่เข้าใจเสียเอง
         
          เฟินเยว่ได้ยินดังนั้นก็เม้มปาก อยากรู้เหลือเกินว่าจินตนาการที่อีกฝ่ายว่าไปไปถึงขั้นไหนว่าเก็บปากเอาไว้ไม่ถามเสียจะดีกว่า กับคนที่ชอบแม้จะต้องหวงเนื้อหวงตัวตามธรรมเนียม แต่หากเขายังมีจิตที่หวังดีอยู่เพียงนี้และนางเข้าใจถึงเรื่องธรรมชาติของสิ่งมีชีวิตจะไปโกรธเคืองเขาได้อย่างไร
         
          “เอาเป็นว่าหากยังไม่เกินเลยก็ไม่มีอะไรเสียหายหรอกเจ้าค่ะ และอีกอย่างข้าไว้ใจตงฮั่วนะเจ้าคะว่าจะไม่ทำอันตรายใด ๆ ต่อข้า”
         
          มือเล็กของเด็กสาววางซ้อนลงบนหลังมือของบุรุษจนเป็นอีกฝ่ายที่สะดุ้ง เนตรพยัคฆ์ช้อนมองเด็กสาวด้วยอาการประหม่า ท่าทีเขินอายของชายตัวโตนั้นชวนให้จิตใจหวั่นไหวมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม จนอดรนที่จะสารภาพความในใจออกไปไม่ไหวด้วยเช่นกัน
         
          “ความจริงแล้วข้าก็รู้สึกดีกับตงฮั่วมาโดยตลอดนะเจ้าคะ ข้าดีใจเหลือเกินที่ท่านก็มีใจตรงกับข้าเจ้าค่ะ”
         
          เฟินเยว่พรายยิ้มบางอย่างนุ่มละมุน ขยับเอียงใบหน้าเข้าไปมองบุรุษที่นางรักใกล้ ๆ กลายเป็นอีกคนที่เขินอายจนต้องเบี่ยงหน้าหนีไปแทน เรียกเสียงหัวเราะคิกคักออกมาจากคนป่วยได้ดี
         
          “ตงฮั่วในตอนนี้น่ารักจังเลยเจ้าค่ะ”
         
          “อย่ามาล้อเล่นทำตัวเหมือนบุรุษเกี้ยวสตรีไปหน่อยเลยน่า!”
         
          ตงฮั่วทนไม่ไหวเขารีบผุดลุกหนีจากเด็กสาวที่เรียนรู้ทักษะจากพี่ชายมากไปขยับไปนั่งเก้าอี้อีกตัวแล้วหันหลังใส่ซ่อนหัวใจอันสั่นไหวของตัวเอง ไฉนตอนนี้ตนต้องมาเขินอายยิ่งกว่าเด็กสาว ทว่าคนที่ถูกสารภาพรักกลับทำทีเหมือนกับเป็นหมาป่า กับเรื่องรัก ๆ เขาไม่ถนัด ให้ไปกำราบโจรโพกผ้ายังรู้สึกชำนาญกว่ากันเยอะ เด็กหนุ่มรินชาดื่มเข้าหลายอึกกว่าจะปรับอารมณ์ให้ความแดงซ่านทุเลาลงไปจากใบหน้า
         
          “แต่ว่า.. ข้าก็มีเรื่องที่อยากจะขอร้อง”
         
          “อะไรหรือเจ้าคะ?”
            
          เด็กหนุ่มผินใบหน้ากลับคืนมาเล็กน้อยด้วยความที่ยังไม่กล้าสู้หน้ากลับมาสนทนาเต็ม ๆ ตัว และสิ่งที่จะกล่าวออกไปคือความเห็นแก่ตัวของเขาเองล้วน ๆ
         
          “ข้ายังติดค้างเรื่องการล้างแค้นให้ท่านพ่ออยู่ เคยสาบานเอาไว้ว่าหากยังทำไม่สำเร็จจะไม่ขอมีความสุข”
         
          ได้ยินเช่นนั้นสีหน้าของเด็กสาวก็สลดลงเล็กน้อย ไม่ใช่เพราะเรื่องการแก้แค้นมาขัดความสุข ไม่ได้ครองคู่กันก็ไม่ว่า หรือจะให้รออีกกี่สิบปีก็ย่อมได้ ทว่าเฟินเยว่ห่วงใยอีกฝ่ายเสียเหลือเกินกับการล้างแค้นของเขา เด็กสาวไม่อยากสูญเสียคนที่รักไปอีกแล้ว แม้นางไม่เห็นด้วยกับความรุนแรงเป็นทุนเดิมแต่ก็เข้าใจเรื่องที่ตงฮั่วประสบพบมาด้วยเช่นกัน
         
          “ยังไงก็ช่วยรอต่อไปอีกสักหน่อยจะได้ไหม? จนกว่าที่ข้าจะสะสางบัญชีแค้นได้หมด มิเช่นนั้นต่อให้ผ่านไปอีกห้าสิบหกสิบปีก็คงนอนตายตาไม่หลับ เพราะฉะนั้นตอนนี้ก็ช่วยอดทนรอในฐานะสหายไปก่อน”
         
          เนตรน้ำค้างอ่อนสบมองใบหน้าด้านข้างของอีกฝ่ายอย่างจริงจัง ไม่เก็บซ่อนความรู้สึกในดวงตาอีกต่อไป
         
          “ได้สิเจ้าคะ ไม่ว่าจะเมื่อไร จะปีนี้ ปีหน้า อีกสิบ ยี่สิบ หรือสามสิบปีข้าก็จะรอตงฮั่วในฐานะคู่หูของท่านเจ้าค่ะ”
         
          เมื่อได้สารภาพทุกสิ่งที่ติดค้างอยู่ในใจไปจนหมดสิ้นความโล่งอกก็ตามมา แม้ความสัมพันธ์จะไม่ได้คืบหน้าไปเป็นคนรักทว่าทั้งสองต่างรู้ถึงจิตใจของกันและกันเป็นอย่างดีแล้ว ต่อจากนี้ก็หวังแค่ว่าการวางตัวจะไม่ต้องขัดเขินกันอีกต่อไป
         
          “เฮ้อ.. ข้ารู้สึกสบายใจจัง” มือเรียวยกขึ้นลูบอก แม้จะยังมีอาการไข้อยู่บ้างแต่เมื่อกำลังใจล้นเหลือกำลังกายก็เริ่มฟื้นฟูขึ้นมา “เหมือนว่าข้าจะหายแล้วล่ะเจ้าค่ะ แบบนี้ก็ทำงานต่อได้แล้วล่ะ!”
         
          “ไม่ต้องเลย นอนพักซะ!”
         
          พอได้ยินประโยคหลังเข้าไปเด็กหนุ่มก็ปรับสีหน้าแทบไม่ทัน ผุดลุกขึ้นมายกมือดันไหล่กดเด็กสาวให้นอนลงกับเตียง แม้จะไม่ได้สัมผัสเนื้อหนังเข้าจัง ๆ แต่ก็พอจะรู้สึกถึงไอความร้อนที่สูงกว่าปกติ แล้วจึงเอาผ้าเปียกมาแปะอังหน้าผากสหายสาวรู้ใจเอาไว้
         
          “บอกข้ามาก็พอว่าต้องทำยังไงกับงานของเจ้าบ้าง”
         
          เฟินเยว่จึงอธิบายกระบวนการทำบ๊วยดองให้ฟังอย่างละเอียด ทว่าด้วยความพิถีพิถันนั้นเยอะเกินกว่าจะจำได้หมด สุดท้ายนางก็ต้องลุกขึ้นมาเขียนสูตรแล้วยื่นให้ก่อนจะได้ไปนอนพักผ่อนต่อ
         
          “ทำเผื่อเหลือไว้ให้ด้วยนะเจ้าคะข้าอยากทานบ๊วยดองฝีมือตงฮั่วทำเองจัง”
         
          “เอางั้นเหรอ? ก็ได้อยู่หรอก แต่ว่าถ้าไม่อร่อยอย่าว่ากันก็แล้วกัน”
         
          “ต้องอร่อยสิเจ้าคะ จะต้องเป็นบ๊วยดองที่หวานมากแน่ ๆ เลยเจ้าค่ะ ฮี่ฮี่”
         
          คนป่วยคลี่ยิ้มหวานขณะดึงผ้าขึ้นมาห่มถึงปลายคาง ท่าทางราวกับว่าเป็นคนรักหนุ่มรอชิมอาหารที่หญิงสาวทำไม่มีผิด เมื่อโดนหยอดเข้าไปเด็กหนุ่มที่อ่อนต่อโลกก็ได้แต่ตบมุกไปด้วยท่าทีอึกอัก
         
          “บ้า! ป่วยแล้วเพ้อเจ้อนะเจ้าน่ะ บ๊วยดองที่ไหนจะหวานกันเล่า ไม่รู้แหล่ะ ข้าไปแล้ว!”
         
          กล่าวจบเขาก็ทิ้งกุญแจห้องนางเอาไว้บนโต๊ะก่อนที่จะจากไปพร้อมกับถุงวัตถุดิบและแผ่นกระดาษจดสูตรวิธีการทำ
         
.
.
.
         

   

ตัวละครหลัก ซุน เฟินเยว่

ลักษณะนิสัยรักสงบ
-10 ลดความเครียด

เอฟเฟคความสัมพันธ์
[152] ซู ตงฮั่ว [มาร]
+10 ความสัมพันธ์ จากการคนธาตุและปีเดียวกัน
+10 ความสัมพันธ์กับขุนนางในสภา (ขยัน)
+15 ความสัมพันธ์กับคนที่คุยด้วย (หูดี)
-10 ความสัมพันธ์กับขุนนางในสภา (ผิวเป็นฝ้ากระ)
+10 ความโหดเมื่อเจอคนหัวมาร

[สัตว์เลี้ยง] เปาเปา มอบ พุทราเชื่อม 10 ชุด



ใช้งาน [152] ซู ตงฮั่ว [มาร]

ลักษณะนิสัยรักสันโดษ
-10 ความสัมพันธ์กับผู้อื่น

อัตลักษณ์แข็งแรง
+5 ความสัมพันธ์กับคนที่ให้ความสนใจ

อัตลักษณ์แผลเป็น
+5 ความสัมพันธ์กับผู้ที่สนใจ

+10 คุณธรรมเมื่อเจอคนหัวดี







←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
พยัคฆ์ตงเทียน
หยกเชื่อมสัมพันธ์
พู่กันเหวิ่นเซ่า
ถุงหอมจูอวี๋
กลยุทธ์เล่ออี้
บทเพลงยิ้มเย้ยยุทธจักร
หน้ากากขาว
เกราะเกล็ดมังกร
ผ้าคลุมไท่หลง
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x40
x32
x1
x439
x500
x73
x500
x26
x498
x500
x10
x2
x9
x1
x400
x1
x1
x5
x28
x8
x591
x228
x228
x500
x2514
x18
x14
x1
x5
x1
x2
x100
x5
x50
x100
x3
x3
x10
x2
x47
x64
x6
x9
x2
x71
x1
x24
x95
x50
x86
x150
x260
x150
x150
x46
x46
x2
x2
x6
x2
x2
x34
x4
x1
x8
x1
x2
x7
x5
x8
x7
x110
x7
x74
x45
x3
x30
x63
x74
x79
x2
x71
x68
x6
x45
x50
x160
x316
x3
x220
x48
x35
x168
x12
x10
x25
x1
x13
x6
x4
x6
โพสต์ 2021-11-5 23:46:57 | ดูโพสต์ทั้งหมด
            
⌜122⌟
      
บทที่ 20
เรื่องวุ่นวายที่ซีเหอ
เควส (1) งานผลิตบ๊วยดองส่งโรงน้ำชาอวี่เซิงเหยา (ประจำสัปดาห์) : ฉากที่ 2

          หลังจากที่ป้อนข้าวแก่ซุนเฟินเยว่เรียบร้อยแล้วเด็กหนุ่มก็หิ้วอุปกรณ์ทำบ๊วยดองเค็มโดยคิดว่าเขาจะทำเองเพียงคนเดียวไม่พึ่งใครเป็นการไถ่โทษ ทว่าเมื่อจะไปขออนุญาตเจ้าของโรงเตี๊ยมคนที่มนุษย์สัมพันธ์ต่ำเตี้ยเรี่ยดินไม่รู้จะเกริ่นขออย่างไรก็ได้แต่เข้าไปยืนจ้องตา ดูเผิน ๆ คล้ายกับว่าจะมาหาเรื่องหรือไม่ก็เก็บค่าคุ้มครอง
         
          “....”
         
          ตงฮั่วหน้าดุอยู่เป็นทุนเดิม ร่างกายก็ใหญ่โตเหมือนนักเลงข้างทาง ไม่ว่าใครที่ถูกจ้องตาก็ต้องมีเสียวสันหลัง เสี่ยวเอ้อห์รวมถึงบุตรชายที่กำลังช่วยงานอยู่หน้าร้านเห็นเขาก็ซุบซิบปรึกษากันว่าจะทำอย่างไรดี ควรจะไปแจ้งมือปราบก่อนที่จะเกิดเรื่องขึ้นดีหรือไม่ บังเอิญว่าบัณฑิตเหลียงนั่งดื่มน้ำชาอ่านตำราอยู่ด้านล่างนี้พอดีเผอิญได้ยินเข้าจึงผินใบหน้าหันไปมองดูก็ตกใจ ไม่คิดว่าคนที่มีปัญหาจะเป็นสหายร่วมห้อง บุรุษหน้ามนจึงรีบลุกขึ้นไปแทรกเพื่อทำให้สถานการณ์ตึงเครียดคลี่คลายลง
         
          “ขออภัยด้วย มีอะไรกันหรือเปล่า? คุณชายซูเจ้ากำลังจะทำอะไรน่ะ คนในร้านแตกตื่นกันหมดแล้วนะรู้ไหม?”
         
          “งั้นเหรอ?” ทว่าตงฮั่วตอบกลับอย่างไม่แยแส “ข้าก็แค่กำลังคิดอยู่ว่าควรต้องพูดขออนุญาตยืมครัวทำบ๊วยดองยังไงก็แค่นั้น” พูดจบเขาก็ชูถุงอุปกรณ์และกระดาษสูตรที่ได้รับมาให้ได้ดู
         
          “ปัดโธ่เอ๊ย เจ้าก็แค่ถามไปอย่างไรเล่า จะไปยืนจ้องตาท่านเถ้าแก่เฉย ๆ ทำไม!”
         
          เหลียงต้าซิ่นกุมหน้า รู้สึกอยากจะบ้าตายที่กับเรื่องแค่นี้ก็ยังต้องให้สั่งสอน ซูเสวียนจินเป็นเด็กที่โตแต่ตัวเสียจริง ๆ ชักสงสัยแล้วว่าถูกลิงป่าเลี้ยงเลี้ยงดูมาหรืออย่างไรถึงได้ไม่รู้จักวิธีการเข้าสังคมมนุษย์ เขาส่งสัญญาณทางสายตาให้เด็กหนุ่มดูว่า ‘นี่ ดูข้าเป็นตัวอย่าง!’ ชายหนุ่มปรับสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสเอ่ยบทสนทนาทักทายกับเถ้าแก่เซียวด้วยความเป็นมิตร
         
          “ต้องขออภัยแทนน้องชายข้าด้วยขอรับ ถึงจะตัวสูงใหญ่ทว่าจิตใจเขายังเป็นเด็ก ที่เสียมารยาทไปได้โปรดอย่าถือสา ข้าเหลียงต้าซิ่นขอรับ เป็นลูกข้าที่พักอยู่ห้องด้านในสุดริมทางเดินปีกซ้าย ข้ากับสหายรับงานมาให้ทำบ๊วยดองเค็มแต่ไม่มีสถานที่ประกอบอาหาร ถ้าอย่างไรพวกข้าขอยืมครัวจากโรงเตี๊ยมได้หรือไม่ขอรับ จะคิดค่าใช้จ่ายก็ได้ หรือหากอยากขอแบ่งบ๊วยดองที่ทำมาพวกข้าก็ยินดีขอรับ”
         
          “....” เถ้าแก่เซียวนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง สีหน้าอันเคร่งขรึมของเขายังคงไม่เปลี่ยน ดูแลเป็นเถ้าแก่ร้านที่พูดคุยด้วยยากพอ ๆ กับคนที่เอาแต่ยืนจ้องตาคล้ายกับว่าคุยภาษาเดียวกับพ่อหนุ่มตัวใหญ่คนข้าง ๆ มากกว่าภาษาบัณฑิตของตนเอง ผ่านไปเกือบนาทีเถ้าแก่เซียวถึงได้ตอบรับ “ตามสบายขอรับ...” เถ้าแก่ผายมือออกไปด้านหลังโดยไม่พูดจาอธิบายไปมากกว่านั้น
         
          “ขอบพระคุณมากขอรับ”
         
          ต้าซิ่นค้อมศีรษะลงคำนับพร้อมกับโปรยรอยยิ้มอย่างเป็นมิตรให้แก่เถ้าแก่เซียวแม้สีหน้าของเขาจะไม่เปลี่ยน สายตาหันไปสบบอกเด็กหนุ่มว่า ‘เป็นอย่างไร เห็นตัวอย่างแล้วหรือยัง’ ทว่าตงฮั่วที่ยืนอยู่ข้างกันกลับเอาแต่ก้มหน้าก้มตาอ่านสูตรวิธีการทำราวกับจะนำไปสอบปฏิบัติ
         
          “ต้องนำขั้วบ๊วยออกให้หมดไม่อย่างนั้นจะเกิดเชื้อรา...”
         
          เสียงพึมพำแม้จะเบาทว่าได้ยินชัดทำเอาบัณฑิตกัดฟันกรอด ต่อให้เริ่มสนิทกันแค่ไหนแต่เขาก็ถูกเจ้าเด็กไม่สนโลกเมินเข้าอีกแล้ว
         
          “มานี่เลยนะ!”
         
          ชายหนุ่มดึงแขนเด็กคิ้วเสือไปหลังร้าน คนไม่ทันได้ตั้งตัวก็ได้แต่งงและเดินตาม เหมือนจะถูกโกรธเข้าเสียแล้ว แต่ว่าแล้วมันยังไงกันล่ะ? สุดท้ายตงฮั่วก็ไม่ได้สนใจอาการของบัณฑิตอยู่ดี
         
          บุรุษชุดเขียวหน้าง้ำปากแทบจะเชิดขึ้นไปถึงจมูก เขาเดินลากแขนตงฮั่วไปถึงหลังร้านและเมื่อมาถึงก็เห็นเถ้าแก่เนี้ยกำลังสาละวนทำครัว แม้จะอยู่ในอาการหัวเสียจากเจ้าเด็กตัวใหญ่ทว่าต้าซิ่นก็จำต้องปั้นหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสทักทายเถ้าแก่เนี้ยอย่างสุภาพนอบน้อม
         
          “สวัสดีขอรับ ขอยืมใช้ห้องครัวหน่อยนะขอรับ ข้าขออนุญาตเถ้าแก่มาแล้ว ขอเพียงแค่พื้นที่เล็กน้อยในการทำบ๊วยดองเท่านั้นขอรับ”
         
          “เชิญเลยเจ้าค่ะ ตามสบายเลยนะเจ้าคะ หากขาดเหลืออะไรแจ้งข้าได้เลยเจ้าค่ะ”
         
          เถ้าแก่เนี้ยยิ้มตอบอย่างใจดี นางโกยอุปกรณ์ที่ต้องรีบใช้ออกเพื่อให้อีกฝั่งได้มีพื้นที่ใช้สอย
         
          “ขอบคุณขอรับ”
         
          บัณฑิตเหลียงลอบถอนหายใจ เจอคนที่คุยกันง่ายแบบนี้ค่อยใจชื้นขึ้นมาหน่อยตอนแรกนึกว่าคนซีเหอจะมีแต่พวกไม่สนโลกเสียแล้ว
         
          “เอาล่ะ ท่องมาเสียดิบดีไหนบอกมาสิว่าต้องทำอย่างไรบ้าง?”
           
          ชายหนุ่มเอ่ยถามขณะที่กำลังพับแขนเสื้อรุ่มร่ามให้ทำงานได้ถนัดขึ้น ท่อนแขนของบัณฑิตนวลเนียนไร้กล้ามเนื้อเสียยิ่งกว่าสาวใช้คนครัว ผิวก็ขาวเสียจนเห็นเส้นเลือด หากไม่สังเกตลูกกระเดือกที่ลำคอคงไม่มั่นใจว่าคนผู้นี้คือบุรุษหาใช่สตรี จากนั้นก็จับเรือนผมเหยียดตรงยาวขึ้นมวยขึ้นแล้วปักด้วยปิ่นของสตรีที่ซื้อมาจากเหอไน่เมื่อคราวก่อน
         
          คนที่นอนห้องเดียวกันมาร่วมเดือนไม่ได้สนใจอากัปกิริยานั้นเพราะว่าชินตา เด็กหนุ่มไม่เคยไถ่ถามเรื่องปิ่นปักผมสตรีที่อีกฝ่ายใช้อยู่ พลางคิดไปเองว่าอาจจะเป็นของคนรักที่ให้ไว้ดูต่างหน้า ถึงเขาจะไม่เชี่ยวชาญเรื่องนั้นแต่ธรรมเนียมเล็กน้อยก็พอจะทราบอยู่บ้าง ซึ่งตนก็ไม่ได้สนใจเรื่องของชาวบ้านอยู่แล้วจึงไม่ซักถามเรื่องส่วนตัวแล้วกลับมาจดจ่อกับงานที่ต้องทำ เรียวคิ้วพยัคฆ์ขมวดมุ่นเข้าหากัน ตอนแรกเขาตั้งใจว่าจะทำบ๊วยดองเค็มตามลำพังทว่ากลับมีคนยื่นมือเข้ามาสอดเสียอย่างนั้น
         
          “ข้าจะทำเอง”
         
          “บ๊วยตั้งเยอะขนาดนี้ เจ้าทำคนเดียวไม่ไหวหรอก”
         
          ว่าแล้วมือเรียวบางก็ฉกเอากระดาษสูตรออกไปอ่านคร่าว ๆ แม้จะเป็นบัณฑิตผู้ทรงความรู้ทว่าเหลียงต้าซิ่นก็ไม่เคยรู้งานครัวมาก่อน จะทราบก็เพียงแค่พืชผลต่าง ๆ มีสรรพคุณทางยาหรือสารอาหารอะไรบ้าง นี่จึงเป็นเรื่องใหม่ที่เขาต้องเรียนรู้
         
          “ล้างผลบ๊วยให้สะอาด จากนั้นแช่น้ำทิ้งเอาไว้หนึ่งถึงสองชั่วยามเพื่อไม่ให้มีรสฝาด แต่ห้ามแช่นานกว่านั้นมิฉะนั้นรสของบ๊วยจะเจือจางจนไม่อร่อย จากนั้นนำมาผึ่งลมให้แห้งสนิทเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเชื้อรา... เช่นนั้นครึ่งเช้าของวันก็ทำได้เพียงแค่นี้สินะ”
         
          แม้จะดูไม่ต้องทำอะไรมากทว่าการจะล้างผลบ๊วยทั้งหมดหนึ่งพันลูกก็ไม่ใช่ระยะเวลาเพียงเล็กน้อย เผลอ ๆ จะมากกว่านั้นเผื่อผลบ๊วยเสียเป็นรูจนนำมาดองเค็มไม่ได้
         
          “หลังจากผึ่งให้แห้งแล้วก็นำมาคัดขั้วออกสินะ โอ้โห ไม่ใช่น้อย ๆ เลยนะเนี่ยกว่าจะเสร็จมีหวังคงใช้เวลาถึงสองวันเสียกระมัง แล้วเช่นนี้ยังคิดจะดื้อทำคนเดียวอยู่อีกรึ?”
         
          บัณฑิตหนุ่มส่งรายการสูตรทำบ๊วยดองเค็มให้แก่เด็กหนุ่ม คนรับคืนไปได้แต่เดาะลิ้นจิ๊จ๊ะอย่างขัดใจ แต่เมื่อมาคิดอีกทีก็จริงอย่างที่บัณฑิตว่า อ่านแค่ข้อความดูเหมือนไม่มีอะไรมาก ทว่าเมื่อคำนวนระยะเวลาและปริมาณผลผลิตแล้วไม่มีทางเลยที่จะทำคนเดียวเสร็จภายในสองวัน
         
          ‘ตอนนั้นเยว่เอ๋อร์ทำคนเดียวไปได้ยังไงนะ?’
         
          คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันอย่างใช้ความคิด ช่วงเวลาทำบ๊วยดองครั้งก่อนตรงกับงานบุญที่วัดไป๋หม่าพอดี ตอนนั้นนางทั้งต้องทำอาหารกล่องสำหรับพระสงฆ์ทั้งเก้ารูปและยังต้องทำบ๊วยดองอีก เขารู้ว่านางใช้เวลาอยู่สองสามวันในการทำสิ่งนั้นด้วยตัวคนเดียว
         
          ‘ถ้ารู้แบบนั้นตอนนั้นน่าจะช่วย...’
         
          แต่ก็สายเกินไป เรื่องราวผ่านมาได้ราวสองเดือน จะไปคิดถึงอดีตก็มีแต่เสียเวลาทำสิ่งที่กำลังจะมาถึงในอนาคต สู้ตั้งใจล้างบ๊วยตรงหน้าให้เสร็จอย่างรวดเร็วจะดีกว่า
         
          สายน้ำของปลายสารทฤดูอุณภูมิลดต่ำลงไม่แพ้กับหน้าหนาว ยิ่งเพิ่มอุปสรรคต่อการล้างผลบ๊วยมากขึ้น ล้างน้ำให้สะอาดไปได้ไม่เท่าไรก็จำต้องยกมือขึ้นมาพักแก้ความชา อันที่จริงไม่ต้องลำบากขัดสีฉวีวรรณไปเสียทุกลูกทว่าตงฮั่วตั้งใจทำเช่นนั้น
         
          “เจ้าจะล้างทีละลูกเลยหรือ แบบนี้เมื่อไรจะเสร็จกันล่ะ”
         
          คนช่วยล่างเอ่ยบ่น ต้าซิ่นแบ่งบ๊วยจำนวนหนึ่งมาล้างจนเสร็จแล้วทว่าซูตงฮั่วยังพิถีพิถันล้างทีละลูกอยู่เลย
         
          “ข้าอยากให้มันสะอาดมากที่สุด”
         
          แม้ถูกทักแต่ท่าทางที่ตั้งใจของเด็กหนุ่มไม่ได้เปลี่ยนแปลงไป เมื่อมองด้วยสายตาของคนนอกก็ดูน่าเอ็นดูดีอยู่หรอกที่คนท่าทางน่ากลัวกลับพิถีพิถันล้างบ๊วยอย่างละเมียดละไม เห็นทีบัณฑิตคงแย้งไม่ได้ เขาได้แต่ไหวไหล่แล้วแบ่งผลบ๊วยที่เหลือมาล้างวางเพิ่มจะได้เสร็จเร็วยิ่งขึ้น กว่าจะล้างบ๊วยทั้งหมดเสร็จก็ลุเข้ายามเว่ย แช่น้ำต่อไปอีกหนึ่งชั่วยามกว่า ๆ เวลาก็ผ่านเข้ายามเซินตะวันใกล้ลับฟ้าเต็มที ดูท่าว่าวันนี้คงเสร็จถึงแค่ผึ่งบ๊วยให้แห้ง
         
          ครั้นจะตากบ๊วยให้แห้งที่ห้องครัวของโรงเตี๊ยมก็มีแต่จะเกะกะการทำครัวของเถ้าแก่เนี้ยเสียเปล่า ๆ บุรุษทั้งสองจึงขอยืมเพียงแค่ถาดแล้วหอบเอาผลบ๊วยนับพันขึ้นไปตากบนห้อง
         
          “ขอบคุณที่ให้ยืมครัวนะขอรับ พรุ่งนี้อาจจะต้องขอรับกวนอีกครั้งหนึ่ง”
         
          “เจ้าค่ะ ตามสบายเลยนะเจ้าคะ”

          ในระหว่างที่รอผลบ๊วยแห้งสนิทก็มีเวลาว่างสำหรับการพักผ่อน ตงฮั่วไม่สนใจว่าบัณฑิตจะทำอะไรแต่หน้าที่อีกอย่างของเขาก็คือสั่งอาหารขึ้นมาให้หญิงสาวที่ป่วยอยู่ เห็นตอนเช้าอาการนางดีขึ้นน่าจะพอทานอาหารรสอ่อนที่ไม่ใช่เพียงแค่ข้าวต้มกับน้ำแกงได้แล้ว ตงฮั่วไม่รู้จะสั่งอะไรทว่ากุ้งผัดชาหลงจิ่งที่เขาโปรดปรานก็ดูเป็นอาหารที่ทานได้ไม่ยาก และน้ำแกงอีกสักอย่างให้ทานได้คล่องคอ เมื่อเลือกรายการอาหารได้แล้วจึงสั่งขึ้นไปทานกันสองคน พร้อมทั้งรายงานเรื่องราวความคืบหน้าของงานในวันนี้...
         
.
.
.
         

   


ใช้งาน [152] ซู ตงฮั่ว [มาร]
มอบ กุ้งผัดชาหลงจิ่ง

ลักษณะนิสัยเที่ยงธรรม
+1 Point ทุกครั้งที่โรลเรียนรู้

อัตลักษณ์คิ้วพยัคฆ์
+10 EXP จากการโรลเพลย์สร้างความหวาดกลัวแก่ผู้อื่นให้เกรงกลัวเรา




ใช้งาน [NPC ในสังกัด] เหลียง ต้าซิ่น
มอบ ชาปี้หลัวชุน

ลักษณะนิสัยหนอนหนังสือ
+4 Point ทุกครั้งที่โรลเรียนรู้
            







←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
พยัคฆ์ตงเทียน
หยกเชื่อมสัมพันธ์
พู่กันเหวิ่นเซ่า
ถุงหอมจูอวี๋
กลยุทธ์เล่ออี้
บทเพลงยิ้มเย้ยยุทธจักร
หน้ากากขาว
เกราะเกล็ดมังกร
ผ้าคลุมไท่หลง
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x40
x32
x1
x439
x500
x73
x500
x26
x498
x500
x10
x2
x9
x1
x400
x1
x1
x5
x28
x8
x591
x228
x228
x500
x2514
x18
x14
x1
x5
x1
x2
x100
x5
x50
x100
x3
x3
x10
x2
x47
x64
x6
x9
x2
x71
x1
x24
x95
x50
x86
x150
x260
x150
x150
x46
x46
x2
x2
x6
x2
x2
x34
x4
x1
x8
x1
x2
x7
x5
x8
x7
x110
x7
x74
x45
x3
x30
x63
x74
x79
x2
x71
x68
x6
x45
x50
x160
x316
x3
x220
x48
x35
x168
x12
x10
x25
x1
x13
x6
x4
x6
โพสต์ 2021-11-6 22:55:35 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Fenyue เมื่อ 2021-11-9 01:05

      
⌜123⌟
      
บทที่ 20
เรื่องวุ่นวายที่ซีเหอ
ฉากที่ 6
เควส (1) งานผลิตบ๊วยดองส่งโรงน้ำชาอวี่เซิงเหยา (ประจำสัปดาห์)

          ตื่นมาแต่เช้าเด็กหนุ่มคิ้วพยัคฆ์ก็ตรงไปที่ถาดบ๊วยที่ผึ่งเอาไว้ก่อนเป็นอันดับแรก ด้วยจำนวนเม็ดบ๊วยที่มากมายกลิ่นหอมจึงอบอวนอยู่ภายในห้อง แม้จะเสียเวลาแต่ทว่าบุรุษอยากจะทำงานนี้ให้เสร็จสิ้นด้วยตนเอง เขาจึงยกถาดบ๊วยที่ตากแห้งแล้วไปทำที่อื่น ข้างโรงเตี๊ยมมีสวนหย่อมเล็ก ๆ และไม่ค่อยมีลูกค้าคนไหนออกไปนั่งรับลมหนาว ตงฮั่วจึงไปขออนุญาตเถ้าแก่ใช้พื้นที่ส่วนนั้นในคัดกรองบ๊วยด้วยการยืนจ้องตา เถ้าแก่เซียวพยักหน้าคล้ายคนขี้เกียจพูดสามารถสนทนากันด้วยใจ ซึ่งแท้จริงแล้วไม่รู้หรอกว่าจะขอใช้สวนหย่อม แต่เห็นเด็กหนุ่มถือถาดบ๊วยมาหาก็คิดว่าจะขอยืมครัว...  
         
          แผ่นกระดาษสูตรถูกกางออกอีกครั้ง ริมฝีปากขยับอ่านรายละเอียดตามที่ลายมือสวยขีดเขียนเอาไว้
         
          “ใช้ไม้จิ้มฟันเขี่ยนำขั้วบ๊วยออกให้หมดไม่อย่างนั้นจะเกิดเชื้อรา ระหว่างนั้นคัดกรองผลบ๊วยเสียออกไปด้วย หากนำมาใช้ดองเค็มอาจจะทำให้บ๊วยทั้งหมดเสียได้”
         
          หัวคิ้วเสือขมวดมุ่นเข้าหากันจนเกิดเป็นร่อง งานนี้ทำไปลวก ๆ คงไม่ได้ เด็กหนุ่มก็ตั้งใจเอาไว้แล้วว่าจะต้องทำทุกอย่าง ๆ ดีที่สุดไม่ให้คนที่เขาทำงานแทนให้ต้องเสียชื่อ ค่อย ๆ นำไม้จิ้มฟันเขี่ยเอาขั้วบ๊วยออกทีละเม็ดพลางคัดแยกบ๊วยเสียออกไป บางลูกมีเพียงแค่ริ้วรอยเล็ก ๆ ไม่น่าจะมีปัญหาแต่ก็จำต้องทิ้งดูไปก็น่าเสียดายที่จะต้องทิ้งจึงนำมาเข้าปากเคี้ยว ทว่าเมื่อเม็ดบ๊วยแตกออกส่งรสขมปนฝาดทำให้เด็กหนุ่มบ้วนทิ้งแทบไม่ทัน
         
          ‘ถุ้ย! รสชาติไม่เห็นเหมือนกับตอนดองแล้วเลย!!’
         
          เห็นทีว่าหากมันเสียก็คงต้องปล่อยให้มันเสียไปอย่างน่าเสียดาย แล้วตั้งใจคัดแยกบ๊วยต่อไปใช้เวลาครู่ใหญ่เกือบชั่วยามกระบวนการนี้จึงเสร็จเรียบร้อย เขาหยิบกระดาษจดมาดูอีกครั้งว่าต้องทำอะไรต่อ
         
          “นำผลบ๊วยที่คัดแยกแล้วไปลวกน้ำร้อน จากนั้นนำไปผึ่งให้แห้ง.. ผึ่งให้แห้งอีกแล้วอย่างนั้นหรือ?”
         
          ส่วนของเมื่อวานเขาผึ่งลมเอาไว้ค้างคืนจึงไม่เสียเวลาแต่จะหากจะต้องผึ่งลมอีกตอนกลางวันเช่นนี้ดูจะเสียเวลามากมิใช่น้อย ทว่าตงฮั่วก็ทำตามสูตรไม่ลัดวิธี คนไม่มีความรู้เช่นเขากลัวว่าหากฝืนแหกคอกไปแล้วผลบ๊วยจะเสียทั้งหมด ไม่รอช้าเขายกเอาถาดบ๊วยเข้าไปในครัวของโรงเตี๊ยม ต้มน้ำร้อนมาหม้อใหญ่แล้วใส่ผลบ๊วยนับพันลงไปลวกครู่หนึ่งก่อนเทน้ำออกแล้ววางผึ่งเอาไว้ ดูเหมือนว่าการผึ่งลมจะไม่ได้ใช้เวลานานเท่าไรสังเกตจากการสังเกตด้วยตาและใช้มือทดสอบด้วยความซน
         
          ‘แบบนี้กินข้าวเสร็จอาจจะแห้งพอดีก็ได้...’
         
          คิดเช่นนั้นแล้วเด็กหนุ่มก็สั่งข้าวทั้งให้ตนเองและสำหรับเด็กสาวที่ป่วยอยู่ รายการอาหารอาจจะตามใจตนเองเสียหน่อยเขาเลือกสั่งไก่ขอทานซึ่งเป็นหนึ่งในจานโปรด น้ำแกงหนึ่งอย่าง และผัดผักอีกหนึ่งอย่าง สั่งให้เสี่ยวเอ้อห์นำไปส่งที่ห้องของซุนเฟินเยว่ ส่วนตัวเขาหยิบเอาถาดบ๊วยไปผึ่งแดดยามสายที่สวนหย่อมจากนั้นจึงไปหาเด็กสาวที่ห้อง ส่วนบัณฑิตที่ร่วมทางมาด้วยเขาไม่ได้ใส่ใจ ขี้เกียจปลุกเหลียงต้าซิ่นขึ้นมาให้โดนบ่น ถึงไม่ได้ใส่ใจฟังแต่พอได้ยินคำบ่นแล้วก็รำคาญหูแทบทุกที อย่างไรเสียบัณฑิตเหลียงก็โตเป็นผู้ใหญ่ยิ่งกว่าเขาและเฟินเยว่ จึงถือว่าโตแล้วไปหาอะไรทานเองได้
         
          เมื่อไปเยี่ยมเยียนอาการของเด็กสาวดูจะดีขึ้นมากสีหน้าก็สดใสยิ่งขึ้นทว่าอาการไข้ยังไม่ได้หายสนิท นางจำต้องพักผ่อนกว่านี้อีกสักนิดตงฮั่วจึงไม่ชวนคุยเรื่องงานมากให้นางอยากฝืนตัวขึ้นมาทำ
         
          หลังรับประทานอาหารเช้าเสร็จเรียบร้อยเด็กหนุ่มก็ลงไปดูที่ถาดบ๊วยอีกครั้ง เวลาผ่านไปสองเค่อผลบ๊วยที่ตากแดดทิ้งไว้ก็แห้งสนิท ตัวผลเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลอ่อน ครั้งแรกตงฮั่วเกิดความกังวลว่าเขาทำอะไรผิดพลาดไปหรือไม่ เขาหยิบสูตรมาอ่านอีกทีเหมือนว่าจะอ่านตกไปหน่อย
         
          “จากนั้นนำไปผึ่งให้แห้ง ผลบ๊วยจะกลายเป็นสีน้ำตาลอ่อน”
         
          เขาถอนหายใจอย่างโล่งอก หากเป็นเช่นนั้นก็ถือว่าไม่มีกระบวนการไหนที่ผิดพลาดไป ในเมื่อผลบ๊วยแห้งแล้วเขาก็ยกถาดเข้าไปในครัว ไม่ได้พูดพร่ำทำเพลงอะไรมากเถ้าแก่เนี้ยก็ดูเหมือนจะรู้ใจจากการที่อยู่กับคนพูดน้อยจนชินชา นางตอบรับอย่างเป็นมิตรเหมือนเมื่อวาน ตงฮั่วก็เพียงแต่ตอบรับไปสั้น ๆ ไม่ให้เสียมารยาทมากนัก
         
          ขั้นตอนต่อไปจะต้องต้มน้ำเกลือ เขาเปิดถุงวัตถุดิบออกมาก็ต้องผงะ เกลือและน้ำตาลหน้าตาเหมือนกันอย่างกับแกะ หากว่าใส่ส่วนผสมผิดล่ะก็แทนจะได้บ๊วยดองเค็มคงจะได้บ๊วยเชื่อมแน่ ๆ ถึงตรงนี้เขานึกถึงคำพูดของเด็กสาวขึ้นมา
         
          ‘จะต้องเป็นบ๊วยดองที่หวานมากแน่ ๆ เลยเจ้าค่ะ ฮี่ฮี่’
         
          หรือสิ่งที่คิดว่าเป็นคำแซวแท้จริงแล้วเป็นคำเตือน? ตงฮั่วใช้ปลายนิ้วจิ้มแตะผลึกสีขาวใสขึ้นมาชิม ถุงด้านซ้ายมีรสเค็ม ถุงด้านขวามีรสหวาน เขาวางถุงทั้งสองอยู่ห่างกันเพื่อไม่ให้เกิดความสับสน จากนั้นก็ลงมือทำน้ำเกลือตามอัตราส่วนที่เด็กสาวเขียนแจ้งไว้ ไม่ลืมใส่น้ำตาลลงไปเล็กน้อยเพื่อให้รสชาติกลมกล่อมตามแบบฉบับ
         
          “ทำความสะอาดขวดโหลด้วยการลวกน้ำเกลือแล้วเช็ดให้แห้ง ใส่บ๊วยลงไปจากนั้นเทน้ำเกลือที่เย็นแล้วลงไปจนท่วมแล้วจึงปิดฝา หากน้ำเกลือตกผลึกไม่ต้องตกใจ หมายความว่ามันเค็มมาก… อืม เข้าใจล่ะ”
         
          ระหว่างที่รอน้ำเกลือเย็นลงเขาก็ทำตามที่กระดาษเขียนบอกทุกขั้นตอน เริ่มจาการนำไหไปลวกน้ำร้อนเป็นการฆ่าเชื้อ จากนั้นใช้ผ้าสะอาดเช็ดจนแห้ง นำผลบ๊วยลงไปวาง จากนั้นก็นำน้ำเกลือที่เย็นลงแล้วราดลงไปปิดฝาจนแน่นสนิท ผลบ๊วยดองเค็มพันลูกถูกแปรสภาพเป็นไหจำนวนสิบไห จากนี้ก็เหลือเพียงแค่นำไปส่งที่โรงน้ำชาจินหยาง ตงฮั่วจำสถานที่ได้อยู่แล้วเพราะเคยไปมา เพื่อไม่ให้เสียเวลาเขาจึงออกเดินทางไปส่งงานในทันที
                    
          แต่กำลังก้าวขาออกจากห้องครัวเขาก็นึกได้ ทุกครั้งที่เฟินเยว่ขอยืมครัวจากที่อื่นนางมักจะมอบของตอบแทนเป็นสินน้ำใจให้แก่เจ้าของสถานที่นั้นอยู่เสมอ เมื่อวันก่อนเขาตกปลากุ้ยฮวามาได้หลายตัวจึงขอมอบปลาเหล่านั้นให้แก่เถ้าแก่เนี้ยโดยไม่ได้ปริปากพูดอะไรนอกจากคำว่า...
         
          “ขอบคุณ”
         
.
.
.
         


ใช้งาน [152] ซู ตงฮั่ว [มาร]
มอบ ไก่ขอทาน

ลักษณะนิสัยเที่ยงธรรม
+1 Point ทุกครั้งที่โรลเรียนรู้
----------------------------------------------
มอบ ปลากุ้ยฮวา 10 ตัว
แก่โรงเตี๊ยมเซียวหรงเป็นสินน้ำใจที่ให้ยืมครัว



←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
พยัคฆ์ตงเทียน
หยกเชื่อมสัมพันธ์
พู่กันเหวิ่นเซ่า
ถุงหอมจูอวี๋
กลยุทธ์เล่ออี้
บทเพลงยิ้มเย้ยยุทธจักร
หน้ากากขาว
เกราะเกล็ดมังกร
ผ้าคลุมไท่หลง
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x40
x32
x1
x439
x500
x73
x500
x26
x498
x500
x10
x2
x9
x1
x400
x1
x1
x5
x28
x8
x591
x228
x228
x500
x2514
x18
x14
x1
x5
x1
x2
x100
x5
x50
x100
x3
x3
x10
x2
x47
x64
x6
x9
x2
x71
x1
x24
x95
x50
x86
x150
x260
x150
x150
x46
x46
x2
x2
x6
x2
x2
x34
x4
x1
x8
x1
x2
x7
x5
x8
x7
x110
x7
x74
x45
x3
x30
x63
x74
x79
x2
x71
x68
x6
x45
x50
x160
x316
x3
x220
x48
x35
x168
x12
x10
x25
x1
x13
x6
x4
x6
โพสต์ 2021-11-8 04:41:33 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Fenyue เมื่อ 2021-11-9 01:10

        
⌜126⌟
      
บทที่ 20
เรื่องวุ่นวายที่ซีเหอ
ฉากที่ 9
        
          บ่ายของวันที่หกที่พำนักอยู่ที่ซีเหอเฟินเยว่อาการดีขึ้นแล้วหลังจากที่ได้นอกพักผ่อนอย่างเต็มอิ่มฟื้นฟูร่างกาย เมื่อสุขภาพกลับมาเป็นปกตินางเริ่มอยู่ไม่สุกอยากหาอะไรทำ เด็กสาวไปเคาะห้องสหายแต่ก็ไม่มีใครอยู่ ลงมาที่ด้านล่างของโรงเตี๊ยมก็ไม่พบกับบัณฑิตที่มักจะนั่งดื่มชาอ่านตำราอยู่ที่เก่า ทว่านางก็พอจะได้ยินเสียงซุบซิบของชาวบ้านที่มาใช้บริการพูดถึงเรื่องการตัดสินคดีความของแม่นางเจิ้งที่ลอบสังหารแม่ทัพชั่วตู่กงจวิน
         
          นางไม่ใช่ชาวซีเหอจึงไม่ได้รู้ชื่อเสียงเรียงนามของแม่ทัพคนนั้นมากเท่าไรจึงไม่อยากจะไปตัดสินว่าอีกฝ่ายชั่วช้าอย่างไร คนตายไม่มีปากจะแก้ตัว เกรงว่าการปักใจเชื่อว่าเขาเป็นคนเลวทั้งที่ไม่ได้รู้จักกันดีพอจะเป็นการปรักปรำเสียเปล่า ๆ ทว่าชาวบ้านร้านตลาดต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ‘สมควรแล้ว’ ก็แสดงว่าแม่ทัพคนนั้นเป็นที่ชังมากกว่าเป็นที่รักใคร่ของประชาชนชาวซีเหอ
         
          คนแรกที่กลับมาโรงเตี๊ยมเซียวหรงคือสหายหนุ่มซูตงฮั่ว เมื่อเขาเห็นนางลงมาด้านล่างก็รีบตรงเข้ามาหาด้วยสีหน้าเป็นห่วงเป็นใย
         
          “ลงมาตากลมข้างล่างทำไม หิวเหรอ? ถ้างั้นสั่งอาหารแล้วขึ้นไปกินข้างบนกัน”
         
          “เปล่าเจ้าค่ะ” เด็กสาวส่ายหน้าพร้อมรอยยิ้มที่หยีจนดวงตาปิด “ตงฮั่วดูแลข้าดีเกินไปแล้ว ตอนนี้ข้าหายดีแล้วเจ้าค่ะ แถมยังแข็งแรงสุด ๆ ไปเลยด้วยเจ้าค่ะ”
         
          ว่าจบสาวน้อยก็ยกแขนทั้งสองข้างขึ้นมาทำท่าเบ่งกล้าม ท่าทางอาจดูน่ารักน่าชังในสายตาคนทั่วไป แต่หากสัมผัสท่อนแขนที่ถูกเนื้อผ้าหนาปกปิดจะรู้ได้ว่ากล้ามแขนนั้นก็แน่นใช่เล่น
         
          “มัวแต่อยู่ในห้องอุดอู้จะตายเจ้าค่ะ ข้าเองก็อยากออกมาสูดอากาศบริสุทธ์บ้างนะเจ้าคะ”
         
          “แน่ใจนะว่าหายดีแล้ว?” เด็กหนุ่มคิ้วพยัคฆ์มองหน้าไม่อยากเชื่อ แต่ก็ห็นด้วยจริง ๆ ว่าตอนที่ต้องนอนอุดอู้อยู่ในโรงหมอหรือโรงเตี๊ยมมันน่าเบื่อ แถมยังรู้สึกร่างกายฝืดเคืองเหมือนมีผังผืดเกาะยึดติดใต้ผิวหนัง ให้ได้ออกกำลังบ้างจะทำให้สดชื่นยิ่งกว่าจึงต้องปล่อยเลยตามเลย “ตามใจ ถ้างั้นกินอะไรกันหน่อยไหมข้าเพิ่งส่งงานแทนเจ้ามายังไม่มีอะไรตกถึงท้อง ตอนนี้หิวมาก ๆ”
         
          “อ๊ะ ตงฮั่วไปส่งงานแทนข้ามาด้วยหรือเจ้าคะ เกรงใจจังเลยเจ้าค่ะ”
         
          “ไม่ต้องเกรงใจหรอก การที่ข้าได้ทำงานด้วยตัวเองก็ถือเป็นประสบการณ์อย่างหนึ่ง ถ้าในอนาคต...จะให้เจ้านำไปหมดทุกเรื่องก็ไม่ได้หรอกนะจริงไหม?”
         
          ความปรารถนาที่อยากจะเป็นผู้นำของบุรุษตรงหน้าเป็นสิ่งที่เฟินเยว่เข้าใจดี พวงแก้มที่เต็มไปด้วยจุดฝ้าขึ้นสีแดงระเรื่อ หากอีกฝ่ายมีความตั้งใจเช่นนั้นนางก็อยากจะสนับสนุนให้เขาเป็นผู้นำครอบครัว แม้ว่าตอนนี้จะเป็นได้แค่สหายก็เถอะ แต่เรื่องในใจต่างคนต่างรู้ดีว่าตอนนี้ทั้งสองก็ไม่ต่างจากคนรักที่อยู่ในช่วงคบหาดูใจกัน
         
          “ถ้าอย่างนั้นครั้งหน้าข้าคงต้องขอรบกวนตงฮั่วด้วยนะเจ้าคะ”
         
          “ไว้ใจได้เลย! เอาล่ะ ฉลองเจ้าหายป่วย อยากกินอะไรบ้างสั่งของโปรดของเจ้ามาได้เลย”
         
          “ของโปรดของข้าหรือเจ้าคะ?”
         
          เด็กสาวปริบตามองคนที่เดินนำไปนั่งโต๊ะที่ว่างก่อนจะตามไปนั่งฝั่งตรงกันข้ามกับเขา จะว่าไปเฟินเยว่ไม่รู้เลยว่าของโปรดของตนเองคืออะไร เพราะไม่ว่านางจะทานอะไรก็รู้สึกชอบแล้วก็อร่อยไปหมด แต่หากถามว่าอยากทานอะไรเป็นพิเศษหรือไม่ แม้ว่าเด็กสาวจะทานบะหมี่ผัดเต้าหู้บ่อยทว่านั่นไม่ใช่อาหารจานโปรดของนาง ที่สั่งบ่อยเพียงเพราะเป็นอาหารจานเดียวที่ราคาประหยัดก็เท่านั้นเอง
         
          “น่าจะไม่มีเป็นพิเศษนะเจ้าคะ ไม่ว่าอะไรข้าก็ชอบไปหมดทุกอย่างเจ้าค่ะ แหะ ๆ”
         
          เฟินเยว่หัวเราะแห้ง ส่วนเด็กหนุ่มที่นั่งอยู่ฝั่งตรงกันข้ามเลิกคิ้วถาม
         
          “ไม่มีเป็นพิเศษเลยเหรอ? สักอย่างนึง”
         
          “นึกไม่ออกเลยเจ้าค่ะ แต่ถ้าอาหารที่อยากทานก็พอมีอยู่...” รสชาติของอาหารประยุกต์ความเป็นต้าฮั่นกับซีอวี้ทำให้นางประทับใจจนอยากจะทานอีก เพียงแต่ว่าโรงเตี๊ยมแห่งนี้ไม่น่าจะมี ทว่าเอาให้ใกล้เคียงที่สุดคงไม่พ้น… “ข้าอยากทานแกงกระต่ายเบญจมาศเจ้าค่ะ”
         
          “แกงไก่เบญจมาศสินะ ถ้างั้นก็เอาตามนั้น”
         
          ตงฮั่วชูมือเรียกเสี่ยวเอ้อห์สั่งอาหาร
         
          “ตงฮั่วก็เลือกที่ชอบมาหนึ่งรายการสิเจ้าคะ”
         
          “ของข้าเหรอ อยากกินหม้อ---” เด็กหนุ่มเอ่ยปากพูดแต่ก็ยั้งปากเอาไว้ เขาอยากทานหม้อไฟมากจริง ๆ นานเท่าใดแล้วที่ไม่ได้ทานอาหารโปรดของตัวเอง ทว่าเขาอยากจะทานหม้อไฟฝีมือของสาวน้อยตรงหน้ามากกว่า “ขนมเชาปิ่ง”
         
          “เอ๋ ตกลงว่าหม้อไฟหรือว่าขนมเชาปิ่งกันแน่เจ้าคะ” เด็กสาวยิ้มล้อด้วยความเอ็นดูสหายหนุ่ม “แต่ว่าขนมเชาปิ่งไม่ใช่กับข้าวนะเจ้าคะ”
         
          “ไม่ได้กินมานานแล้วเลยอยากกินเฉย ๆ ไม่ได้หรือไงเล่า”
         
          “ได้แหล่ะเจ้าค่ะ ถ้าอย่างนั้นแกงกระต่ายเบญจมาศกับขนมเชาปิ่งนะเจ้าคะ”
          เมื่อตกลงรายการอาหารกันได้ก็สั่งทั้งหมดพร้อมข้าวเปล่าแก่เสี่ยวเอ้อห์ ระหว่างที่รออาหารมาส่งเด็กหนุ่มก็นำค่าตอบแทนพร้อมด้วยจดหมายทั้งสองฉบับมาให้
         
          “เถ้าแก่หวังฝากมา บอกว่าพี่ชายเขียนจดหมายมาให้ แล้วก็อีกฉบับจากอันติง”
         
          “จดหมายหรือเจ้าคะ...?”
         
          เด็กสาวตาลุกวาวตื่นเต้นระคนดีใจเมื่อรู้ว่ามีจดหมายส่งมาถึงนาง โดยเฉพาะจดหมายจากท่านพี่เอียนฟง นางจึงเลือกที่จะเปิดจดหมายของพี่ชายอ่านก่อน และเมื่อเปิดจดหมายหยกรูปใบไม้ก็ลื่นไหลตกลงมา โชคดีที่นางคล่องแคล้วว่องไว สมบัติชิ้นนี้จึงไม่ตกกระทบพื้น
         
         
          “....”
         
          เมื่ออ่านจดหมายจบเด็กสาวก็ไร้คำพูด สรุปว่าพี่รองลืมเขียนจดหมายถึงนางมาห้าปี พอได้งานการก็ลืมน้องลืมนุ่ง น่าน้อยใจเสียจริงเชียว แต่เมื่อคิดในแง่ดีหากว่าเขายังอยู่สุขสบายก็ย่อมดีกว่าส่งจดหมายมาหาไม่ได้เพราะว่าตายแล้ว เฟินเยว่ถอนหายใจก่อนจะคลี่ฝ่ามือออกมองหยกที่อยู่บนนั้น
         
          “เฮ้อ.. นี่มันหยกเชื่อมสัมพันธ์ชัด ๆ เลย หยกล้ำค่าเหมาะกับสาวงามอะไรกันเจ้าคะท่านพี่”
         
          เป็นอย่างที่ชาวบ้านทราบกัน หยกเชื่อมสัมพันธ์คือสมบัติล้ำค่าที่มักจะมอบให้อีกฝ่ายเมื่อทำผิดแล้วอยากขอคืนดี อาจจะไม่ผิดตรงที่เป็นหยกล้ำค่าจริง ๆ แต่ไม่ถูกตรงที่ซื้อมาให้นางเพราะอยากให้สาวงามได้พกพา ถึงกระนั้นก็เป็นของขวัญที่ไม่ได้รับมาจากท่านพี่นานแล้ว เด็กสาวผูกมันเอาไว้กับถุงหอมที่แม่นางกู่มอบให้มา
         
          จากนั้นจึงเปิดจดหมายของเถ้าแก่เนี้ยหมีอ่านเป็นฉบับต่อไป
         
         
          “หวาย.. ลืมไปเลยว่าจดหมายจะส่งมาที่ซีเหอ หวังว่าเถ้าแก่เนี้ยจะไม่เป็นห่วงเรามากหรอกนะ”
         
          เด็กสาวขยับริมฝีปากพูดจาพึมพำ เขียนจดหมายบอกเจ้านายเก่าไปว่าเพิ่งเจอโจรมาจากนั้นก็หายไปเป็นเดือน หวังว่าอีกฝ่ายจะไม่คิดว่านางถูกโจรสังหารจนเกิดความอาทรณ์ร้อนใจ แต่นางจะกลับอันติงอยู่แล้ว หากเขียนจดหมายแจ้งตอนนี้เผลอ ๆ ว่าตัวอาจจะไปถึงหลังจากที่จดหมายนำหน้าไปไม่กี่วัน เอาไว้นางค่อยไปรายงานตัวเถ้าแก่เนี้ยหมีด้วยตัวเอง
         
          อ่านจดหมายจบอาหารที่สั่งไว้ก็ถูกนำมาส่ง ไม่เพียงแค่อาหาร บัณฑิตชุดเขียวก็กลับมาที่โรงเตี๊ยมจากการไปธุระข้างนอกพอดี และเมื่อมาถึงเขาก็เริ่มบ่นตงฮั่วก่อนเลย
         
          “เจ้าไปไหนมาตั้งแต่เช้า ตื่นมาก็ไม่เจอเลย”
                    
          ทว่าคนมนุษย์สัมพันธ์ต่ำทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ไม่ตอบคำถาม ทำเป็นทานอาหารไปตามเรื่องตามราว จนอีกฝ่ายได้แต่มองตาขวางแล้วก็ปลงถอนหายใจไปเอง
         
          “คุณชายเหลียงมีอาหารที่อยากจะสั่งเพิ่มหรือไม่เจ้าคะ?”
         
          “ข้ายังไม่หิวเลย ดื่มแค่ชาก็พอ” ว่าจบชายหนุ่มก็รินน้ำชาที่ตั้งประจะโต๊ะดื่มแก้กระหาย “ดูเหมือนว่าวันนี้จะมีการตัดสินคดีใหญ่ที่ซีเหอนะ คุณชายซูเจ้ารู้จักแม่ทัพตู่กับแม่นางเจิ้งหรือไม่”
         
          “ไม่”
         
          หนุ่มซีเหอตอบห้วน ๆ จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะสนใจ
         
          “เอ๋ แต่ว่าตงฮั่วเคยเจอกับแม่นางเจิ้งนะเจ้าคะ คนที่มาอาศัยอยู่ที่ถ้ำต่อจากตงฮั่วน่ะเจ้าค่ะ”
         
          “ใคร? ข้าจำไม่เห็นได้”
         
          คำตอบที่ได้รับทำเอาเด็กสาวยิ้มแห้ง จะว่าไปวันนั้นก็มีแต่นางที่สนทนากับแม่นางเจิ้งหลันเพียงผู้เดียว อีกฝ่ายก็มัวแต่จดจ่ออยู่กับการตกปลา ต่อให้จำไม่ได้ก็ไม่แปลกใจ
         
          “แล้ว.. คำตัดสินว่าอย่างไรบ้างหรือเจ้าคะ?”
         
          “บอกก่อนนะว่าข้าก็ไม่ได้ไปฟังคำตัดสินตรง ๆ ตอนที่ไปกระบวนการทุกอย่างจบสิ้นลงแล้ว ที่ได้ฟังมาก็เพียงแค่จากปากของชาวบ้าน อาจไม่ถูกต้องทั้งหมด” ชายหนุ่มยกชาขึ้นดื่มหนึ่งอึกก่อนเล่าต่อ “นักโทษหญิงเจิ้งหลัน ข้อหาลอบสังหารแม่ทัพตู่กงจวิน สังหารสาวชาวบ้าน ใส่ความขุนนาง และวางยากองทัพ สรุปแล้วเป็นเรื่องจริงอยู่เรื่องเดียวคือสังหารแม่ทัพตู่”
         
          “อะ.. อย่างนั้นเอง ว่าแล้วเชียวว่านางไม่เหมือนคนไม่ดี” คล้ายกับโล่งใจไปได้ส่วนหนึ่ง หากสหายกล่าวว่ามีความจริงเพียงข้อหาเดียวแปลว่าการตัดสินสรุปข้อหาอื่นแล้วว่าเป็นเรื่องโกหก แต่การฆ่าคนย่อมต้องชดใช้ด้วยชีวิต ไม่แน่ว่าผลอาจไม่ต่างจากในตอนแรก “แล้วเป็นอย่างไรต่อหรือเจ้าคะ?”
         
          “ศาลไตร่สวนพบว่าแม่ทัพตู่มีความผิดหลายกระทงทั้งสังหารรังแกผู้บริสุทธิ์ ย่ำยีศักดิ์ศรีของสาวชาวบ้าน หากไม่ถูกแม่นางเจิ้งสังหาร เขาก็ได้รับโทษตายเช่นเดียวกัน”
         
          “ถ้าอย่างนี้แปลว่าอาจจะได้รับลดหย่อนผ่อนโทษหรือเปล่าเจ้าคะ?”
         
          “ใช่แล้ว ดูเหมือนว่าแม่นางเจิ้งจะมีผู้มาช่วยเหลือ จากโทษตายจึงกลายเป็นว่าให้ไปทำงานรับใช้ใครสักคนที่ลั่วหยาง.. เขาว่ากันว่าแบบนั้นนะ ข้าไม่รู้รายละเอียดเท่าไร”
         
          “เช่นนั้นเอง.. แค่นี้ก็โล่งอกแล้วล่ะเจ้าค่ะ”
         
          เฟินเยว่ถอนหายใจออกมาพลางลูบอก รู้แบบนี้จึงค่อยทานอาหารได้สบายใจหน่อย ทว่าแม่นางเจิ้งถูกใครช่วยเหลือไว้แล้วต้องไปทำงานรับใช้ใคร เรื่องส่วนนี้น่าสงสัยจริง ๆ
         
          “เจ้านี่ใจดีกับคนที่ไม่รู้จักจริง ๆ เลยนะ”
         
          “แหม ไม่ถึงกับไม่รู้จักสักหน่อยนี่เจ้าคะ อย่างน้อยก็เคยกล่าวทักทาย” มือเรียวยกขึ้นลูบข้างแก้มพลางยิ้มแหย หากว่านางไม่เคยรู้จักแม่นางคนนั้นจะมีความห่วงใยให้หรือไม่ เฟินเยว่ครุ่นคิดในใจว่าคงไม่ต่าง ต่อให้เป็นคนที่ไม่รู้จักหน้าค่าตากันมาก่อนทว่าตกอยู่ในสถานการณ์ยากลำบากและถูกใส่ความ นางก็คงมีใจอยากช่วยเหลืออยู่ดี “แต่ข้าอาจจะใจดีเกินไปจริง ๆ ก็ได้เจ้าค่ะ”
         
          หลังจากการสนทนาเรื่องคดีความของแม่นางเจิ้ง ทั้งสามก็ปรึกษาหารือเรื่องการเดินทางกลับไปอันติงในวันรุ่งขึ้น เฟินเยว่แจ้งความจำนงว่าก่อนกลับนางอยากจะแวะไปสักการะกราบไหว้สุสานตงฟางก่อนสักครั้งหนึ่ง เพราะไม่รู้ว่าครั้งหน้าจะได้มาเยือนซีเหออีกครั้งคือเมื่อไร
         
.
.
.
         

   

ตัวละครหลัก ซุน เฟินเยว่

ลักษณะนิสัยรักสงบ
-10 ลดความเครียด

เอฟเฟคความสัมพันธ์
[152] ซู ตงฮั่ว [มาร] มอบ ซุปกระต่ายเบญจมาศ
+10 ความสัมพันธ์ จากการคนธาตุและปีเดียวกัน
+10 ความสัมพันธ์กับขุนนางในสภา (ขยัน)
+15 ความสัมพันธ์กับคนที่คุยด้วย (หูดี)
-10 ความสัมพันธ์กับขุนนางในสภา (ผิวเป็นฝ้ากระ)
+10 ความโหดเมื่อเจอคนหัวมาร

[NPC ในสังกัด] เหลียงต้าซิ่น มอบ ชาโม่ลี่ฮวาฉา



ใช้งาน [152] ซู ตงฮั่ว [มาร]

ลักษณะนิสัยรักสันโดษ
-10 ความสัมพันธ์กับผู้อื่น

อัตลักษณ์แข็งแรง
+5 ความสัมพันธ์กับคนที่ให้ความสนใจ

อัตลักษณ์แผลเป็น
+5 ความสัมพันธ์กับผู้ที่สนใจ

+10 คุณธรรมเมื่อเจอคนหัวดี






←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
พยัคฆ์ตงเทียน
หยกเชื่อมสัมพันธ์
พู่กันเหวิ่นเซ่า
ถุงหอมจูอวี๋
กลยุทธ์เล่ออี้
บทเพลงยิ้มเย้ยยุทธจักร
หน้ากากขาว
เกราะเกล็ดมังกร
ผ้าคลุมไท่หลง
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x40
x32
x1
x439
x500
x73
x500
x26
x498
x500
x10
x2
x9
x1
x400
x1
x1
x5
x28
x8
x591
x228
x228
x500
x2514
x18
x14
x1
x5
x1
x2
x100
x5
x50
x100
x3
x3
x10
x2
x47
x64
x6
x9
x2
x71
x1
x24
x95
x50
x86
x150
x260
x150
x150
x46
x46
x2
x2
x6
x2
x2
x34
x4
x1
x8
x1
x2
x7
x5
x8
x7
x110
x7
x74
x45
x3
x30
x63
x74
x79
x2
x71
x68
x6
x45
x50
x160
x316
x3
x220
x48
x35
x168
x12
x10
x25
x1
x13
x6
x4
x6
โพสต์ 2021-11-22 13:21:31 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย ZhaoPei เมื่อ 2021-11-22 13:42

          ตั้งแต่คิดว่าซื้อบ้านเพื่อไม่ต้องอาศัยเข้าโรงเตี๊ยมบ่อยๆ สุดท้ายจ้าวเพ่ยก็อาศัยที่นี่ราวกับบ้านหลังที่สองของนาง อาการคิดไม่ตกจากเหตุการณ์เกิดขึ้นกระทันหันทำเอานางยิ้มไม่ออกหลายวันตั้งแต่ครั้งนั้นจนถึงยามนี้

          หลังจากแปรงขนแมวให้เสี่ยวเฮยเสร็จสรรพอิสตรีเลือกจะแต่งองค์ทรงเครื่องให้ดูงามอย่างที่นางทำมาเสมอ เพื่อที่จะออกจากห้องพักในโรงเตี๊ยมของนาง เจ้าเสี่ยวเฮยได้รับขนมและนมก็ใช่ว่าอยากจะอยู่ในห้องเช่นนี้ตัวคนเดียว มันร้องไปด้วยเมื่อเห็นว่านางจะออกห้อง อุ้งเท้าเล็กไปตะกุยชายชุดของนางหวังว่านางจะอยูากับมันต่ออีกเสียหน่อย แต่เจ้าแมวตัวน้อยก็ถูกอุ้มให้ไปอยุ่บนที่นอนเช่นเดิมจนมันทำให้ละห้อยและล้มตัวนอนลงขณะมองจ้าวเพ่ยปิดประตูและทิ้งมันเอาไว้ตัวเดียว หญิงสาวเดินลงมายังชั้นแรกที่เป็นชั้นรองรับแขก และแน่นอนว่าซุนหยางนั่งรินเหล้าดื่มอยู่ที่นั่นโดยไม่มีท่าทีเดือดร้อนเหมือนนายหญิงของเขาแม้แต่น้อย

          "เจ้าไม่คิดจะไปดูไร่เลยหรือไง.. หากซื้อแล้วมาอยู่แต่ซีเหอเช่นนี้ ใครจะดูแลไร่ของเจ้า จ้างคนงานเอาไว้ก่อนก็ยังดี" ซุนหยางเอ่ยออกมาลอยๆเมื่อเห็นจ้าวเพ่ยมานั่งด้วยกันกับเขา บุรุษชุดสีเข้มหรี่ตามองสตรีตรงหน้าเอ่ยปากสั่งอาหารทะเลใส่ห่อ เพียงแค่นี้เขารู้ว่านางต้องการทำอะไรต่อ เพราะสตรีอย่างนางแพ้อาหารทะเลขั้นรุนแรงคงไม่คิดว่าจะสั่งมากินระหว่างทางแน่นอน "ข้าถามเจ้าว่า…"

          "อยากไปดูไร่ก็ไปเองสิ.." นางตัดความรำคาญจากคำถามซ้ำซาก เพราะอย่างไรซุนหยางก็รู้จุดประสงค์ที่นางเลือกจะพักอาศัยที่โรงเตี๊ยมแห่งนี้ดีว่าเพราะอะไร และเพราะเช่นนั้นแม้แต่นางเองก็ยังไม่มีแผนที่ตะออกจากซีเหอเร็วๆนี้เสีนเท่าไหร่

          ข่าวที่นางได้ยินมาว่าทางการเริ่มนำบ้านของมือปราบลงขายแล้ว นางเองก็คิดอยากจะซื้อเพื่อเก็บมันเอาไว้รอสักวันมือปราบออกมาได้จะได้ส่งคืนบ้านแก่เจ้าของ แต่ติดแค่ที่นางพึ่งจะเป็นเจ้าของไร่ การเงินเองก็ใช่ว่าจะมีมากขนากต้องซื้ออสังหาสองที่ในคนละภูมิภาคพร้อมกันเสียขนาดนั้น

          "ทำเช่นนี้ไปมันจะได้อะไรขึ้นมา"

          "ต่อให้ไม่ได้อะไรเลยก็ตามข้าก็จะทำ.."

          เสี่ยวเออห์นำกล่องอาการมาส่งให้จ้าวเพ่ยพอดิบพอดีในช่วงที่นางเอ่ยปากบอกซุนหยางออกไป นางรับกล่องนั้นมาไว้กับตัวเพื่อที่จะเก็บและเตรียมส่งให้ใครบางคน ครั้นพอมองคนตรงหน้าก็เห็นสีหน้าของผู้ติดตามของนางไม่ค่อยพอใจกับบางอย่างเท่าไหร่นัก แน่นอนว่าผู้ใดมาเห็นสีหน้าเช่นนี้ก็ต้องหงุดหงิดเป็นเรื่องปกติ นั่นมันสีหน้าที่พร้อมจะหาเรื่องนางได้ตลอดเวลาอยู่แล้ว

          "สตรีเช่นเจ้า.. มีชายใดไม่ต้องการเจ้าบ้าง มัวแต่รอคนที่ถูกตัดสินจำคุกตลอดชีวิต มันก็ไม่ได้อะไร" ซุนหยางอธิบายให้จ้าวเพ่ยตาสว่างขึ้น เขาต้องการให้นางออกจากจุดนี้เสียที แม้จะไม่รู้เบื้องลึกเบื้องหลังดีก็ตาม แต่ชาวบ้านธรรมดาเช่นจ้าวเพ่ยและเขาก็ทำอะไรมากไม่ได้อยู่แล้ว

          "เพราะข้าไม่เชื่อ.. ไม่เชื่อว่าคนเช่นเขาจะกระทำการเช่นนั้นได้ เจ้าก็เห็นไม่ใช่หรือไงว่าเขามีนิสัยเช่นไร อย่างไรเขาก็ต้องออกมาได้อย่างแน่นอน"

          แน่นอนว่าคนอย่างมือปราบหวังช่างเป็นสุภาพบุรุษและยึดมั่นในความข้อกฏหมายและความยุติธรรมนัก หากทำผิดเพราะเรื่องพวกนี้คงจะเป็นไปได้แค่สองทาง ไม่มือปราบแสร้งเป็นคนดีต่อหน้าพวกนาง ก็ถูกใส่ความ แต่สตรีอย่างจ้าวเพ่ยมีหรือจะทำใจยอมรับง่ายๆว่ามือปราบเป็นคนเช่นนั้น นางไม่มีทางที่จะเชื่ออย่างแน่นอนว่ามือปราบหวังจะกระทำผิดต่อกฏหมายได้

          "ข่มขืนสาวชาวบ้านน่ะหรือ เฮ๊อะ!! เขาจะทำเช่นนั้นไปทำไมในเมื่อมีสตรีงามเช่นข้าพร้อมจะอยู่ข้างกายเขาอยู่แล้ว"

          คำพูดดูสิ้นคิดจากจ้าวเพ่ยแทบจะทำให้ซุนหยางหัวเราะขึ้นจมูก ชายหนุ่มมองใบหน้าของจ้าวเพ่ยอย่างพิจารณา แม้จะไม่อยากพูดอะไรให้บั่นทอนจิตใจนางในสถานการณ์นี้นัก แต่ก็ต้องเตือนสติให้นางยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นให้ได้เสียที

          "เจ้าคิดน้อยเกินไป.. จ้าวเพ่ย"

          "หมายความว่าอย่างไร.. คิดน้อยนั่นน่ะ"

          "เจ้าไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับบุรุษหรอก" ซุนหยางแสร้งทำเป็นเลี่ยงการตอบคำถาม เขายกสุราขึ้นจิบระหว่างทานของจุกจิกไปด้วย

          "ก็กล่าวมาสิ.. ข้าไม่รู้เรื่องอย่างไร"

          "อารมณ์กำหนัดกับบุรุษเป็นของคู่กันอยู่แล้ว ข้าไม่ได้จะกล่าวหาว่ามือปราบเป็นคนไม่ดี แต่อยากให้เจ้าเผื่อใจเอาไว้เสียบ้าง"

          จ้าวเพ่ยส่ายหัวเล็กน้อย อย่างไรนางก็เลือกจะเชื่อความรู้สึกมากกว่า หญิงสาวถือวิสาสะหยิบก้อนหมั่นโถวของซุนหยางขึ้นมากินไปด้วย

          แม้ว่านางจะเกิดข้อคำถามขึ้นมาบ้างแต่จ้าวเพ่ยเลือกที่จะไม่กล่าวต่อให้นางอารมณ์เสียไปมากกว่านี้ หญิงสาวลุกขึ้นเพื่อจะเดินทางไปยังที่หนึ่ง แต่ซุนหยางเองกลับทำนิ่งเฉยราวกับรู้ว่าอย่างไรนางก็ต้องกลับมา
         
          "อย่ากลับก่อนค่ำซะล่ะ.. เป็นสตรีอยู่ที่มืดผู้เดียวมันอันตราย" ผู้ติดตามนางกล่าวเตือน เพราะเขาเองก็ไม่คิดจะตามนางไปอยู่แล้ว สู้นั่งรอที่นี่ยังจะดีเสียกว่า มาเสียเวลาเดินทางไปกลับโดยเปล่าประโยชน์

          "ขอบใจที่เป็นห่วงข้า" นางกล่าวก่อนจะหันออกไปจากโรงเตี๊ยม สายตามองกล่องข้าวที่สั่งเอาไว้ เพราะอาหารที่มือปราบชอบกลับเป็นอาหารที่จ้าวเพ่ยแตะต้องไม่ได้ กลับเป็นเส้นบางๆมากั้นเอาไว้เล็กน้อยที่นางไม่สามารถทำอาหารให้เขาได้บ่อยนัก

          ขณะขึ้นนั่งไพล่บนหลังม้าเพื่อเตรียมออกไป หญิงสาวก็คิดหาวิธีที่จะช่วยเหลือมือปราบหวังไปด้วย อย่างไรก็ตามหากเรื่องนี้ไม่ได้รับความยุติธรรมจริงๆอย่างที่นางคิด จ้าวเพ่ยก็อยากจะลงสู้สักตั้ง ไม่ใช่เพื่อใครแต่เป็นเพื่อตัวนางเองต่างหาก


ใช้งาน [ซุนหยาง]
เอฟเฟคลักษณะนิสัย
ขี้เกียจ
+10 Exp เมื่อโรลขี้เกียจ

←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
กระบี่ร้อยกฎ
มุกพณาหวาซวี
ม้าเหลียง
กลยุทธ์เล่ออี้
บทเพลงยิ้มเย้ยยุทธจักร
หน้ากากขาว
เกราะเกล็ดมังกร
ผ้าคลุมไท่หลง
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x2
x7
x4
x10
x10
x13
x13
x13
x12
x11
x202
x1
x1
x1
x11
x22
x15
x30
x1
x100
x100
x9
x2
x5
x6
x8
x10
x2
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง เข้าสู่ระบบ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

อย่าลืมเข้าสู่ระบบนะจ๊ะ เข้าสู่ระบบตอนนี้ หรือ ลงทะเบียนตอนนี้

เว็บไซต์นี้ มีการใช้คุกกี้ 🍪 เพื่อการบริหารเว็บไซต์ และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานของท่าน (เรียนรู้เพิ่มเติม)

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้