จากเทียนซุยถึงเหอตงคือการเดินเท้าอันยาวนานในความรู้สึกของหลี่ซีซวน เนื่องจากปรกติสัญจรด้วยม้าเป็นหลัก เปลี่ยนมาเป็นแบกคนผู้หนึ่งพร้อมจูงม้าพร้อมกัน และอาจจะเป็นงานครั้งสุดท้ายที่เขาจะทำมัน เหตุเพราะปัจจัยหลายอย่างสำคัญที่สุดคือความอิสระของตัวเขาเองเป็นพื้นฐาน อีกอย่างเสร็จสิ้นธุระกับหญิงชรา ต้องเดินทางลงใต้กลับเจียงหนาน จากบ้านมานานควรต้องไปดูแลและจัดการทุกอย่างให้เสร็จสิ้น เรื่องกลับไปหาบิดาที่ฉางอันคำนวณผลได้ผลเสียในใจแล้วผลลัพธิ์ไม่ต่างกัน อย่างไรบิดาสนใจแค่หน้าตากับเกียรตื์ของวงศ์ตระกูล สู้อุตสาห์ใช้ชีวิตในเส้นทางของตัวเองย่อมเป็นอิสระจากทุกสิ่ง ความจริงคือบิดาไม่ได้คิดจะใส่ใจอะไรบุตรชายคนนี้
หลี่ซีซวนแบกหญิงชรามาผ่านเส้นทางป่าที่ไม่สามารถเดินออกนอกเส้นทางที่มีหิน กรวดได้เลย จนมาถึงกระท่อมหลังหนึ่งตามที่หญิงชราได้บอกและกระซิบย้ำเตือนว่านั้นคือบ้านของนางเองไม่มีผิด พลันเห็นเด็กน้อยคนหนึ่งนั่งอยู่หน้ากระท่อมเหมือนมองหาอะไรบางอย่าง สอดสายตาราวกับรอให้ใครกลับมาหา เดินเข้ามาถึงหนากระท่อมค่อยพบว่าเด็กน้อยรอการกลับมาของหญิงชรา เด็กน้อยดีใจจนน้ำตาไหล หลี่ซีซวนวางผู้เฒ่าให้ยืนบนพื้นอีกครั้ง ภาระหนักอึ้งได้กับการปลดปล่อย วางลงแล้วใจเป็นสุข ครอบครัวพร้อมหน้าคือสิ่งที่เขาอยากเห็นที่สุด
"พี่ชาย ข้าขอขอบคุณท่านที่พายายมาส่ง รู้ไหม? ข้านั่งรอยายมาทั้งวัน ทั้งคืน กลัวยายจะไม่ได้กลับมา" เด็กน้อยยืนขอบคุณพลางพูดความดีใจ แล้วจับมือของหลี่ซีซวนเขย่าไม่หยุด
"ไม่เป็นไร ไม่ต้องกลัวยายจะไม่ได้กลับมา ข้าพาส่งถึงบ้านแล้วเห็นไหม" เขายืนพูดเหมือนคนที่ความดันกำลังจะขึ้นทั่วร่างกาย อายุยังเยาว์ใยความดันมาเยือนไว้นัก
"เจ้าพักผ่อนเสียก่อน เดี๋ยวข้าจะเข้าไปทำอาหารมาให้ทาน เสวียนเอ๋อห์ เจ้าไปหาน้ำมาให้พ่อหนุ่มคนนี้ทานทีสิ" หญิงชราผายมือให้เขานั่งลงบนแคร่ไม้ไผ่ ชี้ไม้ชี้มือให้หลานชายไปหาน้ำมาบริการ
เขานั่งอยู่ด้านหน้าชานกระท่อมของหญิงชราเป็นกระท่อมริมน้ำ มีแม่น้ำสายเล็กไหลผ่านกระท่อมยาวออกไปบรรจบแม่น้ำเบื้องหน้าอันยาวไกล บรรยากาศเย็นชื้นทำให้จิตใจผ่อนคลายยิ่งนัก ความสุขในชีวิตบั้นปลายขอเพียงมีเท่านี้ไม่ต้องการอะไรมากอีกแล้ว เด็กน้อยที่หญิงชราเรียกเสวียนเอ๋อห์ถือขันน้ำมาให้ หลี่ซีซวนดล่าวขอบคุณแล้วรับมาดื่มพลางวางลงบนแคร่ไม้ จำได้ว่าหนหนึ่งเคยไปเยี่ยมยายของเขาชานเมืองฉางอันโดยย่าบอกว่าอยากได้ความสงบไม่อยากมาตอบคำถามของหลานสาวจอมสงสัยทั้งวัน บางครั้งบางคราวก็ชอบมาหาและเขาก็จะตามน้องไปเพราะทนการตื้อไม่ไหวเหมือนกัน ตระกูลหลี่มั่งคั่งจากการค้าขายแต่ย่าอยากได้บ้านในพื้นที่ไม่มากนักเหมือนของหญิงชราผู้นี้ ใช้ชีวิตสงบร่มเย็นอยู่กับธรรมชาติแบบนี้ ลูกหลานแวะเวียนมาหาเป็นครั้งคราว
หญิงชราเดินยกอาหารที่ทำเสร็จหมดแล้วมาวางบนโต๊ะ เรียกสองคนให้เข้ามาด้านใน อาหารที่ยายทำได้วางบนโต๊ะมันไม่ได้เลิศหรูเท่าโรงเตี๊ยม หากมันใส่ใจลงไปในอาหารน่ารับประทาน เขานั่งลงพร้อมกับเด็กน้อย ควงตะเกียบไม้ด้วยความคล่องมือ เด็กน้อยรับประทานอาการก่อนที่หลี่ซีซวนจะลงมือทานก่อนเสียอีก
"พ่อหนุ่ม ข้ามีม้าเฟิ่งหวงอยู่หนึ่งตัว มันเป็นของสามียายเอง ตอนนี้ไม่ได้ใช้มันแล้ว ต่อมาบุตรชายของยายขี่มันออกไปรบ แล้วโดนโจรโพกผ้าเหลืองสังหาร มันเป็นม้าแสนรู้ ข้าเจอม้าตัวนี้ตอนที่ข้ากับสามีสาบานรักกันบนเขาหวงซาน ตอนนี้เขาไปเป็นแม่ทัพที่ภักดีมากคนหนึ่ง" หญิงชราเห็นม้าของชายหนุ่มผู้แล้วน่าจะเป็นม้าคู่ใจ ดั่งคู่หูรู้ร่วมเดินทาง
หลี่ซีซวนได้ยินหญิงชราบอกกล่าวทำเอาอยากรู้แล้วสิว่าเป็นม้าแบบไหน ม้าที่ใช้อยู่ก็นับว่ายอดเยี่ยมสำหรับเขาในเวลานี้ คงต้องรอดูม้าอีกทีหนึ่ง หญิงชราเห็นว่าชายหนุ่มคราวหลานไม่ได้พูดจาอันได้ออกมา ยังคงรับประทานอาหารต่อไป
"ระหว่างที่เจ้ากำลังนั่งรับประทานอาหาร คนแก่อย่างข้ามีนิทานเรื่องหนึ่งจะเล่าให้เจ้าฟังเป็นการตอบแทนที่เจ้าอุตสาหะมาส่งข้า" หญิงชราดื่มน้ำหนึ่งจอก พลางเห็นหลานชายตั้งอกตั้งใจระรับฟังนิทาน ชายหนุ่มเงยมองแวบหนึ่งแล้วนั่งทานอาหารต่อไป "เสวียนเอ๋อห์ มันเป็นนิทานของแม่ทัพแห่งเจียงหนานพบรักกับหญิงสาวทอผ้า นานมาแล้วมีชายหนุ่มผุ้เก่งกล้าสามารถมีความรู้เชิงบุ๋นและบู๊ รับราชการทหารมาได้ระยะหนึ่งราชสำนักแต่งตั้งให้เป็นแม่ทัพ ผลงานในสนามรบนับว่ายอดเยี่ยมหาใดเปรียบ คนรุ่นเดียวกันได้แค่แหงนคอมมอง แม่ทัพผู้นี้มาจากทางใต้ เขาคือคนเจียงหนานขนานแท้ ความรู้เรื่องทิศทางลม คลื่นลมในทะเล และแม่น้ำ ดั่งอ่านลายมือของตัวเอง ไม่มีใครเทียบเคียงเขาได้ ยกเว้นชาวประมงกับคนหาปลาเท่านั้น วันเวลาผ่านพ้น ล่วงเข้าสู่วัยกลางคนได้เป็นแม่ทัพแห่งเจียงหนานได้เคียงข้างโฉมสะคราญผู้เป็นเพียงหญิงทอผ้าธรรมดาผู้หนึ่ง แม่ทัพผู้ภักดีคนนี้เกิดถูกชะตาหญิงสาวทอผ้า เมื่อคราวขึ้นไปพักผ่อนเมืองอันติง ที่นี่ขึ้นชื่อเรื่องการทอผ้าและมีโรงงานทอผ้าที่ดีที่สุด หลังจากนั้นพวกเขาสาบานรักต่อสรวงสวรรค์ ฟ้าดินเป็นพยานรับรู้ ครองคู่รักกันยาวนานสืบมา"
หญิงชราเล่านิทานเรื่องหนึ่งจบลง หลานชายนั่งตบมือให้คุณยายความปีติ หลี่ซีซวนครุ่นคิดว่านี่มันเป็นนิทานหรืออัตชีวประวัติกันแน่ ฟังดูไม่คล้ายเป็นนิทานอย่างที่หญิงชราบอกมาเลย
"ไม่ทราบว่าเป็นตำนานรักของผู้ใดกัน? ใยข้าฟังคล้ายนิทานแต่มิใช่" อัดอั้นในใจและปล่อยให้ค้างคาต่อไปไม่ไหว
"มันเป็นเรื่องวัยสาวของยายเอง แต่มีเด็กฟังด้วยจึงต้องบอกกล่าวว่าเป็นนิทาน" หญิงชราไม่คิดว่าชายหนุ่มท่าทางเจ้าสำราญ ยังฟังออกว่ามันไม่ใช่นิทาน ดูเหมือนคนเหลาะแหละแต่ซ่อนความมีปัญญาไว้ด้านใน ภายหน้าคงกระทำการยิ่งใหญ่ได้แน่นอน "พ่อหนุ่ม ข้ามีม้าเฟิ่งหวงตัวหนึ่ง สนใจรับไว้หรือไม่"
"ข้าสนใจรับไว้ ขอบคุณ ท่านผู้เฒ่าที่มอบให้กับข้า" เขาลุกขึ้นทำความเคารพประสานมือโค้งตัวด้วยความนอบน้อม อดคิดไม่ได้ว่าหากบุตรชายของยายผู้เฒ่าไม่เสียชีวิตเพราะโจรโพกผ้าเหลืองคงได้เป็นแม่ทัพหนุ่มผู้ชาญศึกเป็นแน่ เหมือนกับที่เขาเคยประสบเคราะห์กรรมเช่นเดียวกับบุตรชายของยายคนนี้
"อย่างนั้นจงนำไปใช้งานตามแต่ใจของเจ้าเถิด ขอบคุณมากที่มาส่งคนแก่อย่างข้า ถึงที่นี่" หญิงชราเดินจูงหลานมาส่งถึงด้านหน้ากระท่อม แล้วมองดูชายหนุ่มเดินไปนำมาเฟิ่งหวงตัวนั้นมา มันดูเหมาะสมกันยิ่งนัก ยังคิดอยู่ว่าควรจะไปเป็นทหารรับใช้แผ่นดิน หารู้ไม่ว่าหลี่ซีซวนผู้นี้เคยรับราชการทหารถึงตำแหน่งนายทหารที่แม่ทัพกองพันมาก่อน
หลี่ซีซวนเดินจูงมาเข้าหาหญิงชรากับเด็กน้อย เขาประสานมือทำความเคารพอำลายายผู้เฒ่าเป็นครั้งสุดท้าย จูงม้าออกมาได้ระยะหนึ่ง กระโดดขึ้นหลังม้าควบออกไปจากกระท่อม กระทั่งลับสายของสองยายกับหลาน