[นอกเมืองเจียงเยี่ย] โรงเตี๊ยมเหมยอนันต์ - เหมยวู่เซียน

[คัดลอกลิงก์]
ไม่ระบุชื่อ  โพสต์ 2021-9-28 17:32:43 |โหมดอ่าน

โรงเตี๊ยมเหมยอนันต์ - เหมยวู่เซียน
{ นอกเมืองเจียงเยี่ย }








【โรงเตี๊ยมเหมยอนันต์ - เหมยวู่เซียน】

โรงเตี๊ยมเหมยอนันต์ตั้งอยู่ที่นอกเมืองเจียงเยี่ยใกล้ทะเลสาบไท่หู
รอบ ๆ โรงเตี๊ยมปลูกต้นเหมยไว้เต็มพื้นที่ เมื่อถึงช่วงฤดูหนาวและฤดูใบไม้ผลิ
อาณาบริเวณจะถูกปกคลุมไปด้วยสีชมพูของดอกเหมย
ที่นี่เป็นโรงเตี๊ยมขนาดกลางห่างไกลผู้คนแต่ให้กลิ่นอาย
การต้อนรับราวกับได้กลับบ้าน ด้วยความที่อยู่ห่างไกลจากตัวเมืองค่อนข้างมาก
จึงทำให้โรงเตี๊ยมแห่งนี้เป็นที่พึ่งพิงเรื่องปากท้องนักเดินทางต่างถิ่นอยู่เสมอ ๆ



ทุกท่านสามารถมาโรลเพลย์ทำงานพาร์ทไทม์ประจำวัน
ค่าจ้าง: 150 อีแปะ - 5 EXP (รายวัน)




เถ้าแก่: โหลว หลี่
อุปนิสัย:
ร่ำรวยด้วยอารมณ์ขันรสนิยมเป็นเลิศช่างเจรจาพลิกลิ้น
เจ้าเล่ห์ในทางที่ถูกควรเข้าคบหากับคนได้ทุกระดับชั้น
ชื่นชอบผลประโยชน์และแต้มจัดที่สุดในบรรดาเจ้าสัวใหญ่แห่งเจียงเยี่ย









โพสต์ 2021-9-29 06:35:25 | ดูโพสต์ทั้งหมด

พออยู่คนเดียวบ้างก็ดีตรงที่ไม่ต้องคอยมีปากเสียงกับผู้อื่น ให้นางคอยปวดหัวจากการบ่นปากเปียกปากแฉะจากพฤติกรรมที่นางไม่ชอบ แน่นอนว่าพูดถึงใครบางคนที่ไปไหนมาไหนด้วยกันตลอด แต่เมื่อไร้คนคอยเถียงคอยแกล้งให้นางอารมณ์เสียก็แอบเหงาขึ้นมาบ้างหน่อยๆ นางหาใช่ว่าจะเป็นหญิงที่รักสันโดษอยู่แล้ว การไร้เพื่อนคุยเป็นอะไรที่รู้สึกเหงาขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด

หลังจากรถม้าจอดให้นางพักโรงเตี๊ยมนอกเมืองหลังจากชมเที่ยวเมืองจนพอใจแล้ว หญิงสาวก็ได้เข้ามาพักที่นี่หนึ่งคืนรอที่จะข้ามฟากกลับไปอีกรอบ ไม่ต้องห่วงเรื่องการหาท่าเรือที่จากมาไม่เจอ ในเมื่อนางนัดตกลงกับรถม้านั้นให้กลับมารับนางกลับไปที่เดิมโดยเสนอราคาเป็นพิเศษที่ดูแลนางอย่างดีในยามที่อยู่คนเดียวและไร้ของติดตัวโดยสิ้นเชิง

ถ้วยน้ำชาหอมกรุ่นถูกวางลงโต๊ะอาหารอย่างเบามือหลังจากเวลาผ่านไปได้สักพัก จ้าวเพ่ยกรอกตามองไปรอบๆโรงเตี๊ยม ความสงบไม่เหมือนกับที่นางเคยพักที่โรงเตี๊ยมที่อื่นกลับให้ความรู้สึกต่างออกไปมาก เสียงดนตรีบรรเลงเคล้าคลอกับบรรยากาศให้หวนนึกถึงช่วงชีวิตที่ยังคงสงบสุขดี นางเอ่ยเรียกเสี่ยวเออร์ให้มาบริการนาง พลางสั่งอาหารเพื่อจะกินเพิ่มพลังสำหรับการเดินทางในวันพรุ่งนี้

รับรู้ว่าบุรุษโต๊ะที่อยู่ไม่ไกลมองมาทางนางเป็นระยะๆ พอให้นางยกถ้วยน้ำชาขึ้นมาจิบพลางยกมือขึ้นลูบผมที่มวยเกล้าขึ้นเห็นปิ่นปักผมชัดเจน หญิงสาวป่าวประกาศกับชายผู้นั้นทางอ้อมๆว่านางเองยังคงโสดและไม่มีผู้ใดมาจับจองในยามนี้

พยายามที่จะไม่ออกอาการมากให้ขาดความเป็นกุลสตรีไป หญิงสาวเผลอสบตากับบุรุษผู้นั้นทั้งยิ้มออกมาอย่างเขินอาย แต่ก็ถูกขวางสายตาเอาไว้ด้วยเสี่ยวเออร์ที่เข้ามาวางอาหารที่นางสั่งเอาไว้ หญิงสาวนึกขำเมื่อนึกหน้าตัวเองยามตกใจที่ถูกกั้นเอาไว้ก็ส่ายหัวเบาๆทั้งยิ้มออกมา ขณะจับตะเกียบเพื่อยกข้าวขึ้นมากิน

"แม่นางมาโรงเตี๊ยมคนเดียวหรือ" ชายผู้นั้นเอ่ยถามขึ้นมาก็พอจะรู้ว่าถามใคร ในเมื่อผู้คนในโถงอาหารตรงนี้มีนางคนเดียวที่เป็นสตรี หญิงสาวหันไปมองบุรุษผู้นั้นที่ยกยิ้มมาให้นางอย่างเป็นมิตรก็เลือกที่จะวางข้าวลงและเคี้ยวเบาๆ

"เจ้าค่ะ.." หลังจากกลืนอาหารลงคอแล้วจ้าวเพ่ยจึงค่อยตอบออกไป นางมองบุรุษผู้นั้นเพียงครู่ก็เริ่มยกข้าวขึ้นมากินอีกครั้ง

"มาจากที่ใดหรือ.."

"ข้ามาจากฮั่นจงเจ้าค่ะ.."

"เป็นสตรีเดินทางผู้เดียวมันอันตราย.." ชายผู้นั้นกล่าวทั้งลุกขึ้นมาเพื่อสนทนากับจ้าวเพ่ยที่อยู่ไม่ไกล เขาเดินเข้ามาใกล้พอให้เห็นหน้าหญิงสาวได้ชัดเจน "สนใจเดินทางร่วมกับข้าหรือไม่"

"เจ้าคะ…" หญิงสาวชะงักลงไปทั้งมองอีกฝ่ายอย่างสงสัย ข้าวในมือลดไปเพียงครึ่งก็ถูกวางลงทันที หญิงสาวมองอีกฝ่ายที่ยังคงยิ้มแย้มขับความใจดีออกมา

"ข้าจะเลี้ยงดูเจ้าทุกอย่าง เพียงแค่เป็นผู้ติดตามข้า"

ไม่ใช่ว่าจีบไปเป็นคนรัก แต่เป็นผู้ติดตาม ความหงุดหงิดเผยขึ้นมาในใจของจ้าวเพ่ยแต่นางก็ยังคงยิ้มแย้มอยู่อย่างนั้น หญิงสาวยกโถน้ำชาขึ้นมารินและยื่นให้อีกฝ่ายอย่างช้าๆ

"ข้าไม่มีอะไรให้ท่านนะเจ้าคะ.. ข้าพึ่งจะถูกโจรโพกผ้าเหลืองคนหนึ่งขโมยของและม้าข้าไป ตอนนี้ข้าตัวเปล่าโดยสิ้นเชิง"

"โจรโพกผ้าเหลืองบุกปล้นแม่นางหรือ"

โจรโพกผ้าเหลืองที่พูดถึงก็คือซุนหยางนั่นแหละ ทั้งม้าและเสบียงต่างๆก็อยู่อีกฟากฝั่งรอให้นางกลับไปรับ นางเองก็ไม่ได้ที่จะตั้งใจโกหกเสียหน่อย จ้าวเพ่ยได้ยินคำถามนั้นก็ตอบไม่ได้ว่าบุกปล้นหรือไม่ นางทำได้เพียงแค่ยิ้มและพยักหน้าเล็กน้อยพอให้รู้ว่าถูกปล้นจริง

"เช่นนั้น.. แม่นางก็เสร็จโจรโพกผ้าเหลืองแล้วสิ.." คำพูดของอีกฝ่ายทำเอาจ้าวเพ่ยหุบยิ้มทันที หญิงสาวมองอีกฝ่ายทำหน้าตาเหมือนไม่รู้ร้อนหนาวอะไรก็ยิ่งสั่งสมความหงุดหงิดในใจยิ่งขึ้นไปอีกเป็นเท่าตัว

เสร็จโจรอย่างนั้นหรือ… เป็นบุรุษเสียเปล่าคิดได้เพียงแค่เท่านี้

"ไม่ใช่เจ้าค่ะ โจรเพียงแค่มาปล้นข้าเพียงเท่านั้น ไม่ได้ทำอะไรเกินไปกว่านั้น" จ้าวเพ่ยพยายามอธิบายให้เข้าใจก่อนจะถูกมองให้แย่ไปมากกว่านั้น นางเป็นสตรีต้องคุมสติอารมณ์พอให้ไม่วู่วามเกินไป การทะเลาะวิวาทหาใช่แนวทางของนางไม่

"แม่นางไม่ต้องเนียมอายหรอก.. ข้ารู้" ชายหนุ่มเอ่ยทั้งยิ้มแย้มขึ้นมา เขาเรียกเสี่ยวเออร์เพื่อสั่งขนมกินเล่นเฉพาะส่วนของเขามา ก่อนจะเอ่ยเชิญชวนจ้าวเพ่ยอีกรอบ

"ข้าไม่ไ…"

"สตรีงามออกเดินทางผู้เดียวถูกโจรโพกผ้าเหลืองบุกปล้นไปเสียเกลี้ยง… มีหรือจะรอดสิ่งนั้นไปได้ง่ายดาย… ข้าจึงเอ่ยชักชวนแม่นางเพื่อจะได้คอยปกป้องไม่ให้เกิดเรื่องนี้ขึ้นไปอีก"

จ้าวเพ่ยแทบจะเหนื่อยหน่ายกับความคิดเองเออเองของอีกฝ่าย แต่ก็คงจะโทษไปเสียหมดไม่ได้ในเมื่อนางก็เป็นคนโกหกออกไปเองว่าถูกปล้นมา หญิงสาวเลือกจะไม่ต่อคำต่อไป ก่อนจะยกข้าวขึ้นมากอนต่อโดยไม่สนใจายตรงหน้าอีกต่อไป

"แม่นางยอมรับที่จะเป็นผู้ติดตามข้าแล้วใช่หรือไม่…"

"เจ้าค่ะ.. เช่นนั้นช่วยจ่ายค่าอาหารและค่าที่พักให้ข้าด้วยนะเจ้าคะ" จ้าวเพ่ยกล่าวก่อนจะวางถ้วยข้าวลง นางเตรียมที่จะกลับเข้าห้องเพื่อหนีจากชายโรคจิตคนนี้ให้เร็วที่สุด

"ยามซื่อข้าจะออกเดินทาง แม่นางเตรียมตัวให้พร้อมด้วย" จ้าวเพ่ยได้ยินดังนั้นก็ลุกจากโต๊ะนั้นเพื่อกลับขึ้นห้องทันที นางเหลือบมองชายผู้นั้นเอ่ยคุยบางอย่างกับเสี่ยวเออร์และชี้มาทางนางให้ต้องเร่งกลับเข้าห้องทันที

เพียงแค่สนทนาเพียงแค่พบกันคราแรกก็ทำเอานางรู้สึกขยะแขยงขึ้นมาทันที หญิงสาวออกจากห้องเพื่อไปยังโรงอาบน้ำ เพื่อชำระล้างร่างกายให้พร้อมสำหรับการเดินทางในวันพรุ่งนี้

ในช่วงเช้ามืดของอีกวันหญิงสาวเร่งเก็บข้าวของเพื่อออกจากโรงเตี๊ยมเพื่อรอรถม้าตามเวลาที่นัดเอาไว้ หญิงสาวขึ้นรถม้าเพื่อกลับยังท่าเรือข้ามฟากโดยไม่คิดจะสนชายที่พบกันที่โรงเตี๊ยมแม้แต่น้อย หญิงสาวมองทอดออกไปข้างทางก็พลันคิดถึงผู้ติดตามนางที่ถึงแม้จะมีปากเสียงกันเสมอก็ไม่เคยด้อยค่านางให้เสียหน้าแม้แต่ครั้งเดียว

←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
กระบี่ร้อยกฎ
มุกพณาหวาซวี
ม้าเหลียง
กลยุทธ์เล่ออี้
บทเพลงยิ้มเย้ยยุทธจักร
หน้ากากขาว
เกราะเกล็ดมังกร
ผ้าคลุมไท่หลง
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x2
x7
x4
x10
x10
x13
x13
x13
x12
x11
x202
x1
x1
x1
x11
x22
x15
x30
x1
x100
x100
x9
x2
x5
x6
x8
x10
x2
โพสต์ 2021-9-30 14:03:05 | ดูโพสต์ทั้งหมด

นัดพบทะเลสาบไท่หู
พักผ่อนยังโรงเตี๊ยม
.
.

          ถัดจากตัวทะเลสาบไท่หูมาไม่นานก็เจอเข้ากับโรงเตี๊ยมเหมยวู่เซียน จิ้นอิ๋งพลันหลุดร้องในคอแผ่วราวกับถูกใจกับความสวยงามของบรรดาต้นเหมยที่กำลังผลัดใบประดับประดาสีส้มแสดทั่วบริเวณ สะท้อนกับแสงเทียนที่ถูกจุดจากเสาหินที่ทอดหายังตัวโรงเตี๊ยมอย่างน่าดูชม ก่อนทั้งสองจะพากันเข้าไปยังด้านในและเอ่ยจองห้องพักคนละห้องเอาไว้ โดยที่จิ้นอิ๋งก็ได้เอ่ยถึงชื่อผู้ติดตามทั้งสองที่บอกจะมาเจอกันยังเมืองเจียงเยี่ยไปด้วย

          " มีผู้เข้าพักชื่อเหมยซูฮวาหรือถานเจ๋อเข้ามาพักหรือไม่เจ้าคะ? พอดีพวกเขาเป็นสหายของข้า " คนงานที่ได้ยินก็ช่วยตรวจสอบก่อนจะเอ่ยปฏิเสธไปให้เด็กสาวหลุดสีหน้ากังวลขึ้นมา

          กัวฟ่งเสี้ยวที่ได้ยินชื่อคุ้นหูก็พลอยเลิกคิ้วมองตามเด็กสาวไปด้วย ในตอนที่พากันมาทานอาหารเย็นกัน ระหว่างที่รออาหารอีกบุรุษพลันศอกเท้าโต๊ะ มือประสานวางรองคางพร้อมจดจ้องจิ้นอิ๋งที่นั่งยังตรงข้ามตนด้วยแววตาครุ่นคิดบางอย่าง ทำเอาคนโดนจ้องสบตากลับดูติดฉงนราวกับรอฟังว่าอีกคนนั้นจะกล่าวอะไรกับนางด้วยเช่นกัน

          " สรุปผู้ติดตามเจ้ามาด้วยงั้นหรือ? ไม่ได้มาตามลำพังงั้นสิ " น้ำเสียงเรียบเรื่อยฟังดูไม่ได้คาดคั้นอะไร แต่ประโยคที่ได้ยินกลับรับรู้ได้ถึงระลอกความไม่ชอบใจบางอย่างเจือจางในนั้นจนดรุณีน้อยที่ได้ยินรีบยกมือปฏิเสธเสียลนลาน

          " เปล่านะเจ้าคะ! ตามจริงข้าให้พี่สาวซูฮวากับถานเจ๋อพักผ่อนตามสบาย เพราะข้าต้องมาตามนัดกับท่านกัว แต่หลังได้ยินว่าท่านนัดข้าที่ไหน พวกเขาก็อยากมาเที่ยวด้วยน่ะเจ้าค่ะ! "

          น้ำเสียงหวานเอ่ยหาอย่างจริงจัง ทำให้พอรับรู้ได้ว่านางนั้นไม่ได้เอ่ยโกหกหรือแก้ตัวอะไร แต่เพราะท่าทางที่แอบห่อไหล่น้อย ๆ ของเด็กสาวก็พอทำให้รู้ว่านางยังบอกไม่หมดก็เท่านั้น และคล้ายแม้ไม่บอกมาทั้งหมด กัวฟ่งเสี้ยวก็พอคาดเดาได้จากนิสัยของอีกฝ่ายว่าไม่แคล้วเป็นฝั่งของผู้ติดตามเสียมากกว่าที่ไม่ไว้ใจเขาเลยตามมาด้วย ส่วนจิ้นอิ๋งก็แค่ปล่อยเลยตามเลยตามนิสัยขี้ใจอ่อน

          แว่วเสียงถอนหายใจออกมาทั้งดูโล่งใจที่อย่างน้อยดรุณีตรงหน้าก็ไว้ใจเขา และทั้งรู้สึกเหนื่อยหน่ายกับผู้ติดตามที่ดูแล้วคงตั้งตนเป็นศัตรูกับอีกบุรุษไม่เลิกแน่ ยิ่งกับถานเจ๋อที่เห็นตอนตนทำตัวสนิทสนมกับไฉ่เมี่ยนแล้ว ไม่แคล้วมองเขม่นกัวฟ่งเสี้ยวชัดเจนไม่คิดปิดบังยามเจอกันครั้งหน้าแน่

          " แล้วซูฮวาคือใคร? " เอ่ยถามเปลี่ยนเรื่องขึ้นมาหวังคลายบรรยากาศเกรงอกเกรงใจที่จิ้นอิ๋งเผยออกมา

          " อ๋อ! คือสตรีที่ข้าเคยช่วยเหลือเอาไว้น่ะเจ้าค่ะ เป็นผู้ที่ทำให้มุมมองต่อโจรโพกผ้าเหลืองของข้าเด็ดขาดขึ้นด้วยน่ะเจ้าค่ะ… ตอนนี้นางมีเหตุผลที่ทำให้ยังกลับบ้านไม่ได้ ข้าเลยให้ติดตามมาก่อนน่ะเจ้าค่ะ นางมีนามว่า เหมย ซูฮวา.. ไว้เจอกันครั้งหน้าข้าจะแนะนำให้รู้จักนะเจ้าคะ "

          จิ้นอิ๋งกลับมาร่าเริงอย่างรวดเร็วยามเอ่ยถึงสตรีผู้นั้น ทั้งดวงหน้ายังประดับยังรอยยิ้มจนดวงตาโค้งหยีไปด้วย ท่าทางสนิทสนมกับอีกสตรีไม่น้อยจนกัวฟ่งเสี้ยวอดเผยรอยยิ้มตามไม่ได้ และยังไม่ทันทีที่ทั้งคู่จะได้เอ่ยสนทนาอะไรกันต่ออาหารก็ถูกยกเสิร์ฟให้ต้องจัดการเสียก่อน เรือนผมที่ตกระลาดไหล่ถูกเกลี่ยแผ่วเบาให้พาดวางยังด้านหลังให้ไม่ระเกะระกะก่อนที่จิ้นอิ๋งจะลงมือทานอาหาร โดยไม่รู้ตัวว่ามือของอีกบุรุษนั้นชะงักค้างไปครู่ก่อนอีกฝ่ายจะทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
          .
          .
          " งั้นพรุ่งนี้ยามเฉินก็ไปที่ทะเลสาบไท่หูอีกรอบใช่หรือไม่เจ้าคะ? " จิ้นอิ๋งเอ่ยย้ำถึงแผนการเที่ยวชมทะเลสาบต่อในวันรุ่งขึ้น ซึ่งกัวฟ่งเสี้ยวก็พยักใบหน้ารับแผ่ว ทว่ายังไม่กลับเข้าห้องพักไปไหนแม้จะเดินมาส่งเด็กสาวที่หน้าห้องพักแล้ว ทำเอานางต้องยืนรอฟังว่าอีกคนจะกล่าวอะไรเสียก่อน

          " เจ้า.. แม่นางกู่พกถุงหอมด้วยหรือ? " คำถามไม่คาดคิดทำเอาเด็กสาวเบิกตาขึ้นมาเล็กน้อย พาลคิดไปว่านางมีกลิ่นตัวหรือไม่ถึงโดนอีกบุรุษเอ่ยทักจนอดไม่ได้ที่จะเผลอห่อไหล่ก้าวถอยห่างจากอีกบุรุษจนแผ่นหลังแทบชิดประตู

          " ข้า… มีกลิ่นตัวหรือเจ้าคะ ขออภัยด้วยเจ้าค่ะ "

          จิ้นอิ๋งเอ่ยอย่างติดกังวล ทว่ากัวฟ่งเสี้ยวกลับรีบโบกมือปฏิเสธก่อนจะกลายเป็นคนทักถามเสียเองที่มีท่าทางกระดากอายดูลำบากใจขึ้นมาแทนหลังพอรับรู้ได้คร่าว ๆ จากปฏิกิริยาของเด็กสาวว่าคงไม่ได้พกถุงหอมอย่างที่ตนคิดเอาไว้ เช่นนั้นกลิ่นหอมอ่อนหวานที่ชวนให้รู้สึกผ่อนคลายนี่มันกลิ่นอะไรกัน

          " ไม่ใช่หรอกแม่นาง… พอดีข้า อืม.. ได้กลิ่น อ่า.. เหมือนดอกไม้มาจากตัวเจ้าน่ะ "

          คำตอบที่ได้รับทำเอาจิ้นอิ๋งขานรับในคอแผ่ว นางก้มใบหน้าลงเล็กน้อยเพื่อจะลองดมกลิ่นจากตนบ้างแต่ไม่รู้เพราะเป็นกลิ่นมาจากตัวเองหรือไม่จึงไม่อาจรับรู้ได้ถึงมัน ทว่าในตอนที่นิ่งคิดไปครู่ เด็กสาวก็พลันร้องอุทานขึ้นก่อนส่งรอยยิ้มดูซุกซนหาอีกฝ่ายไป พร้อมกันนั้นก็เชิดปลายจมูกรั้นทำเสียงฟุดฟิดใส่กัวฟ่งเสี้ยวไปด้วย จนอีกคนนึกอยากจะดีดหน้าผากนวลล่อตาตรงหน้าเสียให้เข็ดที่ไม่ยอมเอาคำพูดตนก่อนหน้ามาปรับตัวอีกแล้ว

          " ท่านกัวก็มีกลิ่นดอกไม้! น่าจะดอกเหมยสีเหลืองที่เราเจอที่ทะเลสาบไท่หูนะเจ้าคะ! " เด็กสาวเอ่ยน้ำเสียงกลั้วขำ

          ซึ่งทำให้บุรุษแซ่กัวที่ได้ยินเพียงพยักหน้ารับแกน ๆ กลับไป ดูแล้วอีกฝ่ายอยากนึกเถียงขึ้นมาว่าไม่ใช่กลิ่นดอกเหมย แต่ท่าทางมั่นอกมั่นใจของดรุณีน้อยทำให้เขาไม่อาจเอ่ยค้านใดและค้อมตัวเตรียมลาเด็กสาวให้เข้าห้องไปพักผ่อน ทว่าก่อนจากก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยล้อหยอกหาตามนิสัยให้จิ้นอิ๋งยิ้มค้างอย่างติดสงสัยขึ้นมาว่าหมายถึงกลิ่นหอมจากสิ่งใดกัน

          " อืม.. หอมมากเลยเชียว "

          .
          หลังเข้าห้องพักมาได้ เพราะถูกทักเรื่องกลิ่นตัวขึ้นมา แม้จะเป็นกลิ่นของดอกไม้ที่สื่อในทางความหายที่ดี แต่ก็ทำเอาจิ้นอิ๋งอดรู้สึกไม่มั่นใจปนประหลาดขึ้นมาไม่ได้ ในวันนั้นนางจึงทำความสะอาดร่างกายนานกว่าทุกครา

          ในถังน้ำที่มีแผงกั้นปิดเอาไว้ยังมุมห้อง มีร่างเล็กของดรุณีน้อยแช่อาบอยู่ ควันขาวลอยเอื่อยบ่งบอกอุณหภูมิที่พอเหมาะให้นางไม่รู้สึกหนาวสั่นเกินไปในยามฤดูใบไม้ร่วงที่อากาศเย็นตัวลงนี้ เนื้อตัวเนียนละเอียดถูกมือเรียวไล้ลูบทำความสะอาดด้วยใยบวบอย่างพิถีพิถันจนขึ้นสีฝาดระเรื่อแดงทั่ว

          จนเมื่อแน่ใจว่าทุกซอกมุมได้ถูกขัดถูจนผิวลื่นเนียนและจางกลิ่นหอมอ่อนของน้ำในถังไม้ที่ประดับกลิ่นดอกเหมยกุ้ย จิ้นอิ๋งถึงได้คลี่มวยผมลงมือสางนำน้ำราดใส่อย่างบรรจง ก่อนคว้าเอาถ้วยใส่น้ำข้าวที่ขอมาจากโรงเตี๊ยมมาชะล้างคราบฝุ่นหรือสิ่งสกปรกใดออก ด้วยเรือนผมนุ่มที่ค่อนข้างยาวทำให้ยิ่งใช้เวลา จนผ่านไปเกือบครึ่งชั่วยามเลยเชียวจิ้นอิ๋งถึงชำระร่างกายจนเรียบร้อย เรื่อนร่างสมส่วนค่อยคอยสวมเสื้อผ้าเนื้อบางสบายตัวเตรียมเข้านอน ทว่าก็ยังนอนไม่ได้เนื่องจากต้องคอยเช็ดซับน้ำออกจากเรือนผมสีน้ำหมึกนี้ให้เรียบร้อยเสียก่อน

          กระทั่งมั่นใจว่าผมนางแห้งสนิท ทั้งเนื้อทั้งตัวก็สะอาดสะอ้านไม่มีกลิ่นไม่พึงประสงค์ใด จิ้นอิ๋งจึงยิ้มออกและเข้านอนด้วยความสบายอกสบายใจในที่สุด


ลักษณะแต่กำเนิดตัวหอม
+20 ความสัมพันธ์กับคนที่คุยด้วย

←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
บทเพลงเฟิ่งฉิวหวง
ถุงหอมจูอวี๋
กระบี่
พู่หยกเลือดหงส์
กลยุทธ์เล่ออี้
ม้าเหลียง
หน้ากากขาว
เกราะเกล็ดมังกร
ผ้าคลุมไท่หลง
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x3
x3
x3
x3
x3
x3
x3
x5
x2
x2
x1
x2
x2
x2
x1
x1
x27
x2
x38
x40
x50
x50
x40
x40
x50
x3
x22
x19
x31
x10
x50
x5
x5
x5
x1
x12
x1
x2
x5
x2
x9
x1
x8
x6
x6
x1
x3
x2
x2
x1
โพสต์ 2021-9-30 22:42:14 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Fenyue เมื่อ 2021-10-1 14:54


⌜51⌟

บทที่ 9
มาเยือนไท่หู
ฉากที่ 4
                    
                    
          ทั้งสองตกปลากันต่ออีกสักพัก จนถึงยามเย็นของวันนั้นจึงจูงม้ากลับไปที่โรงเตี๊ยมที่อยู่ไม่ไกล แล้วขอยืมครัวทำกับข้าวซึ่งเถ้าแก่โรงเตี๊ยมก็ใจดีให้โดยแลกกับปลาสองสามตัวที่ตกมาได้ ซึ่งเฟินเยว่มีปลาเหลือเฟืออยู่แล้ว เผื่อแผ่แค่นี้ไม่ใช่เรื่องยากลำบากอันใด งานนี้แม่ครัวจำเป็นเตรียมพร้อมแล้วที่จะเตรียมสำรับอาหาร สร้างมือล้างไม้เสร็จสรรพ ผมเผ้าก็รวบเก็บอย่างมิดชิด ไม่ใช่แค่นางผู้ช่วยก็เตรียมตัวพร้อม ด้วยความใจอ่อนเฟินเยว่ไม่กล้าทุบหัวปลาและฆ่ากุ้ง คนลงมือจึงเป็นผู้ช่วยแม่ครัวจนในที่สุดก็ได้ปลาและกุ้งที่พร้อมทำอาหารมาจำนวนหนึ่ง
         
          “เย็นนี้คุณชายซูอยากทานอะไรบ้างเจ้าคะ?”
         
          “อืม.. วันนี้เอาเป็นกุ้งผัดชาหลงจิ่งก็แล้วกัน”
         
          คำตอบที่ได้รับทำเอาเด็กสาวรู้สึกประหลาดใจไม่น้อย นึกว่าตงฮั่วจะอยากทานหม้อไฟทะเลเสียอีก นับว่าผิดคาดแต่ก็น่าสนใจ
         
          “ได้เจ้าค่ะ” เด็กสาวลงมือล้างกุ้งตัวเล็กตัวน้อยที่อยู่ในถัง ก็เพิ่งจะทราบเหมือนกันว่ากุ้งก็ตกได้เช่นเดียวกับปลา ล้างวัตถุดิบไปก็เอ่ยถามไปพลาง “คุณชายซูชอบทานอะไรบ้างหรือเจ้าคะ”
         
          “ขอนึกก่อนนะ หม้อไฟอะไรก็ได้แล้วอย่างนึง.. นอกนั้นก็ไก่ขอทาน กุ้งผัดชาหลงจิ่ง ชาเจียวกู่หลาน สุราชั้นดี พวกของหวานก็จะเป็น ขนมบัวหิมะ ขนมเชาปิ่ง.. เท่านี้แหล่ะมั้ง”
         
          ด้วยรายการอาหารจำนวนมากที่ตงฮั่วเอ่ยให้ฟังก็ทำให้รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นคนกินง่ายสมกับเป็นมนุษย์ถ้ำ เสียแต่ว่าการทานหม้อไฟบางคราวก็ออกจะเปลืองงบประมาณเกินไปหน่อย
         
          “มีขนมบัวหิมะด้วยสินะเจ้าคะ เอาไว้วันหลังถ้ามีโอกาสข้าจะลองทำให้ชิมนะเจ้าคะ”
         
          “ได้เลย แล้วข้าจะรอชิมก็แล้วกัน”
         
           สรุปอาหารเย็นวันนี้นอกจากกุ้งผัดชาหลงจิ่งแล้วก็ยังมี ปลานึ่งซีอิ๋ว และผัดผักอีกหนึ่งอย่าง วัตถุดิบต่าง ๆ ล้วนมาจากปลาและกุ้งที่ตกได้ในวันนี้ และผักที่เหลือจากการทำกับข้าวมื้ออื่น ๆ เห็นว่าตงฮั่วชอบสุราและชาชั้นดีนางก็อยากจะเลี้ยงเขาติดแต่ว่างบประมาณมีน้อยต้องใช้สอยอย่างประหยัดจึงได้ดื่มเพียงแต่น้ำชาธรรมดา ๆ เพียงเท่านั้น แต่ว่านั่นก็เพียงพอแล้วสำหรับทั้งสองคนที่ไม่ต้องการอะไรที่มันหวือหวา
         
.
.
.
         
          ห้องพักในคืนนี้เป็นห้องคู่ที่มีประตูภายในเชื่อมถึงกันได้ ภายในห้องพักถูกจัดแต่งด้วยเครื่องเรือนอันแสนเรียบง่ายแต่ทว่าให้ความรู้สึกถึงบรรยากาศอันแสนอบอุ่นชวนให้คิดถึงบ้าน เตียงนอนถูกปูด้วยผ้าปูที่นอนสีเรียบแต่ทว่ามีลวดลายเล็กน้อยสะอาดสะอ้านเสียจนอยากจะล้มตัวนอน แต่ยังไม่ได้ เดินทางมาตลอดทั้งสองวันแถมยังตกปลาอีกหลายชั่ง ตอนนี้ทั้งเนื้อทั้งตัวของเด็กสาวเหม็นคาวปลาเต็มไปหมด จำต้องอาบน้ำทำความสะอาดร่างกายให้หมดจดเสียก่อน มิเช่นนั้นจะทำห้องเหม็นและนอนหลับไม่สบายตัวเป็นแน่
         
          เช่นเดิม เด็กสาวอาบน้ำกับหมูป่า เถ้าแก่ก็ช่างแสนใจดีให้เสี่ยวเอ้อร์เตรียมน้ำร้อนเอาไว้ให้ได้แช่ตัว เส้นสายที่ปวดล้าก็ได้คลายตัว นี่ก็เป็นอีกจุดหนึ่งที่ทำให้เฟินเยว่เกิดคิดถึงบ้านขึ้นมา ในเวลาที่เหน็ดเหนื่อยจากการทำงานเช่นนี้ก็มีอ้างน้ำและเตียงนอนนี่แหล่ะที่คอยช่วยเยียวยารักษาร่างกายอันบอบช้ำ
         
          หลังจากที่อาบน้ำกันเสร็จเรียบร้อยแล้วนางก็ไปเคาะห้องที่อยู่ข้าง ๆ กัน อันที่จริงควรจะปล่อยให้อีกฝ่ายได้พักผ่อนตามอัธยาศัยแต่ทว่าเด็กสาวก็ยังคงห่วงใยสหายอยู่ไม่ขาด

          “ขออนุญาตนะเจ้าคะคุณชายซู”
         
          บานประตูที่กั้นขวางทั้งสองห้องเอาไว้เลื่อนเปิดออก ตงฮั่วในชุดใหม่เปิดประตูต้อนรับ ผมเผ้าของเขายังดูชื้นน้ำมีผ้าเช็ดผมพาดอยู่บนบ่า เพียงแค่เห็นก็รู้เลยว่าอีกฝ่ายเพิ่งจะอาบน้ำมา คนที่อาบน้ำไม่ได้มีแต่เพียงแค่เฟินเยว่และเปาเปา แม้แต่มนุษย์ถ้ำอย่างตงฮั่วก็ได้ชำระล้างร่างกายกับเขาบ้างเสียทีหลังจากที่ทนตัวเหม็นอยู่นานหลายวัน สีหน้าของคนง่วงดูดีขึ้นมากเมื่อได้แช่ถังน้ำร้อน ติดอยู่เพียงอย่างเดียวนั่นก็คือเสื้อผ้าของเขามีน้อยชุดที่จะซักเปลี่ยน อาจจะหาว่าก้าวก่ายเกินไป แต่บ่อยครั้งที่เฟินเยว่คิดอยากจะนำเสื้อผ้าของเขาไปซักตากทำความสะอาดให้เป็นอย่างดี แต่ธุระที่นางมาหาไม่ใช่เพราะด้วยเหตุนี้
         
          “มีอะไรงั้นเหรอ?”
         
          “คือว่า ข้ามาทำแผลให้ใหม่น่ะเจ้าค่ะ”
         
          “อ้อ แผลเหรอ” ตงฮั่วเหลือบมองที่ต้นแขนของตัวเองอย่างไม่ใส่ใจ มันไม่ได้ผูกผ้าสีชมพูลายผลอิงฮวาเอาไว้แล้ว แถมในตอนอาบน้ำเขาก็ไม่ได้สนใจว่าแผลจะแสบก็เลยลงแช่น้ำไปทั้งตัว “ไม่ต้องก็ได้มั้ง ไม่เป็นไรหรอก”
         
          “ไม่ได้นะเจ้าคะ อย่างไรก็ต้องรักษาให้หายดีก่อนถึงจะวางใจได้”
         
          เฟินเยว่เม้มริมฝีปากพยายามทำหน้าดุแต่สำหรับเด็กหนุ่มเขามองว่าหน้านั้นเหมือนกับปลาปักกะเป้าไปตั้งแต่เมื่อวันงานเทศกาลจงชิวเจี๋ยไปเสียแล้วและไม่อาจมีภาพใดมาลบล้างออกจากหัวได้ และรู้ดีว่าหากเขาไม่ย้อมนางผู้ดื้อรั้นก็จะยังคงไม่ไปไหน
         
          “เอาอย่างนั้นก็ได้”
         
          เด็กหนุ่มร่างสูงผละออกมาจากประตูก่อนที่จะเชื้อเชิญให้นางเข้ามาในห้อง แล้วเดินไปนั่งยังโต๊ะรับรองที่น่าจะสะดวกต่อการทำแผล คราวนี้เด็กสาวหยิบเอาผ้าผูกผมสีเหลืองลายผลส้มออกมา ก็นับว่ายังดีกว่าผ้าพันแผลสีชมพูผืนเก่า เมื่ออยู่ในที่ที่แสดงสว่างพร้อมการทำแผลก็เสร็จสิ้นไปอย่างรวดเร็ว ทว่าเฟินเยว่ยังมีเรื่องที่อยากจะคุยกับเขาต่อ
         
          “คุณชายซูเจ้าคะ คือว่า..” สาวน้อยอึกอักเล็กน้อย เมื่อคราวจะสนทนาเรื่องนี้อย่างจริงจังนางกลับเรียบเรียงคำพูดออกมาไม่ถูกว่าจะถามเขาเรื่องไหนก่อนดี จนสุดท้ายก็เอ่ยออกมาสักเรื่อง “เอ่อ.. เรื่องของคุณชายซูในวันนั้นที่บอกว่าจะเล่าให้ฟังน่ะเจ้าค่ะ”
         
          “อ้อ ถ้าเล่าแล้วจะไม่มีคนหลับใช่ไหม?”
          ตงฮั่วกล่าวเหมือนแซว แต่ทว่าเขาหรี่ตามองเหมือนกับไม่ไว้ใจเด็กสาวว่าจะไม่หลับไปเสียก่อน
         
          “ไม่หลับสิเจ้าคะ คราวนี้จะตั้งใจฟังอย่างดีเลยล่ะเจ้าค่ะ”
         
          เฟินเยว่รับปากเป็นหมั้นเป็นเหมาะ หากคราวนี้ถ้ารู้สึกง่วงขึ้นมาคงต้องหยิกแขนตัวเอง
         
          “เฮ้อ เอาอย่างนั้นก็ได้” ในตอนนี้ทั้งสองก็สนิทกันมากพอที่จะรู้เรื่องราวของกันและกัน อีกอย่างหนึ่งคือตงฮั่วเป็นคนที่มีนิสัยตรงไปตรงมากล้าได้กล้าเสีย หากเด็กสาวรับไม่ได้นางจะได้ตีตัวออกห่างเขาเสียตอนนี้ “ตามที่เจ้ารู้ บ้านข้าอยู่ซีเหอ ทำธุรกิจผ้าไหม กิจการรุ่งเรืองดี แต่ก็ต้องมาซบเซาเพราะพวกโจรผ้าเหลือง”
         
          เฟินเยว่รับฟังอย่างเงียบ ๆ โดยไม่โต้แย้ง เรื่องของโจรผ้าเหลืองก่อความเดือดร้อนทุกหย่อมหญ้าเป็นสิ่งที่ชาวต้าฮั่นรู้ดีกันอยู่แล้ว ในฐานะลูกสาวร้านขายผ้าเช่นกันนางเองก็เข้าใจในความยากลำบาก เพียงแต่ธุรกิจที่บ้านล้มละลายไม่ได้เป็นเพราะพิษเศรษฐกิจ อาจด้วยภูมิภาคเหลียงโจวลำเลียงขนผ้าไหมออกไปขายยังเส้นทางสายไหมสะดวกกว่าและได้รับการคุ้มครองจากท่านหม่าเถิงแห่งอู๋เว่ยเป็นทุนเดิม โจรร้ายแม้จะมีแต่ก็ไม่ชุกชุมเท่าภาคเหนือ เด็กสาวคิดเช่นนั้นจนกระทั่งตงฮั่วเล่าต่อด้วยน้ำเสียงที่เปลี่ยนไป
         
          “ในตอนที่ข้าอายุได้เพียงแค่หกขวบ บิดาออกไปค้าขายผ้าไหมที่เป่ยไห่แต่ก็ถูกโจรชั่วพวกนั้นปล้นคร่า ท่านพ่อถูกสังหาร ไม่ได้กลับมาที่บ้านอีก”
         
          เมื่อเล่าถึงตรงนี้มือแกร่งก็กำหมัดเกร็งแน่นด้วยความเคียดแค้น ยิ่งคิดถึงท่านพ่อความแค้นในใจก็ยิ่งปะทุขึ้นมา เขาอยากจะกำจัดพวกมันให้สิ้นซาก เข่นฆ่ามันให้สาสมกับที่พวกมันทำร้ายประชาชน จะกำจัดมันทุกคนที่เข้าร่วมไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือสตรี แววตาของสหายกลับกลายเป็นแข็งกร้าวดุจพยัคฆ์ร้ายที่รอคอยวันชำระแค้น
         
          เรื่องที่ได้ยินทำเอาเด็กสาวสะเทือนใจอยู่ไม่น้อย นางวางมือเล็ก ๆ ลงบนหมัดที่กำแน่นราวกับอยากจะปลอบประโลมเรื่องราวร้าย ๆ ของเด็กหนุ่มให้คลายลงทุกอย่าง ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นนางก็จะยังอยู่ตรงนี้ จะเป็นสหายที่คอยช่วยเหลือเขาอยู่เสมอ ไม่ใช่เพียงแค่เรื่องอาหารการกิน แต่ทว่าอยากจะดูแลจิตใจที่บอบช้ำให้กลับมาฟื้นฟูดีขึ้นด้วย ซึ่งไม่รู้ว่าความหวังดีของนางตงฮั่วจะยินดีรับมันเอาไว้หรือเปล่า เพียงแต่ว่าตอนนี้รับรู้ได้อย่างหนึ่งว่าอย่างน้อยความปรารถนาดีที่ไม่ได้เอ่ยออกจากปากเหล่านี้ก็ส่งไปถึงจนเด็กหนุ่มคลายกำปั้นที่แข็งเกร็งนั้นลง ตงฮั่วถอนหายใจอีกครั้งก่อนที่จะเล่าเรื่องราวชีวิตของเขาต่อ
         
          “นับแต่นั้นมาข้าก็ฝึกวิชาอย่างหนักเพื่อการล้างแค้น ทรัพย์สินที่เหลือแค่พอประทังชีพไปวัน ๆ จนเติบใหญ่มาได้จนถึงทุกวันนี้ นอกจากนั้นที่เหลือก็ตามที่เจ้าเห็น”
         
          “ที่ได้แผลมาก็เพราะเรื่องนี้ด้วยหรือเปล่าเจ้าคะ?”
         
          “ใช่”
         
          ตงฮั่วตอบออกมาตามตรงโดยไม่มีปกปิด ได้ยินแบบนั้นความรู้สึกรวดร้าวก็แล่นพล่านขึ้นกลางอก สหายของนางกำลังนำตัวเองไปเสี่ยงอันตราย ไม่ว่าอีกฝ่ายจะมีฝีมือฉกาจฉกรรจ์เพียงใดแต่คนเพียงหนึ่งคนคงไม่อาจสู้กลุ่มโจรที่มีกำลังรบเป็นหมื่นเป็นแสน ในวันนี้ได้แค่แผลแต่สักวันอาจพลาดท่าถึงแก่ชีวิต อันที่จริงร่องรอยบาดแผลของเด็กหนุ่มไม่ได้มีเพียงแค่แผลที่แขนแต่ยังมีร่อยรอยเก่าอยู่เต็มตัว แต่นางก็ไม่รู้ว่านั่นมาจากการฝึกฝนหรือว่าถูกโจรกระทำ
         
          “คุณชายซู ข้าไม่อยากให้ท่านทำแบบนี้เลยเจ้าค่ะ เอาชีวิตตัวเองไปเสี่ยงเปล่า ๆ ข้าพอจะเข้าใจว่าความแค้นไม่อาจลบเลือนได้ง่าย ๆ แต่ไม่มีหนทางอื่นแล้วเหรอเจ้าคะที่จะดับไฟในใจลง”
         
          “ไม่มีหรอก จะมีแต่ต้องกำจัดพวกมันให้สิ้นซากเท่านั้นล่ะ” ตงฮั่วเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าของเด็กสาวที่อยู่ตรงหน้า สีหน้าของเขาดูจริงจังกว่าครั้งไหน ๆ “เจ้ารับได้หรือเปล่าที่มีสหายแบบข้า”
         
          “ต้องรับได้อยู่แล้วสิเจ้าคะ!” มือที่กุมมือของอีกฝ่ายไว้ไม่ยอมปล่อยออกมีแต่จะยิ่งกุมมือเขาแน่นขึ้นเพื่อแสดงให้เห็นถึงความตั้งใจของตัวเอง “ไม่ว่าคุณชายซูจะเป็นแบบไหนข้าก็จะยังเป็นเพื่อนของท่านอยู่เสมอเจ้าค่ะ เพราะฉะนั้นจึงเป็นห่วงอย่างไรล่ะเจ้าคะ ข้าไม่อยากให้ท่านต้องไปเสี่ยงตายเลยจริง ๆ ถ้าหากว่ามีทางล่ะก็...”
         
           เฟินเยว่พยายามครุ่นคิด จะมีทางใดที่ช่วยเหลือสหายได้บ้าง หรืออย่างน้อยก็คอยเกลี้ยกล่อมเขาให้เปลี่ยนหาวิธี จนสุดท้ายเด็กสาวก็หวนคิดถึงบัณฑิตเหลียง หากใช้วิธีเดียวกันในการเกลี้ยกล่อมเขาจะยอมหรือไม่นะ
         
          “คุณชายซูลองทำงานรับใช้นายดีดูดีหรือไม่เจ้าคะ ข้าคิดว่านั่นน่าจะเป็นทางที่ถูกที่ควรมากกว่าจะเอาตัวไปเสี่ยงชีพเพียงคนเดียว ถ้าหากว่าข้าได้เจอท่านพี่ใหญ่แล้วจะลองคุยกับเขาดู ไม่แน่ว่าอาจจะพอมีหนทางก็ได้นะเจ้าคะ ถ้าอย่างไรเสียตอนนี้คุณชายซูก็ร่วมทางมากับข้าก่อน คือว่าข้า.. ไม่อาจปล่อยให้ท่านได้ออกไปเสี่ยงเพียงลำพังได้จริง ๆ เจ้าค่ะ”
         
          การกระทำของตงฮั่วนั้นบ้าบิ่นเกินกว่าที่เด็กสาวจะปล่อยให้เขาหลุดรอดสายตาไปจริง ๆ เกรงว่าครั้งต่อไปหาลาจากสหายแล้วเราจะไม่ได้กลับมาพบกันอีก
         
          “นี่เจ้ากำลังจะเกลี้ยกล่อมข้าเหมือนกับบัณฑิตผู้นั้นใช่หรือไม่?”
         
          “จะว่าใช่ก็ใช่เจ้าค่ะ แต่จุดประสงค์นั้นแตกต่าง เขาต้องการนายดีรับใช้ นายที่อยากพัฒนาบ้านเมืองให้ราษฎรอยู่ดีกินดี มีความเท่าเทียม สามารถใช้ชีวิตได้อย่างอิสระและปลอดภัย แต่ของคุณชายซูนั้นแตกต่างออกไป ข้าไม่อยากให้ท่านต้องเสี่ยงภัย แต่ว่าลองคิดสิเจ้าคะ หากว่าพวกเรารวมกลุ่มกันได้อาจจะทำเรื่องทั้งหมดนั้นได้สำเร็จก็ได้ ทั้งกวาดล้างโจรผ้าเหลืองออกไป และช่วยพัฒนาสังคมให้ดียิ่งขึ้น แม้ตอนนี้ความเป็นไปได้จะต่ำแต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีเลยนะเจ้าคะ คุณชายซูมาเดินทางร่วมกันกับข้าเถอะเจ้าค่ะ”
         
          เด็กสาวลองพูดเกลี้ยกล่อมเขา แม้ว่าปณิธานจะสวยหรูแต่ช่างทำได้ยากยิ่ง โดยเฉพาะเรื่องการแก้แค้น จะทำอย่างไรให้เสียเลือดเสียเนื้อน้อยที่สุด เรื่องนี้คงต้องเก็บเอาไปคิดต่ออีกทีหนึ่งหากว่าคนตรงหน้าตอบรับคำเชิญนี้
         
          ตงฮั่วครุ่นคิดอยู่เล็กน้อย สิ่งที่เด็กสาวพูดก็ถูกต้อง ที่ผ่านมาเขาหน้ามืดตามัวมุ่งเน้นไปที่การแก้แค้นเพียงอย่างเดียวจนหลงลืมไปว่าตนเองนั้นบาดเจ็บไปกี่ครั้ง เด็กหนุ่มคิดแต่เพียงว่าบาดแผลที่ได้รับช่างเป็นเรื่องเล็กน้อย หากแค่นี้ทนไม่ได้แล้วแผนการที่มุ่งหวังจะสำเร็จไปได้อย่างไร และหากกำราบโจรผ้าเหลืองลงได้จะทำอะไรต่อ เมื่อไม่รู้หนทางความรู้สึกเคว้งคว้างจึงเข้าครอบงำจิตใจ
         
         ‘ช่วยพัฒนาสังคมงั้นเหรอ ก็ดูโลกสวยสมกับเป็นนางดี’
        
         เขาเงยหน้าขึ้นมองสบดวงตาของเด็กสาวที่มีประกายอันแรงกล้าแฝงอยู่ภายใน ยามนี้ตงฮั่วรู้สึกสับสน เขาไม่คิดเลยว่าจะมีใครสักคนที่หวังดีกับตนจริง ๆ แล้วพยายามโน้มน้าวถึงเพียงนี้ ความรู้สึกทั้งหมดผสมปนเป ดีใจที่มีคนเป็นห่วง ละอายใจต่ออีกฝ่าย หรือแม้กระทั่งกังวลกับอนาคตที่จะเกิดขึ้น
         
         ทั้งที่เคยพูดไปตั้งหลายครั้งหลายหนว่าชายหนุ่มหญิงสาวไม่ควรอยู่ด้วยกันสองต่อสอง กระนั้นเด็กสาวตรงหน้ากลับไม่ห่วงภาพลักษณ์ของตนเองเลย เพราะอะไรกันนะ เป็นเพราะว่าเขาเคยช่วยชีวิตนางเอาไว้อย่างนั้นหรือ หรือว่าเฟินเยว่จิตใจบริสุทธิ์สูงส่งเกินกว่าที่คนคิดถึงแต่การแก้แค้นจะเข้าถึง ตงฮั่วพยายามไม่คิดไปถึงเรื่องชู้สาว เขายังไม่อยากคิดเข้าข้างตัวเอง หากคิดว่านางชอบเขาก็ดูจะเป็นการไม่ให้เกียรติอีกฝ่ายเอาเสียเลย แม้ว่าทั้งคู่จะสนิทสนมกันค่อนข้างมากแล้วและไม่ได้มีสิ่งใดที่เคยผิดใจกัน ทว่าตงฮั่วยังไม่อยากคิดไปไกล เพราะในใจของเขายังมีปณิธานในใจที่สำคัญเกินกว่าจะมามัวใส่ใจกับหัวใจของคนอื่น ...หรือกระทั่งของตนเอง ทำให้เขาหลุบสายตาลงมาอีกครั้ง
         
          “ข้า.. ไม่รู้ว่าต้องทำยังไง หากเข้าร่วมกับทางการแล้วจะได้ทำตามเป้าหมายจริงหรือไม่ และหากไม่ได้ทำเช่นนั้นจริงคงรู้สึกผิดต่อท่านพ่อมาก”
         
         เด็กสาวเห็นท่าทีของเด็กหนุ่มผู้แข็งแรงดูสลดลงไปมากจนไม่สมกับเป็นตัวเขาเลยก็รู้สึกใจหาย อยากจะเข้าไปกอดปลอบลูบหลังอย่างที่ทำกับเด็กน้อยก็ทำไม่ได้ ที่ทำได้เพียงอย่างเดียวก็คือเกลี่ยปลายนิ้วลูบที่หลังมือของอีกฝ่ายอย่างแผ่วเบา
         
         “ข้าเชื่อว่าได้เจ้าค่ะ บะ.. แบบว่า.. เราต้องมั่นใจว่าตัวเองทำได้ไปก่อนจะได้ไม่ต้องไปเสียใจไปเปล่า ๆ อันที่จริงข้าไม่เห็นด้วยกับการใช้กำลังในทุกวิถีทาง แต่ว่ามันคงจะเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในยุคสมัยแบบนี้ ข้าไม่เคยสูญเสียพ่อแม่ไปเหตุแบบท่านจึงตอบไม่ได้แน่ชัดหรอกเจ้าค่ะว่าจะโกรธแค้นเพียงไหน ให้คิดแทนก็ไม่ได้ แต่ถึงอย่างนั้นข้าก็เข้าใจคุณชายซูนะเจ้าคะ ถึงอาจจะเข้าใจไม่หมด แต่ก็ยังอยากที่จะเข้าใจเจ้าค่ะ แล้วข้าก็… เป็นห่วงท่านมาก ๆ ด้วย”
         
         คำว่าเป็นห่วงอันแสนบริสุทธิ์ถูกถ่ายทอดออกมาหลายต่อหลายครั้งทำให้เด็กหนุ่มคลี่ยิ้มออกมาได้บ้าง เขากระชับมือบางของเด็กสาวกลับตงฮั่วไม่รู้ว่าปกติมือสตรีเป็นแบบนี้เหมือนกันทุกคนหรือเปล่า ต่อให้มือของเด็กสาวจะหยาบกร้านแค่ไหนเขาก็คิดว่ามันเนียนนุ่มมากกว่าบุรุษเพศมากอยู่ดี บางทีการได้จับมือใครสักคนในวันที่ฟ้ามืดมนมันก็ดีเหมือนกัน เหมือนกับทางตรงหน้ามีแสงสว่าง คน ๆ นี้จะสามารถชี้หางให้เขาได้หรือไม่ บางทีเขาควรจะลองดู การร่วมทางกับใครสักคนอาจไม่ได้แย่นักก็เป็นได้
         
         “รู้แล้ว ๆ เฮ้อ.. ดูเหมือนว่าคราวนี้เจ้าจะเซ้าซี้ข้าได้สำเร็จอีกครั้งแล้วสิ”
         
         “เอ๋ คุณชายซูหมายถึง..”
         
         คำตอบที่ได้รับฟังดูคลุมเครือ นั่นทำให้เด็กสาวประมวลผลตามไม่ทัน รู้แต่ว่าอีกฝ่ายจับมือของนางกลับมาวางคืนไว้บนหน้าตักของตนเอง การกระทำของเด็กหนุ่มคือตอบรับหรือว่าปฏิเสธกันแน่นะ
         
         “รีบเข้านอนกันเถอะ แล้วพรุ่งนี้ข้าจะพาไปพบกับสหาย”
         
         “เอ๋ สหายหรือเจ้าคะ? ใครหรือเจ้าคะ?”
         
         ไม่น่าเชื่อเลยจริง ๆ ว่ามนุษย์ถ้ำอย่างตงฮั่วจะคบค้าสมาคมกับใครเขาด้วย แต่เฟินเยว่ก็รีบลบความคิดนี้ทิ้งไป ขนาดว่าเขาสนิทกับนางได้ก็น่าจะย่อมมีสหายอื่นอีก ถ้าหากว่ามีท่าทีเช่นนี้แปลว่าการเกลี้ยกล่อมน่าจะใช้การได้ผลอยู่บ้าง
         
         “เอาไว้พรุ่งนี้ก็จะรู้เอง”
         
         คำตอบที่ได้ยินทำให้อดใจรอไม่ไหว เพื่อให้ถึงพรุ่งนี้ไว ๆ เอาเป็นว่านางควรจะทำตามเขาแล้วรีบเข้านอน...


.
.
.



ลักษณะนิสัยรักสงบ
+1 Point ทุกครั้งที่โรลใช้แผนอุบาย หรือ ทางการทูต
-10 ลดความเครียด

ลักษณะนิสัยเห็นอกเห็นใจ
+2 Point จากการโรลการทูต

อัตลักษณ์อัจฉริยะ
+5 Point จากการโรลทางการทูต

อัตลักษณ์หูดี
+2 Point ทุกครั้งที่โรลการทูต
+15 ความสัมพันธ์กับคนที่คุยด้วย

อัตลักษณ์ขาดความรอบคอบ
+1 Point เมื่อโรลเพลย์ทางการทูต

เอฟเฟคความสัมพันธ์
[152] ซู ตงฮั่ว
มอบ กุ้งผัดชาหลงจิ่ง
ความสัมพันธ์ +10 จากการคนธาตุและปีเดียวกัน

มอบ ปลากง จำนวน 5 ตัว ให้โรงเตี๊ยม
เป็นการตอบแทนที่ให้ยืมครัว





←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
พยัคฆ์ตงเทียน
หยกเชื่อมสัมพันธ์
พู่กันเหวิ่นเซ่า
ถุงหอมจูอวี๋
กลยุทธ์เล่ออี้
บทเพลงยิ้มเย้ยยุทธจักร
หน้ากากขาว
เกราะเกล็ดมังกร
ผ้าคลุมไท่หลง
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x40
x32
x1
x439
x500
x73
x500
x26
x498
x500
x10
x2
x9
x1
x400
x1
x1
x5
x28
x8
x591
x228
x228
x500
x2514
x18
x14
x1
x5
x1
x2
x100
x5
x50
x100
x3
x3
x10
x2
x47
x64
x6
x9
x2
x71
x1
x24
x95
x50
x86
x150
x260
x150
x150
x46
x46
x2
x2
x6
x2
x2
x34
x4
x1
x8
x1
x2
x7
x5
x8
x7
x110
x7
x74
x45
x3
x30
x63
x74
x79
x2
x71
x68
x6
x45
x50
x160
x316
x3
x220
x48
x35
x168
x12
x10
x25
x1
x13
x6
x4
x6
โพสต์ 2021-10-14 00:07:15 | ดูโพสต์ทั้งหมด

เทศกาลฉงหยาง
พักผ่อนก่อนเข้าวันเทศกาล
.
.

           ใช้เวลาเกือบหนึ่งชั่วยามทั้งคู่ถึงมาเยือนยังูมิภาคเจียงหนาน หลังจากที่ลงยังท่าเรือชิงต่าวได้แล้วจิ้นอิ๋งและกัวเจียก็ต่างปรึกษาถึงพาหนะที่จะใช้ในการเดินทางกันว่าควรใช้เป็นรถม้าหรือเช่าเพียงม้ามาโดยสารกันดี ซึ่งจิ้นอิ่งที่ลอบนึกถึงเหตุการณ์บนรถม้าก่อนหน้า ดวงหน้านวลก็เริ่มฝาดสีขึ้นมาอีกหนก่อนจะเอ่ยหนักแน่นกลับหากัวเจียว่าให้เดินทางด้วยม้ากันดีกว่า

           สุดท้ายทั้งคู่ก็ได้เช่าม้ามาด้วยกันทั้งหมดสองตัวก่อนจะพากันเร่งเดินทางไปยังโรงเตี๊ยมเหมยวู่เซียนในตอนปลายยามโหย่วเพื่อไม่ให้ฟ้ามืดไปมากกว่านี้จนเดินทางลำบากกันไปเสียก่อน
           .
           .
           เมื่อมาถึงและเก็บม้ายังคอกพักเรียบร้อยตัวจิ้นอิ๋งและกัวเจียก็ได้พักทานอาหารเย็นร่วมกัน ระหว่างนั้นเด็กสาวก็เอ่ยถึงเวลานัดหมายที่จะไปปีนเขาขึ้นมาด้วย เพราะตามงานเทศกาลเหมือนว่าจะได้พักทานข้าวเที่ยงยังยอดเขา เช่นนั้นแล้วระยะเวลาที่นัดหมายเจอกันกับจอมยุทธหลิวที่เขาหวงซานคงเป็นยามซื่อ แต่เมืองเจียงเยี่ยที่พวกนางอยู่นั้นค่อนข้างห่างจากตัวเมืองหวงซาน จิ้นอิ๋งเลยอยากเผื่อเวลาเดินทางสักสองชั่วยามไว้ก่อน

           " เช่นนั้นข้านัดอาเจียมาเจอกันยังหน้าโรงเตี๊ยมในยามเหม่าแล้วกันนะเจ้าคะ แล้วเราค่อยเดินทางไปที่เขาหวงซานด้วยกัน "

           " อืม.. ได้สิ ไว้หลังทานอาหารเสร็จข้าไปช่วยอาอิ๋งทำอาหารด้วยแล้วกันจะได้เสร็จไว ๆ "

           กัวเจียขานรับพลางเสนอความช่วยเหลือแก่เด็กสาวไปด้วยเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายต้องมือระวิงทำอาหารอยู่คนเดียวจนดึกดื่น ซึ่งจิ้นอิ๋งที่ได้รับฟังก็พลันพยักหน้ารับทั้งรอยยิ้มกว้างก่อนทั้งคู่จะพากันเร่งทานอาหารเพื่อไปขอเถ้าแก่โรงเตี๊ยมใช้ห้องครัว โดยแลกกับปลาเก๋าที่นางเคยตกมาได้ให้แก่ทางโรงเตี๊ยมราวสิบตัวได้ ซึ่งสิ้นข้อเสนอของจิ้นอิ๋งเถ้าแก่โหลวหลี่ก็แทบเผยรอยยิ้มยินดีและเชื้อเชิญให้ใช้โรงครัวได้ตามสะดวกเลยเชียว

           ทันทีที่เข้ามาถึงโรงครัวได้ จิ้นอิ๋งก็หยิบกล่องสำหรับใส่อาหารมาทั้งหมดด้วยกันสี่กล่องโดยแยกเตรียมให้ทั้งผู้มีพระคุณที่เปรียบดั่งผู้อาวุโสของนาง ท่านจอมยุทธ์หลิว และศิษย์ของอีกฝ่ายเด็กสาวตัวน้อยหวังอี้ โดยไล่ตั้งแต่อาหารจานหลักไปจนถึงมีของหวานภายในกล่อง คือมีอาหารเมนูฮวาเจียวที่จิ้นอิ๋งแอบใคร่รู้ลองชิมพริกนั้นไปเพียงหนึ่งปลายช้อนชา ริมฝีปากเล็กก็แทบขึ้นสี ดวงหน้านาวผ่าวร้อนจนดวงตากลมคลอน้ำทั่ว ลำบากกัวเจียต้องไปหาชาอุ่น ๆ มาช่วยให้นางดื่มล้างความเผ็ดเหล่านั้นเสียให้วุ่นวาย

           ถึงกระนั้นยามที่เด็กสาวสงบลงหลังจากหายเผ็ดได้แล้วนั้น บุรุษแซ่กัวก็แทบระเบิดหัวเราะออกมาอย่างขบขันไม่น้อยเลยเชียว มือเลื่อนเช็ดหน้าเช็ดตาแผ่วเบาให้จิ้นอิ๋งตามพวงแก้มเนียนที่ประดับยังคราบน้ำตาอย่างที่นางก็ไม่รู้ตัว..

           .
           หลังวุ่นวายกับกล่องอาหารของจอมยุทธ์หลิวจื่อกงและศิษย์ตัวน้อยเรียบร้อย ที่เหลือเป็นกล่องอาหารของนางและสหายแซกัวก็ง่ายขึ้นแล้วเพราะเมนูที่ทำนั้นเป็นเมนูเหมือนกันคือไก่ขอทาน โดยระหว่างทำจิ้นอิ๋งก็คอยเอ่ยสูตรให้แก่กัวเจียไปด้วยเผื่อว่าอีกคนจะได้นำไปทำเองแต่อีกฝ่ายที่กำลังนั่งรอมองไก่ให้สุกไปพร้อมกันกลับส่ายหัวปฏิเสธขึ้นมาให้คนกล่าวบอกมองฉงน

           " ข้าอยากให้อาอิ๋งทำให้ทานมากกว่า.. ข้าอยากทานอาหารฝีมือเจ้าน่ะ "

           สิ้นประโยคกัวเจียก็ผินใบหน้าสบหาเด็กสาว ดูจริงจังจนจิ้นอิ๋งเผลออ้ำอึ้งขึ้นมาพร้อมกันนั้นเด็กสาวก็เร่งหลบสายตาและชี้ชวนให้ช่วยกันทำขนมฉงหยางกันต่อ จนปรากฏรอยยิ้มขบขันรับจากบุรุษแซ่กัว ก่อนอีกฝ่ายจะไม่ได้เอ่ยล้อหยอกสิ่งใดต่อมากไปกว่าช่วยทำขนมด้วยกันจนเสร็จก็เข้าช่วงยามห้ายพอดี

           " เสร็จเรียบร้อย.. อาเจียรีบพักผ่อนเถิดเจ้าค่ะ เดี๋ยวพรุ่งนี้เดินทางไม่ไหวกัน "

           จิ้นอิ๋งที่ห่อกล่องอาหารทั้งสี่กล่องจนเรียบร้อยแล้วก็หันมาชวนอีกบุรุษให้ขึ้นไปยังชั้นสองส่วนของห้องพักของโรงเตี๊ยมต่อ โดยที่กัวเจียก็ตามมาอย่างไม่อิดออด หลังเอ่ยลากันจนเรียบร้อยและแยกย้ายเข้าห้องของแต่ละคนไปแล้วนั้น จิ้นอิ๋งก็เตรียมผ้าผ่อนไปอาบน้ำที่โรงอาบน้ำก่อนเข้านอน

           .
           ซึ่งครั้งนี้เพราะใกล้เทศกาลฉงหยาง น้ำอาบจึงประดับยังกลีบดอกจูอวี๋ให้โชยกลิ่นหอมอ่อนจางแทบจะทั่วทั้งโรงอาบ โดยทันทีที่เรือนร่างเล็กลงแช่ยังถังน้ำนั้น กลิ่นก็ยิ่งอวลคลุ้งทั่วให้จิ้นอิ๋งแทบหลับตาพริ้มรับเสียเดี๋ยวนั้น ร่างทั้งร่างแทบดำดิ่งนอนนิ่งยังใต้น้ำอุ่นในถัง ดวงตาสีนิลลืมขึ้นมองเหม่อยังภาพพร่าเบลอจากระลอกผิวน้ำที่เคลื่อนสะท้อน ฟองอากาศหลุดลอยแผ่วจากลมหายใจออกทีละน้อย ชวนให้เลื่อนมือขยับแตะเล่นเชื่องช้า หูทั้งสองพลันถูกน้ำปิดกั้นจนราวกับขมดิ่งในโลกของตัวเองให้ได้ครุ่นคิด

           ระหว่างนั้นมือที่ปะป่ายเล่นยังฟองอากาศที่พ่นออกกลับเลื่อนมาแตะหายังใต้เนินลาดไหล่ตัวเองเสียอย่างนั้น สัมผัสแนบชิดบทรถม้าที่ลืมเลือนแทบทั้งวัน ในยามที่ตกในห้วงความคิดที่ย้อนหา กลับปรากฎชัดเจนราวกับถูกแนบดวงหน้าหาอีกหน ฉับพลันระลอกความละอายพลันแล่นริ้วจนจิ้นอิ๋งรีบผุดลุกขึ้นมาเหนือน้ำพร้อมแว่วเสียงไอโขลกสำลัก มือทั้งสองพลันยกปิดกั้นยังใบหน้าที่ระเรื่อฝาด ก่อนจะรู้สึกโมโหตัวเองขึ้นมาไม่น้อย

           ใยบวบที่ใช้ขัดผิวจึงถูกเด็กสาวหยิบขึ้นมาถูเช็ดตามตัวอย่างแรงราวกับเรียกสติไม่ให้นางได้หวนนึกถึงเหตุการณ์เหล่านั้นอีก ริมฝีปากเม้มแน่นพร้อมสีหน้านิ่วหนักดูไม่อยากยอมรับ ทั้งที่ตั้งมั่นอยากเป็นเพียงสหายไยในใจไม่ยอมรับฟัง

           เป็นเช่นนี้แล้วนางจะกล้าสู้หน้ากัวเจียได้อย่างไร…



มอบ ปลาเก๋าสิบตัว แก่โรงเตี๊ยมเหมยวู่เซียน
ตอบแทนที่ให้ใช้โรงครัว
ลักษณะแต่กำเนิดตัวหอม
+20 ความสัมพันธ์กับคนที่คุยด้วย
.
สถานะธาตุหลัก : +10 ความสัมพันธ์ [028] ธาตุดินและปีนักษัตรเหมือนกัน
ค่าชื่อเสียง : +10 ความโหดเมื่อเจอคนหัวมาร/หัวคลั่ง

←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
บทเพลงเฟิ่งฉิวหวง
ถุงหอมจูอวี๋
กระบี่
พู่หยกเลือดหงส์
กลยุทธ์เล่ออี้
ม้าเหลียง
หน้ากากขาว
เกราะเกล็ดมังกร
ผ้าคลุมไท่หลง
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x3
x3
x3
x3
x3
x3
x3
x5
x2
x2
x1
x2
x2
x2
x1
x1
x27
x2
x38
x40
x50
x50
x40
x40
x50
x3
x22
x19
x31
x10
x50
x5
x5
x5
x1
x12
x1
x2
x5
x2
x9
x1
x8
x6
x6
x1
x3
x2
x2
x1
 เจ้าของ| โพสต์ 2022-6-14 21:09:35 | ดูโพสต์ทั้งหมด
  
- เงื่อนไขจีบ NPC -
1) ทุกครั้งที่มาเจอปฏิสัมพันธ์จะต้องโรลเพลย์ถ่ายทอดความรู้ 1 อย่างแก่ เด็ก
2) ทุกครั้งที่ถ่ายทอดความรู้ จะสูญเสีย -30 EXP เพื่อมอบให้แก่เด็กคนนั้น +30 EXP แทน และ คุณได้รับความสัมพันธ์โบนัสต่อเด็กคนนั้น +25 ความสัมพันธ์
3) สามารถมาเจอได้ทุกวันที่ทัศนาจรที่นี่ และ ปฏิบัติตามเงื่อนไขการเจอ NPC ข้อ 1) - 2)
4) ให้ของได้วันละครั้ง แต่สามารถสอนได้ไม่จำกัด

คำเตือน:
โปรดอย่าปั่นโพสต์เกินไป เว้นความถี่ CD 1-2 ชม. ยกเว้นโรลเพลย์ยาวพอสมควรอนุญาติไม่มี CD

[071] โจว หยู (จิวยี่)
ระยะเวลาอยู่ที่นี่: ยังไม่มีกำหนดการไปจากที่นี่




←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x1
x2
x12
x5
x636
x241
โพสต์ 2022-8-27 17:46:16 | ดูโพสต์ทั้งหมด
เบาะแส เจียงเยี่ย
-โคมพิศดารยาวบ้านผู้ยากไร้-
♦ • ♦ • ♦ • ♦ • ♦ • ♦ • ♦ • ♦
             ไม่รุ้ว่าราชครุหลิวต้องขอบคุณเทพไท้รึสวรรค์ในความเชื่อใดเมื่อในที่สุดหญิงสาวที่เาอแต่วิ่งไล่ตามเงาและข่าวของโจรลักพาชาวบ้านก้ตัดสินใจหยุดพักเสียที เขาแทบจะเรียกได้ว่าเบาใจอย่างที่สุดหากไม่ติดว่าตั้งแต่เข้าเมืองเจียงเยี่ยมาอู้ม่านดูซึมลงอย่างเห็นได้ชัด
             ทำไมกันล่ะ? มิใช่ว่าเจียงเยีย่คือบ้านเกิดของพวกเขาพี่น้องสกุลเสิ่นหรือ?
             “ไม่ง่ายเลยกว่าจะมีโอกาสเยือนเจียงหนาน หากเจ้าอยากแวะไปเยีย่มเยือนญาติล่ะก็พวกเรายังพอมีเวลา” ราชครูหลิวคิดอ่านอย่างระมัดระวัง หากที่ทางเป้นใจคราวนี้ไม่แน่ว่าเขาอาจมีจังหวะดีๆ พบปะกับบิดามารดาของนางจะได้อาศัยสอบถามบางเรื่องไปในตัว
             “....ข้ารู้สึกไม่ค่อยสบาย ขอตัวไปพักก่อน”
             แม้จะเป็นการปฎิเสธอ้อมๆ แต่ก็แสดงให้เห็นได้ชัดว่านางหาได้มีความคิดจะไปปรากฎตัวกับทางด้านในสภาพนี้เป็นแน่ ซึ่งนั่นทำให้เกิดความกังขาขึ้นในใจของชายหนุ่มอย่างรุนแรง รึว่าเขาพูดอะไรผิดไป? ชีวิตนี้ไม่เคยเกี้ยวพานอิสตรีประกบการณ์น้อยนิดแต่ก็ไม่ถึงกับทำพลาดอย่างร้ายแรงกระมั้ง
             อู้ม่านหลบเลี่ยงผู้ร่วมทางแล้วก็ได้แต่มาทำหน้าศร้าอยู่ด้านหลังโรงเตี้ยม นางจะบอกเขาอย่างไรล่ะว่าตนมีสถานะไม่ต่างจากคนที่ตายไปแล้วในสายตาของสกุลเสิ่น เกรงว่าหากอีกฝ่ายมีใจจะสืบเสาะให้มากสักหน่อย นำชื่อนางไปถามดูก็ย่อมต้องรุ้ความจริง
             เวลาที่จะได้วางตัวตามสบายไร้กังวลเช่นนี้.. คงเหลืออีกไม่มากแล้วสินะ
             “พี่สาวท่านมาทำอะไรตรงนี้ฮะ”
             เอ่… เสียงเด็กที่ไหน?
             เมื่ออู้ม่านเงยหน้าขึ้นจกาการนั่งกอดเข่าเหงาๆ นางก็ได้พบเข้ากับดวงตาลูกกลมใสแป๋วคู่หนึ่ง เด็กน้อยยิ่งคำถามรัวไ จากการคาดเดาประดาคนเดียงสา “ท่านทำหน้าเศร้าเหมือนพี่สาวบ้านตรงข้ามข้าที่พึ่งออกเรือนไปเลย.. อื้ม ออกเรือนไม่ดีหรือ รึท่านกำลังจะออกเรือนใช่ม่ะ?”
             เกิดความสับสนขึ้นในหัวสมองของอู้ม่าน นางส่ายหน้าแต่ก็อดไม่ได้ที่จะให้ความรู้ “ข้ายังมิได้ออกเรือนหรอกเจ้าหนู อย่างน้อยก็อีกหลายปีกว่าจะคิดเรื่องนั้น.. การแต่งงานมิสามารถจัดอย่างลวกๆ ได้นะ”
             “เอ่ แล้วต้องเตรียมอะไรบ้างหรอกฮะ ท่านแม่บอกว่า ในอนาคตข้าเองก็ต้องแต่งงานเช่นกัน”
             หญิงสาวหยักรอยยิ้มอย่างน้อยมีเพื่อนให้คุยก็ยังดีกว่านางมานั่งเศ้ราลำพัง “เยอะเลยล่ะ ก่อนอื่นเจ้าต้องหาแม่นางที่พึงใจ หรืออาจเป้นหนุ่มน้อยที่รู้สึกว่าชอบพอ จากนั้นต้องหาแม่สื่อบอกกล่าวกับทางบ้านของอีกฝ่ายแล้วก็.. เตรียมสินสอดกับหนังืสอรับตัวเจ้าสาว”
             “หนังสือรับตัวเจ้าสาว? ต้องมีด้วยหรอฮะ?” เด็กน้อยปีนขึ้นมาบนล้อเกวียนแล้วตั้งคำถาม
             นอกจากการทำให้ดูก็คงไม่ชัดเจนเท่า อู้ม่านนำหนังสือเปล่าออกมาร่ายยรายการสินสอดคร่าวๆ ตามที่เคยได้ยินมา จากนั้นก็สมมติพวกรายละเอียดวิธีการ ส่งให้อีกฝ่ายพลางอธิบายตามความเชื่อของตน “ด้านในนี้คือตัวอยา่งรายการสินสอด ต้งอระบุไว้ชัดเจนถึงวัน เวลา ที่จะไรับตัวเจ้าสาว.. ไม่ควรให้น้อยจนเกินไปต้องสมฐานะของทัง้สองฝ่าย จำไว้นะว่าเจ้าแต่งกับใครคนผู้นัน้คือคู่ชีวิตที่จะอยู่เคียงข้างกันจวบจนผมหงอกขาว ห้ามทำให้คนผู้นั้นต้องเศร้าเสียใจเป้นอันขาด!”
             เด็กน้อยโจวหยูรับเอาหนังสือมา ดีว่าเขาอ่านออกเร้วกว่าคนรุ่นเดียวกัน อ่านแล้วก้ตกตะลึงไป “เรือนหอ บ่าวไพร่ ทองร้อยหาบ ใช้มากขนาดนี้เชียว หมดตัวแน่ๆ”
             “คิก… โตแล้วรีบเก็บหอมรอมริบเล่า เดี่ยวไม่มีสมบัติไปแต่งภรรยาไม่รุ้ด้วยนะ”
             อีกด้านหนึ่งซีเยี่ยนขึ้นไปยังห้องพักไม่เห็นหญิงสาวเขาออกตามหาก้วยความห่วงใย สุดท้ายมาพบว่าอีกฝ่ายกำลังเล่นอยู่กับเด็กวัยเท่าจิ่วชุนด้วยความเอ็นดู เขาไม่ได้เข้าไปขัดเพียงได้แต่ลอบฟังความคิดของนาง เฝ้ามองรอยยิ้มนางอยุ่ห่างๆ
             รุ่งสางเมื่อทัง้คุ่ได้รับเบาะแสใหม่จากชาวยุทธ์นิรนามจึงออกเดินทางต่อ
♦ • ♦ • ♦ • ♦ • ♦ • ♦ • ♦ • ♦
-เอฟเฟคตัวละคร-
(เลื่อมใสศรัทธา)
+3 Point จากการโรลทำงาน
(ทะเยอทะยาน)
+2 Point ทุกครั้งที่โรลพัฒนาเมือง
+2 Point ทุกครั้งที่โรลเรียนรู้
+2 Point ทุกครั้งที่โรลใช้กลอุบาย
(อัจฉริยะ)
+5 Point จากการโรลใช้แผนการและกลอุบาย
+5 Point จากการโรลเรียนรู้
(หูดี)
+5 EXP จากการโรลสร้างปฏิสัมพันธ์กับคนอื่น
+2 Point จากการโรลใช้แผนการหรือกลอุบาย
(เห็นอกเห็นใจ)
+20 EXP ทุกครั้งที่โรลเห็นอกเห็นใจช่วยเหลือผู้อื่น หรือ ทำงานช่วยเหลือ
-2 Point เมื่อใช้อุบายแผนการ
(นักวิชาการ)
+4 Point เมื่อโรลเพลย์เรียนรู้
(นักวางแผน)
+5 Point เมื่อโรลเพลย์วางแผน ดำเนินกลอุบาย
รวม 28 Point 55exp +30 โหด -25 ความเตรียดจากการกิน
—------
เอฟเฟคหลิวซีเยี่ยน
(งดงาม)
+6 Point เมื่อโรลเพลย์บริหารเสน่ห์
(ถ่อมตน)
+2 Point จากการโรลให้เกียรติอีกฝ่าย
+10 EXP จากการโรลสรรเสริญคู่สนทนาด้วยความจริง
(สุขุม)
+2 Point ทุกครั้งที่โรลเรียนรู้
+20 EXP ทุกครั้งที่โรลอดทน
(เจ้าเล่ห์-เสแสร้ง)
+4 Point จากการโรลวางแผนใช้อุบาย
+30% คุ้มครองแผนการของคุณไม่ถูกเปิดโปง
รวม 14pt 30exp
.
—-----------

โจว หยู เด่ก 071
+35 มอบหนังสือรับตัวเจ้าสาวไว้ให้ศึกษา
(หูดี)
+15 ความสัมพันธ์กับคนที่คุยด้วย  
+25 สอนความรู้เรื่องสินสอด
+15 มาร พบ มาร
-15 ดิน ข่ม ไม้
+5 พูดคุยรายวัน
รวม +80





←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
เกาทัณฑ์พิชิตมังกร
ม้าฮั่นเสีย
ชุดเซิ่งชางจวิน
มุกเสวียนอู่
เสินหนงเปิ่นเฉาจิง
ตลับผงชาด
กลยุทธ์เล่ออี้
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x8
x20
x1000
x2
x4
x1
x200
x80
x2
x2
x53
x10
x5
x1
x5
x1
x28
x70
x3
x3
x3
x5
x15
x30
x8
x2
x6
x30
x62
x101
x101
x20
x444
x50
x40
x50
x1200
x9
x30
x3
x2
x1
x104
x92
x6
x350
x12
x2
x300
x60
x60
x4
x1
x3
x2
x1
x22
x1
x980
x19
x26
x1
x14
x18
x2
x2
x5
x5
x11
x10
x230
x44
x1
x4
x2
x16
x2
x2
x10
x8
x22
x48
x6
x150
x190
x270
x300
x530
x90
x50
x50
x50
x50
x1319
x100
x450
x100
x400
x140
x3
x10
x1
x11
x100
x60
x113
x130
x30
x8
x7
x4
x12
x20
x16
x27
x26
x1150
x200
x100
x1
x1
x1280
x12
x160
x18
x120
x25
x230
x10
x10
x18
x13
x10
x9
x30
x6
x12
x10
x20
x35
x18
x8
x129
x20
x10
x4
x118
x30
x19
x5
x23
x39
x8
x7
x25
x15
x53
x217
x5
x14
x96
x3
x82
x5
x22
x7
x10
x11
x829
x7
x27
x1
x3
x11
x14
x196
x694
x129
x7
x143
x484
x22
x1
x4
x1
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง เข้าสู่ระบบ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

อย่าลืมเข้าสู่ระบบนะจ๊ะ เข้าสู่ระบบตอนนี้ หรือ ลงทะเบียนตอนนี้

เว็บไซต์นี้ มีการใช้คุกกี้ 🍪 เพื่อการบริหารเว็บไซต์ และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานของท่าน (เรียนรู้เพิ่มเติม)

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้