แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Fenyue เมื่อ 2021-10-1 14:54
⌜51⌟
บทที่ 9 มาเยือนไท่หู ฉากที่ 4 ทั้งสองตกปลากันต่ออีกสักพัก จนถึงยามเย็นของวันนั้นจึงจูงม้ากลับไปที่โรงเตี๊ยมที่อยู่ไม่ไกล แล้วขอยืมครัวทำกับข้าวซึ่งเถ้าแก่โรงเตี๊ยมก็ใจดีให้โดยแลกกับปลาสองสามตัวที่ตกมาได้ ซึ่งเฟินเยว่มีปลาเหลือเฟืออยู่แล้ว เผื่อแผ่แค่นี้ไม่ใช่เรื่องยากลำบากอันใด งานนี้แม่ครัวจำเป็นเตรียมพร้อมแล้วที่จะเตรียมสำรับอาหาร สร้างมือล้างไม้เสร็จสรรพ ผมเผ้าก็รวบเก็บอย่างมิดชิด ไม่ใช่แค่นางผู้ช่วยก็เตรียมตัวพร้อม ด้วยความใจอ่อนเฟินเยว่ไม่กล้าทุบหัวปลาและฆ่ากุ้ง คนลงมือจึงเป็นผู้ช่วยแม่ครัวจนในที่สุดก็ได้ปลาและกุ้งที่พร้อมทำอาหารมาจำนวนหนึ่ง “เย็นนี้คุณชายซูอยากทานอะไรบ้างเจ้าคะ?” “อืม.. วันนี้เอาเป็นกุ้งผัดชาหลงจิ่งก็แล้วกัน” คำตอบที่ได้รับทำเอาเด็กสาวรู้สึกประหลาดใจไม่น้อย นึกว่าตงฮั่วจะอยากทานหม้อไฟทะเลเสียอีก นับว่าผิดคาดแต่ก็น่าสนใจ “ได้เจ้าค่ะ” เด็กสาวลงมือล้างกุ้งตัวเล็กตัวน้อยที่อยู่ในถัง ก็เพิ่งจะทราบเหมือนกันว่ากุ้งก็ตกได้เช่นเดียวกับปลา ล้างวัตถุดิบไปก็เอ่ยถามไปพลาง “คุณชายซูชอบทานอะไรบ้างหรือเจ้าคะ” “ขอนึกก่อนนะ หม้อไฟอะไรก็ได้แล้วอย่างนึง.. นอกนั้นก็ไก่ขอทาน กุ้งผัดชาหลงจิ่ง ชาเจียวกู่หลาน สุราชั้นดี พวกของหวานก็จะเป็น ขนมบัวหิมะ ขนมเชาปิ่ง.. เท่านี้แหล่ะมั้ง” ด้วยรายการอาหารจำนวนมากที่ตงฮั่วเอ่ยให้ฟังก็ทำให้รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นคนกินง่ายสมกับเป็นมนุษย์ถ้ำ เสียแต่ว่าการทานหม้อไฟบางคราวก็ออกจะเปลืองงบประมาณเกินไปหน่อย “มีขนมบัวหิมะด้วยสินะเจ้าคะ เอาไว้วันหลังถ้ามีโอกาสข้าจะลองทำให้ชิมนะเจ้าคะ” “ได้เลย แล้วข้าจะรอชิมก็แล้วกัน” สรุปอาหารเย็นวันนี้นอกจากกุ้งผัดชาหลงจิ่งแล้วก็ยังมี ปลานึ่งซีอิ๋ว และผัดผักอีกหนึ่งอย่าง วัตถุดิบต่าง ๆ ล้วนมาจากปลาและกุ้งที่ตกได้ในวันนี้ และผักที่เหลือจากการทำกับข้าวมื้ออื่น ๆ เห็นว่าตงฮั่วชอบสุราและชาชั้นดีนางก็อยากจะเลี้ยงเขาติดแต่ว่างบประมาณมีน้อยต้องใช้สอยอย่างประหยัดจึงได้ดื่มเพียงแต่น้ำชาธรรมดา ๆ เพียงเท่านั้น แต่ว่านั่นก็เพียงพอแล้วสำหรับทั้งสองคนที่ไม่ต้องการอะไรที่มันหวือหวา ห้องพักในคืนนี้เป็นห้องคู่ที่มีประตูภายในเชื่อมถึงกันได้ ภายในห้องพักถูกจัดแต่งด้วยเครื่องเรือนอันแสนเรียบง่ายแต่ทว่าให้ความรู้สึกถึงบรรยากาศอันแสนอบอุ่นชวนให้คิดถึงบ้าน เตียงนอนถูกปูด้วยผ้าปูที่นอนสีเรียบแต่ทว่ามีลวดลายเล็กน้อยสะอาดสะอ้านเสียจนอยากจะล้มตัวนอน แต่ยังไม่ได้ เดินทางมาตลอดทั้งสองวันแถมยังตกปลาอีกหลายชั่ง ตอนนี้ทั้งเนื้อทั้งตัวของเด็กสาวเหม็นคาวปลาเต็มไปหมด จำต้องอาบน้ำทำความสะอาดร่างกายให้หมดจดเสียก่อน มิเช่นนั้นจะทำห้องเหม็นและนอนหลับไม่สบายตัวเป็นแน่ เช่นเดิม เด็กสาวอาบน้ำกับหมูป่า เถ้าแก่ก็ช่างแสนใจดีให้เสี่ยวเอ้อร์เตรียมน้ำร้อนเอาไว้ให้ได้แช่ตัว เส้นสายที่ปวดล้าก็ได้คลายตัว นี่ก็เป็นอีกจุดหนึ่งที่ทำให้เฟินเยว่เกิดคิดถึงบ้านขึ้นมา ในเวลาที่เหน็ดเหนื่อยจากการทำงานเช่นนี้ก็มีอ้างน้ำและเตียงนอนนี่แหล่ะที่คอยช่วยเยียวยารักษาร่างกายอันบอบช้ำ หลังจากที่อาบน้ำกันเสร็จเรียบร้อยแล้วนางก็ไปเคาะห้องที่อยู่ข้าง ๆ กัน อันที่จริงควรจะปล่อยให้อีกฝ่ายได้พักผ่อนตามอัธยาศัยแต่ทว่าเด็กสาวก็ยังคงห่วงใยสหายอยู่ไม่ขาด
“ขออนุญาตนะเจ้าคะคุณชายซู” บานประตูที่กั้นขวางทั้งสองห้องเอาไว้เลื่อนเปิดออก ตงฮั่วในชุดใหม่เปิดประตูต้อนรับ ผมเผ้าของเขายังดูชื้นน้ำมีผ้าเช็ดผมพาดอยู่บนบ่า เพียงแค่เห็นก็รู้เลยว่าอีกฝ่ายเพิ่งจะอาบน้ำมา คนที่อาบน้ำไม่ได้มีแต่เพียงแค่เฟินเยว่และเปาเปา แม้แต่มนุษย์ถ้ำอย่างตงฮั่วก็ได้ชำระล้างร่างกายกับเขาบ้างเสียทีหลังจากที่ทนตัวเหม็นอยู่นานหลายวัน สีหน้าของคนง่วงดูดีขึ้นมากเมื่อได้แช่ถังน้ำร้อน ติดอยู่เพียงอย่างเดียวนั่นก็คือเสื้อผ้าของเขามีน้อยชุดที่จะซักเปลี่ยน อาจจะหาว่าก้าวก่ายเกินไป แต่บ่อยครั้งที่เฟินเยว่คิดอยากจะนำเสื้อผ้าของเขาไปซักตากทำความสะอาดให้เป็นอย่างดี แต่ธุระที่นางมาหาไม่ใช่เพราะด้วยเหตุนี้ “มีอะไรงั้นเหรอ?” “คือว่า ข้ามาทำแผลให้ใหม่น่ะเจ้าค่ะ” “อ้อ แผลเหรอ” ตงฮั่วเหลือบมองที่ต้นแขนของตัวเองอย่างไม่ใส่ใจ มันไม่ได้ผูกผ้าสีชมพูลายผลอิงฮวาเอาไว้แล้ว แถมในตอนอาบน้ำเขาก็ไม่ได้สนใจว่าแผลจะแสบก็เลยลงแช่น้ำไปทั้งตัว “ไม่ต้องก็ได้มั้ง ไม่เป็นไรหรอก” “ไม่ได้นะเจ้าคะ อย่างไรก็ต้องรักษาให้หายดีก่อนถึงจะวางใจได้” เฟินเยว่เม้มริมฝีปากพยายามทำหน้าดุแต่สำหรับเด็กหนุ่มเขามองว่าหน้านั้นเหมือนกับปลาปักกะเป้าไปตั้งแต่เมื่อวันงานเทศกาลจงชิวเจี๋ยไปเสียแล้วและไม่อาจมีภาพใดมาลบล้างออกจากหัวได้ และรู้ดีว่าหากเขาไม่ย้อมนางผู้ดื้อรั้นก็จะยังคงไม่ไปไหน “เอาอย่างนั้นก็ได้” เด็กหนุ่มร่างสูงผละออกมาจากประตูก่อนที่จะเชื้อเชิญให้นางเข้ามาในห้อง แล้วเดินไปนั่งยังโต๊ะรับรองที่น่าจะสะดวกต่อการทำแผล คราวนี้เด็กสาวหยิบเอาผ้าผูกผมสีเหลืองลายผลส้มออกมา ก็นับว่ายังดีกว่าผ้าพันแผลสีชมพูผืนเก่า เมื่ออยู่ในที่ที่แสดงสว่างพร้อมการทำแผลก็เสร็จสิ้นไปอย่างรวดเร็ว ทว่าเฟินเยว่ยังมีเรื่องที่อยากจะคุยกับเขาต่อ “คุณชายซูเจ้าคะ คือว่า..” สาวน้อยอึกอักเล็กน้อย เมื่อคราวจะสนทนาเรื่องนี้อย่างจริงจังนางกลับเรียบเรียงคำพูดออกมาไม่ถูกว่าจะถามเขาเรื่องไหนก่อนดี จนสุดท้ายก็เอ่ยออกมาสักเรื่อง “เอ่อ.. เรื่องของคุณชายซูในวันนั้นที่บอกว่าจะเล่าให้ฟังน่ะเจ้าค่ะ” “อ้อ ถ้าเล่าแล้วจะไม่มีคนหลับใช่ไหม?” ตงฮั่วกล่าวเหมือนแซว แต่ทว่าเขาหรี่ตามองเหมือนกับไม่ไว้ใจเด็กสาวว่าจะไม่หลับไปเสียก่อน “ไม่หลับสิเจ้าคะ คราวนี้จะตั้งใจฟังอย่างดีเลยล่ะเจ้าค่ะ” เฟินเยว่รับปากเป็นหมั้นเป็นเหมาะ หากคราวนี้ถ้ารู้สึกง่วงขึ้นมาคงต้องหยิกแขนตัวเอง “เฮ้อ เอาอย่างนั้นก็ได้” ในตอนนี้ทั้งสองก็สนิทกันมากพอที่จะรู้เรื่องราวของกันและกัน อีกอย่างหนึ่งคือตงฮั่วเป็นคนที่มีนิสัยตรงไปตรงมากล้าได้กล้าเสีย หากเด็กสาวรับไม่ได้นางจะได้ตีตัวออกห่างเขาเสียตอนนี้ “ตามที่เจ้ารู้ บ้านข้าอยู่ซีเหอ ทำธุรกิจผ้าไหม กิจการรุ่งเรืองดี แต่ก็ต้องมาซบเซาเพราะพวกโจรผ้าเหลือง” เฟินเยว่รับฟังอย่างเงียบ ๆ โดยไม่โต้แย้ง เรื่องของโจรผ้าเหลืองก่อความเดือดร้อนทุกหย่อมหญ้าเป็นสิ่งที่ชาวต้าฮั่นรู้ดีกันอยู่แล้ว ในฐานะลูกสาวร้านขายผ้าเช่นกันนางเองก็เข้าใจในความยากลำบาก เพียงแต่ธุรกิจที่บ้านล้มละลายไม่ได้เป็นเพราะพิษเศรษฐกิจ อาจด้วยภูมิภาคเหลียงโจวลำเลียงขนผ้าไหมออกไปขายยังเส้นทางสายไหมสะดวกกว่าและได้รับการคุ้มครองจากท่านหม่าเถิงแห่งอู๋เว่ยเป็นทุนเดิม โจรร้ายแม้จะมีแต่ก็ไม่ชุกชุมเท่าภาคเหนือ เด็กสาวคิดเช่นนั้นจนกระทั่งตงฮั่วเล่าต่อด้วยน้ำเสียงที่เปลี่ยนไป “ในตอนที่ข้าอายุได้เพียงแค่หกขวบ บิดาออกไปค้าขายผ้าไหมที่เป่ยไห่แต่ก็ถูกโจรชั่วพวกนั้นปล้นคร่า ท่านพ่อถูกสังหาร ไม่ได้กลับมาที่บ้านอีก” เมื่อเล่าถึงตรงนี้มือแกร่งก็กำหมัดเกร็งแน่นด้วยความเคียดแค้น ยิ่งคิดถึงท่านพ่อความแค้นในใจก็ยิ่งปะทุขึ้นมา เขาอยากจะกำจัดพวกมันให้สิ้นซาก เข่นฆ่ามันให้สาสมกับที่พวกมันทำร้ายประชาชน จะกำจัดมันทุกคนที่เข้าร่วมไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือสตรี แววตาของสหายกลับกลายเป็นแข็งกร้าวดุจพยัคฆ์ร้ายที่รอคอยวันชำระแค้น เรื่องที่ได้ยินทำเอาเด็กสาวสะเทือนใจอยู่ไม่น้อย นางวางมือเล็ก ๆ ลงบนหมัดที่กำแน่นราวกับอยากจะปลอบประโลมเรื่องราวร้าย ๆ ของเด็กหนุ่มให้คลายลงทุกอย่าง ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นนางก็จะยังอยู่ตรงนี้ จะเป็นสหายที่คอยช่วยเหลือเขาอยู่เสมอ ไม่ใช่เพียงแค่เรื่องอาหารการกิน แต่ทว่าอยากจะดูแลจิตใจที่บอบช้ำให้กลับมาฟื้นฟูดีขึ้นด้วย ซึ่งไม่รู้ว่าความหวังดีของนางตงฮั่วจะยินดีรับมันเอาไว้หรือเปล่า เพียงแต่ว่าตอนนี้รับรู้ได้อย่างหนึ่งว่าอย่างน้อยความปรารถนาดีที่ไม่ได้เอ่ยออกจากปากเหล่านี้ก็ส่งไปถึงจนเด็กหนุ่มคลายกำปั้นที่แข็งเกร็งนั้นลง ตงฮั่วถอนหายใจอีกครั้งก่อนที่จะเล่าเรื่องราวชีวิตของเขาต่อ “นับแต่นั้นมาข้าก็ฝึกวิชาอย่างหนักเพื่อการล้างแค้น ทรัพย์สินที่เหลือแค่พอประทังชีพไปวัน ๆ จนเติบใหญ่มาได้จนถึงทุกวันนี้ นอกจากนั้นที่เหลือก็ตามที่เจ้าเห็น” “ที่ได้แผลมาก็เพราะเรื่องนี้ด้วยหรือเปล่าเจ้าคะ?” “ใช่” ตงฮั่วตอบออกมาตามตรงโดยไม่มีปกปิด ได้ยินแบบนั้นความรู้สึกรวดร้าวก็แล่นพล่านขึ้นกลางอก สหายของนางกำลังนำตัวเองไปเสี่ยงอันตราย ไม่ว่าอีกฝ่ายจะมีฝีมือฉกาจฉกรรจ์เพียงใดแต่คนเพียงหนึ่งคนคงไม่อาจสู้กลุ่มโจรที่มีกำลังรบเป็นหมื่นเป็นแสน ในวันนี้ได้แค่แผลแต่สักวันอาจพลาดท่าถึงแก่ชีวิต อันที่จริงร่องรอยบาดแผลของเด็กหนุ่มไม่ได้มีเพียงแค่แผลที่แขนแต่ยังมีร่อยรอยเก่าอยู่เต็มตัว แต่นางก็ไม่รู้ว่านั่นมาจากการฝึกฝนหรือว่าถูกโจรกระทำ “คุณชายซู ข้าไม่อยากให้ท่านทำแบบนี้เลยเจ้าค่ะ เอาชีวิตตัวเองไปเสี่ยงเปล่า ๆ ข้าพอจะเข้าใจว่าความแค้นไม่อาจลบเลือนได้ง่าย ๆ แต่ไม่มีหนทางอื่นแล้วเหรอเจ้าคะที่จะดับไฟในใจลง” “ไม่มีหรอก จะมีแต่ต้องกำจัดพวกมันให้สิ้นซากเท่านั้นล่ะ” ตงฮั่วเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าของเด็กสาวที่อยู่ตรงหน้า สีหน้าของเขาดูจริงจังกว่าครั้งไหน ๆ “เจ้ารับได้หรือเปล่าที่มีสหายแบบข้า” “ต้องรับได้อยู่แล้วสิเจ้าคะ!” มือที่กุมมือของอีกฝ่ายไว้ไม่ยอมปล่อยออกมีแต่จะยิ่งกุมมือเขาแน่นขึ้นเพื่อแสดงให้เห็นถึงความตั้งใจของตัวเอง “ไม่ว่าคุณชายซูจะเป็นแบบไหนข้าก็จะยังเป็นเพื่อนของท่านอยู่เสมอเจ้าค่ะ เพราะฉะนั้นจึงเป็นห่วงอย่างไรล่ะเจ้าคะ ข้าไม่อยากให้ท่านต้องไปเสี่ยงตายเลยจริง ๆ ถ้าหากว่ามีทางล่ะก็...” เฟินเยว่พยายามครุ่นคิด จะมีทางใดที่ช่วยเหลือสหายได้บ้าง หรืออย่างน้อยก็คอยเกลี้ยกล่อมเขาให้เปลี่ยนหาวิธี จนสุดท้ายเด็กสาวก็หวนคิดถึงบัณฑิตเหลียง หากใช้วิธีเดียวกันในการเกลี้ยกล่อมเขาจะยอมหรือไม่นะ “คุณชายซูลองทำงานรับใช้นายดีดูดีหรือไม่เจ้าคะ ข้าคิดว่านั่นน่าจะเป็นทางที่ถูกที่ควรมากกว่าจะเอาตัวไปเสี่ยงชีพเพียงคนเดียว ถ้าหากว่าข้าได้เจอท่านพี่ใหญ่แล้วจะลองคุยกับเขาดู ไม่แน่ว่าอาจจะพอมีหนทางก็ได้นะเจ้าคะ ถ้าอย่างไรเสียตอนนี้คุณชายซูก็ร่วมทางมากับข้าก่อน คือว่าข้า.. ไม่อาจปล่อยให้ท่านได้ออกไปเสี่ยงเพียงลำพังได้จริง ๆ เจ้าค่ะ” การกระทำของตงฮั่วนั้นบ้าบิ่นเกินกว่าที่เด็กสาวจะปล่อยให้เขาหลุดรอดสายตาไปจริง ๆ เกรงว่าครั้งต่อไปหาลาจากสหายแล้วเราจะไม่ได้กลับมาพบกันอีก “นี่เจ้ากำลังจะเกลี้ยกล่อมข้าเหมือนกับบัณฑิตผู้นั้นใช่หรือไม่?” “จะว่าใช่ก็ใช่เจ้าค่ะ แต่จุดประสงค์นั้นแตกต่าง เขาต้องการนายดีรับใช้ นายที่อยากพัฒนาบ้านเมืองให้ราษฎรอยู่ดีกินดี มีความเท่าเทียม สามารถใช้ชีวิตได้อย่างอิสระและปลอดภัย แต่ของคุณชายซูนั้นแตกต่างออกไป ข้าไม่อยากให้ท่านต้องเสี่ยงภัย แต่ว่าลองคิดสิเจ้าคะ หากว่าพวกเรารวมกลุ่มกันได้อาจจะทำเรื่องทั้งหมดนั้นได้สำเร็จก็ได้ ทั้งกวาดล้างโจรผ้าเหลืองออกไป และช่วยพัฒนาสังคมให้ดียิ่งขึ้น แม้ตอนนี้ความเป็นไปได้จะต่ำแต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีเลยนะเจ้าคะ คุณชายซูมาเดินทางร่วมกันกับข้าเถอะเจ้าค่ะ” เด็กสาวลองพูดเกลี้ยกล่อมเขา แม้ว่าปณิธานจะสวยหรูแต่ช่างทำได้ยากยิ่ง โดยเฉพาะเรื่องการแก้แค้น จะทำอย่างไรให้เสียเลือดเสียเนื้อน้อยที่สุด เรื่องนี้คงต้องเก็บเอาไปคิดต่ออีกทีหนึ่งหากว่าคนตรงหน้าตอบรับคำเชิญนี้ ตงฮั่วครุ่นคิดอยู่เล็กน้อย สิ่งที่เด็กสาวพูดก็ถูกต้อง ที่ผ่านมาเขาหน้ามืดตามัวมุ่งเน้นไปที่การแก้แค้นเพียงอย่างเดียวจนหลงลืมไปว่าตนเองนั้นบาดเจ็บไปกี่ครั้ง เด็กหนุ่มคิดแต่เพียงว่าบาดแผลที่ได้รับช่างเป็นเรื่องเล็กน้อย หากแค่นี้ทนไม่ได้แล้วแผนการที่มุ่งหวังจะสำเร็จไปได้อย่างไร และหากกำราบโจรผ้าเหลืองลงได้จะทำอะไรต่อ เมื่อไม่รู้หนทางความรู้สึกเคว้งคว้างจึงเข้าครอบงำจิตใจ ‘ช่วยพัฒนาสังคมงั้นเหรอ ก็ดูโลกสวยสมกับเป็นนางดี’ เขาเงยหน้าขึ้นมองสบดวงตาของเด็กสาวที่มีประกายอันแรงกล้าแฝงอยู่ภายใน ยามนี้ตงฮั่วรู้สึกสับสน เขาไม่คิดเลยว่าจะมีใครสักคนที่หวังดีกับตนจริง ๆ แล้วพยายามโน้มน้าวถึงเพียงนี้ ความรู้สึกทั้งหมดผสมปนเป ดีใจที่มีคนเป็นห่วง ละอายใจต่ออีกฝ่าย หรือแม้กระทั่งกังวลกับอนาคตที่จะเกิดขึ้น ทั้งที่เคยพูดไปตั้งหลายครั้งหลายหนว่าชายหนุ่มหญิงสาวไม่ควรอยู่ด้วยกันสองต่อสอง กระนั้นเด็กสาวตรงหน้ากลับไม่ห่วงภาพลักษณ์ของตนเองเลย เพราะอะไรกันนะ เป็นเพราะว่าเขาเคยช่วยชีวิตนางเอาไว้อย่างนั้นหรือ หรือว่าเฟินเยว่จิตใจบริสุทธิ์สูงส่งเกินกว่าที่คนคิดถึงแต่การแก้แค้นจะเข้าถึง ตงฮั่วพยายามไม่คิดไปถึงเรื่องชู้สาว เขายังไม่อยากคิดเข้าข้างตัวเอง หากคิดว่านางชอบเขาก็ดูจะเป็นการไม่ให้เกียรติอีกฝ่ายเอาเสียเลย แม้ว่าทั้งคู่จะสนิทสนมกันค่อนข้างมากแล้วและไม่ได้มีสิ่งใดที่เคยผิดใจกัน ทว่าตงฮั่วยังไม่อยากคิดไปไกล เพราะในใจของเขายังมีปณิธานในใจที่สำคัญเกินกว่าจะมามัวใส่ใจกับหัวใจของคนอื่น ...หรือกระทั่งของตนเอง ทำให้เขาหลุบสายตาลงมาอีกครั้ง “ข้า.. ไม่รู้ว่าต้องทำยังไง หากเข้าร่วมกับทางการแล้วจะได้ทำตามเป้าหมายจริงหรือไม่ และหากไม่ได้ทำเช่นนั้นจริงคงรู้สึกผิดต่อท่านพ่อมาก” เด็กสาวเห็นท่าทีของเด็กหนุ่มผู้แข็งแรงดูสลดลงไปมากจนไม่สมกับเป็นตัวเขาเลยก็รู้สึกใจหาย อยากจะเข้าไปกอดปลอบลูบหลังอย่างที่ทำกับเด็กน้อยก็ทำไม่ได้ ที่ทำได้เพียงอย่างเดียวก็คือเกลี่ยปลายนิ้วลูบที่หลังมือของอีกฝ่ายอย่างแผ่วเบา “ข้าเชื่อว่าได้เจ้าค่ะ บะ.. แบบว่า.. เราต้องมั่นใจว่าตัวเองทำได้ไปก่อนจะได้ไม่ต้องไปเสียใจไปเปล่า ๆ อันที่จริงข้าไม่เห็นด้วยกับการใช้กำลังในทุกวิถีทาง แต่ว่ามันคงจะเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในยุคสมัยแบบนี้ ข้าไม่เคยสูญเสียพ่อแม่ไปเหตุแบบท่านจึงตอบไม่ได้แน่ชัดหรอกเจ้าค่ะว่าจะโกรธแค้นเพียงไหน ให้คิดแทนก็ไม่ได้ แต่ถึงอย่างนั้นข้าก็เข้าใจคุณชายซูนะเจ้าคะ ถึงอาจจะเข้าใจไม่หมด แต่ก็ยังอยากที่จะเข้าใจเจ้าค่ะ แล้วข้าก็… เป็นห่วงท่านมาก ๆ ด้วย” คำว่าเป็นห่วงอันแสนบริสุทธิ์ถูกถ่ายทอดออกมาหลายต่อหลายครั้งทำให้เด็กหนุ่มคลี่ยิ้มออกมาได้บ้าง เขากระชับมือบางของเด็กสาวกลับตงฮั่วไม่รู้ว่าปกติมือสตรีเป็นแบบนี้เหมือนกันทุกคนหรือเปล่า ต่อให้มือของเด็กสาวจะหยาบกร้านแค่ไหนเขาก็คิดว่ามันเนียนนุ่มมากกว่าบุรุษเพศมากอยู่ดี บางทีการได้จับมือใครสักคนในวันที่ฟ้ามืดมนมันก็ดีเหมือนกัน เหมือนกับทางตรงหน้ามีแสงสว่าง คน ๆ นี้จะสามารถชี้หางให้เขาได้หรือไม่ บางทีเขาควรจะลองดู การร่วมทางกับใครสักคนอาจไม่ได้แย่นักก็เป็นได้ “รู้แล้ว ๆ เฮ้อ.. ดูเหมือนว่าคราวนี้เจ้าจะเซ้าซี้ข้าได้สำเร็จอีกครั้งแล้วสิ” “เอ๋ คุณชายซูหมายถึง..” คำตอบที่ได้รับฟังดูคลุมเครือ นั่นทำให้เด็กสาวประมวลผลตามไม่ทัน รู้แต่ว่าอีกฝ่ายจับมือของนางกลับมาวางคืนไว้บนหน้าตักของตนเอง การกระทำของเด็กหนุ่มคือตอบรับหรือว่าปฏิเสธกันแน่นะ “รีบเข้านอนกันเถอะ แล้วพรุ่งนี้ข้าจะพาไปพบกับสหาย” “เอ๋ สหายหรือเจ้าคะ? ใครหรือเจ้าคะ?” ไม่น่าเชื่อเลยจริง ๆ ว่ามนุษย์ถ้ำอย่างตงฮั่วจะคบค้าสมาคมกับใครเขาด้วย แต่เฟินเยว่ก็รีบลบความคิดนี้ทิ้งไป ขนาดว่าเขาสนิทกับนางได้ก็น่าจะย่อมมีสหายอื่นอีก ถ้าหากว่ามีท่าทีเช่นนี้แปลว่าการเกลี้ยกล่อมน่าจะใช้การได้ผลอยู่บ้าง “เอาไว้พรุ่งนี้ก็จะรู้เอง” คำตอบที่ได้ยินทำให้อดใจรอไม่ไหว เพื่อให้ถึงพรุ่งนี้ไว ๆ เอาเป็นว่านางควรจะทำตามเขาแล้วรีบเข้านอน...
. . .
 +1 Point ทุกครั้งที่โรลใช้แผนอุบาย หรือ ทางการทูต  -10 ลดความเครียด
ลักษณะนิสัยเห็นอกเห็นใจ +2 Point จากการโรลการทูต
อัตลักษณ์อัจฉริยะ +5 Point จากการโรลทางการทูต
อัตลักษณ์หูดี +2 Point ทุกครั้งที่โรลการทูต +15 ความสัมพันธ์กับคนที่คุยด้วย
อัตลักษณ์ขาดความรอบคอบ +1 Point เมื่อโรลเพลย์ทางการทูต
เอฟเฟคความสัมพันธ์ [152] ซู ตงฮั่ว มอบ กุ้งผัดชาหลงจิ่ง ความสัมพันธ์ +10 จากการคนธาตุและปีเดียวกัน
มอบ ปลากง จำนวน 5 ตัว ให้โรงเตี๊ยม
เป็นการตอบแทนที่ให้ยืมครัว
|