เจ้าของ: Watcher

[นอกเมืองอันอี้] เขาไป๋สวิน

[คัดลอกลิงก์]
โพสต์ 2021-9-13 16:34:06 | ดูโพสต์ทั้งหมด
อุดมการณ์ที่เปลี่ยนไป

          จิ้นอิ๋งที่ได้รับผู้ติดตามมาเพิ่มเริ่มรู้สึกไม่ดีนักที่นางไร้ที่อยู่เป็นหลักแหล่ง โดยที่ก่อนหน้านางพาผู้ติดตามอย่างถานเจ๋อพักแรมในโรงเตี๊ยมได้อย่างไม่รู้สึกติดขัดใดนั้นเป็นเพราะอีกฝ่ายมีม้าที่นางได้จากหมู่บ้านเซิ่งหุน ซึ่งทำให้อีกฝ่ายสามารถเดินทางร่วมกับนางไปมาข้ามเมืองได้ระหว่างหาข่าวของครอบครัวและช่วยเหลืองานคนรู้จัก

          ทว่าซูฮวานั้นต่างออกไป จิ้นอิ๋งไม่รู้ว่าอีกฝ่ายขี่ม้าเป็นหรือไม่ ทั้งสุขภาพของนางคล้ายจะยังไม่สามารถกลับมาแข็งแรงได้โดยเร็ววัน เช่นนั้นนางจึงจำต้องหางานเก็บเงินเพื่อซื้อบ้านร้างตงฟางนั้นให้เป็นของตัวเองเสียก่อน ป้องกันการบุกรุกจากผู้อื่นอีก แล้วจึงจัดการตกแต่งใหม่รวมถึงทำความสะอาดให้เรียบวุธชวนน่าอยู่มากขึ้น ค่อยส่งซูฮวาได้พักแรมอาศัยอยู่พักฟื้นร่างกายที่นั่น

          หลังคิดได้เช่นนั้น จิ้นอิ๋งจึงได้บอกลาท่านหมอหญิงและฝากบอกให้ซูฮวารอนางมารับภายในหนึ่งสัปดาห์ และพักฟื้นที่โรงหมอให้เต็มที่ นางจะเขียนจดหมายมาถามไถ่อาการเป็นระยะ ก่อนจะพาถานเจ๋อเดินทางไปยังลั่วหยางเพื่อจะได้สอบถามหางานจากพ่อค้าหวังที่ได้เงินมากและรวดเร็ว ซึ่งตัวผู้ติดตามที่ได้ยินก็พยักหน้ารับด้วยสีหน้าที่ติดสลดเล็กน้อย เพราะมันรู้สึกได้วันว่างของมันได้ถูกบอกลาไปเรียบร้อยแล้ว
          .
          .
          ตลอดช่วงเช้าทั้งสองต่างพากันเดินทางมาไม่หยุด ยามเมื่อมาถึงเขตส่วนนอกของเมืองอันอี้ก็เข้ายามอู่พอดี จิ้นอิ๋งที่เข็ดกับการนั่งพักทานข้าวแล้วเจอการคุกคามจากโจรโพกผ้าเหลือง ไหนจะพบผู้เคราะห์ร้ายที่เจอการกระทำหยามศักดิ์ศรีจากกลุ่มโจรผู้นั้นด้วยตาตัวเองก็พลันไม่อยากหยุดทานข้าวในตัวเขตป่า

          ถานเจ๋อทนอีกนิด ไว้เข้าเมืองได้พวกเราค่อยแวะทานข้าวกัน.. มื้อนี้ข้าจะเลี้ยงข้าวเจ้าเอง

          เอ่ยปลอบผู้ติดตามที่คงหิวไม่ต่างจากนาง ก่อนจะเร่งให้เฮยเซ่อพาตนเข้าเมือง แต่แล้วกลับมีเงาคนผู้หนึ่งกระโดดขว้างม้าจนมันหยุดยกขาหน้าขึ้นพลางร้องลั่นอย่างตกใจ พาลทำจิ้นอิ๋งเกือบจะตกจากหลังไปอยู่ร่อมร่อ ไหนจะถานเจ๋อที่ตามหลังมาก็ถูกม้าสีขาวที่เสียขวัญไม่ต่างกันพาวิ่งห้อไปทางอื่น ไป๋เซ่อไก่น้อยที่อยู่ในอ้อมแขนนางก็ตกใจไปด้วย ร้องกระต้ากยกใหญ่ก่อนเตลิดบินลงพื้นให้จิ้นอิ๋งที่เพิ่งลูบแผงคอม้าเฮยเซ่อของตนให้สงบลงได้ต้องเร่งลงเพื่อจับตัวไก่ของนาง ทว่ายังไม่ทันที่จะเดินหา นางก็ต้องชักกระบี่ตวัดรับป้องกันคมขวานจากคนแปลกหน้าผู้นั้นเอาไว้!

          ท่าน!! ” จิ้นอิ๋งแทบร้องเสียงหลงหลังพบว่าอีกฝ่ายเป็นสตรีนางหนึ่งที่จู่โจม ท่าทางทะมัดทะแมงไม่น้อยทั้งยังมือหนักและมีฝีมือไม่น้อยจนนางต้องปัดป้องขวานหนักนั้นออกจากตัวให้ไกลเพื่อถอยออกมาตั้งหลักให้ได้ก่อน

          ทว่าอีกฝ่ายก็ราวรู้แกวไม่ปล่อยโอกาสให้จิ้นอิ๋งได้ตั้งตัวได้ บุกพุ่งเข้าใส่ไม่หยุดจนสุดท้ายนางจำต้องตวัดปัดป้องสลับประยุกต์ใช้ท่ากระบี่พื้นฐานสำหรับจู่โจมให้ถูกจังหวะและช่วงเวลา ป้องกันไม่ให้ตัวเองโดนฟันจนบาดเจ็บไปเสียก่อน
          ห้วงสมาธิยามถือกระบี่กลับคืนมาจนทุกการสะบัดอาวุธของจิ้นอิ๋งเริ่มเสียเปล่าน้อยลง ทั้งสองเริ่มสลับกันรุกรับไม่หยุดอย่างไม่มีใครยอมใคร จนสุดท้ายจิ้นอิ๋งสามารถแทงสอดรับกระบี่ขนานกับคมขวานที่เหวี่ยงหา พร้อมพลิกตัวหันข้างเพื่อหลบแรงส่งขวานนั้นแต่ไม่หยุดตบเท้าเดินหาจนสุดท้ายปลายกระบี่ชี้แทบชิดกับใบหน้าของอีกสตรีถึงค้างมันไว้เช่นนั้นจนทุกอย่างเริ่มสงบลงเหลือเพียงเสียงหอบหายใจแหละใบหน้าชื้นเหงื่อของทั้งคู่

      
          " เธอฝีมือไม่เลวเลยนะ แฮ่ก ๆ " เจิ้งหลันกล่าวขึ้นทันทีที่เว้นระยะห่างจากจิ้นอิ๋งก่อนจะทักขึ้น " ฝีมือเช่นเจ้าทำไมถึงรับใช้ทางการ "
      
          ทางการ? ท่านเข้าใจผิดแล้วเจ้าค่ะ.. ข้าไม่ใช่คนของทางการ เป็นเพียงคนธรรมดาผู้หนึ่งที่ได้รับการสอนกระบี่จากสหายก็เท่านั้น… ยามนี้เพลงกระบี่ของข้าคงยังไม่อาจเทียบได้กับเหล่าบุคคลที่เก่งกาจของทางการ.. หรือแม้กระทั่งฝีมือท่านยามเอาจริงได้หรอกเจ้าค่ะ ” จิ้นอิ๋งเอ่ยอย่างตรงไปตรงมาก่อนลอบมองท่าทางของอีกสตรีนิ่งครู่หนึ่งถึงกล่าวต่อ

          อย่างไรก็ขอบคุณสำหรับคำชมนะเจ้าคะ สหายข้าที่ช่วยสอนคงดีใจไม่น้อย ” กล่าวพาดไปถึงถานเจ๋อที่ตอนนี้กำลังคุมม้าไป๋เอ้อร์ให้สงบอยู่สักที่และพยายามขี่มันให้กลับมายังทิศเดิม
            
          " งั้นเหรอ ที่แท้เข้าใจผิด ข้านึกว่าเจ้าเป็นคนทางการมาตามล่าข้า " เจิ้งหลันกล่าวพลางเก็บอาวุธ พลางมองจิ้นอิ๋งอย่างไม่วางตา อีกฝ่ายดูไม่ค่อยอยากไว้ใจใครมากนักเมื่อเทียบกับเหตุการณ์ที่พบเจอมา " ว่าแต่เจ้ามาทำอะไรที่นี่ "
      
          ข้าเพียงเดินทางผ่านมาเท่านั้นเองเจ้าค่ะ กำลังจะมุ่งตรงไปยังเมืองลั่วหยางแต่ก็ถูกท่านขวางไว้เสียก่อน.. มันอันตรายนะเจ้าคะ คราวหลังอย่าพุ่งมาขว้างม้าเช่นนี้อีก

          หลังเห็นสายตาไม่วางใจจากอีกฝ่ายจิ้นอิ๋งก็คล้ายไม่ได้วางใจให้อีกสตรีเต็มร้อยเช่นกัน ไหนจะคำพูดที่กล่าวว่าทางการจะตามจับอีกฝ่ายนั่นอีก นางจึงเผลอกล่าวน้ำเสียงกึ่งดุหา ทว่าแฝงความติดห่วงใยเอาไว้ตามนิสัยนางอยู่ดี

          ข้ากู่จิ้นอิ๋งนะเจ้าคะ ท่านมีนามว่าอะไรงั้นหรือ? ” หลังเงียบไปครู่จิ้นอิ๋งก็ตัดสินใจถามชื่อแซ่เนื่องด้วยคิดว่าผูกมิตรเอาไว้ย่อมดีกว่าสร้างความหมางใจกัน
      
          " ข้าแซ่เจิ้ง เรียกข้าเจิ้งนั่นแหละนะ ส่วนชื่อไว้สักวันถ้าข้าเชื่อใจเจ้าจะบอกเอง " เจิ้งหลังกล่าวขึ้นมาก่อนจะเดินไปที่โขดหิน วางขวานเล่มโปรดของนางไว้ข้างกาย
      
          จิ้นอิ๋งที่ได้ยินก็คล้ายชะงักใบหน้าที่กำลังส่งรอยยิ้มกลับหาไปเล็กน้อย เนื่องจากนามสกุลนั้นค่อนข้างโด่งดังไปทั่วเกี่ยวกับสตรีผู้เป็นหัวหน้าโจรป่าลุกขึ้นต่อต้านอำนาจส่วนกลางที่กดขี่รีดเค้นจากชาวเมือง คล้ายกับอุดมการณ์แรกของกลุ่มคนโพกผ้าเหลือง ทำให้รอยยิ้มที่ชะงักไปของจิ้นอิ๋งกลับมาเผยอีกหนพร้อมด้วยแววตาติดประกายเล็กน้อยยามมองสบสายตาสตรีเบื้องหน้า

          เจิ้งหรือเจ้าคะ …ท่านใช่ท่านหัวหน้ากลุ่ม… ผู้นั้น? เอ้ะ แต่พวกท่านอยู่ที่ซีเหอหรือเจ้าคะ? ไม่ใช่ว่า...  ” คล้ายอยากจะถามให้แน่ชัดทว่าก็กลัวจะล่วงเกิน สุดท้ายเลยเอ่ยถามออกได้เพียงประโยคครึ่ง ๆ กลาง ๆ
      
          " แล้วคิดว่าข้าใช่นางหรือเปล่าล่ะ หากแค่แซ่เหมือนหรือญาติหรือนางตัวจริง เจ้าลองเดาดูสิ " เจิ้งหลันแหย่จิ้นอิ๋งพลางลูบด้ามขวานด้วยสายตาดุ เธอจะไม่มีทางบอกความจริงอีกฝ่ายหรอกว่าใช่เจิ้งเจียงที่มีชื่อเสียงหรือไม่ ราชินีแห่งโจรป่าที่เสมือนแบบอย่างของเธอ
      
          ฝั่งจิ้นอิ๋งที่ได้ยินการตอบกลับมาเช่นนั้นพร้อมสายตาดุของอีกฝั่ง รอยยิ้มพลันแห้งลงเล็กน้อย ขนาดว่านางพยายามถามไม่ชัดเจนมาก อีกฝ่ายก็ดูทำตาดุใส่ถึงเพียงนี้ โชคดีจริงที่นางไม่ได้ถามไปเสียเต็มคำอย่างที่นึกไว้ มิเช่นนั้นไม่รู้จะโดนตาเบิกตาโตใส่หรือไม่

          ก็.. เดาว่า ใช่.. ครึ่งหนึ่งเจ้าค่ะ ” ตอบกลับเรื่องที่ให้คาดเดาเสียงแผ่วดูไม่ค่อยมั่นใจนัก
      
          " เจ้าคิดเช่นนั้นข้าก็ไม่ว่า... จุ๊ " เจิ้งหลันกล่าวพลางยกนิ้วขึ้นมาที่ริมฝีปาก " ได้ยินเสียงอะไรหรือเปล่า "
      
          ถอนหายใจแผ่วอย่างโล่งใจที่อีกคนไม่ได้ถือสาอย่างที่หวั่น ก่อนจิ้นอิ๋งจะเงียบตามท่าทางของอีกสตรี พลันเงี่ยหูฟังตามที่โดนถามไปด้วย ทว่าสิ่งที่ได้ยินก็มีเพียงเสียงลมพัดแผ่วและธรรมชาติรายล้อมรอบกายเท่านั้นให้จิ้นอิ๋งพลันส่ายหน้ากลับไปน้อย ๆ
      
          " ลองตั้งใจฟังสิ "

          ถูกย้ำเข้าแบบนั้นจิ้นอิ๋งก็แทบยกมือมาป้องหลังหู ดวงตากลมหลับแน่น ไหนจะแทบกลั้นหายใจเพื่อให้ประสาทสัมผัสหูทำงานอยู่อย่างเดียว แต่สุดท้ายก็ยังได้ยินแค่เสียงบรรดาสัตว์น้อยใหญ่และธรรมชาติโดยรอบเท่านั้น ซึ่งตัวจิ้นอิ๋งก็ไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายหมายถึงเสียงนี้หรือไม่ จึงทำได้เพียงลืมตาขึ้นมาสบตาผู้ถามด้วยแววตาติดฉงนราวกับอยากให้อีกสตรีเฉลยเถิดว่าหมายถึงเสียงใดที่อยากให้ได้ยิน
      
          " เจ้าไม่ได้ยินเสียงสิงสาราสัตว์ ฝูงนกร้องจิ๊บ ๆ ทั่วบริเวณนี้หรอกหรือ พวกมันกำลังกลัวคนแปลกหน้าเช่นเจ้า " เจิ้งหลันกล่าวพลางลุกขึ้นบิดตัว
      
          ประโยคที่เอ่ยถึงเสียงสัตว์ทำจิ้นอิ๋งหลุดร้องอ๋อ แต่ประโยคหลังเริ่มทำคิ้วเรียวของนางขมวดเข้าหา จู่ ๆ ก็เหมือนโดนเหน็บอย่างไรอย่างนั้นจนริมฝีปากเล็กเผลอยู่เข้าหา

          แม่นางเจิ้ง… ท่านฟังเหล่าสัตว์พูดคุยกันออกจริง ๆ หรือเจ้าคะ? ” เอ่ยถามอ้อม ๆ ว่าไม่ได้เจตนาว่านางใช่หรือไม่
      
          " ข้าเหรอ ข้าพอเข้าใจพวกมันได้บ้าง ก็อยู่ที่นี่มาสามปีแล้วนับแต่ตอนนั้น… " เจิ้งหลันกล่าวพลางเว้นไว้ ไม่อยากหวนนึกถึงวันที่เธอฆ่าขุนนางชั่วจนโดนตามล่าที่ซีเหอ
      
          สามปี? ตอนนั้นหมายถึงสิ่งใดหรือเจ้าคะ? ” เพราะคาดเดาว่าอีกฝ่ายคือเจิ้งราชินีโจรป่า เลยงุนงงไปเล็กน้อยถึงสามปีก่อนหน้าว่าอีกฝ่ายทำอะไรมาถึงได้มาติดอยู่ในป่าแห่งนี้โดยไร้ลูกน้องคนอื่น ๆ
      
          " พูดถึงข้า แล้วเจ้าล่ะ คิดว่าจะเริ่มต้นยังไงกับชะตาเจ้าและแผ่นดินในกลียุคเช่นนี้ " เจิ้งหลันหันมามองนางก่อนเอ่ยปากถาม
      
          จิ้นอิ๋งที่โดนปัดตกคำถามก็ได้แต่เผลอเม้มปากผะแผ่ว รู้สึกเข้าไม่ค่อยได้กับสตรีเบื้องหน้าอย่างประหลาด ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้ปัดคำเช่นอีกฝ่ายกลับนิ่งคิดหาคำตอบตามคำถามที่ส่งหา ทว่าไม่มั่นใจนักว่าหมายถึงเริ่มต้นสิ่งใด อีกฝ่ายกล่าวราวกับรู้ว่าชะตาชีวิตนางนั้นกำลังโดนความกลียุคของแผ่นดินในตอนนี้เล่นงานเข้าให้ จนจิ้นอิ๋งเริ่มไม่กล้าบุ่มบ่ามตอบออกไป

          แม่นางเจิ้ง.. หมายถึงเริ่มต้นอะไรหรือเจ้าคะ?
      
          เจิ้งหลันมองจิ้นอิ๋งที่เรียกตนแม่นางเจิ้งพลางเดินเข้ามาหา " เริ่มต้นหมายความว่าอะไรงั้นเหรอ ก็.... " ก่อนอีกฝ่ายจะร้องเพลงกล่าวต่อนาง
          " โลกอยู่ใกล้แค่เอื้อม รอให้เราได้ไขว่ขว้า " เธอร้องเพลงมอบให้จิ้นอิ๋ง เพื่อกระตุ้นปณิธานที่ปรารถนา " ใหญ่และกว้างนักหนาเราจะกล้าพอไหม… "
      
          จิ้นอิ๋งที่ไม่นึกว่าจะได้รับคำตอบจากอีกสตรีเช่นนี้ ทั้งยังเป็นบทเพลงเสียด้วยทำให้นางเผลอนิ่งชะงักไป มองค้างยังอีกฝ่ายด้วยแววตาที่ยิ่งติดสงสัยหนักเข้าไปใหญ่
      
          " อยู่ตรงนี้เหมือนที่หวังจะอย่างไรก็ต้องไป... อย่า...อย่าเลย...ไม่ ข้าต้องลอง " เจิ้งหลันร้องเพลงอย่างไม่หยุด เธอเริ่มร่ายรำรอบตัวจิ้นอิ๋ง ท่ามกลางฝูงนกน้อยที่บินรอบ ๆ
      
          ดวงตาหวานสีนิลพลันมองตามร่างที่เต้นรำโดยรอบ นางที่ชอบร่ายรำไม่ต่างกันก็ค่อยคอยเผยรอยยิ้มออก พร้อมกันนั้นก็เสริมฮัมจังหวะคลอคล้อยไปกับอีกคน ให้ถานเจ๋อที่เพิ่งกลับมาถึงและตั้งใจจะเข้ามาช่วยผู้เป็นนายจากคนแปลกหน้าที่ขว้างม้าก่อนหน้าหยุดชะงักมองภาพตรงหน้า
      
          " ได้สูดกลิ่นอายพื้นหญ้า ฝันว่ามันต้องหอมหวาน… " เจิ้งหลันกล่าวเนื้อเพลงท่อนต่อไปก่อนจะวิ่งไปที่เชิงผา " ชื่นช่ำยามลมพัดผ่าน เรียกข้าให้รีบตามไป... ตลอดชีวิตที่เฝ้าฝันหา ได้ทำการใหญ่สมใจ.. "

          จิ้นอิ๋งมองตามอีกคนเล็กน้อย หลังเพลินเพลิดกับท่วงท่าการเต้นรำก็ถึงคราวที่นางกลับมาสนใจยังเนื้อหาที่อีกคนขับร้อง ความทะเยอะทะยานในน้ำเสียงนั้นทำนางเฝ้ารอฟังถึงท่อนต่อไป
      
          " จะได้ออกวิ่งไป เกลือกกลิ้งไป จะเต้นไป จะเล่นไป จะเที่ยวไป จะเลี้ยวไป ปล่อยผมปลิวเล่นลมลิ่ว จะลื่นไปให้ชื่นใจ " หญิงสาวคว้าข้อมือจิ้นอิ๋งพาวิ่งไปท่ามกลางฝูงนกน้อยที่บินตาม " ได้สูดกลิ่นอายพื้นหญ้า ฝันว่าความสำเร็จอยู่ตรงหน้า วันนี้ได้เปิดโลกใหม่ นี่แหละชีวิตเริ่มแล้ววววว "
      
          จิ้นอิ๋งปล่อยตัวตามแรงดึง รอยยิ้มยิ่งเปื้อนดวงหน้าหวานยามสลับขยับฝีเท้าพาอีกฝ่ายร่ายรำไปกับตนเคล้าเสียงเพลงไปด้วยกัน
      
          " นี่แหละชีวิตข้าได้เริ่มขึ้นแล้ววว คว้าชัยเหนือผู้กดขี่! " เจิ้งหลันจบเพลงก่อนหันมาหาคุณ " อุดมการณ์ของเจ้าล่ะ ในกลียุคเจ้าจะทำอะไร "
      
          จนทั้งคู่หยุดยืนนิ่งในตอนที่ได้ยินถึงปณิธานสูงสุดของอีกคนถูกเอื้อนเอ่ย แววตาจิ้นอิ๋งพลันดูไหวระริกมั่นใจกึ่งหนึ่งว่าคนตรงหน้าไม่น่าใช่แม่นางเจิ้งที่เป็นหัวหน้าโจรป่าผู้นั้น แม้ปณิธานตอนท้ายจะคล้ายกัน แต่ระหว่างกลางที่กำลังเล่าหาราวกับอีกสตรีอยากจะเป็นอิสระจากบางสิ่ง ความเห็นใจระรอกหนึ่งกัดกินทั่วใจจิ้นอิ๋ง ก่อนนางจะถูกเรียกสติจากคำถามอีกฝ่ายและสุดท้ายก็ยินยอมเอ่ยถึงความตั้งใจตนออกไป

          ข้า.. ข้าอยากหยุดกลุ่มโจรโพกผ้าเหลืองเจ้าค่ะ… หากพวกเขาไม่อาจกลับมาทำตามปณิธานเดิมได้ ข้าก็อยากให้หายไป.. แยกย้ายกลับคืนชีวิตเดิมจะดีเสียกว่า ” ริมฝีปากสีระเรื่อถูกเม้มแผ่ว ก่อนสบตาผู้ถามเพื่อเอ่ยหนักแน่นในประโยคต่อมา

          แต่ถ้าคนเบื้องบนยังกดข่มเช่นเดิมก็อาจมีกลุ่มคนโพกผ้าอีกเมื่อใดก็ได้… เช่นนั้น ในตอนนี้อุดมการณ์ข้าคงเป็น... ” นางเงียบลงคล้ายไม่กล้าพูดนัก ด้วยรู้สึกว่าช่างเป็นความคิดที่เกินตัวไม่น้อย แต่หากไม่คิดหวังเช่นนั้น กลุ่มโจรก็จะเผยตัวขึ้นมาอีกเรื่อย ๆ สร้างปัญหามากมาย ซึ่งจิ้นอิ๋งไม่ต้องการให้แผ่นดินระส่ำระส่ายเรื่อย ๆ เช่นนี้

          ข้าอยาก.. มีพลังมากพอที่จะส่งเสียงให้เหล่าเบื้องบนได้ยินว่าชาวเมืองกำลังลำบากอยู่เจ้าค่ะ อยากให้พวกเขา… หยุดเอาเปรียบพวกเราได้แล้ว ให้แผ่นดินฮั่นน่าอยู่มากกว่านี้เจ้าค่ะ
      
          " งั้นเหรอ หวังว่าเจ้าจะทำได้นะ " เจิ้งหลันยิ้มก่อนวิ่งจากไป " หากเจ้าไม่มีเพื่อนคุย มาหาข้าที่นี่ได้ " หญิงสาวโบกมือก่อนกระโดดไถลไปตามเนินเขาจากไปทิ้งให้คุณยืนท่ามกลางฝูงนก

          จิ้นอิ๋งมองตามสตรีแซ่เจิ้งที่นอกจากไม่ต่อว่าถึงความต้องการที่อาจหาญจากผู้เป็นสตรีด้วยกันเช่นนาง ยังอวยพรให้นางทำได้อีกด้วยจนแววตาที่ทอดมองร่างที่ไถลลงเนินเขาดูอ่อนลงหลายส่วนเลยเชียว ถานเจ๋อที่เฝ้าฟังมาตลอดก็มองยังผู้เป็นนายนิ่ง ก่อนมันจะเดินตามเสียงเรียกของจิ้นอิ๋งให้กลับขึ้นม้าเพื่อเดินทางต่อ และในตอนที่จิ้นอิ๋งจะขึ้นม้า ก็ออกเดินตามหาไป๋เส่อไก่ตัวน้อยเสียก่อน โดยพบว่าเจ้าไก่กำลังซุกนั่งทับถุงเงินและกระเป๋าใบเล็กใบหนึ่งเอาไว้ นางมองอย่างติดฉงนพาลคิดไปว่าเป็นของสตรีผู้นั้นหรือไม่จึงช่วยเก็บเอาไว้ให้ ยามพบกันคราวหน้าค่อยส่งคืนให้ก็ยังไม่สาย



←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
บทเพลงเฟิ่งฉิวหวง
ถุงหอมจูอวี๋
กระบี่
พู่หยกเลือดหงส์
กลยุทธ์เล่ออี้
ม้าเหลียง
หน้ากากขาว
เกราะเกล็ดมังกร
ผ้าคลุมไท่หลง
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x3
x3
x3
x3
x3
x3
x3
x5
x2
x2
x1
x2
x2
x2
x1
x1
x27
x2
x38
x40
x50
x50
x40
x40
x50
x3
x22
x19
x31
x10
x50
x5
x5
x5
x1
x12
x1
x2
x5
x2
x9
x1
x8
x6
x6
x1
x3
x2
x2
x1
โพสต์ 2021-9-13 22:19:04 | ดูโพสต์ทั้งหมด
โรลประลองฝีมือแบบงงๆ


"ท่านมั่นใจหรือท่านเหวินหยวนว่าจะให้ข้านั้นประลองกับท่านจริงๆข้าคิดว่าเราเพียงพูดคุยกันก็น่าจะพอแล้วนะ"

"ฮ่าๆ ท่านจีเทียนเต๋าคิดมากไปแล้วข้าประลองกับท่านเพื่อกระฉับไมตรีเฉยๆหาได้ประลองแบบเอาถึงตายไม่เดี่ยวข้างหน้าก็จะถึงที่เราจะประลองแล้ว"

"ได้เลยถ้างั้นเอาตามที่ท่านว่าก็เลยแล้วกันแบบนั้น"

พร้อมกับที่ทั้งคู่นั้นเดินทางขึ้นภูเขากันไปด้วยกันทั้งคู่แต่เพียงขึ้นไปได้ไม่นานนักก็เจอกับหญิงสาวคนหนึ่งที่นั่งอยู่บนโขดหินก่อนที่จีเทียนเต๋าจะรู้ตัวอีกฝ่ายก็ควงขวานพุ่งเข้ามาหาตนเองทันที

"ใจเย็นแม่นางเจ้าจะมาฟันข้าทำไมกันเนี้ยมีอะไรเราก็ค่อยๆพูดค่อยๆจากันก็ได้นะ"

พร้อมกับที่จีเทียนเต๋ากำลังรับเพลงขวานอันดุดันของอีกฝ่ายอย่างเต็มที่โดยที่เพลงขวานของอีกฝ่ายดุดันแล้วเกรี้ยวกราดมากหลังจากรับไปได้ไม่กี่กระบวนท่า จีเทียนเต๋าก็ใช้กระบวนท่ารุนแรงที่สุดของตนเพื่อพลักอีกฝ่ายให้ออกไปจนอีกฝ่ายต้องถอยออกไปโดยที่ เหวินหยวนก็รีบเข้ามาประกบข้างจีเทียนเต๋าเพื่อรับมือกับอีกฝ่ายด้วย

       "นักบวชแบบแกก็ฝีมือไม่เลวเลยนะ แฮ่กๆ"
เจิ้งหลันกล่าวขึ้นทันทีที่เว้นระยะห่างจากอีกฝ่ายก่อนจะทักขึ้น

"ฝีมือเช่นพวกเจ้าทำไมถึงรับใช้ทางการเป็นสุนัขของราชสำนัก?"

"อย่ามองพวกข้าเช่นนั้นข้ากับสหายไม่ได้รับใช้ราชสำนักเพียงผ่านทางมาก็เท่านั้นพวกข้าล้วนแล้วแต่จะทำเพื่อปวงประชาด้วยหัวใจตนเองเท่านั้นหาได้เกี่ยวกับใครไม่แต่เห็นแม่นานอยู่ดีๆก็วิ่งปรี่มาฟันข้า แบบนี้ข้าว่าท่านต่างหากที่น่าจะเข้าใจผิดแล้ว"


        "งั้นเหรอ ที่แท้เข้าใจผิด ข้านึกว่าพวกเจ้าทั้งคู่เจ้าเป็นคนทางการมาตามล่าข้า"

เจิ้งหลันกล่าวพลางเก็บอาวุธ พลางมองอีกฝ่ายอย่างไม่วางตา เธอไม่ค่อยอยากไว้ใจใครมากนักเมื่อเทียบกับเหตุการณ์ที่พบเจอมา

"ว่าแต่เจ้ามาทำอะไรที่นี่ทั้งสองคนแถมยังสะพายอาวุทกันมาอีกแบบนี้?"

      "ข้ากับสหายเรามาหาที่ประลองฝีมือกันเฉยๆพอขึ้นเขามาได้ก็เจอกับแม่นางพอดีนั้นแหละ"

       "ข้าแช่เจิ้ง เรียกข้าเจิ้งนั่นแหละนะ ส่วนชื่อไว้สักวันถ้าข้าเชื่อใจเจ้าจะบอกเอง"


เจิ้งหลังกล่าวขึ้นมาก่อนจะเดินไปที่โขดหิน วางขวานเล่มโปรดของนางไว้ข้างกาย

       "เจิ้งหรือใช่เกี่ยวข้องกับหัวหน้ากลุ่มโจรเขาไท่ซานหรือเปล่าว? ใช่ไหมท่าน เหวินหยวนข้าก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน"

"น่าจะใช่นะข้าว่าน่าจะใช่นางหรือเปล่าว?"

       "แล้วพวกเจ้าสองคนนั้นคิดว่าข้าใช่นางหรือเปล่าล่ะ หากแค่แซ่เหมือนหรือญาติหรือนางตัวจริง เจ้าลองเดาดูสิ"

เจิ้งหลันเหย่อีกฝ่ายพลางลูบด้ามขวานด้วยสายตาดุ เธอจะไม่มีทางบอกความจริงอีกฝ่ายหรอกว่าใช่เจิ้งเจียงที่มีชื่อเสียงหรือไม่ ราชินีแห่งโจรป่าที่เสมือนแบบอย่างของเธอ



      "ข้าคิดว่าท่านน่าจะเป็นญาติกันหรือเปล่าวเพราะที่ข้าได้ข่าวมาถ้าเป็นหัวหน้ากลุ่มโจรจริงคงไม่มาอยู่เพียงผู้เดียวแบบนี้ ต้องมีสมุนมาด้วยหรือว่าต้องมีคนมามากกว่านี้"

"ข้าก็ว่าเช่นกันพวกกลุ่มโจรคงไม่มาเพียงผู้เดียวกระมัง?

       "พวกเจ้าคิดเช่นนั้นข้าก็ไม่ว่า... จุ๊"

เจิ้งหลันกล่าวพลางยกนิ้วขึ้นมาที่ริมฝีปาก

"พวกเจ้าทั้งคู่ได้ยินเสียงอะไรหรือเปล่า"

     "หืมเสียงอันใดกันข้าไม่เห็นได้ยินอะไรเลยนะ?"

       "ลองตั้งใจฟังสิ"

      "ข้าว่าท่านต้องไปลองเช็คสมองกับท่านหมอเสียหน่อยนะข้าว่าอาการท่านน่าจะหนัก"

       "เจ้าไม่ได้ยินเสียงสิงสาราสัตว์ ฝูงนกร้องจิ๊บ ๆ ทั่วบริเวณนี้หรอกหรือ พวกมันกำลังกลัวคนแปลกหน้าเช่นเจ้า เจ้าซินแซนอกรีตเอ้ย "

เจิ้งหลันกล่าวพลางลุกขึ้นบิดตัว

       "เอ่อข้าไม่ได้มียินเสียงของพวกสัตว์เหล่านี้นะ ข้าได้ยินแต่เสียงของพระองค์ที่ดังไกล ท่านได้ยินเสียงมันเช่นนั้นหรือ?

       "ข้าเหรอ ข้าพอเข้าใจพวกมันได้บ้าง ก็อยู่ที่นี่มาสามปีแล้วนับแต่ตอนนั้น..."

เจิ้งหลันกล่าวพลางเว้นไว้ ไม่อยากหวนนึกถึงวันที่เธอฆ่าขุนนางชั่วจนโดนตามล่าที่ซีเหอ

       "ท่านไม่มีบ้านไม่มีที่อยู่หรือถึงมาอยู่ในป่าแห่งนี้ แถวนี้ก็ไม่เหมือนมีที่อาศัยอยู่เลยนะ"

พร้อมกับที่ตนมองไปยังเหวินหยวนที่อีกฝ่ายก็เพียงส่ายหน้ากลับมา

       "พูดถึงข้า แล้วเจ้าล่ะ คิดว่าจะเริ่มต้นยังไงกับชะตาเจ้าและแผ่นดินในกลียุคเช่นนี้"

เจิ้งหลันหันมามองอีกฝ่ายก่อนเอ่ยปากถาม

      "ข้าจะต้องช่วยเหลือเหล่าประชาชนให้ได้มากที่สุดข้าจะยุติกลียุคเช่นนี้ให้จงได้ถึงแม้มันจะยากลพบากมากเพียงไหนก็ตามทีเพราะถ้าเราไม่ทำอะไรเลยปล่อยให้กลียุคเป็นไปแบบนี้ผู้คนจะต้องล้มตายจนสิ้นแน่นอน ข้าจะต้องช่วยเหลือผู้คนให้ได้ต่อให้โดนประนามก็ตามที ใช่ไหมล่ะแม่นาง?!!!


       เจิ้งหลันมองอีกฝ่ายที่เรียกตนแม่นางเจิ้งพลางเดินเข้ามาหา

"เริ่มต้นหมายความว่าอะไรงั้นเหรอ ก็...."

ก่อนเธอจะร้องเพลงกล่าวต่ออีกฝ่าย

       "โลกอยู่ใกล้แค่เอื้อม รอให้เราได้ไขว่ขว้า" เธอร้องเพลงมอบให้อีกฝ่าย เพื่อกระตุ้นปณิธานที่ปรารถนา

"ใหญ่และกว้างนักหนาเราจะกล้าพอไหม..."

       "ข้าว่าท่านค่อยๆใจเย็นๆนะ..."

พร้อมหันไปมองเหวินหยวนที่ตอนนี้หลับตาซึมซับกับบทเพลงนั้ร

       "อยู่ตรงนี้เหมือนที่หวังจะอย่างไรก็ต้องไป... อย่า...อย่าเลย...ไม่ ข้าต้องลอง"
เจิ้งหลันร้องเพลงอย่างไม่หยุด เธอเริ่มร่ายรำรอบตัวจีเทียนเต๋าท่ามกลางฝูงนกน้อยที่บินรอบ ๆ

       "อ่าทำไมท่านจึงร้องเพลงกับนกเหล่านี้ได้กัน...ท่านทำได้อย่างไร?

       "ได้สูดกลิ่นอายพื้นหญ้า ฝันว่ามันต้องหอมหวาน..."

เจิ้งหลันกล่าวเนื้อเพลงท่อนต่อไปก่อนจะวิ่งไปที่เชิงผา

"ชื่นช่ำยามลมพัดผ่าน เรียกข้าให้รีบตามไป... ตลอดชีวิตที่เฝ้าฝันหา ได้ทำการใหญ่สมใจ.."

       "อ่าใช่ข้าต้องทำการใหญ่ช่วยเหลือปวงประชา!!!"

       "จะได้ออกวิ่งไป เกลือกกลิ้งไป จะเต้นไป จะเล่นไป จะเที่ยวไป จะเลี้ยวไป ปล่อยผมปลิวเล่นลมลิ่ว จะลื่นไปให้ชื่นใจ"

หญิงสาวคว้าข้อมือคุณพาวิ่งไปท่ามกลางฝูงนกน้อยที่บินตาม

"ได้สุดกลิ่นอายพื้นหญ้า ฝันว่าความสำเร็จอยู่ตรงหน้า วันนี้ได้เปิดโลกใหม่ นี่แหละชีวิตเริ่มแล้ววววว"

       "ชีวิตของเราได้เริ่มต้นแล้ว!!!"

       "นี่แหละชีวิตข้าไดเ้ริ่มขึ้นแล้ววว คว้าชัยเหนือผู้กดขี่!"

เจิ้งหลันจบเพลงก่อนหันมาหาคุณ

"อุดมการณ์ของเจ้าล่ะ ในกลียุคเจ้าจะทำอะไร"

       "ช่วยเหลือประชาชนทุกคนในแผ่นดิน!!!"

       "งั้นเหรอ หวังว่าเจ้าจะทำได้นะ"

เจิ้งหลันยิ้มก่อนวิ่งจากไป "หากเจ้าไม่มีเพื่อนคุย มาหาข้าที่นี่ได้"

หญิงสาวโบกมือก่อนกระโดดไถลไปตามเนินเขาจากไปทิ้งให้คุณยืนท่ามกลางฝูงนก

      "ข้าว่านางน่าจะได้รับการกระทบกระเทือนที่สมองนะท่านเหวินหยวนคิดเช่นนั้นไหม?

"ข้าว่าที่นางร้องเพลงมาก็ไม่ได้แย่นะ"

"ข้าล่ะปวดหัวกับพวกท่านจริงๆเอาเถอะเราไปประลองกันดีกว่าจะได้ไปจินหยางต่อ เหะกระเป๋าเงินใครในพุ่มไม้ เดี่ยวเก็บไว้ก่อนรอหาเจ้าของทีหลัง"

พร้อมกับที่จีเทียนเต๋าได้ไปโดน เหวินหยวนทุบจนสะบัดสะบอมก่อนทั้งคู่จะเดินทางไปจินหยางกันต่อ

@Webmaster


   






←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ชุดไท่หมินลู่
เบ็ดตกปลา
คัมภีร์ไท่หมินลู่
ไก่ฟ้าทองแดง
หวีเซียวเฉิน
กลยุทธ์เล่ออี้
ม้าขาว
หน้ากากขาว
ผ้าคลุมไท่หลง
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x108
x8
x800
x800
x800
x70
x470
x100
x100
x4
x3
x3
x1
x7
x25
x860
x10
x790
x490
x200
x1
x100
x100
x100
x10
x1
x2
x1
x3
x4
x10
x920
x291
x494
x5
x388
x5
x6
x77
x100
x30
x900
x68
x1
x82
x98
x1
x96
x98
x1
x6
x2
x1000
x2
x3
x3
x3
x7
x8
x3
x100
x4
x100
x26
x24
x24
x26
x14
x600
x96
x100
x60
x100
x100
x440
x25
x2
x376
x11
x492
x9
x4
x99
x80
x79
x28
x2
x379
x75
x196
x571
x167
x100
x100
x50
x100
x100
x250
x50
x86
x13
x13
x7
x74
x6
x19
x5
x1150
x324
x17
x11
x10
x10
x490
x10
x2
x42
x62
x38
x1
x108
x35
x96
x99
x85
x505
x1
x598
x3
x3
x1
x8
x24
x404
x4
x102
x6
x24
x491
x288
x39
x90
x154
x8
x1
x10
x75
x10
x93
x500
x250
x150
x250
x550
x250
x3
x500
x242
x36
x18
x465
x1015
x164
x804
x804
x804
x804
x493
x314
x13
x36
x7
x498
x1
x10
x1
x2561
x628
x320
x260
x100
x15
x1
x6
x6
x150
x9999
x2
x7
x18
x5
x2
โพสต์ 2021-9-17 21:34:53 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Jinying เมื่อ 2021-9-18 11:51


สตรีผู้ถูกตามล่า
.
.
.

          ตลอดการเดินทางคืนสู่เมืองซีเหอ ยามผ่านเมืองหงหนงจิ้นอิ๋งก็คล้ายจะระแวดระวังด้วยหวาดหวั่นต่อการเจอเหล่าโจรระหว่างทางอีกหน ทว่าก็สามารถเดินทางได้ราบรื่นเสียจนผ่านมาเยือนถึงเขตภูมิภาคซีเหอแล้ว ทำเอานางเผลอมองย้อนหลังกอดเจ้าไป๋เซ่อไว้แน่นขึ้นระหว่างเงี่ยหูฟังเล็กน้อย จนไร้เสียงการไล่ตามใด ๆ ลมหายใจพลันผ่อนก่อนใบหน้าหวานเผยรอยยิ้มโล่งใจและเดินทางด้วยอารมณ์ที่ดีขึ้น

          โดยตัวจิ้นอิ๋งได้เลือกเดินทางผ่านยังตัวเมืองอันอี้เช่นเดิมด้วยเป็นระยะทางที่ใกล้กว่า ทั้งยังอาจได้เจอสตรีแซ่เจิ้งที่เคยพบพานเมื่อหลายวันก่อนอีกด้วย จะได้คืนกระเป๋าใบน้อยและเงินที่มีในนั้นไปเสียที ระหว่างลดฝีเท้าม้าเฮยเซ่อยามเข้าใกล้เขตเขาไป๋สวินที่เคยเจอตัวแม่นางเจิ้งผู้นั้น ดวงตากลมก็สอดส่องไปทั่วบริเวณไปด้วย ก่อนจะถูกเรียกความสนใจจากเสียงการต่อสู้ไม่ไกลจากบริเวณนัก คิ้วเรียวพลันมุ่นเข้าหากระทั่งเผลอหยุดม้าตั้งใจฟังดี ๆ

          แต่แล้วที่มาของเสียงที่นางกำลังเฝ้าฟังไปกับถานเจ๋อ ก็ปรากฏเป็นเงาร่างของบุคคลสี่คนพุ่งออกมาจากยังเบื้องหน้าของจิ้นอิ๋งไม่ไกลนักให้แว่วเสียงม้าร้องด้วยอารามตกใจ ซึ่งคล้ายจะทำให้บุคคลที่เพิ่งปรากฏตัวตกใจตามไปด้วย

          " แม่นางเจิ้ง! " จิ้นอิ๋งเผลอหลุดร้องทักเมื่อเห็นสตรีคุ้นหน้า ก่อนมองกึ่งดุหายังบุรุษอีกสามที่กำลังเข้ารุมนาง จากการแต่งกายคล้ายจะเป็นชาวยุทธ์ยิ่งทำให้ดวงหน้าหวานพยายามทำตาดุใส่แม้จะไม่ได้ดูก้าวร้าวเลยก็ตาม

          " รุมสตรีคนเดียวเช่นนี้ใช้ได้ที่ไหนกันเจ้าคะ! แล้วทำไมต้องทำร้ายนาง "

          นางกล่าวก่อนลงจากม้าให้ถานเจ๋อวุ่นวายลงตามมายืนข้างไปด้วย โดยอีกฝั่งที่คล้ายโดนขัดจังหวะก็ส่งสายตาไม่พอใจคืนแก่จิ้นอิ๋งคล้ายหงุดหงิดที่โดนขัดจังหวะเข้าให้ ทว่าก็ต้องหันมาพิจารณานางใหม่กันทั้งสาม ก่อนจะลดอาวุธไม่รู้ตัวและยอมเอ่ยปากคุยด้วยเสียอย่างนั้น

          " พวกข้ามาตามจับสตรีแซ่เจิ้งตามประกาศจับก็เท่านั้น แม่นางอย่าเข้ามายุ่งเลยดีกว่าขอรับ "

          เพราะท่าทางที่ดูสุภาพขึ้นทำเอาใบหน้ามุ่น ๆ ของจิ้นอิ๋งพลันคลายลง ก่อนนางจะพยายามเกลี้ยกล่อมให้พูดคุยกันดีระหว่างที่ค่อยคอยเดินไปขนาบข้างแม่นางเจิ้งเอาไว้ราวกับจะบอกเจตนาโดยนัยว่าอยู่ข้างนางขึ้นมาเสียอย่างนั้น

          " เช่นนั้นก็ตามจับเพียงคนเดียวก็พอกระมัง ไยต้องมาถึงสามเช่นนี้.. นางก็เป็นเพียงสตรีผู้หนึ่งนะเจ้าคะ "

          " แต่ข้าก็แข็งแกร่ง! " แม่นางเจิ้งรั้นเถียงขึ้นมาหนึ่งคำรบหลังได้ยินคำพูดจิ้นอิ๋ง จนนางที่ได้ยินคนข้างกายกล่าวแทรกเถียงก็เผลอหลุดหัวเราะออกมา แววตาทั้งติดฉิวและนึกขันที่นางตั้งใจจะเข้ามาช่วยแท้ ๆ เหตุใดถึงทำตัวต่อต้านนางขึ้นมาแทนเสียอย่างนั้น

          เหล่าชาวยุทธ์ที่เห็นท่าทางคล้ายรู้จักกันแบบนั้นก็มองสบลังเลกันครู่หนึ่ง ก่อนสุดท้ายจะชี้กระบี่ใส่หน้าจิ้นอิ๋งให้นางต้องหยิบเอากระบี่ขึ้นมาเตรียมพร้อมไม่ต่างกันกับถานเจ๋อที่คล้ายยืนเยื้องกับท่านหญิงของมันเพื่อปกป้องอีกทอดหนึ่ง

          " แม่นาง… คนผู้นั้นสังหารแม่ทัพตู่กงนะขอรับ! ท่านปกป้องผิดคนแล้ว "

          จิ้นอิ๋งเผลอชะงักมือที่ถือกระบี่เล็กน้อย หันมองหายังแม่นางเจิ้งที่ขบกรามแน่นพร้อมแววตาของอีกฝ่ายฉายความคุกรุ่นภายในนั้น เหนือสิ่งอื่นใดในแววตาของสตรีแซ่เจิ้งกลับไร้ซึ่งความรู้สึกผิด มีร่องรอยความมั่นใจบางอย่างที่ราวกับอีกฝ่ายได้คิดดีแล้วถึงได้สังหารแม่ทัพผู้นั้น ตัวจิ้นอิ๋งที่เคยได้ยินถึงอุดมการณ์ของนางก็ลังเลขึ้นมาด้วย เพราะมั่นใจในบางอย่างว่าสตรีผู้นี้เนื้อแท้ไม่ใช่คนไม่ดี สุดท้ายเพราะนางมัวแต่ลังเล เหล่าชาวยุทธ์เลยพุ่งเข้าโจมตีก่อนเพื่อขู่ให้จิ้นอิ๋งล่าถอย ก่อนจะกลายเป็นสตรีแซ่เจิ้งที่เดาะลิ้นขัดใจและเป็นฝ่ายเหวี่ยงสะบัดขวานปัดเอากระบี่ของชาวยุทธ์ที่พุ่งหาจิ้นอิ๋งออกไปให้

          และเพราะเหตุการณ์เมื่อครู่ทำให้จิ้นอิ๋งได้สติ และตัดสินใจจะช่วยสตรีแซ่เจิ้งในที่สุด ส่วนถานเจ๋อที่ก่อนหน้าเห็นชาวยุทธ์พุ่งกระบี่ใส่นายตัวเองก็แทบเลือดขึ้นหน้าแล้ว เข้าโรมรันโจมตีไปก่อนด้วยอารามโมโห พลันเกิดแยกเป็นคนสามคู่กำลังเข้าจู่โจมกันเสียทั่วบริเวณนั้น เสียงสิงสาราสัตว์เงียบลงไปถนัดตา แม้เพลงดาบของจิ้นอิ๋งจะดูทื่อและซื่อตรงไปบ้าง ทั้งยังเกือบเพลี้ยงพล้ำไปเสียหลายหน แต่ก็อาศัยการพลิกแพลงเข้าโจมตีทีละน้อย รวมถึงใช้ใบหน้าที่นางอาจจะไม่รู้ตัวเท่าไหร่ว่าค่อนข้างรบกวนสมาธิของชาวยุทธ์ที่กำลังสู้ด้วยอยู่พอสมควร

          จนเมื่อสามชาวยุทธ์ถูกโจมตีเสียหลอบล้มไปทั้งหมด มือเรียวก็เร่งคว้าข้อมือของสตรีแซ่เจิ้งอย่างไม่บอกกล่าว พลางพาเร่งมาขึ้นม้าไปพร้อมกันกับบนางก่อนห้อตะบึงหลบลี้หนีจากเหล่าชาวยุทธ์ที่ยังบาดเจ็บจากการสู้กันเมื่อครู่ให้ตามมาไม่ทันในที่สุด

          .
          ยามเมื่อสลัดจนหลุดพ้น จิ้นอิ๋งจึงหยุดม้าให้ตัวแม่นางเจิ้งลงจากม้า อีกฝ่ายมีท่าทางไม่ค่อยพอใจนักที่ต้องล่าถอยทั้งที่เป็นฝ่ายชนะแท้ ๆ จิ้นอิ๋งที่เห็นสีหน้าอีกฝ่ายแบบนั้นก็พลอยหลุดยิ้มขบขันออกมาก่อนจะต้องเม้มริมฝีปากเล็กไว้หลังถูกดวงตาคมของอีกสตรีตวัดมองดุหา

          " ช่วยข้าไว้ทำไม ข้าสังหารแม่ทัพมานะ.. เจ้าก็ได้ยิน "

          สตรีแซ่เจิ้งเอ่ยเสียงห้วน แฝงความน้อยอกน้อยใจบางสิ่งในนั้นเบาบางจนเกือบจับไม่ได้ ทว่าจิ้นอิ๋งที่เป็นสตรีด้วยกันไหนเลยจะจับอารมณ์เล็ก ๆ น้อย ๆ เหล่านั้นไม่ได้ เสียงถอนหายใจพลันดังแผ่ว ก่อนนางจะลอบมองอีกฝ่ายที่กำลังยกขวานมาเช็ดคราบร่องรอยจากการต่อสู้เมื่อครู่ออกไป ร่างเล็กพลันเดินเข้าาก่อนจะหยิบผ้าเช็ดหน้าของนางมาช่วยเช็ดออกให้พร้อมเอ่ยเสียงแผ่วแต่แฝงความจริงใจหลายส่วนลงไปด้วย

          " ข้าได้ยินเจ้าค่ะ.. แต่สตรีที่ร้องเพลงเต้นรำเล่าอุดมการณ์น่าชื่นชมให้ข้าฟังเมื่อหลายวันก่อน ทำให้ข้าคิดว่านางต้องมีเหตุผลที่สำคัญแน่ถึงกระทำ.. มากกว่าทำไปเพื่อความสะใจแน่นอนเจ้าค่ะ "

          รอยยิ้มอ่อนโยนส่งหาจนดวงตาหวานโค้งประดับ สตรีแซ่เจิ้งผู้นั้นพลันเลื่อนสายตามาเห็นพอดีก็ผินหลบเลี่ยงดูครุ่นคิดตามพร้อมใบหูเล็กที่ระเรื่อแดงเสียน่าเอ็นดูให้จิ้นอิ๋งเผลอหลุดหัวเราะใสออกมา ทั้งยิ่งทำให้นางมั่นใจว่าอีกฝ่ายทำเพราะมีเหตุผลเป็นแน่

          ถึงอย่างนั้นสังหารคนก็ย่อมเป็นความผิดอยู่ดี ทว่าตัวจิ้นอิงอยากที่จะให้อีกฝ่ายมอบตัวด้วยตัวเอง หรือมีคนรู้ถึงเหตุผลที่แท้จริงไปด้วยเพื่อความยุติธรรมแก่อีกสตรี ในยามนี้นางจึงไม่ได้คิดจะพาสตรีแซ่เจิ้งไปส่งทางการ แต่กลับหยิบเอาชาหลงจิ่งที่เพิ่งซื้อมาจากลั่วหยางเพื่อเอาไปฝากแม่นางซูฮวาที่โรงหมอเมืองซีเหอ มาแบ่งให้แก่สตรีเบื้องหน้านางไปด้วย

          " ถึงอย่างนั้นสังหารคนก็ไม่ใช่เรื่องดีเท่าไหร่นะเจ้าคะ.. แต่ข้าจะไม่จับท่าน ข้าอยากให้ท่านพร้อมมอบตัวเองเสียมากกว่า… ชานี่ถือว่าข้าให้ท่านเผื่อช่วยให้ท่านผ่อนคลายจากเหตุการณ์โดนรุมเมื่อครู่นะเจ้าคะ "

          โถขนาดเล็กใส่ชาหลงจิ่งที่กำลังส่งกลิ่นหอมกรุ่นออกมา ถูกมองพิจารณาเล็กน้อยจากสตรีเบื้องหน้า ทำเอาจิ้นอิ๋งไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายจะชอบหรือไม่ แต่สุดท้ายก็ถูกรับไปพร้อมคำพูดขอบคุณที่ยังห้วนตามปกติ ทว่าก็เรียกรอยยิ้มจากจิ้นอิ๋งออกมาได้ที่อีกฝ่ายดูไม่ได้รังเกียจของที่นางให้เช่นนั้น ก่อนนางจะนึกถึงถุงย่ามและเงินจำนวนหนึ่งที่เก็บได้เมื่อคราวก่อนได้ และนำออกมาหยิบยื่นคืนแก่อีกฝ่ายพลันได้คำตอบว่าไม่ใช่ของอีกฝ่าย ทำจิ้นอิ๋งเผลอฉายแววตาสับสนว่าสรุปเอาของใครมา จนเรียกเสียงหัวเราะออกมาจากอีกสตรีได้ ตามด้วยถูกบอกให้เก็บเอาไว้ใช้ประโยชน์แก่อื่นต่อไปแล้วกัน จะได้ไม่รู้สึกผิดกับเจ้าของเงินที่เป็นใครก็ไม่รู้มากนัก

          " ไว้.. ข้าผ่านยังเขตเขาไป๋สวินอีกหน จะมาเยี่ยมแม่นางใหม่นะเจ้าคะ~ "

          ยามเห็นว่าสีหน้าอีกฝ่ายดูดีขึ้นมาแล้ว จิ้นอิ๋งจึงเอ่ยลาก่อนจะเดินกลับขึ้นม้าเตรียมตัวเดินทางต่อไปยังเมืองซีเหอก่อนที่ท้องฟ้าจะหมดแสง ซึ่งหญิงแซ่เจิ้งก็เพียงพยักหน้ารับให้ ทว่าก็ไม่รอดพ้นสายตาจิ้นอิ๋งที่แอบเห็นรอยยิ้มของนางให้ลอบหัวเราะคิกคักเอ็นดูถึงได้โบกมือลาพร้อมพาถานเจ๋อเดินทางต่อสู่เมืองเป้าหมายต่อไป


[144] มอบ ชาหลงจิ่ง ให้

←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
บทเพลงเฟิ่งฉิวหวง
ถุงหอมจูอวี๋
กระบี่
พู่หยกเลือดหงส์
กลยุทธ์เล่ออี้
ม้าเหลียง
หน้ากากขาว
เกราะเกล็ดมังกร
ผ้าคลุมไท่หลง
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x3
x3
x3
x3
x3
x3
x3
x5
x2
x2
x1
x2
x2
x2
x1
x1
x27
x2
x38
x40
x50
x50
x40
x40
x50
x3
x22
x19
x31
x10
x50
x5
x5
x5
x1
x12
x1
x2
x5
x2
x9
x1
x8
x6
x6
x1
x3
x2
x2
x1
โพสต์ 2021-9-24 19:12:47 | ดูโพสต์ทั้งหมด


ทานข้าวด้วยกัน
.
.
.

          ยามอู่มาถึงตอนที่ทั้งสองเดินทางมาถึงเมืองอันอี้พอดี และเพราะจิ้นอิ๋งอยากเจอกับแม่นางเจิ้งด้วยนึกห่วงว่าจะเจอกับเหล่าผู้ฝึกยุทธ์อีกเข้าให้ นางจึงพาถานเจ๋อเดินทางออกนอกเมืองมายังเขตป่าที่สตรีถือขวานอยู่หลังจากแวะซื้ออาหารทานยามเที่ยงออกมาแล้ว คล้ายตั้งใจเอาไว้ว่าจะไปนั่งทานอาหารร่วมกับอีกฝ่าย

          ซึ่งก็ไม่ผิดหวัง จิ้นอิ๋งทันเห็นร่างของอีกสตรีกำลังนั่งขัดขวานของตัวเองยังหินก้อนเดิมที่เคยพบกันเข้าพอดี รอยยิ้มของนางพลันวาดออกคราแรกหลังจากที่เพิ่งผ่านการโดนกล่าวไม่ดีใส่เมื่อครั้งอยู่ที่ลั่วหยางเมื่อยามเช้า ม้าดำเฮยเซ่อพาเจ้านายบนหลังมันก้าวเดินตรงหาสตรีผู้นั้น ก่อนจะถูกผูกไว้ใต้ต้นไม้ต้นหนึ่งที่โดยรอบอุดมด้วยผืนหญ้าให้เล็มแทะระหว่างรอ ทางฝั่งจิ้นอิ๋งก็เตรียมเข้าไปทักทายสตรีแซ่เจิ้งทันทีโดยมีถานเจ๋อขอนั่งทานข้าวใต้ต้นไม้เพื่อเฝ้าเหล่าม้าไว้ ซึ่งความนัยจริง ๆ น่าจะเพราะมันขี้เกียจเดินแล้วอยากเร่งทานข้าวเสียมากกว่า ซึ่งเด็กสาวก็ราวรู้ความจริงในใจของอีกฝ่ายจึงพยักหน้ารับทั้งใบหน้าเจือรอยยิ้มให้อีกบุรุษพักผ่อนตามอัธยาศัยไป

          " สวัสดียามอู่นะเจ้าคะแม่นางเจิ้ง! "

          จิ้นอิ๋งเอ่ยน้ำเสียงร่าเริงพลางทรุดนั่งลงไม่ไกลจากคนที่เอ่ยทักหาไปเมื่อครู่ พร้อมกันนั้นก็เปิดหีบห่อข้าวเปิดออกมาพลางยื่นส่งให้อีกฝ่ายไปด้วยราวต้องการแบ่ง ทว่าหญิงสาวกลับขมวดคิ้วมุ่นแล้วมองอาหารที่ถูกยื่นราวกับไม่อยากทานนัก

          " ไม่ชอบบะหมี่แห้งหรือเจ้าคะ? " เอ่ยถามอย่างสงสัย ทว่าอีกสตรีกลับส่ายหัวผะแผ่ว

          " เปล่า.. ข้าชอบบะหมี่ โดยเฉพาะบะหมี่ผัดเต้าหู้ "

          " เช่นนั้นทานกับข้าหรือไม่เจ้าคะ? ถึงไม่ใช่บะหมี่ผัดเต้าหู้แต่ก็รสดีเชียว "

          สตรีแซ่เจิ้งยังคงส่ายศีรษะปฏิเสธกลับหาดูลำบากใจ ท่าทางเช่นนั้นทำเอาจิ้นอิ่งเผลอยู่ริมฝีปากเล็กน้อย ๆ ที่ความตั้งใจมาชวนอีกฝ่ายทานข้าวด้วยกันล้มเหลว ถึงอย่างนั้นนางก็ไม่ได้ขยั้นขยอต่อทั้งยังไม่ได้ผละจากไปไหน นั่งทานอาหารอยู่ข้างกายของอีกสตรีจนอีกฝ่ายต้องเหลือบหางตามองดุเป็นระยะ ดูก็รู้ได้ไม่ยากว่าคงอยากเอ่ยใส่ดรุณีน้อยเต็มแก่ว่าจะมานั่งใกล้ตนทำไม จนจิ้นอิ๋งที่รับรู้ถึงสายตานั้นแทบหลุดขำออกมาเสียหลายหน
          .
          " วันนี้เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ เหล่าชาวยุทธ์มากวนใจแม่นางเจิ้งหรือไม่? "

          เอ่ยถามหลังจากปิดเก็บห่ออาหารที่ทานจนหมดเรียบร้อยลง พร้อมกันนั้นก็หยิบเอาอีกหีบห่อที่เล็กกว่ามาเปิดออกจนเผยให้เห็นขนมชิงถวนหน้าตาน่าทานอยู่ด้านใน จิ้นอิ๋งหยิบมาชิ้นหนึ่งก่อนส่งเข้าปากเคี้ยวหมุบหมับจนแก้มกลม ดวงตากลมใสก็มองยังคู่สนทนาราวอยากรู้ชีวิตประจำวันไปด้วยจนอีกสตรีลอบถอนใจและยอมพูดคุยด้วยในที่สุด ด้วยคิดว่าเงียบไปก็ไม่แคล้วโดนชวนคุยเรื่องอื่นจากเด็กสาวผู้นี้มาอยู่ดี

          " ก็มากวนอยู่บ้าง.. แต่ครานี้เหมือนเหตุผลไม่ใช่อยากจับข้านัก เห็นว่าขอฝึกประมือเพื่อซ้อมแข่งศึกประชันแห่งศักดิ์ศรีที่เมืองลั่วหยาง " สตรีแซ่เจิ้งกล่าวให้ฟังไม่คิดปิดบัง พลางเหลือบมองจิ้นอิ๋งเป็นระยะ

          " หืม? ศึกประชันหรือเจ้าคะ "

          " ใช่ เห็นว่าจัดประลองวันที่ 9 เดือนสือเยว่… เจ้าก็ฝีมือไม่เลวนี่ไม่ลองลงแข่งด้วยดูล่ะ "

          อีกฝ่ายกล่าวระหว่างยื่นมือลงมาคว้าขนมชิงถวนในกล่องที่จิ้นอิ๋งถือไว้ เด็กสาวที่เห็นนอกจากไม่ว่ากล่าวอะไรแล้วยังยกยื่นขนมทั้งกล่องให้อีกฝ่ายไปทั้งหมดเลยเชียว และดูคล้ายสตรีแซ่เจิ้งก็ไม่ปฏิเสธเสียด้วย ทำให้นางรับรู้ขึ้นมาขนมก้อนแป้งเชียวนี่คงเป็นของชอบอีกสตรีแน่

          " ให้ข้าไปแข่งน่ะหรือเจ้าคะ?... ไม่ไหวล่ะมั้ง ข้าก็รู้เพลงกระบี่แค่ระดับพื้นฐานเท่านั้นเองเจ้าค่ะ "

          จิ้นอิ๋งกล่าวพลางยกยิ้มแห้งขึ้นมาเมื่อลองนึกเล่น ๆ ว่าหากต้องไปแข่งไม่แคล้วตกรอบตั้งแต่แรก ๆ เป็นแน่ ยอดฝีมือหลายท่านคงเตรียมตัวเพื่อเข้าร่วมการแข่งประชันฝีมือ สตรีที่เพิ่งหยิบจับกระบี่มาเพียงเดือนเดียวและใช้เพียงเพื่อป้องกันตัวเท่านั้น ไหนเลยจะสู้เหล่าคนที่ฝึกเพื่อต่อสู้โดยเฉพาะได้เล่า ทว่าสตรีแซ่เจิ้งที่เคยประมือมาด้วยคล้ายไม่คิดเช่นนั้น นางกลืนขนมในปากลงไปพลางพเยิดหน้าไปทางถานเจ๋อที่กำลังทอดกายนอนพักใต้ต้นไม้อย่างสบายอารมณ์อยู่

          " อย่าดูถูกตนเอง.. ให้ผู้ติดตามเจ้าช่วยฝึกก็ได้นี่ ตอนพวกเจ้ามาช่วยข้าคราวนั้นมันก็ฝีมือไม่เลว.. แต่ก็มีดีแค่ใช้กำลังเหวี่ยงดาบไปมานั่นแหละ อืม… วิธีของมันคงไม่เหมาะกับวิถีกระบี่เจ้าเท่าไหร่ "

          " ยังไงกันแน่เจ้าคะ "

          เด็กสาวกล่าวกลั้วขำขึ้นมาหลังจากที่ได้ยินประโยคแรกคล้ายแนะนำมา ประโยคหลังกลับเอ่ยเหมือนตำหนิและไม่แนะนำเสียอย่างนั้น ยิ่งยามเห็นท่าทางนอนยกเท้าพาดกระดิกไปมาสตรีแซ่เจิ้งก็ยิ่งย้ำหนักแน่นว่าให้หาผู้อื่นที่ถนัดการใช้กระบี่ช่วยสอนจะดีกว่า

          " แม่นางเจิ้งไม่สนใจจะสอนข้าดูหรือเจ้าคะ? " สิ้นคำเด็กสาว สตรีที่ส่งขนมเข้าปากอีกก้อนก็ส่ายศีรษะแทบจะเดี๋ยวนั้นให้จิ้นอิ๋งเผลอยู่ปากกลับคืนอย่างผิดหวัง

          " ไม่ล่ะ ข้าถนัดขวานจะไปสอนกระบี่เจ้าก็กระไร.. หากแต่ถ้าอยากได้คู่ซ้อมมือก็มาหาข้าได้ "

          ได้ยินเช่นนั้นจิ้นอิ๋งถึงยิ้มออก ใบหน้านวลพยักรับไม่คิดปฏิเสธพลางกล่าวย้ำว่าตนจะมาพบอีกฝ่ายอีกแน่ก่อนจะผุดลุกเพื่อตัวเดืนทางต่อไม่ให้ถึงยังเมืองซีเหอดึกเกินไป สตรีแซ่เจิ้งที่ได้ฟังก็เพียงพยักหน้ารับเท่านั้นก่อนจะหันมาสนใจขนมในมือต่อให้แว่วเสียงหัวเราะขบขันจากจิ้นอิ๋งก่อนนางจะเดินไปปลุกถานเจ๋อเพื่อพากันเดินทางสู่เเมืองซีเหอกันต่อ


[144] มอบ ขนมชิงถวน ให้

←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
บทเพลงเฟิ่งฉิวหวง
ถุงหอมจูอวี๋
กระบี่
พู่หยกเลือดหงส์
กลยุทธ์เล่ออี้
ม้าเหลียง
หน้ากากขาว
เกราะเกล็ดมังกร
ผ้าคลุมไท่หลง
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x3
x3
x3
x3
x3
x3
x3
x5
x2
x2
x1
x2
x2
x2
x1
x1
x27
x2
x38
x40
x50
x50
x40
x40
x50
x3
x22
x19
x31
x10
x50
x5
x5
x5
x1
x12
x1
x2
x5
x2
x9
x1
x8
x6
x6
x1
x3
x2
x2
x1
โพสต์ 2021-9-25 17:37:34 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Jinying เมื่อ 2021-9-25 17:42


มีปากเสียง
.
.
.

          วันต่อมาจิ้นอิ๋งและถานเจ๋อพากันเดินทางออกมาจากตัวเมืองซีเหอหลังจากหมดธุระลงแล้ว มีแวะจับจ่ายซื้อเสบียงกันเป็นกิจวัตรปกติที่ย่านการค้าพลางทักทายพ่อค้าหวังทู่ก่อนจะได้ออกจากเมืองตัวซีเหอในท้ายที่สุด ยามเดินทางใช้ความเร็วเท่ากันกับเมื่อวานที่ทั้งคู่มายังตัวเมืองซีเหอ ทำให้เป็นเวลาเดิมที่จิ้นอิ๋งมาเยืองถึงเมืองอันอี้ ทางฝั่งสตรีแซ่เจิ้งก็ยังอยู่ที่เดิมโดยที่ดรุณีน้อยแอบสังเกตเห็นชาวยุทธ์แปลกหน้าหนึ่งถึงสองคนเพิ่งจากไปก่อนหน้า ทำให้ทันทีที่ลงจากม้าเดินเข้าหาอีกฝ่ายเลยอดถามขึ้นมาไม่ได้

          " ชาวยุทธ์มาขอประมืออีกแล้วหรือเจ้าคะ? "

          เอ่ยถามขึ้นขณะเตรียมเปิดกล่องอาหารขึ้นมา โดยรอบนี้หลังจากที่อีกสตรีพยักหน้ารับคำตอบของจิ้นอิ๋ง นางก็หยิบเอากล่องข้าวตัวเองออกมาบ้างทำเอาเด็กสาวแย้มยิ้มดีใจที่วันนี้จะมีเพื่อนร่วมทานข้าวเที่ยง ทว่ายังไม่ทันได้เอ่ยถามถึงอาหารที่ทานอยู่เสียงถานเจ๋อที่ยังคงขอทานข้าวใต้ต้นไม่เช่นเดิมก็พลันดังแทรกขึ้นมาเรียกความสนใจของทั้งคู่ให้ผินสายตามองหา

          " แกเป็นใคร! "

          " ปล่อยข้า! ข้าจะไปคุยกับคนเห็นแก่ตัว! เอายอดตำราไปคืนที่เดิมเลยเลยนะ! "

          เสียงโวยวายคุ้นหูทำให้จิ้นอิ๋งวางกล่องข้าวในมือลงก่อนจะเดินเข้าหาถานเจ๋อที่ช่วยคุมตัวบุรุษแต่งกายคล้ายบัณฑิตเอาไว้ จนยามที่ทั้งคู่เผชิญหน้ากันนางถึงร้องรับในคอผะแผ่วขึ้มาเมื่อจำได้ว่าอีกฝ่ายนั้นเป็นใคร

          " ท่านคนเมื่อวานนี่.. หมายความว่าอย่างที่ข้าเห็นแก่ตัวเจ้าคะ " จิ้นอิ๋งเอ่ยน้ำเสียงติดเครียดขึ้นมา เมื่อเจอกี่คราคนตรงหน้าก็ยังกลับดำเป็นขาว โยนทุกความคิดที่เป็นความผิดมาใส่นางโดยไม่ได้หาความจริง

          " ไม่ต้องมาทำไขสือ เมื่อวานเจ้าบอกจะไปเอายอดตำรา ข้าตามไปทีหลังก็ไม่เห็นเสียแล้ว จะเป็นใครหน้าไหนที่มันเอาไปได้อีก! "

          อีกฝ่ายกล่าวน้ำเสียงฟังโมโหไม่น้อย ทั้งร่างพยายามจะดิ้นให้หลุดจากการโดนถานเจ๋อจับเอาไว้ แต่ทันทีที่มันเอ่ยต่อว่าผู้เป็นนายทั้งที่ไม่เป็นความจริงแม้แต่น้อยมันก็ยิ่งจับแขนทั้งสองอีกฝ่ายไขว้ตรึงติดหลังแน่นขึ้นจนแว่วเสียงร้องโอดโอย และเป็นจิ้นอิ๋งที่ต้องคอยเอ่ยปรามให้เบามือลง ถานเจ๋อจึงยอมผ่อนแรง

          " ข้าไม่ได้เอาไปเจ้าค่ะ ข้าไปถึงก็พบกลยุทธ์เล่ออี้วางไว้แทนแล้วเช่นกัน.. ท่านคิดว่าเรื่องยอดตำราจะมีแค่ข้ารู้จริง ๆ น่ะหรือเจ้าคะ หากเข้าไปสำรวจภายในท่านน่าจะสังเกตถึงรอยเท้าหรือศพของชาวยุทธ์ไม่น้อย.. เป็นสิ่งพิสูจน์อยู่แล้วว่าข้าไม่ใช่ผู้เดียวที่รับรู้การมีอยู่ของยอดตำราซินแสตงฟาง ไฉนถึงยังมาใส่ความข้าเช่นนี้เล่าเจ้าคะ "

          บัณฑิตที่ถูกความรู้สึกแง่ลบครอบงำพลันนิ่งลงไปเมื่อได้ยินคำกล่าวให้ฉุกคิดเหล่านั้น ทว่าด้วยอัตตาและความชอบผลักภาระหรือความผิดออกไกลตัว สีหน้าของอีกฝ่ายจึงยังไม่ได้มีท่าทีสำนึกเลยแม้แต่น้อย สายตาตวัดมองไปยังย่ามที่จิ้นอิ๋งสะพายราวกับจะมองให้ทะลุถึงด้านใน

          " เช่นนั้นเจ้าก็เปิดกระเป๋าเจ้าให้ข้าดู " คำกล่าวเอาแต่ใจรั้นจะรับรู้ความจริงด้วยตัวเองให้ได้ ทำให้ถานเจ่อไม่พอใจแทนผู้เป็นายผลักกระตุกยึดแขนอีกฝ่ายจนแน่นขึ้นเพื่อตักเตือนให้มีมารยาทมากกว่านี้ แต่บัณฑิตผู้นั้นก็ไม่ยอมความยังจ้องกลับหาจิ้นอิ๋งตาเขียวอยู่เช่นเดิม

          เด็กสาวที่เห็นก็พลันมองสลับไปหาสตรีแซ่เจิ้งเล็กน้อยด้วยรู้สึกผิดที่ทำให้อีกสตรีต้องพบเหตุการณ์ชวนกระอั่กกระอ่วนเช่นนี้ แม้จะมาจากบุรุษที่ถูกจับกุมตรงหน้า ทว่าก็เพราะนางไม่ยอมรั้งและทำความเข้าใจให้จบตั้งแต่ยังลั่วหยาง ปัญหาจึงยังมีมาให้วุ่นวายกระทั่งในยามนี้ จิ้นอิ๋งตัดสินใจเปิดย่ามให้อีกคนได้ดูอย่างบริสุทธิ์ใจ พร้อมกันนั้นก็แทบจะเอาของออกมาวางทั้งหมดก่อนจะเก็บคืนที่เมื่อตรวจสอบเสร็จสิ้น

          " ได้อย่างไร! เช่นนั้นถ้าเจ้าไปถึงก่อนข้า เจ้าก็อาจจะเห็นผู้ที่ไปเอาตำรา เจ้าเห็นหรือไม่! " อีกฝ่ายยังถามต่อไม่ยอมแพ้

          " ไม่เห็นเจ้าค่ะ คาดว่าคงคนที่นำตำราไปคงนำไปได้หลายวันแล้ว เพราะตอนตัวข้าเข้าไปดูก็แทบไร้ผู้คนเข้ามาสำรวจแล้ว บางทีเขาอาจจะรับรู้โดยทั่วกันแล้วก็ได้ว่ายอดตำราไปอยู่ยังหอฝึกยุทธ์แล้วน่ะเจ้าค่ะ "

          บัณฑิตหนุ่มกัดฟันแน่น ด้วยรู้สึกเสียเวลาเป็นอย่างมากที่ตัดสินใจปักใจคิดว่าคนได้ตำรานั้นผิดคนไปเช่นนี้ อีกบุรุษกล่าวเสียงแข็งให้ถานเจ๋อปล่อยตัวมัน แต่มันกลับสบตาท่านหญิงของมันซึ่งจิ้นอิ๋งก็พยักหน้ารับให้จนมันยอมปล่อย บัณฑิตผู้นั้นก็แทบสะบัดแขนไล่ความเมื่อยขบ ก่อนจัดชุดให้เข้าที่เข้าทาง สายตามองดูติดรั้นตวัดไปทางดรุณีน้อยสลับกับอีกสตรีที่กำลังทานข้าวมองเหตุการณ์อยู่ตั้งแต่เมื่อครู่ ก่อนบัณฑิตจะแค่นร้องออกมาทันทีที่จำหน้าสตรีผู้นั้นได้

          " เหอะ! เสียเวลาข้าจริง ๆ เชิญเจ้ากลับไปอยู่คุยกับแม่ฆาตกรผู้นั้นต่อไปแล้วกัน! ข้าจะไปตามหายอดตำราที่เป็นประโยชน์มากกว่ากว่าสิ่งที่เจ้าทำอยู่ตอนนี้ " จิ้นอิ๋งนิ่วคิ้วแทบจะทันทีที่อีกคนกล่าวจบ ร่างเล็กไปยืนขวางหน้าอีกคนที่กำลังจะเดินทางจากไป

          " ท่าน.. ขอโทษแม่นางเจิ้งเดี๋ยวนี้เลยนะเจ้าคะ "

          " ขอโทษด้วยเหตุอันใด เรื่องจริงทั้งนั้น! ถึงแม่ทัพตู่กงนั่นจะสารเลวจริงจนน่าแช่งให้ไม่ตายดี แต่นางก็นางฆ่าคนก็เป็นความจริง ถ้าไม่เรียกฆาตรกรแล้วจะต้องเรียกว่าอะไร! เจ้าคิดจะเข้าข้างฆาตกรอย่างนั้นหรือ!! "

          บัณฑิตหนุ่มแทบจะมองเหยียดหาจิ้นอิ๋ง พร้อมกับพยายามจะเบี่ยงตัวเดินจากไปด้วยท่าทางไม่อยากเข้าใกล้ ทว่าดรุณีน้อยก็ยังยืนที่จะขยับตัวยืนขวางเอาไว้ โดยมีถานเจ๋อแทบจะเข้ามาประชิดตัวจนอีกบุรุษได้แต่ยืนนิ่งอย่างจำยอม แต่สีหน้าคล้ายไม่อยากจะรับฟังคำแก้ตัวของเด็กสาวเบื้องหน้า

          " แล้วท่านคิดว่ามีกี่วิธีกันที่ชาวบ้านเช่นเราจะต่อกรกับเจ้าขุนมูลนายได้ และข้าก็เคยได้ข่าวถึงการกระทำของแม่ทัพผู้นั้นยามผ่านเมืองอันอี้หลายคราด้วยตัวเองแล้ว ..แม้อาจเป็นวิธีที่เด็ดขาดและโหดร้ายไปเสียหน่อย ถึงอย่างนั้นชาวบ้านที่รอดพ้นการฉุดคร่าและขูดรีดก็มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น การฆ่าของนางอาจไม่ใช่วิธีที่ดีที่สุด แต่ก็ยังช่วยเหลือผู้บริสุทธิ์อื่น ๆ ได้ ..เช่นนั้นท่านจะเรียกเหล่านักรบว่าฆาตกรหรือไม่เพราะพวกเขาก็ฆ่าทหารฝ่ายอื่นเพื่อปกป้องเมืองและประชาชนฝั่งของเขาเช่นเดียวกัน "
          .
          " ทว่าก็ไม่ใช่ข้าคิดเข้าข้างหรือสนับสนุนการฆ่าฟันของนาง จะอย่างไรสงครามกับการลอบฆ่าทำตัวเป็นศาลเตี้ยก็ไม่ใช่สิ่งที่ถูกกฎระเบียบ หากนางยอมมอบตัวรับโทษที่เหมาะสมข้าก็ไม่อาจคัดค้านได้ แต่ที่ข้าอยากให้ท่านขอโทษแม่นางเจิ้งเพราะไม่อยากให้ท่านกล่าวดูถูกหญิงสาวผู้หนึ่งที่มีความกล้าหาญที่จะลุกขึ้นมาต่อกรกับผู้ที่มีฐานะเป็นถึงแม่ทัพผู้นั้นแทนชาวเมืองซีเหอคนอื่น ๆ ที่ไม่กล้าทำต่างหากเจ้าค่ะ! "

          แม้อีกคนจะพยายามทำหูทวนลม ทว่าอยู่ใกล้กันเพียงหนึ่งช่วงแขนอย่างไรก็ต้องรับฟังเข้าไปอยู่ดี บัณฑิตผู้นั้นคลายมีสีหน้าอ่อนลง หันสบตาจิ้นอิ๋งนิ่งกับความคิดที่มองทุกอย่างสองด้านสองมุมและไม่ได้โทษฝ่ายใดฝ่ายเดียวเสียสุดโต่ง ต่างจากมันที่มักผลักทุกความผิดออกไปให้พ้นตัว พอได้ยินเช่นนั้นบัณฑิตหนุ่มก็คล้ายอยากจะมองมุมของคนอื่นบ้างเพื่อขอบเขตความคิดของมันจะกว้างขวางขึ้นดั่งเช่นดรุณีน้อยผู้นี้

          อีกฝ่ายหันไปสบตาสตรีแซ่เจิ้งที่คงได้ยินคำพูดของเด็กสาวไม่ต่างกัน ทว่ามันที่เห็นด้วยที่การกระทำการฆ่า ทำตัวเป็นศาลเตี้ยเป็นสิ่งไม่ดีจึงยังแค่นเสียงร้องเหอะออกมาไม่คิดขอโทษ แต่กลับมาค้อมตัวลาดูสุภาพมากขึ้นแก่จิ้นอิ๋งแทน

          " ข้าต้องขออภัยที่ทำตัวเสียมารยาทกับเจ้าตั้งแต่ลั่วหยางมาจนถึงเมื่อครู่.. ข้าเข้าใจแล้ว ..เข้าใจหลาย ๆ อย่างถึงความคิดของตัวเองแล้ว ขอบใจแม่นาง "

          จิ้นอิ๋งคล้ายมองงงกับบัณฑิตที่จู่ ๆ ก็ขอโทษนาง ไหนจะเอ่ยกล่าวเรื่องของตัวเองที่จิ้นอิ๋งไม่ทันได้ทำความเข้าใจนั่นอีกจนเผลอปล่อยผ่านอีกฝ่ายที่เบี่ยงตัวเดินหนีจากไปอีกครั้งได้สำเร็จ เด็กสาวมองตามคนที่ขึ้นม้าที่ผูกซ่อนไว้หลังต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งและห้อม้าจากไป ก่อนจะหันมาบอกถานเจ๋อให้พักต่อและเลิกทำตาเขม็งใส่ทิศที่บัณฑิตผู้นั้นเพิ่งจะจากไปได้แล้ว ส่วนตัวจิ้นอิ๋งก็เร่งกลับมานั่งข้างสตรีแซ่เจิ้งก่อนยิ้มแหยส่งหาราวกับว่าไม่อยากให้นางคิดมากกับเหตุการณ์เมื่อครู่

          " ข้าชินแล้ว.. ข้าตัดสินใจลงมือทำเอง ก็ต้องรับถึงผลที่กระทำได้อยู่แล้ว "

          อีกสตรีที่เห็นสีหน้าของจิ้นอิ๋งพลันเอ่ยขึ้นให้อีคนคลายกังวล ซึ่งนางก็เผลอเม้มริมฝีปากครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนจะตัดสินใจไม่พาคุยเรื่องเดิมต่อและนั่งทานข้าวกับอีกฝ่ายต่อจนหมด ในยามก่อนจากก็ไม่ลืมส่งขนมไหมเงินให้แก่อีกคนไปด้วย

          " เมื่อวานข้าเห็นท่านชอบทานขนม วันนี้เลยเอาขนมไหมเงินมาฝากเจ้าค่ะ หวังว่าจะชอบนะเจ้าคะ "

          จิ้นอิ๋งเอ่ยน้ำเสียงจริงใจก่อนจะมอบกล่องลงยังตักอีกสตรีเนื่องจากไม่เห็นยื่นมือมารับ ดูแล้วคล้ายการบังคับให้เสียมากกว่าจนอีกคนต้องมองดุใส่นางจนได้ ทำเอาเรียกเสียงหัวเราะใสจากจิ้นอิ๋งขึ้นมาที่เห็นสตรีแซ่เจิ้งดูไม่ได้มีท่าทางเครียดขึงแล้วจริง ๆ นางถึงค้อมตัวลาและขึ้นม้าพร้อมกับถานเจ๋อเพื่อเดินทางกลับลั่วหยางต่อได้อย่างสบายใจ
ลักษณะนิสัยใจกว้าง
+4 Point จากการโรลการทูต
ลักษณะนิสัยรู้จักให้อภัย
+2 Point จากการโรลการทูต
ลักษณะนิสัยจริงใจ
+2 Point จากการโรลการทูต

[144] มอบ ขนมไหมเงิน ให้

←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
บทเพลงเฟิ่งฉิวหวง
ถุงหอมจูอวี๋
กระบี่
พู่หยกเลือดหงส์
กลยุทธ์เล่ออี้
ม้าเหลียง
หน้ากากขาว
เกราะเกล็ดมังกร
ผ้าคลุมไท่หลง
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x3
x3
x3
x3
x3
x3
x3
x5
x2
x2
x1
x2
x2
x2
x1
x1
x27
x2
x38
x40
x50
x50
x40
x40
x50
x3
x22
x19
x31
x10
x50
x5
x5
x5
x1
x12
x1
x2
x5
x2
x9
x1
x8
x6
x6
x1
x3
x2
x2
x1
โพสต์ 2021-10-18 22:16:05 | ดูโพสต์ทั้งหมด

          ระยะทางจากเมืองเหอตงมายังเมืองอันอี้แม้จะเป็นระยะทางที่ไม่ยาวนานมากนักแต่ก็สร้างความอึดอัดอึมครึมได้ไม่น้อย ซุนหยางเห็นจ้าวเพ่ยมีสีหน้าไม่ค่อยดีเท่าไหร่ตลอดระยะทางที่เดินออกมาจากถ้ำก็ยื่นมือไปหาหวังจะช่วยปัดผมที่ปรกหน้าขณะขี่ม้าบ้าง ทันทีที่มือยื่นเข้าไปหาจ้าวเพ่ยเองที่เหม่อลอยพึ่งจะรู้ตัวก็ตกใจกับมือหนาที่ยื่นมาหานางจนหญิงสาวร้องขึ้นมาสร้างจุดสนใจแก่ผู้เดินทางร่วมอีกสองคนทันที

          "ว.. ว๊าย!!"

          "แม่นางจ้าว!! / จ้าวเพ่ย!!" สามเสียงประสานกันแทบจะทันทีเมื่อสตรีบนหลังม้าเหลียงกลับเสียหลักหงายลงไปลงกับพื้นด้านล่างทันที หญิงสาวหน้าแดงขึ้นและรีบลุกนั่งทั้งใช้มือปิดกี่เพ้าของนาง ทั้งหอบหายใจออกมาอย่างงุนงง

          ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมากจนนางเองตั้งตัวไม่ทัน ไม่รู้ตัวซ้ำว่าควรจะเจ็บที่ตรงไหน

          "แม่นางจ้าว เจ็บตรงไหนหรือไม่" มือปราบหวังลงจากหลังม้าและยื่นมือมาหาจ้าวเพ่ยเพื่อช่วยดึงตัวนางให้ลุกขึ้น

          หญิงสาวก้มลงมองพื้นที่นางล้มก็เห็นหินก้อนใหญ่วางอยู่ไม่ไกลก็นึกหวาดเสียวแทนหากศีรษะนางกระแทกกับหินก้อนนั้นคงจะหลับไม่ตื่นขนาดไหน จ้าวเพ่ยเหลือบมองไปยังมือใหญ่จากชายแก่กว่านางก็ยื่นมือไปจับเพื่อยันตัวให้ลุกขึ้นทันที สายตาดูไม่พอใจปรากฏแก่ใบหน้าผู้ติดตามของนางอย่างเห็นได้ชัด ทำเอาซุนหยางลงจากหลังม้าอีกคน

          "หากคงยังเจ็บอยู่ พักให้หายเจ็บก่อนเถอะ" มือปราบหวังพูดขึ้นมาและพาเจิ้งหลันลงจากหลังม้า เหลือเพียงซุนหยางที่ยังคงคอยผูกม้าทั้งสามไม่ให้หนีก่อนจะยืนพิงม้าและกอดอกมองอย่างเงียบๆไปด้วย

          ทางด้านเจิ้งหลันเอาแต่เงียบมาตลอดทางถูกจ้องมองโดยจ้าวเพ่ยไม่วางตา หญิงสาวคิดอยากจะง้อเสียหน่อยแม้การกระทำก่อนหน้านี้ของจ้าวเพ่ยจะไม่ไม่น่าให้อภัยเสียเลย มือเรียวของจ้าวเพ่ยเอื้อมไปกุมมืออีกฝ่ายทั้งบีบอย่างเบามือเพื่อให้เจิ้งหลันรู้สึกถึงการมีตัวตนของนางอยู่บ้าว

          "ข้าขอโทษจริงๆ แต่มันเป็นความจำเป็นที่จะต้องเป็นไปกฏหมาย"

          "เอาเถอะ.. เจ้าเอาแต่พูดขอโทษซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนข้าเบื่อที่จะฟังแล้ว" เจิ้งหลันกล่าวพลางชักมือหนีจ้าวเพ่ย นางเองยังถูกคุมตัวอยู่ หากมากับมือปราบเพียงคนเดียวก็ยังจะพอหาทางหนีทีไล่ นี่กลับมีตัวแถมมาอีกสองก็ยิ่งทำให้การหลบหนียิ่งยากเย็นขึ้นไปใหญ่

          "ไหนๆก็พักกันแล้ว ข้าอยากจะเลี้ยงน้ำชาพวกท่านเสียหน่อย" จ้าวเพ่ยฝืนพูดขึ้นมาแม้จะรู้ดีว่ามันไม่ใช่เวลาที่จะควรทำเช่นนั้น คำพูดของนางทำเอาเจิ้งหลันและมือปราบหวังมองมาที่นางทันทีด้วยความสงสัยว่านางต้องการที่จะทำอย่างนั้นทำไมกันแน่

          หญิงสาวหันไปทางซุนหยางเพื่อขอความช่วยเหลือสร้างเสียงทอดถอนหายดังขึ้นและหยิบถ่านและฟืนที่หลงเหลือจากการทำอาหารคราวก่อนมาก่อเป็นกองไฟเล็กๆ จ้าวเพ่ยนำน้ำสะอาดในกระบอกน้ำใส่ใบชาลงต้มให้เกิดกลิ่นหอมขค้นมา กลิ่นชานี้เป็นกลิ่นที่เจิ้งหลันจำได้ดีว่ามีนักเดินทางปริศนามาต้มชาแถวในถ้ำและทิ้งร่องรอยการก่อไฟเอาไว้

          นักเดินทางที่เคยมาในถ้ำก่อนนางจะไปอาศัยหลบอยู่ที่นั่นคือสองคนนี้นี่เอง

          "ร้อนหน่อยนะเจ้าคะ.. ไหนๆข้าก็ร่วมคอยคุ้มกันอยากจะบริการให้ถึงที่สุดเจ้าค่ะ" นางกล่าวพลางรินน้ำชาลงถ้วยและส่งให้กับมือปราบหวัง สองมือประคองถ้วยชาพอไม่ให้หกเพื่อให้อีกฝ่ายสัมผัสส่วนที่ไม่ร้อนยามรับต่อจากมือของนาง หญิงสาวก้มมองมือหนายื่[นมารับถ้วยน้ำชาก็สามารถรับรู้ได้เลยว่าอีกฝ่ายมีมือใหญ่ขนาดพอจะกุมมือนางทั้งสองข้างได้จนมิด/align]
          กลิ่นหอมกรุ่นจากชายังคงตีเข้าจมูกขณะรอผลตอบรับจากมือปราบ นางก็เหลือบไปมองเจิ้งหลันที่ยังคงนั่งพิงโขดหินเพราะถูกคุมตัวอยู่ หญิงสาวรินน้ำชาเพื่อยื่นให้กับเจิ้งหลันแต่ก็ถูกเมินเสียอย่างนั้น

          "...."

          "ไม่ชอบหรือ.. เดินทางข้ามเมืองเช่นนี้หากไม่กินอะไรสักหน่อยจะเป็นลมเอาได้" นางกล่าวขึ้นมาอย่างเป็นห่วง หญิงสาวนึกขึ้นได้ว่าตอนที่อยู่ย่านการค้าเมืองซีเหอนางได้ซื้อขนมชนิดหนึ่งมาเพื่อจะกินระหว่างทาง จนป่านนี้ก็ยังไม่ได้แตะเลยแม้แต่น้อย ก็หยิบกระเป๋าเป้ของนางขึ้นมาและดึงห่อขนมออกมาทันที

          ขนมไหมเงินถูกยัดเข้ามือของเจิ้งหลันโดยไม่ถามอีกฝ่ายว่าต้องการหรือไม่ จ้าวเพ่ยมองหน้าของนางเจิ่งหลันทั้งเม้มปากสีแดงสดทันที ใบหน้าที่ดูอย่างไรนางก็ไม่อยากให้เหลือเพียงแต่ความทรงจำ

          "น้ำชาที่แม่นางทำให้มา รสชาติดี.. ข้าขอบใจเจ้ามาก" มือปราบหวังกล่าวกับนางขึ้นมาทำให้จ้าวเพ่ยรีบหันไปทันที รอยยิ้มละมุนผุดขึ้นให้แก่จ้าวเพ่ย แต่นางกลับโพล่งขึ้นมาทำเอาเขานิ่งลงไปทันที

          "ได้โปรด.. ช่วยลดโทษของนางได้ไหมเจ้าคะ.."

          "เรื่องนั้น…"

          "ข้าเชื่อว่าข่าวลือนั้นคงไม่ใช่เพียงแค่เขาลือกันหรอกนะเจ้าคะ แม่นางเจิ้งเองก็ใช่สตรีร้ายถึงขนาดฆ่าใครโดยไม่คิดหรอกเจ้าค่ะ"

          "ศาลเตี้ยเองใช่ว่าจะถูกลดโทษได้โดยง่าย แม่นางจ้าว.." มือปราบหวังจับไหล่จ้าวเพ่ยเพื่อคุมสตินางให้อยู่กับตัวอีกครั้ง "หากเจ้าเอาแต่สงสารทุกอย่าง.. สักวันความสงสารจะทำร้ายเจ้าได้"

          "แต่ยกเว้นให้นางเสียสักคน ไม่ได้หรอเจ้าคะ" จ้าวเพ่ยพยายามขอร้องกับมือปราบ ปากสีแดงทับทิมเม้มเข้าหากันแน่นพยายามกลั้นน้ำตาที่เอ่อคลอขึ้นมา

          "ไม่ได้หรอก" มือปราบย้ำคำพูดให้แก่จ้าวเพ่ย "ผิดก็ว่าไปตามผิด"

          ความเถรตรงในความเที่ยงธรรมช่างขัดกับสิ่งที่เรียกว่าศิลธรรมเสียจริง จ้าวเพ่ยหันไปมองมือปราบหวังเดินผ่านนางไปจับเจิ้งหลันให้ลุกขึ้นเพื่อเตรียมจะเดินทางต่อไป

          แมวสีดำที่เตลิดตอนจ้าวเพ่ยตกม้าเมื่อครู่วิ่งเตาะแตะมาหานางให้จ้าวเพ่ยอุ้มแมวตัวนั้นมาเกาเบาๆ ก่อนน้ำตาจะไหลอาบลงมาทันทีโดยที่นางไม่รู้ตัว

          ซุนหยางเห็นดังนั้นก็เดินมาหาจ้าวเพ่ยทันที

          "ซุนหยาง ..ข้าควรทำอย่างไรดี"

          "เจ้าไม่เหมือนจ้าวเพ่ยที่ข้ารู้จักมาเลย มั่นใจในตัวเองหน่อยสิ.." ซุนหยางปลอบใจนางเพื่อให้จ้าวเพ่ยรู้สึกดีขึ้นมา คำปลอบโยนดังขึ้นมาให้นางหันไปมองเจิ้งหลันอีกครา นางอยากจะกล่าวขอโทษเป็นล้านล้านครั้ง ไม่ใช่เพื่อให้นางเจิ้งหลันให้อภัยตน แต่เพื่อให้ตัวนางเลิกรู้สึกผิดเสียที

          จ้าวเพ่ย.. สตรีผู้นึกถึงแต่ตัวเอง สิ่งที่นางทำก็เพื่อตัวนางเอง หญิงสาวอยากจะลบเลือนความคิดว่านางตัดสินใจผิดออกไป อยากจะลบเลือนสายตาอันเย็นชาจากนางเจิ้งหลัน อยากจะได้คำพูดปลอบโยนว่าสิ่งที่นางทำมันถูกต้องแล้ว แต่สิ่งที่คอยเตือนนางสำหรับคนที่ยังมีสามัญสำนึกอยู่ มันบอกว่าหากไม่ทำอะไรสักอย่าง 'นางนั่นแหละที่เป็นต้นเหตุทำให้เจิ้งหลันถึงแก่ความตาย'

          "แม่นางจ้าว.. ไปกันได้หรือยัง"

          "เจ้า.. เจ้าค่ะ" จ้าวเพ่ยตอบรับมือปราบแทบจะทันที สองมือเร่งปัดเม็ดน้ำตาออก ทั้งยังมีเร่งเดินไปยังม้าของนางเพื่อเตรียมออกเดินทางอีกครั้ง พลันสายตามองไปยังมือปราบที่ยังคงคุมตัวเจิ้งหลันอยู่ไม่ห่างก็จับจ้องใบหน้าบุรุษที่มีรุ่นราวคราวเดียวกับอาก็พึ่งจะนึกได้ว่าชายผู้นี้ก็ไม่ได้ทำให้นางรู้สึกผิดที่เลือกเข้าข้างเขา

          นางรู้สึกผิดเพราะผลที่จะเกิดหลังจากนี้หลังจากส่งทางการต่างหาก

          มือปราบหวังหันมาหานางทั้งยิ้มให้ สายตาอันอบอุ่นส่งมาหาทำเอานางสะอึกเล็กน้อย แต่จ้าวเพ่ยก็ไม่ได้คิดอะไรมากใบหน้านวลด้วยเครื่องประทินโฉมปกปิดสีแดงระเรื่อจากแก้มยามที่ได้รับสายตานั้นมาหาตนครั้งหนึ่ง

          ความรู้สึกแปลกๆเกินขึ้นกับนางเมื่อเห็นอีกฝ่ายยิ้มมาให้ จ้าวเพ่ยจับใบหน้าที่ร้อนผ่าวอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน พลางมองลงไปที่มือของนางที่เคยได้สัมผัสมือหนายามถูกช่วยเหลือครั้งนั้น น้ำเสียงนุ่มลึกหูเสียดแทงเข้ามาแม้อีกฝ่ายจะไม่ได้ปริปากพูดอะไรแต่คำพูดที่เถรตรงกับวนเวียนในหัวไม่สามารถผลัดออกไปได้

          ..ช่างเหมือนฝันเสียจริง


NPC [144] เจิ้งหลัน [คลั่ง]

ธาตุและความสัมพันธ์
-15 ความสัมพันธ์ ธาตุน้ำ ข่มกับ ธาตุไฟ

เอฟเฟคลักษณะชื่อเสียง :: หัวดี
-5 ความสัมพันธ์ เมื่อเจอคนหัวคลั่ง
+10 ความโหด เมื่อเจอคนหัวมาร/คลั่ง

ลักษณะนิสัย : มีตัญหา
เจิ้งหลันไม่ชอบคนที่มีนิสัย ตัญหา

มอบ ขนมไหมเงิน ให้
NPC [174] หวัง โก่วเจียง [ดี]

ธาตุและความสัมพันธ์
+20 ความสัมพันธ์ ธาตุไฟ เกื้อหนุน ธาตุดิน

เอฟเฟคลักษณะชื่อเสียง :: หัวดี
+15 ความสัมพันธ์ เมื่อเจอคนหัวดี
+30 คุณธรรม เมื่อเจอคนหัวดี




มอบ ชาเจียวกู่หลาน ให้


←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
กระบี่ร้อยกฎ
มุกพณาหวาซวี
ม้าเหลียง
กลยุทธ์เล่ออี้
บทเพลงยิ้มเย้ยยุทธจักร
หน้ากากขาว
เกราะเกล็ดมังกร
ผ้าคลุมไท่หลง
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x2
x7
x4
x10
x10
x13
x13
x13
x12
x11
x202
x1
x1
x1
x11
x22
x15
x30
x1
x100
x100
x9
x2
x5
x6
x8
x10
x2
โพสต์ 2021-11-1 22:49:44 | ดูโพสต์ทั้งหมด

เดินทางกลับซีเหอ
.
.
.

           ยามซูฮวาได้อ่านจดหมายจนเสร็จสิ้น นางก็เก็บจดหมายลงและขึ้นม้าเดินทางต่อไปกับจิ้นอิ๋งและถานเจ๋อ เด็กสาวคล้ายรู้สึกใคร่รู้ขึ้นมาหลังเห็นสีหน้าครุ่นคิดของพี่สาวเหมย ทว่าก็ไม่อยากเอ่ยถามออกไปมากนัก ด้วยเพราะอีกสตรีไม่ได้เอ่ยปากเล่าก่อน โดยในตอนที่ทั้งสามกำลังค่อยคอยจากโรงเตี๊ยมชิงหมิงมา จิ้นอิ๋งได้แอบมองตย้อนหลังอยู่บ่อยครั้งราวกับอยากเห็นใครบางคน แต่สุดท้ายด้วยมีสิ่งที่ต้องจัดการเสียก่อน ดรุณีน้อยถึงผินสายตามองตรงเบื้องหน้าและเร่งม้าจากไป
           .
           .
           ใช้เวลาราวเกือบทั้งเช้ากลุ่มจิ้นอิ๋งก็มาเยือนถึงยังเขาไป๋สวินของเมืองอันอี้ และเพราะเป็นสถานที่แม่นางเจิ้งเคยอยู่ทำให้เด็กสาวกลับมามีสีหน้าดูกังวลขึ้นมาอีกครา พร้อมกันนั้นนางก็เอ่ยถามความเห็นผู้ติดตามทั้งสองไปด้วย

           " ข้า.. ควรไปเยี่ยมแม่นางเจิ้งดีหรือไม่เจ้าคะ " เป็นคำถามที่คล้ายไม่อยากได้คำตอบอยู่ในที เพราะตัวจิ้นอิ๋งก็รู้ดีเช่นกันว่าไปเยี่ยมในตอนที่นางคิดจะช่วยอีกสตรีนั้นอาจโดนสงสัยจนเดือดร้อนมาถึงคนของนางได้

           ซูฮวาที่พอจับบรรยากาศได้เช่นกันว่าดรุณีน้อยเบื้องหน้านี้กำลังกลับมาเศร้าซึมอีกหน แขนที่อ้อมเอวเล็กจึงรัดแน่นอย่างปลอบโยนมากขึ้น โดยที่ไม่ได้เอ่ยตอบให้ความเห็นใดรวมถึงถานเจ๋อที่ยิ่งน้ำท่วมปากด้วยความพูดไม่เก่ง ได้แต่ก็ขี่ม้าเคียงผู้เป็นนายไปเพื่อให้รู้ว่ายังอยู่ข้าง ๆ เช่นกัน ความเงียบจึงโรยตัวรอบกายทั้งสาม ก่อนที่จิ้นอิ๋งจะเป็นฝ่ายค่อยคอยปรับลมหายใจให้ลดความเครียดลงบ้าง และเอ่ยขอบคุณแผ่วให้ทั้งสองที่คอยปลอบหานางอยู่เสมอ

           กระนั้นยังไม่ทันทีที่เด็กสาวจะได้เอ่ยพาเปลี่ยนเรื่องให้พัดพาบรรยากาศหมองของนางที่เริ่มขึ้น ก็พลันมีกลุ่มโจรโพกผ้ามาขวางหน้าพวกนางเอาไว้ ท่าทางดูมุ่งร้ายและมองตามของหลังม้าที่ถานเจ๋อบรรทุกอยู่ตาเป็นมัน ทำให้คนที่โดยสารม้าตัวนั้นหรี่ตากลับอย่างติดฉิวไม่ต่างกัน

           " ถ้าไม่อยากเจ็บตัวก็ส่งของมีค่าของพวกเจ้ามาให้หมดเสีย! "

           " พวกแกต่างหาก ถ้าไม่อยากเจ็บตัวก็ถอยไป " ถานเจ๋อกัดฟันกล่าวอย่างอารมณ์เสีย ก่อนพลันบังคับไป๋เอ้อร์ที่ขี่อยู่ให้สะบัดขาหน้ายกย่ำกับพื้นจนสะบัดดินใส่กลุ่มโจรเบื้องหน้าพร้อมกันนั้นก็เร่งพุ่งม้าเข้าใส่อย่างไม่เกรงกลัวจนพวกมันแทบกระเจิงแตกกลุ่ม

           " หนีไปก่อนขอรับท่านหญิง! "

           และนั่นเป็นโอกาสให้ถานเจ๋อกล่าวเสียงดังขึ้นให้จิ้นอิ๋งที่หลังได้ยินเสียงอีกฝ่ายก็ห้อม้าเบี่ยงเส้นทางผละไปรอยังเมืองข้าง ๆ อย่างไว้ใจในตัวผู้ติดตามบุรุษผู้นั้นเพื่อไม่ให้พี่สาวซูฮวาที่เพิ่งมีอาการดีขึ้นนั้นไม่โดนคุกคามจนเกิดแผลใจใดขึ้นมาอีก และคล้ายถานเจ๋อก็รู้ด้วยจึงไม่ต้องการให้จิ้นอิ๋งร่วมสู้ป้องกันตัวด้วยในยามนี้ พวกโจรที่เสียรู้เผลอหวั่นไปกับท่าทางฉุนเฉียวไม่คิดหน้าคิดหลังของบุรุษบนหลังม้าก็แทบสบถลั่น เอาดาบชี้หน้าอย่างหาเรื่อง

           " เพ้ย! คิดว่าจะหนีไปได้ง่าย ๆ หรืออย่างไร! คอยดูเถิดจัดการเจ้าเสร็จ พ่อจะไปจัดการนางทั้งสองคนนั้นเอง! "

           โจรที่คล้ายเป็นหัวโจกเอ่ยขึ้นอย่างอวดดีก่อนหัวเราะแฝงความสะอิดสะเอียนส่งหามาให้ถานเจ๋อจนรู้ความหมายโดยนัย ดวงหน้าคมคร้ามก็แทบเลือดขึ้นหน้า สะบัดมือบังคับบังเหียนให้ม้าพุ่งใส่พวกโจรอีกหน โดนครั้งนี้ไร้ซึ่งความปราณีใด ด้วยเพราะกลุ่มโจรเหล่านี้จะคุกคามสตรีทั้งสองที่ถานเจ๋อต้องดูแล ขาแข็งแรงของม้าขาวก็พลันดีดสะบัดใส่โจรบางคนจนกระเด็นล่าถอยไป ซึ่งคนบนหลังม้าก็ไม่อยู่เฉย คว้าดาบตัวเองออกเหวี่ยงกันขวางคมดาบของโจรที่พุ่งเข้าหายังด้านข้าง อีกด้านหนึ่งก็สะบัดเท้าเตะฟาดปลายคางโจรอีกคนที่รุมเข้ามาอีกฝั่งจนหัวบิดหลับค้างกลางอากาศล้มตึงลงพื้นให้ม้าขยับเหยียบลงอีกหน

           คมดาบที่อาศัยแรงที่เยอะกว่าฟันกระแทกจนสร้างบาดแผลให้ถานเจ๋อได้แค่เพียงผิวเผิน แต่คนของพวกมันกลับค่อยคอยถูกฟันแม่นยำยังสะพายแล่งและกระแทกหลังคอให้ค่อยคอยล้มลงไป หัวโจกกลุ่มโจรก็คล้ายทั้งหงุดหงิดทั้งหวาดกลัว มันร้องคำรามขึ้นก่อนพุ่งเข้ามาดูจะทำร้ายม้าที่ถานเจ๋อขี่อยู่ แต่กลับถูกดาบของบุรุษแซ่ถานปัดขวางได้ทันพร้อมโดนเท้าคู่ของถานเจ๋อเหวี่ยงกระแทกกลางอกยามกระโดดลงจากม้ามาสู้ตัวต่อตัวกับอีกคน

           โจรหัวโจกแทบถอยออกเสียหลายก้าวด้วยความหน่วงจุกที่อก กระนั้นดวงตามันกลับแดงฉานดูไม่ยอมแพ้และพุ่งตัวต่อตัวกับถานเจ๋ออย่างติดฉิว และเพราะใช้อารมณ์เป็นหลัก แม้จะทำให้เลือดที่ขึ้นหน้าทำให้แรงเยอะกว่าปกติ ทว่าสติก็น้อยลงไปทุกทีทำให้ไม่อาจเข้าโจมตีให้ถานเจ๋อได้รับการบาดเจ็บเท่าที่ควร ไหนจะเป็นฝ่ายเริ่มได้รับการบาดเจ็บที่หนักหนาขึ้นทุกที สุดท้ายข้อมือมันพลันถูกเฉือนลึกจนมิอาจจับดาบ ขาทั้งสองถูกเตะตัดกระแทกจนล้มคว่ำ

           ยังเหนือร่างที่บาดเจ็บไม่อาจขยับ ปลายดาบจากร่างเบื้องบนชี้ลงยังหลังคอคนที่คว่ำนอนแนบกินดินเสียเย็นวาบ

           " เจ้าจะจัดการผู้ใดนะ? ..เลิกปากดีแล้วหาอะไรทำที่ไม่ต้องมาเจ็บตัวโดยเปล่าประโยชน์เช่นนี้เสียดีกว่า "

           สิ้นคำของถานเจ๋อ เสียงควบม้าของคนกลุ่มหนึ่งก็มุ่งตรงมาหา เป็นทหารยามของฝ่ายเมืองอันอี้ที่ถูกรับแจ้งจากสตรีผู้หนึ่งว่าพบเห็นโจรโพกผ้าเหลืองปล้นชิงชาวบ้าน ซึ่งทำให้ถานเจ๋อรู้แน่ชัดว่าเป็นท่านหญิงของมันแน่ที่แจ้งทหารให้มาช่วยเหลือมัน จนรอยยิ้มพลันวาดออกด้วยความยินดีก่อนเก็บดาบเข้าฝักแล้วผละถอยขึ้นม้าให้ทางการได้จัดการเหล่าโจรตามสะดวก

           ซึ่งเหล่าทหารก็ได้ปล่อยถานเจ๋อให้เดินทางต่อตามสบายหรือให้ทหารอีกสองนายตามคุ้มกันด้วยก็ได้ กระนั้นมันกลับปฏิเสธและค้อมหัวขอบคุณก่อนควบม้าเพื่อกลับไปเดินทางร่วมกับท่านหญิงของมันต่อ





←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
บทเพลงเฟิ่งฉิวหวง
ถุงหอมจูอวี๋
กระบี่
พู่หยกเลือดหงส์
กลยุทธ์เล่ออี้
ม้าเหลียง
หน้ากากขาว
เกราะเกล็ดมังกร
ผ้าคลุมไท่หลง
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x3
x3
x3
x3
x3
x3
x3
x5
x2
x2
x1
x2
x2
x2
x1
x1
x27
x2
x38
x40
x50
x50
x40
x40
x50
x3
x22
x19
x31
x10
x50
x5
x5
x5
x1
x12
x1
x2
x5
x2
x9
x1
x8
x6
x6
x1
x3
x2
x2
x1
โพสต์ 2021-11-5 01:43:23 | ดูโพสต์ทั้งหมด
          "แล้วท่านมือปราบมีความคิดที่จะทำอะไรต่อไปหรือไม่เจ้าคะ"

          ราวกับเป็นเดินทางที่ไร้จุดหมายสำหรับกลุ่มคนอย่างพวกเขาเสียจริง เสียงกีบเท้าย่ำอย่างช้าๆราวกับว่าต้องการชมวิวทิวทัศน์แต่หาใช่เช่นนั้นไม่ พวกเขามีสีหน้าเคร่งเครียดเว้นเสียแต่เสี่ยวเฮยแมวน้อยที่ปีนป่ายอกของจ้าวเพ่ยขึ้นมานั่งบนไหล่พร้อมร้องขึ้นมาราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

          "อย่างไรก็ต้องพยายามหาข้อมูลให้ได้มากที่สุด"

          "เจ้าค่ะ.." จ้าวเพ่ยตอบรับคำกล่าวของอีกฝ่ายถึงแม้จะไม่รู้ว่ามือปราบหวังจะมีแผนการณ์อย่างไรต่อไปบ้าง "ถึงวันแม่ยางเจิ้งต้องรับโทษเมื่อไหร่หรือ"

          "เจ็ดสืออีเยว่"

          "ตายจริง!" จ้าวเพ่ยแทบจะอุทานออกมาเมื่อได้ยินคำพูดนั้น เวลาเริ่มเข้ามาประชันชิดทุกทีจนนางเองก็รู้สึกไม่ดีเลยเช่นกัน "เวลาประชันชิดเพียงนี้ จะจัดการได้ทันหรือเจ้าคะ"

          "ข้าก็กำลังคิดอยู่.. แม่นางจ้าวอย่าพึ่งเร่งรัดไป"

          "หากจวนตัวแล้วข้าว่าต้องบุกลานประหารแล้วล่ะ" ซุนหยางเอ่ยขึ้นมาเพื่อเสรอความคิด เขาเองก็ใช่ว่าจะเป็นคนที่คิดแผนการณ์อะไรได้แยบยลนัก แต่หากไม่ทำอะไรสักอย่างก็คงจะสิ้นสุดที่แม่นางเจิ้งถูกรับโทษอยู่ดี

          "บุกลานประหารหรือ.. ทางการจะไม่ปล่อยพวกเราเอาไว้สิ.." แม้จะเป็นความคิดที่ดี แต่จ้าวเพ่ยเองก็รับรู้ถึงสิ่งที่น่าจะเป็นหลังจากนั้น "คงได้ถูกไล่ล่า จนอยู่อย่างหลบไปซ่อนๆเป็นแน่"

          "แล้วพวกเจ้าคิดว่าจะทำอย่างไรต่อไปเล่า" ซุนหยางกล่าวทั้งส่งสายตาอย่างเคืองๆไปทางมือปราบเล็กน้อย "ก็เห็นไม่ใช่หรือว่าคนที่ใกล้ชิดกับสาวที่เป็นเหยื่อแต่ละคน มีท่าทีเช่นไร.. คิดว่าไม่มีคนใหญ่คนโตอยู่เบื้องหลังหรือ"

          "ซุนหยาง.. เจ้าจะพูดให้ได้อะไรขึ้นมา!"

          "พวกเจ้าพอก่อน ขอข้าใช้ความคิดได้หรือไม่" มือปราบหวังเอ่ยห้ามปราบทั้งสองเอาไว้ก่อนจะเกิดการทะเลาะกัน

          "พวกท่านจนปัญญากับทางการงั้นเหรอ" ชายคนหนึ่งกล่าวขัดขึ้นมาจนทั้งหมดหันไปหาพร้อมกัน ปรากฏชายถึงสองที่เดินมาหาราวกับว่าผ่านมาได้ยินพวกเขาพอดีก็กล่าวเสนอขึ้นมาให้เห็นถึงทางช่วยใหม่

          "พวกข้าช่วยได้นะ ข้ามีลูกน้องจำนวนนึงปล้นลานประหารไม่ใช่เรื่องง่ายแต่ก็ไม่คามือกับค่ายโจรของข้า"

          "ค่ายโจร.." จ้าวเพ่ยแทบจะตาโตเมื่อได้ยินคำนี้ นางมองชายทั้งสอง ทั้งมองการแต่งตัวก็น่าจะดูออกมาเป็นโจร แต่อย่างไรแล้วหากมีคนต้องการช่วยเหลือมันก็ดีที่จะรับไว้ไม่ใช่หรือไง

          มือปราบหวังลงจากม้าทันทีราวกับจะสนทนาด้วยทำให้จ้าวเพ่ยรีบอุ้มแมวลงจากบ่านางเพื่อจะร่วมสมทบการสนทนา นางเห็นสายตาของมือปราบก็รู้ดีว่าไม่ใช่เรื่องการเจรจาแน่ๆ หญิงสาวจับแขนของมือปราบแน่นขณะมองชายจากค่ายโจรทั้งสองไปด้วย

          "ท่านมือปราบเจ้าคะ.."

          "ว่าอย่างไร สนใจหรือไม่ พวกข้าเห็นแก่ว่าพวกท่านหมดหวังกับทางการซะหรอกจึงได้มาเสนอ"

          เสียงกัดฟันกรอดราวกับโกรธยิ่งทำให้นางกอดแขนเขาแน่น มือปราบมีสายตาเหมือนไม่พอใจต่อชายพวกนั้น นางจ้าวเองก็พอจะรู้ได้ว่าเพราะอะไร คนที่ขึ้นชื่อว่ามาจากค่ายโจรก็คงไม่ใช่ว่าจะเป็นคนธรรมดาซะที่ไหน สายตาคนหนึ่งดูเหมือนจะมุ่งมั่น อีกหนึ่งคล้ายว่าจะมองมาที่นางจนต้องเม้มปากเล็กน้อย ในยามนี้นางเองต้องสงวนท่าทียามที่ต้องอยู่กับมือปราบ
         
          "ข้าไม่อยากเสวนากับโจรอย่างพวกเจ้า.. ออกไปซะ"

          "ข้าเสนอข้อเสนอดีๆให้พวกท่านเลยนะ ไม่สนใจหรือไง"

          "แต่สตรีของเขาดูสนใจไม่น้อย มาเถอะแม่นางหากต้องการให้ช่วยเหลือก็บอกได้"

          "แก.." เหมือนมือปราบไม่ค่อยชอบใจพวกนี้เสียเท่าไหร่ ก็ทำให้นางรีบห้ามทันทีเพื่อไม่ให้พุ่งตัวไปหา มือเรียวจรดลงบนอกของมือปราบขณะอยู่ข้างๆเพื่อช่วยปราบให้อีกฝ่ายใจเย็นลงหน่อย

          "ให้ข้าพูดให้นะเจ้าคะ.."

          หญิงสาวก้าวขึ้นมาเพื่อขอสนทนากับสองคนนั้นโดยนางรู้เพียงแค่ว่าเป็นคนมาจากค่ายโจรก่อนจะก้มเพื่อขอบคุณสำหรับการต้องการที่จะช่วยเหลือก็ยิ่งทำให้มือปราบรู้สึกเคืองที่นางยอมก้มหัวให้กับเหล่าโจรพวกนี้ไปได้ จ้าวเพ่ยเงยหน้าขึ้นมาทั้งผุดรอยยิ้มขึ้นมุมปากเล็กน้อยไม่ให้พวกเขามองว่านางเป็นคนที่เข้าหายากนัก

          "ข้าขอบคุณสำหรับการที่จะช่วยเหลือเจ้าค่ะ อยากจะทราบข้อมูลที่จะ.."

          "แม่นางจ้าว.."

          "โอ๊ะ!" แทบจะถูกดึงให้กลับทันทีจนนางหันไปมองมือปราบหวัง เขาเริ่มจะก้าวเข้าไปหาโจรทั้งเริ่มชักอาวุธออกมา ขณะอีกสองเห็นท่าไม่ดีก็เตรียมตั้งรับเอาไว้

          "ไม่ได้นะเจ้าคะ.." จ้าวเพ่ยรีบห้ามปราบทั้งสามทั้งที หญิงสาวรีบดึงแขนของมือปราบให้กลับไปที่เดิมทั้งหันไปมองเหล่าคนจากค่ายโจรเพื่อขออภัยในความไม่ปลอดภัยแก่พวกเขา

          "พวกข้าคงจะรับข้อเสนอที่จะช่วยเหลือจากพวกท่านไม่ได้ อย่างไรก็ขอบคุณมากเจ้าค่ะ"

          จ้าวเพ่ยกล่าวทั้งกอดแขนของมือปราบเพื่อพากลับมายังม้า ชายทั้งสองเห็นเช่นนั้นก็ทำท่าทีไม่หยี่ระ ขณะมองสตรีลากมือปราบกลับไป ขณะที่ตัวสตรีเองกลับส่งสายให้พวกเขาหนีไปจากตรงนี้เสียอย่างนั้น

          "แม่นางจ้าวช่วยเหลือพวกมันหรือ.."

          "ไม่ใช่นะเจ้าคะ.. ข้าช่วยท่านมือปราบต่างหาก อย่าได้มีเรื่องกันในตอนนี้สิ" จ้าวเพ่ยกล่าวกับมือปราบเพื่อหวังจะให้รับรู้นางบ้าง หญิงสาวหันไปมองชายทั้งสองที่ยังคงยืนอยู่ราวกับจะท้าทายก็เม้มปากลงเล็กน้อย "ตอนนี้ควรสนใจเรื่องคดีแม่นางเจิ้งนะเจ้าคะ.. ไปกันเถอะเจ้าค่ะ"

          หญิงสาวเอ่ยบอกกับมือปราบทั้งรอให้อีกฝ่ายขึ้นไปไปก่อน ก่อนที่จะเดินออกไป ก็ยังไม่วายที่จะหันมาก้มขอบคุณเหล่าโจรอีกครั้ง แต่พวกนางคงจะรับข้อเสนอนั้นไม่ได้จริงๆ มือปราบเองคงจะไม่ยอมแน่ๆหากได้ร่วมมือกับโจรทำความผิดเช่นนั้น



เอฟเฟคลักณะนิสัย
มีตัญหา
+10 ความสัมพันธ์กับคนที่มีนิสัยเดียวกัน [051]

โลเล
-15 ความสัมพันธ์คนที่กำลังจีบ [174]

เอฟเฟคความสัมพันธ์ [174] หวังโก่วเจียง
+20 ความสัมพันธ์ เมื่อธาตุไฟ เกื้อหนุน ดิน
[หัวดี >> หัวดี]
+15 ความสัมพันธ์เมื่อเจอคนมีชื่อเสียงเดียวกัน
+30 คุณธรรมเมื่อเจอคนมีชื่อเสียงเดียวกัน

เอฟเฟคความสัมพันธ์ [050] จางซุน
-15 ความสัมพันธ์ เมื่อธาตุไฟ ข่ม ธาตุทอง
[หัวดี >> หัวคลั่ง]
-5 ความสัมพันธ์เมื่อเจอคนหัวคลั่ง
+10 ความโหดเมื่อเจอคนหัวชั่ว / เลว

เอฟเฟคความสัมพันธ์ [051] จางจวี
+5 ความสัมพันธ์ เมื่อธาตุเดียวกัน
[หัวดี >> หัวคลั่ง]
-5 ความสัมพันธ์เมื่อเจอคนหัวคลั่ง
+10 ความโหดเมื่อเจอคนหัวชั่ว / เลว


←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
กระบี่ร้อยกฎ
มุกพณาหวาซวี
ม้าเหลียง
กลยุทธ์เล่ออี้
บทเพลงยิ้มเย้ยยุทธจักร
หน้ากากขาว
เกราะเกล็ดมังกร
ผ้าคลุมไท่หลง
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x2
x7
x4
x10
x10
x13
x13
x13
x12
x11
x202
x1
x1
x1
x11
x22
x15
x30
x1
x100
x100
x9
x2
x5
x6
x8
x10
x2
โพสต์ 2022-5-17 01:06:50 | ดูโพสต์ทั้งหมด
"ไม่ได้มาที่นี้ซะนาน ยังไงลองแวะไปหาเจิ้งหลันหน่อยดีกว่า"


เฉินเฟิงได้มีโอกาสมาเยือนเขาไป๋สวิน ก็เลยเยี่ยมเยียนสหายด้วยเลย


"เอาสิ ข้าก็อยากเล่าเรื่องการเดินทางให้ฟังอีกเหมือนกัน"



อู่เว่ยเองก็เห็นด้วย ก่อนทั้งสองจะเดินทางไปหาเจิ้งหลันแต่ไม่ว่าที่ไหนก็ไม่พบเธอจนดูแปลกๆ


"เหมือนเธอจะไม่อยู่ที่นี้นะ รึว่าลงเขาไปแล้วงั้นเหรอ?"


อู่เว่ยถามขึ้นมาหลังสำรวจเขาอยู่นาน ตะโกนเรียกก็แล้วแต่ก็ไม่มีเสียงตอบรับ


"ไม่รู้สิ ก็อาจเป็นไปได้ บางทีนางอาจค้นพบเป้าหมายที่จะทำต่อแล้วก็ได้ถึงจะน่าเสียดายที่ไม่มีโอกาสได้บอกลา แต่ถ้าชะตาต้องกันสักวันคงได้พบกันอีก"


เฉินเฟิงกล่าวถึงจะดูเศร้าหน่อยแต่เขารู้สึกได้ว่าเจิ้งหลันคงกำลังพยายามในทางของเธอ ตัวเขาเองก็ต้องพยายามในเส้นทางเขาบ้าง


"ไปกันเถอะ เรายังมีงานต้องทำอยู่"


เขาหันไปกล่าวกับอู่เว่ยก่อนที่ทั้งสองจะเดินทางกลับที่ ค่ายโจรภูเขาฉางซิ่ง
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
เตากำยาน
หน้ากากยักษา
ดาบไท่จี๋
ม้าขาว
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x3
x35
x44
x35
x10
x10
x11
x20
x15
x1
x15
x27
x60
x3
x7
x6
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง เข้าสู่ระบบ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

อย่าลืมเข้าสู่ระบบนะจ๊ะ เข้าสู่ระบบตอนนี้ หรือ ลงทะเบียนตอนนี้

เว็บไซต์นี้ มีการใช้คุกกี้ 🍪 เพื่อการบริหารเว็บไซต์ และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานของท่าน (เรียนรู้เพิ่มเติม)

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้