[นอกเมืองเจียซิ่ว] ร้านบะหมี่สามหาว - สาขาเจียซิ่ว

[คัดลอกลิงก์]
ไม่ระบุชื่อ  โพสต์ 2021-9-25 10:43:39 |โหมดอ่าน

ร้านบะหมี่สามหาว - สาขาเจียซิ่ว
{ นอกเมืองเจียซิ่ว }








【ร้านบะหมี่สามหาว - สาขาเจียซิ่ว】

ร้านบะหมี่สามหาว ก่อตั้งขึ้นโดยสามพี่น้องตระกูลหาว
ขายบะหมี่โอชารสนานาชนิดไม่ว่าจะเป็น
บะหมี่ผัดเต้าหู้ บะหมี่เนื้อวัว บะหมี่ฉีซาน บะหมี่น้ำกุ้งทะเล

ซึ่งร้านสาขาเจียซิ่วจะตั้งอยู่นอกเมืองเจียซิ่วอยู่ใกล้เขียงนา
ผู้ใช้บริการส่วนมากจะเป็นพ่อค้า นักเดิน ที่แวะผ่านทางมา
รสชาติบะหมี่ของสาขานี้ออกจะแตกต่างไปจากร้านต้นตำหรับฉางอัน
และเฉินหลิวอยู่มากโข เส้นบะหมี่ลวกมาได้บางครั้งก็แข็งเกินไป
บางครั้งก็เละจนเกินไป เนื้อหั่นชิ้นไม่เท่ากัน น้ำซุปก็รสชาติไม่ซ้ำ
แม้ว่าจะแวะมากี่ทีจนชาวบ้านตั้งฉายาให้บะหมี่ร้านนี้ว่า
"รสชาติไม่ซ้ำจำสูตรไม่ได้" ถึงกระนั้นก็ยังมีผู้คนมาใช้บริการกันอย่างต่อเนื่อง

ถึงบะหมี่จะไม่อร่อยแต่ขนมกุยช่ายที่วางขายเสริมนั้นอร่อยมาก



ทุกท่านสามารถมาโรลเพลย์ทำงานพาร์ทไทม์ประจำวัน
ค่าจ้าง: 150 อีแปะ - 5 EXP (รายวัน)




ผู้ดูแล: หลัน ผู่
อุปนิสัย:
หลันผู่เป็นหญิงสาวอายุไม่มาก นางเซ้งร้านบะหมี่ต่อจากคนตระกูลหาวคนหนึ่ง
ที่สำมะเลเทเมา เดิมทีนางตั้งใจจะเปิดเป็นร้านขายขนมกุยช่าย
แต่ติดข้อสัญญาที่จะต้องขายบะหมี่ด้วย หญิงสาวเป็นคนมีมานะ
อดทน มุงานหนัก และมีอัธยาศัยดีต่อแขกที่มาทานอาหาร









โพสต์ 2021-9-25 11:15:39 | ดูโพสต์ทั้งหมด

⌜ 38⌟

บทที่ 8
เรื่องราวเข้าใจผิด
ฉากที่ 1


          ออกเดินทางจากเหอตงตั้งแต่ฟ้าสางด้วยม้าเร็วไป๋ไป๋และถังถ้ง จนมาถึงเจียซิ่วก็กินเวลาเข้าครึ่งวันพอดี หากเดินทางด้วยความเร็วเช่นนี้การไปถึงซีเหอเย็นวันนี้ย่อมไม่ใช่เรื่องเพ้อฝัน เด็กสาวแวะทานมื้อกลางวันที่ร้านบะหมี่ที่ชายเขียงนา จิบชาอู่หลงร้อน ๆ พลางดื่มด่ำไปกับบรรยากาศชนบทอันแสนร่มรื่น มองม้าทั้งสองของตนลงไปวิ่งเล่นในทุ่งหญ้าขณะพัก ส่วนหมูป่าคู่หูก็กำลังกินอาหารเที่ยงในชามหมูที่ข้างโต๊ะ
         
          “บะหมี่ผัดเต้าหู้ที่นึงเจ้าค่ะ”
         
          “ได้จ้ะแม่นาง กรุณารอสักครู่นะพอดีว่าน้ำยังไม่เดือดเลย”
         
          “ได้เจ้าค่ะ”
         
          เฟินเยว่สั่งอาหารราคาถูกที่สุดในร้าน พอกันทีชีวิตหรูหราทานหม้อไฟปิ้งย่างหวนคืนสู่วิถีชีวิตของยาจก ช่วงงานจงชิวเจี๋ยนางใช้เงินไปมาก จากนี้จึงตั้งใจที่จะประหยัดกันสักหน่อย ระหว่างที่นั่งรอบะหมี่ด้วยความที่ไม่รู้จะทำอะไรเด็กสาวจึงนำแผนผังเหอถูขึ้นมาอ่าน แต่เมื่อตะแคงดูซ้ายขวาอย่างไรก็ไม่เข้าใจ
         
          ‘ผังภาพค่ายกลนี้เกินปัญญาของข้า หากเป็นพี่ชายจะไขปริศนาซึ่งจะนำไปสู่ความรุ่งโรจน์ของต้าฮั่นได้หรือเปล่านะ?’
         
          นางครุ่นคิดอยู่ในใจก่อนที่จะเก็บม้วนภาพที่คิดว่าเป็นคัมภีร์ตงฟางใส่ไว้ในกระบอก แล้วหันมาอ่านตำราพิชัยยุทธ์ที่เป็นตัวหนังสือเข้าใจง่ายแทนดีกว่า นางกางม้วนกลยุทธ์เล่ออี้ออกมาไล่สายตาหาว่าคราวที่แล้วอ่านถึงตรงไหน
         
          ‘ตรงนี้ไง กลยุทธ์การถอยหนีเพื่อตั้งรับ..’
         
          ขณะที่กำลังตั้งใจอ่านตำราเป็นการฆ่าเวลาอยู่นั้นเองเสียงหนึ่งก็เอ่ยทักนางขึ้น
         
          “สวัสดีขอรับท่านจอมยุทธ์หญิง แม่นางจำข้าได้หรือไม่ขอรับ”
         
          บุรุษวัยกลางคนผู้หนึ่งยกมือขึ้นคาราวะเด็กสาวจนนางค้อมศีรษะเคารพเขาแทบจะไม่ทัน ชายคนนั้นคือคุณลุงเลี้ยงวัวที่เฟินเยว่เคยช่วยชีวิตเอาไว้โดยบังเอิญกลางทุ่งหญ้าผูกงอิง
         
          “จำได้เจ้าค่ะ ท่านลุงแวะมาทานบะหมี่ที่นี่หรือเจ้าคะ?”
         
          เฟินเยว่ยิ้มถามด้วยน้ำเสียงสุภาพนอบน้อม
         
          “ขอรับท่านจอมยุทธ์ บ้านข้าอยู่ห่างจากนี่ไปไม่ไกลเอง”
         
          กล่าวจบลุงคนเลี้ยงวัวก็ชี้ไปที่กระท่อมหลังหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ไกลจากจุดนี้มากนัก ตรงนั้นมีคอกวัวอยู่คอกหนึ่ง
         
          “อย่างนี้นี่เอง..” เด็กสาวยิ้มจืด ๆ รู้สึกแปลก ๆ เมื่อถูกเรียกว่าจอมยุทธ์หญิงทั้งที่นางไม่ได้เป็น “เอ่อ คือ… เรียกข้าว่าซุนเฟินเยว่เถอะนะเจ้าคะท่านลุง ข้าไม่ใช่จอมยุทธ์จริง ๆ เจ้าค่ะ”
         
          “ก็ได้ขอรับแม่นางน้อยซุน ท่านถ่อมตัวอีกแล้ว แต่ข้าก็เข้าใจ โฮ่โฮ่ เอาเป็นว่าถ้าอย่างไรข้าขอเลี้ยงอาหารท่านในครั้งนี้เป็นการขอบคุณนะขอรับ”
         
          “เกรงใจจังเจ้าค่ะ เรื่องในครั้งนั้นเล็ก---” ยังไม่ทันที่เด็กสาวจะพูดจบอีกฝ่ายก็ชิงตัดหน้าไปจ่ายเงินให้แทนก่อนที่บะหมี่จะทำเสร็จเสียอีก นางจึงต้องสงบคำพูดเอาไว้ก่อนแล้วเปลี่ยนเป็นคำขอบคุณเสียแทน “ขอบพระคุณมากนะเจ้าคะ”
         
          “เรื่องเล็กน้อยขอรับ ถ้าอย่างไรเดี๋ยวขอตัวไปเฝ้าวัวต่อก่อน ขอให้ท่านจอม-- แม่นางน้อยซุนโชคดีสำหรับการเดินทางขอรับ”
         
          “เช่นกันเจ้าค่ะ ท่านลุงรักษาสุขภาพด้วยนะเจ้าคะ”
         
          เฟินเยว่ยิ้มอ่อนพร้อมกับค้อมศีรษะลาไป แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นมาเด็กสาวกลับเห็นว่ามีบุรุษร่างสูงใหญ่แต่งกายด้วยชุดเรียบง่ายเหมือนนักเดินทางพร้อมหมวกงอบปรากฏอยู่ตรงหน้าแทนคุณลุงเลี้ยงวัว เขายกมือขึ้นประสานกลางอกก่อนเอ่ยวาจาทักทาย
         
          “ข้าน้อย ตู้ หยิน ขอคารวะท่านจอมยุทธ์หญิง..”
         
          คราวนี้อะไรอีกกันนะ ชายผู้นี้นางไม่รู้จัก แต่ก็เข้ามาทักและเรียกเฟินเยว่จอมยุทธ์หญิงอีกคน ดูท่าว่านางต้องรีบแก้ตัว
         
          “อะ..เอ่อ สวัสดีเจ้าค่ะ ซุน เฟินเยว่เจ้าค่ะ.. แต่ว่าข้าไม่ใช่จอมยุทธ์หญิงนะเจ้าคะ”
         
          “อย่าถ่อมตนไป ข้าได้ยินชื่อเสียงของท่านจากชายผู้นั้นมาแล้ว แม่นางช่วยชีวิตเขาไว้จากโจรผ้าเหลืองเจ็ดคนโดยไร้ริ้วรอยขีดข่วนใช่หรือไม่ขอรับ”
         
          “เอ๋!?”
         
          เด็กสาวทำตาโตแล้วหันขวับไปที่ชายเลี้ยงวัวที่ห่างไกลออกไปลิบ ๆ แล้ว ไม่รู้ว่าเขาไปเล่าเรื่องของนางให้คนอื่นฟังตั้งแต่เมื่อไร เฟินเยว่ไม่โกรธอะไร เพราะเป็นตัวเองก็คงเล่าความดีความงามของคนที่ช่วยชีวิตเอาไว้ให้คนอื่นฟังเหมือนกัน ว่าแล้วก็นึกได้ว่านางเขียนจดหมายไปหาเถ้าแก่เนี้ยหมีไปเมื่อหลายวันก่อน ป่านนี้จดหมายน่าจะส่งไปถึงแล้ว เอาเป็นว่าฉบับต่อไปเขียนเล่าถึงคุณชายซูให้ฟังด้วยดีกว่า
         
          เอาล่ะ กลับมามีสมาธิจดจ่อกับเรื่องตรงหน้าต่อ..
                    
          “ก็ใช่.. เจ้าค่ะ” เฟินเยว่ไม่พูดโกหกแม้จะรู้สึกประหม่าอยู่มากที่ต้องอวดอ้างความดีของตัวเอง “แต่ว่ามันแค่เรื่องบังเอิญเท่านั้นเจ้าค่ะ สิ่งที่ช่วยเขาเอาไว้คือม้าของข้ามากกว่า..” พูดจบเด็กสาวก็ชี้ไปที่ม้าขาวที่วิ่งเล่นกับม้าน้ำตาลอยู่ในทุ่ง แต่บุรุษตรงหน้าไม่แม้เพียงแต่จะหันไปสนใจมัน
         
          “จอมยุทธ์ที่เก่งกาจย่อมถ่อมตนเป็นธรรมดา ตู้หยินผู้นี้พบเจอมานักต่อนักแล้ว”
         
          “แต่ว่าข้าไม่ใช่จอมยุทธ์จริง ๆ นะเจ้าคะ”
         
          เด็กสาวยังคงปฏิเสธหัวชนฝา ในเมื่อไม่ใช่นางก็ไม่อาจรับชื่อเสียงนั้นไว้ได้จริง ๆ แม้ว่าจะสะพายทวนและธนูอยู่ก็ตาม
         
          “ถึงแม่นางจะกล่าวเช่นนั้นแต่อย่างไรใจข้าน้อยก็นับถือแม่นางเป็นจอมยุทธ์ไปแล้ว แม่นางกำลังศึกษากลยุทธ์เล่ออี้อยู่ใช่หรือไม่ ช่างปราดเปรื่องยิ่งนัก ไม่ทราบว่าข้าน้อยขอได้นับคำชี้แนะจากแม่นางซุนได้หรือไม่ขอรับ”
         
          จากหลักฐานตรงหน้าทำให้สาวน้อยไม่อาจปฏิเสธ แต่หากว่าเขาอยากได้คำแนะนำเกี่ยวกับตำราเล่ออี้นางก็พอจะอธิบายเขาได้อยู่บ้าง ซึ่งสิ่งที่เด็กสาวคิดอยู่นั้นผิดถนัด
         
          “อ้อ ท่านสนใจกลยุทธ์ของท่านเล่ออี้สินะเจ้าคะ ข้าศึกษามาบ้างแม้ยังไม่แตกฉานแต่ก็พอจะอธิบายได้ แต่จะพยายามเจ้าค่ะ งั้นก็เริ่มจากที่...”
         
          “ไม่ใช่แล้ว แม่นางกำลังเฉไฉขอหลีกเลี่ยงการประลองใช่หรือไม่”
         
          ตู้หยินดูจะมีอารมณ์ขึ้นมาบ้างเล็กน้อย และนั่นทำให้เด็กสาววัยใสผู้ไม่ประสีประสาโลกถึงกับสะดุ้ง ทำสีหน้าไม่ถูก
         
          “ข้าไม่ชอบให้เกิดการทะเลาะวิวาทนะเจ้าคะ ความรุนแรงไม่ใช่หนทางออกที่ดีเลยเจ้าค่ะ”
         
          “การประลองไม่ใช่การวิวาทแต่เป็นการแข่งขัน เป็นกีฬาขอรับ ไม่ใช่สู้กันถึงตาย แค่วัดฝีมือกันเท่านั้น”
         
          ผู้คนที่มารอทานบะหมี่ก็ต่างพากันซุบซิบเสียหึ่งเป็นการกดดันเฟินเยว่ไปในตัว
         
          “ประลองยุทธ์เหรอ?”
         
          “เขาจะประลองกันล่ะ”
         
          “ข้าแทงข้างจอมยุทธ์ชายสิบตำลึง”
         
          “งั้นข้าแทงสวนจอมยุทธ์หญิงเลยดีกว่า”
         
          “ถ้าจะประลองกันก็อย่าพังร้านนะ”
         
          เสียงแซงแซ่ต่าง ๆ รอบกายแม้แต่เจ้าของร้านบะหมี่ก็ยังเห็นดีเห็นงามไม่ต่อว่าราวกับว่าเคยมีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นมาก่อนหลายต่อหลายครั้ง ทำให้เฟินเยว่นั่งห่อไหล่ตัวเกรงทำตัวไม่ถูก ได้แต่เม้มริมฝีปากเข้าหากันแน่น ไม่รู้ว่าจะพาตัวออกมาจากสถานการณ์นี้ได้อย่างไร เด็กสาวช้อนสายตามองคนที่ยืนค้ำหัวนางอีกที
         
          “ไม่ประลอง.. ไม่ได้หรือเจ้าคะ”
         
          จอมยุทธ์ตู้เห็นท่าทางของดรุณีน้อยเข้าก็สะอึก แต่ก็รีบส่ายหน้าลบความคิด นางเป็นสตรีบางทีอาจจะใช้มารยาหญิงเพื่อหลีกเลี่ยงเพื่อกลบเกลื่อนฝีมือ โดยหารู้ไม่ว่าสตรีอย่างเฟินเยว่ไม่รู้จักถึงคำว่ามารยาสาไถย ตู้หยินคิดแต่เพียงว่าเขาเดินทางมาไกลเพื่อเข้าร่วมงานประลองยุทธ์ที่ลั่วหยาง หากได้ฝึกปรือฝีมือและตัดกำลังคู่แข่งระหว่างทางย่อมดีต่อตัวเขาเองไม่มากก็น้อย ดังนั้นจะมายอมแพ้ลูกอ้อนของสตรีเอาตรงนี้ไปไม่ได้!
         
          “หากแม่นางไม่รับคำท้าข้าจะขอคุกเข่าอยู่ตรงนี้ไม่ลุกไปไหน”
         
          จอมยุทธ์ตู้ทำตามคำพูด ทรุดเข่าลงไปนั่งทันที บนพื้นไม่ได้ราบเรียบ มีทั้งดินทั้งกรวด เฟินเยว่เห็นเข้าก็เป็นห่วงว่าเขาจะเจ็บขา การเจรจาในครั้งนี้เด็กสาวพ่ายแพ้อย่างราบคาบจากความใจอ่อนของตนเอง นางคอตก เห็นทีว่าคงต้องยอมให้เขาตีสักสองสามทีแล้วก็ยอมแพ้ไปจะได้ยุติเรื่องเข้าใจผิดดังกล่าวไปเสียที
         
          “ก็ได้เจ้าค่ะ ข้ายังมือใหม่ อย่างไรก็ขอคำชี้แนะด้วยนะเจ้าคะ..”


.
.
.



ลักษณะนิสัยรักสงบ
+1 Point ทุกครั้งที่โรลใช้แผนอุบาย หรือ ทางการทูต

ลักษณะนิสัยขยัน
+2 Point ทุกครั้งที่โรลเรียนรู้

ลักษณะนิสัยเห็นอกเห็นใจ
+2 Point จากการโรลการทูต
+20 EXP ทุกครั้งที่โรลเห็นอกเห็นใจช่วยเหลือผู้อื่น หรือ ทำงานช่วยเหลือ





←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
พยัคฆ์ตงเทียน
หยกเชื่อมสัมพันธ์
พู่กันเหวิ่นเซ่า
ถุงหอมจูอวี๋
กลยุทธ์เล่ออี้
บทเพลงยิ้มเย้ยยุทธจักร
หน้ากากขาว
เกราะเกล็ดมังกร
ผ้าคลุมไท่หลง
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x40
x32
x1
x439
x500
x73
x500
x26
x498
x500
x10
x2
x9
x1
x400
x1
x1
x5
x28
x8
x591
x228
x228
x500
x2514
x18
x14
x1
x5
x1
x2
x100
x5
x50
x100
x3
x3
x10
x2
x47
x64
x6
x9
x2
x71
x1
x24
x95
x50
x86
x150
x260
x150
x150
x46
x46
x2
x2
x6
x2
x2
x34
x4
x1
x8
x1
x2
x7
x5
x8
x7
x110
x7
x74
x45
x3
x30
x63
x74
x79
x2
x71
x68
x6
x45
x50
x160
x316
x3
x220
x48
x35
x168
x12
x10
x25
x1
x13
x6
x4
x6
โพสต์ 2021-9-25 12:30:15 | ดูโพสต์ทั้งหมด

⌜40⌟

บทที่ 8
เรื่องราวเข้าใจผิด
ฉากที่ 3
                  
         
          “ท่านจอมยุทธ์หญิงบะหมี่เสร็จแล้วนะจ๊ะ”
         
          เถ้าแก่เนี้ยร้านบะหมี่มาตามคนทั้งสองที่ลานประลองจำเป็น แถมยังเรียกนางว่าจอมยุทธ์หญิงไปอีกคน ดูท่าว่าการชนะในครั้งนี้จะต้องเลี่ยงชื่อเสียงไปไม่พ้น หรือว่าเฟินเยว่ควรจะทำใจและยอมรับฉายานั้นไปให้ได้?
         
          “เจ้าค่ะ จะไปทานเดี๋ยวนี้แหล่ะเจ้าค่ะ” เด็กสาวขานรับราวกับบุตรสาวตอบรับมารดาก่อนที่หันกลับมาหาจอมยุทธ์ตู้ “ถ้าอย่างนั้นข้าขอตัวไปทานบะหมี่ก่อนนะเจ้าคะ” เด็กสาวค้อมศีรษะลาผู้ที่เพิ่งประลองด้วยกันมา
         
          “ขอให้ชัยชนะอยู่ในมือของแม่นางขอรับ”
         
          เฟินเยว่ได้ยินคำกล่าวลาเช่นนั้นก็ได้แต่ยิ้มแหยเป็นครั้งที่เท่าไรแล้วก็ไม่รู้ของวัน รีบไปทานบะหมี่ดีกว่า ตอนนี้นางหิวจนไส้กิ่วจนเกือบจะเป็นลม เด็กสาวนั่งลงที่โต๊ะตัวเดิมมีบะหมี่ผัดเต้าหู้อยู่ตรงหน้า แต่น่าประหลาด นางไม่ได้สั่งขนมกุยช่ายนี่นามันมาได้อย่างไร
         
          “เอ่อ.. ขอโทษนะเจ้าคะ ขนมกุยช่ายนี้ข้าไม่ได้สั่ง เถ้าแก่เนี้ยน่าจะส่งผิดโต๊ะเจ้าค่ะ”
         
          “อ๋อ นั่นน่ะเหรอ อาฮุยเขาสั่งให้น่ะจ้ะ ทานได้เลยนะ”
         
          เถ้าแก่เนี้ยคนงามยิ้มหวานตอบ เฟินเยว่ได้แต่ครุ่นคิดว่าอาฮุยคือใคร จนกระทั่งนางถึงบางอ้อเมื่อนึกถึงคน ๆ หนึ่งที่เลี้ยงบะหมี่นาง เขาก็คือชายเลี้ยงวัวที่เคยช่วยชีวิตเอาไว้นั่นเอง
         
          “โธ่ ท่านลุง ไม่เห็นจำเป็นต้องเลี้ยงมากมายขนาดนี้เลยแท้ ๆ เจ้าค่ะ”
         
          นางรำพันกับตัวเองด้วยความเกรงใจ แต่กระนั้นก็ยิ้มออกมาด้วยความตื้นตัน ไม่คิดเลยว่าน้ำใจในครั้งนั้นจะมีผลมาถึงวันนี้ เด็กสาวตระหนักเห็นแล้วว่าการช่วยเหลือผู้อื่นนั้นยิ่งใหญ่ถึงเพียงไหน อย่างไรเสียเขาก็สั่งขนมกุยช่ายมาให้แล้วจึงลองชิมไปหนึ่งคำ
         
          “อื้อ! อร่อยจัง!!”
         
          ไม่รู้ด้วยความเหนื่อยบวกด้วยความหิวหรือไม่จึงทำให้อาหารที่ถูกส่งเข้าปากรสชาติอร่อยเป็นพิเศษ จนเด็กสาวแม่ครัวถึงกับเอ่ยปากชมเปราะ ทั้งเนื้อแป้งห่อขนมกุยช่ายที่บางเบาราวกับปุยนุ่นถูกนึ่งเป็นอย่างดีจนไร้กลิ่นแป้งและนวลเนียนละมุนลิ้น กุยช่ายที่อยู่ข้างในก็สดอร่อย ยังคงมีความกรอบอยู่เล็กน้อยแต่ก็เปื่อยยุ่ยชุ่มฉ่ำจนบรรยายออกมาไม่ได้ว่าตกลงแล้วกรอบหรือว่านุ่มกันแน่ แล้วน้ำจิ้มที่ให้มาก็รสชาติกลมกล่อมทั้งเปรี้ยวและหวาน รู้ตัวอีกทีขนมกุยช่ายก็หมดไปแล้วครึ่งจานโดยที่ตัวนางยังไม่ได้แตะบะหมี่ในชามเลย
         
          เปลี่ยนมาทานอาหารจานหลักกันบ้าง ได้ข่าวว่าร้านนี้เป็นร้านสาขาของเถ้าแก่หาวที่ฉางอัน บางทีอาจจะได้รสชาติเดิม ๆ เหมือนกับที่ทานไปเมื่อวันก่อนแม้ว่าหน้าตาของบะหมี่ในชามจะแตกต่างไปบ้างแต่เฟินเยว่คิดว่านั่นอาจจะเป็นเอกลักษณ์ของแต่ละสาขาที่ไม่เหมือนกัน อย่างไรเสียนางก็ไม่คิดเล็กคิดน้อยในจุดนี้อยู่แล้ว และคีบเส้นเข้าปากเรียวคิ้วของเด็กสาวก็ขมวดเข้าหากันเล็กน้อย
         
         ‘นะ..นี่มัน!’
         
         เส้นที่ลวกด้วยน้ำไม่เดือดดีทำให้สุกไม่ทั่วจนมีแต่กลิ่นแป้งลอยหึ่งเต็มไปหมดถูกผัดจนเละแถมน้ำมันยังชุ่มจนเกรอะกรัง! ถึงแม้ตัวเต้าหู้จะไม่มีอะไรให้ติเพราะน่าจะซื้อมาจากตลาดแต่น่าจะทำมาใส่ทีหลังจึงทำให้มันไม่เข้ากับเส้นที่ผัดเลยแม้แต่น้อย แถมบะหมี่ผัดจานนี้ยังหวานเจี๊ยบ รสชาตินี้มันช่างคุ้นราวกับว่า… ฉับพลันสายตาของเด็กสาวก็สบเข้ากับของเหลวสีดำที่ใส่อยู่ในถ้วยใบน้อย
         
         ‘น้ำจิ้มขนมกุยช่ายอย่างนั้นเหรอ!!!’
         
         เด็กสาวแทบไม่ขยับ บะหมี่ชามนี้ช่างมีวรยุทธ์ล้ำลึกและรุนแรงเสียยิ่งกว่าการโจมตีของจอมยุทธ์ตู้ มันทำเอาเด็กสาวกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ที่ไม่ใช่สำนวนแต่เป็นการกระทำ นางจ้องมองชามบะหมี่ตรงหน้าก่อนจะค่อย ๆ ขยับปากเคี้ยวแล้วกลืนมันลงคออย่างยากลำบาก จากนั้นยกชาอู่หลงที่เริ่มเย็นชืดขึ้นจิบล้างคอ แล้วทำใจอยู่ครู่หนึ่ง
         
         ‘ไม่อร่อยเลยอ่ะเจ้าค่ะ แงงงง’
         
         สาวน้อยกรีดร้องอยู่ในใจ แต่นางก็ไม่อยากจะทิ้งอาหารที่มีคุณค่า หวนนึกถึงคืนวันอันยากลำบากของตัวเองที่ไม่ค่อยได้ทานของดี ๆ ที่ในเมือง นึกถึงใบหน้าของเด็กน้อยชื่ออาฉิงที่ต้องขโมยของเพราะความยากจน นึกถึงใครอีกหลาย ๆ คนที่ต้องไปขอพึ่งพิงใบบุญจากโรงเจข้างศาลเจ้า ที่นางมีเงินซื้อของกินในทุกวันนี้ก็ดีเท่าไร เพราะฉะนั้นนางจะต้องรู้คุณค่าของอาหารและทานทุกอย่างในจานให้หมดเกลี้ยง
         
         มือที่จับตะเกียบสั้นเทาจนแทบจะประคองมันเอาไว้ไม่อยู่ ไม่รู้ว่ามันอ่อนแรงมาจากการจับทวนต่อสู้หรือว่าอาหารตรงหน้า จนเด็กสาวต้องใช้อีกมือช่วยประคองไม่ให้อาหารที่คีบหล่นพื้น จากนั้นก็คีบเส้นบะหมี่อย่างยากเย็นเข้าปาก รสชาติที่สัมผังยังปลายลิ้นแต่ละคำทำเอาน้ำตาแทบไหลออกมา เฟินเยว่พยายามมองโลกในแง่ดี พร่ำบอกตัวเองอยู่เสมอว่า..
         
         ‘ฮึก! นี่น่ะมัน.. อร่อยจะตาย’
         
         มื้ออาหารอันแสนทรมาณได้จบลง ในที่สุดเฟินเยว่ก็ทำตามที่นางตั้งใจไว้ได้สำเร็จ ในชามบะหมี่ว่างเปล่าไม่เหลือแม้แค่ถั่วงอกหรือว่าต้นหอมสักเส้น รอยยิ้มหนึ่งปรากฎขึ้นบนใบหน้า เป็นสีหน้าของคนที่พึ่งก้าวผ่านเรื่องราวร้าย ๆ ในชีวิต..
         
         ‘ในที่สุด... ก็ผ่านมาได้แล้วสินะตัวข้า’
         
         เมื่อทานอาหารเสร็จแล้วเด็กสาวก็ลุกออกจากโต๊ะอาหาร มาถึงตรงนี้นางถึงสังเกตได้ว่าบนโต๊ะของลูกค้าคนอื่นมีแต่ขนมกุยช่ายหลากสีสัน ทว่าไม่มีผู้ใดเลยที่สั่งบะหมี่
         
         “แถวนี้มีร้านบะหมี่ด้วยแฮะ..” เสียงของบุคคลหนึ่งที่ลอยเข้าโสติเรียกสติให้เด็กสาวหันกลับไปมอง เขาคือพ่อค้าต่างถิ่นที่นางไม่รู้จัก “เอ่อ เถ้าแก่เนี้ย ขอบะหมี่เนื้อวัวชามนึงขอรับ”
         
         “ได้จ้า รอสักครู่นะ พอดีว่าน้ำยังไม่เดือดน่ะ”
         
         'พอดีว่าน้ำยังไม่เดือดน่ะ.. พอดีว่าน้ำยังไม่เดือดน่ะ..พอดีว่าน้ำยังไม่เดือดน่ะ...'
         
         เสียงหวาน ๆ ของเถ้าแก่เนี้ยกังวาลชัดอยู่ในหัว ได้คลี่คลายปริศนาทุกอย่างจนกระจ่างแจ้ง ร้านบะหมี่ที่ไหนต้องมาคอยต้มน้ำเอาทุกครั้งที่มีลูกค้ามาสั่ง ซึ่งคำตอบนั้นก็คือ ไม่มีลูกค้าประจำคนไหนที่สั่งบะหมี่เลยอย่างไรเล่า!!!
         
         เด็กสาวมองเหยื่อต่างถิ่นรายนั้นด้วยสายตาอาดูร แม้จะพูดไม่ได้แต่ในใจของนางก็ได้แต่สวดภาวนาว่า
         
         ‘หนีไปเจ้าค่ะ!!!’
                  
.
.
.
                 

ลักษณะนิสัยเห็นอกเห็นใจ
+20 EXP ทุกครั้งที่โรลเห็นอกเห็นใจช่วยเหลือผู้อื่น หรือ ทำงานช่วยเหลือ




←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
พยัคฆ์ตงเทียน
หยกเชื่อมสัมพันธ์
พู่กันเหวิ่นเซ่า
ถุงหอมจูอวี๋
กลยุทธ์เล่ออี้
บทเพลงยิ้มเย้ยยุทธจักร
หน้ากากขาว
เกราะเกล็ดมังกร
ผ้าคลุมไท่หลง
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x40
x32
x1
x439
x500
x73
x500
x26
x498
x500
x10
x2
x9
x1
x400
x1
x1
x5
x28
x8
x591
x228
x228
x500
x2514
x18
x14
x1
x5
x1
x2
x100
x5
x50
x100
x3
x3
x10
x2
x47
x64
x6
x9
x2
x71
x1
x24
x95
x50
x86
x150
x260
x150
x150
x46
x46
x2
x2
x6
x2
x2
x34
x4
x1
x8
x1
x2
x7
x5
x8
x7
x110
x7
x74
x45
x3
x30
x63
x74
x79
x2
x71
x68
x6
x45
x50
x160
x316
x3
x220
x48
x35
x168
x12
x10
x25
x1
x13
x6
x4
x6
โพสต์ 2021-10-14 09:26:48 | ดูโพสต์ทั้งหมด
          หากเดินทางโดยไม่แวะพักกินจะหาอะไรมาเป็นเรี่ยวแรงระหว่างวันได้ จ้าวเพ่ยกล่าวบอกกับซุนหยางถึงความหิวของนาง พอที่จะทำให้ผู้ติดตามต้องออกตามหาร้านที่พอจะทำให้นางไม่งอแงไปตลอดวันเสียก่อน เพราะมักจะพาออกนอกเมืองจึงไม่แปลกที่จะหาร้านรายทางตามซานเมืองได้ยาก

          แต่ถึงกระนั้นก็ไม่มากเกินความสามารถของซุนหยางผู้นี้ ร้านบะหมี่ตั้งอยู่นอกชานเมืองแต่กลับมีผู้คนแวะเวียนไม่ขาดสายก็พอจะไว้ใจได้ระดับหนึ่งว่ารสชาติคงจะดีไม่น้อย ซุนหยางเองเดินนำนายของตนเข้ามายังในตัวร้านเพื่อจับจองโต๊ะว่างก่อนจะไม่มีที่ให้นั่ง ก่อนเถ้าแก่เนี๊ยะจะตรงดิ่งมาหาทั้งสองเพื่อบริการทันที

          "ยินดีต้อนรับเจ้าค่ะ รับอะไรดีเจ้าคะ"

          "มีอะไรแนะนำไหมขอรับ" ซุนหยางกล่าวถามเถ้าแก่เนี๊ยะขึ้นมา พลางอ่านรายการอาหารในร้านนี้ไปด้วย

          ส่วนทางจ้าวเพ่ยนางหาได้สนใจเถ้าแก่เนี๊ยะไม่ นางยกคันฉ่องราคาถูกขึ้นมาส่องโฉมตนไปพลาง รับรู้ผ่านกระจกเว้าโค้งจนลายตาว่าตอนนี้ใบหน้านางเริ่มจะซีดเซียวจากชาดที่หลุดออกไประหว่างวัน คงจะเป็นเพราะแสงแดดทั้งเหงื่อกระมัง คิดได้ดังนั้นจึงเผลอแตะปากที่ยังอมชมพูจากร่องรอยชาดที่ยังเหลือทิ้งเอาไว้

          "ที่นี่ กุ้ยช่ายอร่อยเจ้าค่ะ"

          คำพูดของเถ้าแก่ทำเอาจ้าวเพ่ยและซุนหยางเงยหน้าขึ้นมองเถ้าแก่เนี๊ยะพร้อมกัน นางยิ้มขึ้นมาอย่างงุนงงเมื่อแนะนำกุ้ยช่ายในร้านบะหมี่ก็หาใช่เรื่องแปลกไม่

          "เช่นนั้นพวกข้า ขอหมี่ผัดเต้าหู้สองที่ขอรับ" ซุนหยางสั่งอาหารแทนนายตนอย่างเสร็จสรรพ เมื่อคิดว่าคงจะเป็นบะหมี่กิมมิกของร้านนี้

           "กุ้ยช่ายมาด้วยก็ได้" จ้าวเพ่ยพูดขึ้นมาบ้างพลางวางคันฉ่องลงและมองเถ้าแก่เนี๊ยะตรงๆ

           "ได้เจ้าค่ะ.." สิ้นคำตอบรับเถ้าแก่เนี๊ยะก็เดินออกไปเพื่อตระเตรียมอาหารสำหรับลูกค้าขาจรสองรายนี้ ทิ้งจังหวะเวลาให้พูดคุยกันระหว่างรอคอยอาหารมาส่งถึงที่ไปก่อน

          ซุนหยางเหลือบมองนายตนเล็กน้อยเมื่อเห็นว่านางจ้องมองบางอย่างข้ามไหล่เขา ทำเอาตนพลุนพลันหันไปมองด้วยความใคร่รู้ว่านายของนางจ้องมองอันใด กลุ่มบัณฑิตหนุ่มหนึ่งในนั้นมีชายรูปร่างหน้าตาเข้าขั้นว่าดีก็พอจะรู้ว่าอย่างจ้าวเพ่ยจ้องขนาดนี้มีจุดประสงค์อะไรกันแน่

          "อย่างไร.. ต้องการจะคุยกับผู้นั้นหรือ บัณฑิตเชียวนะ เจ้าคงคุยกับพวกนั้นไม่รู้เรื่องหรอก"

          "ข้าไม่ได้คิดจะพูดคุยด้วยปัญญาเสียหน่อย" นางกล่าวพลางชูนิ้วลงกลางวงที่กลุ่มบัณฑิตเล่นกันด้วยความสนอกสนใจ "ข้าเพียงสงสัยว่านั่นคืออะไร"

          คล้ายเสียงพูดของนางจะเข้าหูหนึ่งในกลุ่มนั้น ให้บุรุษเพศเงยหน้าขึ้นมามองนางทันที จ้าวเพ่ยเห็นดังนั้นก็เร่งหลบสายตามทันที นางไม่คิดจะอยากหาเรื่องใครภายในร้านอาหารแห่งนี้

          "บะ.. บะหมี่ช้าเสียจริง" จ้าวเพ่ยเค้นยิ้มทั้งรีบหยิบพัดขึ้นมาโบกเพื่อนเปลี่ยนเรื่อง แต่นางก็หลบไม่พ้นสายตากลุ่มนั้นได้เลย หนึ่งในกลุ่มบัณฑิตลุกขึ้นมาหานางถึงที่พลางเลื่อยเก้าอี้ถือวิสาสะมานั่งเพื่อต้องการสนทนาด้วย

          "สวัสดีแม่นาง…"

          "สวัสดีเจ้าค่ะ.. ข้าคงพูดดังไปเสียหน่อย ขออภัยหากรบกวนพวกท่าน" นางกล่าวทั้งขอโทษไปในตัวเพื่อเลี่ยงการปะทะ ใบหน้าสวยยิ้มปกปิดความกลัวในใจ แม้จะไม่ใช่นักเลงแต่นึกถึงครั้งที่นางเคยมีเรื่องที่โรงเตี๊ยมทำให้จ้าวเพ่ยฝังใจว่า แม้จะเป็นสตรีเพศแต่หากหาเรื่องแม้โดยไม่ได้ตั้งใจก็อาจจะถูกต่อยได้

           "ไม่เป็นการกวนเสียหน่อย ข้าเพียงมาชักชวนหากแม่นางสนใจ มาเล่นด้วยกันสักคราดีหรือไม่"

           "แต่ของที่กระดานนั่น ข้าไม่รู้จักมันแม้แต่น้อย กลัวจะทำให้พวกท่านหัวเสียเสียเปล่า"

           "ข้าสอนแม่นางได้ มาเถอะ.." ชักชวนโน้มน้าวให้จ้าวเพ่ยไปร่วมโต๊ะกลุ่มบุรุษนั้นได้สำเร็จ บัณฑิตก็หันมามองซุนหยางที่จะลุกตาม ก็พูดแทรกขึ้นมาทันที "ท่านนั่งรอที่นี่เถอะ คนเยอะจะอึดอัดเอา"

          ซุนหยางเห็นรอยยิ้มบางอย่างปรากฏบนใบหน้าบุรุษเพศผู้นั้นก็พอจะรู้ว่าพาจ้าวเพ่ยไปไม่ใช่เพียงจุดประสงค์เพื่อสอนนางแน่ๆ ยิ่งคิดอย่างนั้นเขาก็จงใจเปลี่ยนตำแหน่งที่นั่งที่พอจะมองนายตนผ่านโต๊ะนี้เผื่อเกิดอะไรขึ้นก็จะสามารถช่วยได้ทันที

          ทางด้านจ้าวเพ่ยเมื่อเดินมาถึงยังเหล่ากลุ่มบัณฑิตนางก็ได้รับที่นั่งตรงกับผู้เล่นฝ่ายหนึ่ง สายตาจับต้องตรงไปยังเหล่าหมากเบี้ยตรงหน้าด้วยความสงสัย แต่ไม่ทันไรเสียงทุ้มลึกก็เสียดเข้ามาภายในหูทันที

          "พวกข้าขอทราบนามของแม่นางได้หรือไม่"

          "จ้าวเพ่ยเจ้าค่ะ.. รบกวนสอนทีนะเจ้าคะ" นางกล่าวทั้งมองตรงไปยังกระดานถูกล้างกระดานใหม่จนว่างโล่งทั้งหมดตรงหน้า พลันบุรุษที่มายืนอยู่ด้านหลังก็อ้อมเข้ามาวางตัวหมากหนึ่งตัวเพื่อสาธิตการเดินแต่ละตัวให้จ้าวเพ่ย สำหรับนางคงไม่คิดอะไรมาก แต่หากยุคคลภายนอกเหลือบมามอง จะคลับคล้ายว่ามีชายผู้หนึ่งอ้อมกอดข้างหลังสตรีนางหนึ่งท่ามกลางกลุ่มบุรุษในโต๊ะนั้นอยู่

          "นี่เรียกว่าหมากรุก โดยจะแบ่งผู้เล่นเป็นสองฝั่ง ข้าเองก็ใช่เซียนหมากรุกเสียเท่าไหร่ แต่หากแม่นางใคร่รู้พวกข้าจะสอนให้ เริ่มที่กระดานก่อน จำนวนช่องกระดานตรงฝั่งของผู้เล่นแต่ละด้านจะมีด้านหน้าแปดด้านข้างแปด และช่องตรงกลางคั่นระหว่างฝั่งเรียกว่าแม่น้ำ โดยที่หมากบางตัวจะไม่สามารถเข้าแม่น้ำได้ และหมากบางตัวจะเปลี่ยนความสามารถหลังจากข้ามแม่น้ำไป" บัณฑิตหนุ่มกล่าวพลางหยิบหมากบางตัวมาวางให้จ้าวเพ่ยได้เห็น "โดยการวางหมากแต่ละตัว จะวางกันที่จุดตัดของเส้นไม่ใช่ภายในช่อง"

          "ก.. ใกล้เกินไปแล้วเจ้าค่ะ ข้า.. หายใจไม่ออก" จ้าวเพ่ยกล่าวออกมาตามตรงเมื่อรับรู้ว่าหลังนางสัมผัสกับอีกฝ่ายอยู่ ไม่รู้ว่าส่วนไหน แต่คงจะคาดเดาได้ว่าเป็นส่วนท้อง หญิงสาวขยับหนีอีกฝ่ายเล็กน้อย ขณะตายังจับจ้องกระดานไม่วางตา

          "ข้าขออภัย.. หากล่วงเกินแม่นางไป แต่พวกข้าไม่ได้ตั้งใจ เพียงแค่ต้องการสอนเพียงเท่านั้น"

          "ทำให้พวกท่านคิดมาก ข้าขออภัยเจ้าค่ะ" นางกล่าวทั้งเริ่มกังวลขึ้นมาว่าคำพูดของนางทำให้อีกฝ่ายอึดอัด ทำให้นางเลือกที่จะเมินเฉยการกระทำเมื่อถูกขนาบชิดอีกรอบ

          "เอาเถอะ มาเริ่มที่หมากกัน" บัณฑิตหนุ่มหยิบหมากตี่มาวางกลางกระดานให้จ้าวเพ่ยได้เห็น "หมากตัวสำคัญที่สุดของกระดาน เรียกว่า ตี่ เป็นหมากเปรียบเสมือนแม่ทัพ หากโดนกินหรือไล่จน จะถูกตัดสินว่าแพ้ทันที โดยหมากตัวนี้จะสามารถเดินแนวตรงสี่ทิศทางภายในหนึ่งช่องรอบตัว โดยไม่สามารถเดินในแนวทะแยง หรือเดินออกนอกกรอบสี่เหลี่ยมรอบตัวมันได้" บัณฑิตกล่าวสอนพลางค่อยๆขยับเข้ามาใกล้จ้าวเพ่ยอีกนิด "โดยวิธีการกินของตี่ จะสามารถกินรอบทิศทางตามแนวที่เดินได้เลย โดยเดินไปแทนที่หมากที่เราจะกิน และหยิบออก"

           มือหนาจับหมากนั้นวางไว้ตรงกลางล่างสุดของกระดานให้จ้าวเพ่ยมองตามถึงตัวหมากที่ควรจะอยู่เริ่มต้นด้วยความเงียบเมื่อเธอต้องใช้สมองเพื่อทำความเข้าใจมันไปก่อน ขณะหมากสองตัวถูกวางไว้ให้จ้าวเพ่ยได้เห็นอีกรอบ

          "หมากตัวนี้เรียกว่าสือ เปรียบเสมือนองครักษ์ขนาบข้างคอยปกป้องตี่ ซึ่งวิธีการเดินของสือจะเดินได้ทีละหนึ่งช่องสี่ทิศทางรอบตัวตามแนวทะแยงเท่านั้น ห้ามเดินออกนอกกรอบเช่นเดียวกับตี่" พูดจบก็นำหมากสองตัววางขนาบข้างหมากตี่ตรงด้านล่างของกระดานทั้งสองฝั่ง

          "ต่อไปหมากตัวนี้เรียกว่าเฉีย เป็นหมากในแนวรับเช่นกันกับสือ มีความพิเศษที่สามารถจะสามารถเดินออกนอกกรอบสี่เหลี่ยม เพียงแต่จะไม่สามารถข้ามแม่น้ำไปยังฝั่งตรงข้ามได้ ซึ่งการเดินของเฉีย จะสามารถเดินตามแนวทแยงทีละสองช่องรอบตัว" ว่าแล้วก็นำหมากตัวหนึ่งมาวางสาธิต "หากมีหมากอยู่แนวการเดินของเฉียจะสามารถเดินไปกินได้เลย แต่หากว่ามีหมากอื่นมาขวางการตาของเฉีย ตัวหมากจะไม่สามารถเดินไปกินได้" บัณฑิตลอบมองใบหน้าข้างๆจ้าวเพ่ยพลางหยิบตัวเฉียวางลงข้างๆสือทั้งสองด้านในฝั่งเดียว และหยิบตัวหมากอีกตัวมาวางต่อ

          "ส่วนนี่คือเบ๊ โดยวิธีการเดินคือ เดินตรงแล้วทะแยง เดินได้แปดทิศทางรอบตัว อย่างนี้" มือหนาจับมือเจ้าเพ่ยให้จับตัวม้ามาวางไว้ตรงกลางกระดานตรงจุดตัดเส้น พลางกดมือจ้าวเพ่ยให้เคลื่อนตัวหมากไปยังอีกจุดตัดหนึ่งข้างๆเป็นแนวตรงหนึ่งช่อง และเลื่อนไปแนวทะแยงอีกหนึ่งช่อง "กินได้รอบทิศทางเลยขอรับ"

          "นี่คือกือ เป็นหมากทะลวง จะสำคัญมากสำหรับการเดินเกมบุก โดยกือจะสามารถเดินตามแนวยาวได้ตลอดสี่ทิศทางรอบตัว เดินสุดขอบกระดานอีกฝั่งหนึ่งไปยังอีกฝั่งหนึ่งได้ เป็นหมากที่ควรหยิบออกมาใช้ทำเกม"

          บัณฑิตแนะนำจ้าวเพ่ยพลางนำหมากกือไปไว้ตรงมุมสุดของกระดาน จบแถวด้านล่างสุดเมื่อตัวหมากทั้งหมดเต็มแถวแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นหมากตัวต่อไปก็ถูกวางอยู่ตรงหน้าจ้าวเพ่ยอยู่ดี

          "ต่อไปตัวสำคัญของกระดาน เรียกว่าเผ่า หมากตัวนี้จะเดินเหมือนกันกับหมากกือทุกประการ แต่สิ่งที่ต่างจากกือคือเอกลักษณ์การกินของหมากเผ่า ตัวกือจะเดินไปกินโดยตรงได้ แต่สำหรับหมากเผ่านั้นจะต้องมีหมากตัวใดตัวหนึ่งขวางการเดินของดผ่า หมากเผ่าจึงจะสามารถโดดไปกินหมากตัวนั้นได้" กล่าวจบก็นำหมากเผ่าวางลงที่จุดที่มีร่องรอยการทำรอยสำหรับวางหมากกือบนกระดานสองตัว "ตัวหมากขวางจะเป็นหมากฝั่งแม่นางหรือฝั่งเขาก็ได้"

           "มาถึงหมากแนวหน้าสุด ของกระดาน เรียกว่าจุก หมากนี้จะลงกระดานถึงห้าตัวเปรียบเสมือนกำแพงไม่ให้ถูกบุกได้โดยง่าย โดยหมากจุกจะสามารถเดินได้เพียงเส้นตรงหนึ่งช่องด้านหน้าเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่เมื่อใดก็ตามเมื่อหมากตัวนี้ข้ามแม่น้ำไป หมากจุกจะสามารถเดินไปด้านข้างได้ แต่แม่นางอย่าลืมนะขอรับว่าหมากจุกหลังจากข้ามแม่น้ำ สามารถเดินแนวตรงได้สามทิศทาง เพียงแต่ห้ามเดินถอยหลัง" ว่าจบก็วางตัวจุกบนจุดมาร์กแนวหน้าสุดของกระดานให้จ้าวเพ่ย

           "วิธีเอาชนะ คือการไล่ให้ตี่ของฝั่งตรงข้ามไม่มีตาเดิน หรือยอมแพ้ หากจะเดินไปกินตี่ฝั่งตรงข้าม ต้องพูดว่า เจียงกุง หากรุกจนตี่ไม่สามารถหนีไปไหนได้ จะเรียกว่า เจียงสื่อ"

          "สุดท้ายกฏสำคัญคือ ห้ามเปิดให้ตี่ออกมาเผชิญหน้ากัน โดยไม่มีหมากตัวอื่นมาขวาง" บัณฑิตกล่าวขณะสาธิตให้จ้าวเพ่ยได้เห็นภาพ "เพียงคร่าวๆก็มีเท่านี้ ลองเล่นกับสหายข้าสักคราสิ แม่นางจะได้เข้าใจยิ่งขึ้น"

          "ข้าเองก็พึ่งจะรู้จักจะให้ลงเล่นเลยหรือเจ้าคะ" จ้าวเพ่ยกล่าวขำๆออกมา เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเริ่มให้นางออกโรงกับบัณฑิตตรงหน้า โดยมีคนคอยมองการเล่นของนางกับอีกฝ่ายอยู่

          "อย่าได้กลัวไป ข้าจะคอยช่วยเหลือแม่นางเอง" กล่าวทั้งจับข้อมือของจ้าวเพ่ยให้วางข้างๆกระดาน "เอาเลยขอรับ"

          จ้าวเพ่ยพยักหน้าพลางยกมือขึ้นมาจับปากด้วยความคิด พลางเลื่อนมือขยับหมากจุกขึ้นไปแต่ถูกจับมือเอาไว้ก่อน

          "ไม่มีผู้ใดเขาเปิดจุกกันหรอก"

          "อย่างนั้นหรือ" จ้าวเพ่ยขยับตัวจุกกลับมาที่เดิม ขณะเดียวกันนางก็ถูกจับมือให้เริ่มเคลื่อนตัวม้าเป็นอย่างแรก

          "การเล่นหมากรุก จะต้องเปิดหมากตัวรุกเพื่อเดินเกมให้ไว" บัณฑิตเอ่ยสอนขณะที่นำมือของจ้าวเพ่ยพาเล่นไปก่อน ขณะที่นางเริ่มขยับตัวเผ่าไปยังตรงกลางของกระดาน ทำเอาทุกคนที่ดูการประลองเบิกตากว้างไปตามๆกันกับการตัดสินใจของจ้าวเพ่ย

          "เช่นนี้หรือเจ้าคะ คิกคิก" นางกล่าวทั้งติดตลกออกมา ก่อนที่อีกฝ่ายจะเริ่มเอาจริงขึ้นมา ขณะที่จ้าวเพ่ยเองยังคงงุนงงกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าไม่หาย ไม่รู้ว่าตกใจและหวาดกลัวอะไร นางเพียงแค่เล่นตามคำแนะนำของอาจารย์เพียงเท่านั้น

          "บะหมี่ได้แล้วนะ" ซุนหยางกล่าวขึ้นมาขณะจ้าวเพ่ยกำลังเล่นหมากรุก ทำเอานางหันไปมองทันที หญิงสาวมองบะหมี่ร้อนหน้าซุนหยางก็หันกลับมากับกลุ่มบัณฑิตอีกครั้ง

           "ข้าขอตัวนะเจ้าคะ.. หมากรุกที่พวกท่านเล่นน่าสนใจมากเจ้าค่ะ" นางกล่าวขอบคุณเหล่าบุรุษที่ช่วยสอนก่อนจะลุกเพื่อกลับมายังโต๊ะของนาง มีบางคนเข้ามานั่งแทนที่นางเพื่อจะเล่นต่อ แม้จะได้ยินแว่วไปว่า หมากที่นางเดินทิ้งไว้ ทำให้คนอื่นที่จะมาเล่นต่อ เดินตาง่ายขึ้นกว่าเดิมสำหรับคนที่รู้เทคนิคหมากรุกอยู่แล้ว แต่กับนางดูยากเย็นเสียจริง หญิงสาวนั่งลงและหยิบผ้ามาเช็ดมือก่อนจะหยิบตะเกียบขึ้นมา

           "จับไม้จับมือบุรุษที่นี่ ดูไม่งามเอานะ"

           "พวกบัณฑิตแค่สอนข้าเท่านั้น เจ้าคิดมาก" นางกล่าวขึ้นมาอย่างติดตลกเมื่อถูกพูดถึงเรื่องนี้จนได้ "ทำตาถลึงใส่ข้าเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร"

          "เจ้าไม่เห็นสายตาพวกนั้นหรือไร"

          "ใครจะไปน่าสนใจเท่าเจ้าล่ะ" จ้าวเพ่ยกล่าวลอยๆขณะตักบะหมี่เข้าปาก เพียงคำเดียวทำเอานางเม้มปากและหัวเราะขึ้นมาเล็กน้อย ขณะนำน้ำขึ้นมาจิบ หญิงสาวเลือกจะหยิบกุ้ยช่ายขึ้นมากินแทน ขณะที่ซุนหยางเมื่อได้ยินคำพูดนั้นก็หน้าขึ้นสีมองพฤติกรรมของจ้าวเพ่ยอย่างงุนงงและเริ่มกินบะหมี่บ้าง

          "อื้ออ.. ไม่สุกนี่" ซุนหยางโพล่งขึ้นมาทำจ้าวเพ่ยรีบยกนิ้วชี้ขึ้นแตะริมฝีปากนางเพื่ให้เขาเงียบลงก่อนจะมีใครได้ยิน หญิงสาวเลื่อนกุ้ยช่ายให้อีกฝ่ายอย่างเงียบๆขณะที่ยังนึกขำกับรสชาติที่นางได้ลิ้มรสมาไม่หาย

          "กุ้ยช่ายที่นี่รสชาติเยี่ยมนะ.. กินเสร็จก็ไปกันเถอะ" นางกล่าวกับผู้ติดตาม แต่รับรู้ถึงใครบางคนมายืนข้างหลังก็ทำเอาจ้าวเพ่ยหันไปมองอีกครา "อ้าว.. ท่าน มีอะไรหรือเจ้าคะ"

          "ข้าเพียงแค่มากล่าวลาแม่นาง หากเจอกันอีกคราก็มาประลองหมากรุกกันได้นะขอรับ"

          "เช่นนั้น หากประลองครั้งหน้า สนใจลงเดิมพันไหมเจ้าคะ จ้าวเพ่ยคิดว่าคงจะศึกษามากกว่านี้เพราะน่าสนใจดี หากประลองอีกครั้งจะไม่ถูกเรียกว่าล้มครูหรอกใช่ไหมเจ้าคะ"

          "แม่นางประมาทเกินไป.. ศิษย์สู้ครูใช่ว่าจะเป็นกันได้ง่ายนะขอรับ" บัณฑิตกล่าวขึ้นมา

           จ้าวเพ่ยยกยิ้มขึ้นมาพลางพยักหน้ารับ สายตาพลันมองเห็นซุนหยางทำหน้าไม่ค่อยดีก็คิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้

           "หากข้าสามารถล้มท่านจะมอบค่าตอบแทนที่ข้าสามารถพัฒนาตัวเองหรือไม่"

           "สตรีน่ารักเช่นเจ้า ไม่ต้องหาวิธีเอาชนะข้าก็ได้ของตอบแทนอยู่แล้ว" บัณฑิตกล่าวพลางยื่นมือจะหยิกแก้มแต่ถูกซุนหยางขัดเอาไว้ก่อนจะได้แตะตัวกัน

           จ้าวเพ่ยถูกดึงให้ลุกจนนางเร่งหยิบถุงตำลึงวางไว้บนโต๊ะและเรียกเสี่ยวเอออร์มาเก็บค่าอาหารก่อนจะถูกพาออกนอกร้านบะหมี่ และพาขึ้นม้าเพื่อออกไปยังตุดนี้โดยนางไม่มีโอกาสกล่าวอะไรเลยตลอดการกระทำ



เอฟเฟคลักษณะนิสัยตัวละคร
มีตัญหา
+2 Point ทุกครั้งที่วางแผนการดำเนินจีบเพศตรงข้าม
โลเล
+2 Point จากการโรลการฑูต
+1 Point เมื่อใช้อุบายแผนการ
ทะเยอทะยาน
+2 Point ทุกครั้งที่โรลเรียนรู้
+2 Point ทุกครั้งที่โรลใช้กลอุบาย

เอฟเฟคอัตลักษณ์
งดงาม
+6 Point ทุกครั้งที่โรลเพลย์บริหารเสน่ห์

←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
กระบี่ร้อยกฎ
มุกพณาหวาซวี
ม้าเหลียง
กลยุทธ์เล่ออี้
บทเพลงยิ้มเย้ยยุทธจักร
หน้ากากขาว
เกราะเกล็ดมังกร
ผ้าคลุมไท่หลง
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x2
x7
x4
x10
x10
x13
x13
x13
x12
x11
x202
x1
x1
x1
x11
x22
x15
x30
x1
x100
x100
x9
x2
x5
x6
x8
x10
x2
 เจ้าของ| โพสต์ 2021-11-1 12:07:54 | ดูโพสต์ทั้งหมด
  
.: แขกที่สัญจรมาที่นี่ :.

กติกาการโรลเพลย์สนทนาทำความรู้จักขุนพลสัญจรผ่านมา
(1) 1 โรลเพลย์ สามารถเจอได้แค่ 1 คนเท่านั้น ยกเว้นมีระบุว่า xx นั่งกับ xx
(2) ในโรลเพลย์สร้างสถานการณ์พบเจอครั้งแรกได้อิสระ โดยไม่แหกนิสัย NPC
(3) นอกจากทำความรู้จัก พูดคุย ใน 1 โรลเพลย์สามารถมอบของขวัญให้ 1 ชิ้นเท่านั้น
(4) การชักชวนเข้ากองกำลัง บาง NPC ไม่จำเป็นต้องหัวใจเต็ม 10 ดวงเสมอไป นอกจากอยู่ที่การให้ของแล้ว การพูดคุย โรลทิ้งท้ายไว้ และ กำกับว่า "ชักชวน"
ทางทีมงานจะมาคอมเม้นท์ว่าชวนสำเร็จหรือไม่ ถ้าสำเร็จคุณจะได้โต้วาทีกับเขา ถ้าชนะแสดงว่าเขายอมรับใช้คุณ


ความสำคัญก่อนโรลสร้างความสัมพันธ์ NPC
(1) สำคัญมาก ที่คุณจะต้องตรวจเช็ค (ลักษณะนิสัยขัดแย้งกันหรือไม่ สามารถเช็คได้จากที่นี่ คลิก)
(2) รองลงมา ตรวจเช็ต ธาตุวันเกิด และ ปีนักษตร ชงกันหรือไม่ สามารถเช็คได้ที่นี่ (คลิก)
(3) ทุก ๆ การโรลเพลย์ที่มีความขัดแย้งในด้านนิสัย และ ธาตุหรือปีนักษัตรชงกัน เนื้อหาโรลเพลย์คุณจะต้องสร้างให้สมเหตุสมผล
เมื่อความสัมพันธ์ต้องลบลงในโรลเดียวกับจีบ ที่ความสัมพันธ์เพิ่ม โดยการครีเอทสร้างสถานการณ์โรลเพลย์ไม่ถึงกับทะเลาะ ขัดแย้งกัน
แต่ให้คุณเผลอทำอะไรที่ไม่ดี หรือใช้คำพูด หรือ บางอย่างเกี่ยวกับนิสัย ตัวคาร์คุณในโรลนั้นด้วย เพื่อให้มีความเมคเช้นส์ในการลดความสัมพันธ์



[037] จาง หยาง
ระยะเวลาอยู่ที่นี่: ยังไม่กำหนดการไปจากที่นี่


[127] เหลย ป๋อ (ลุยป๊ก)
ระยะเวลาอยู่ที่นี่: ยังไม่กำหนดการไปจากที่นี่


[121] ชวี อี้ (จ๊กยี่)
ระยะเวลาอยู่ที่นี่: ยังไม่กำหนดการไปจากที่นี่


ระยะเวลาอยู่ที่นี่: ยังไม่กำหนดการไปจากที่นี่



←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x1
x2
x12
x5
x636
x241
โพสต์ 2021-11-1 17:33:12 | ดูโพสต์ทั้งหมด
          จ้าวเพ่ยหยุดแวะพักที่ร้านอาหารสักหน่อยพอเป็นพิธี นางเดินนำผู้ติดตามขณะเปิดม่านประตูเข้ามายังภายในตัวร้านบะหมี่เกี๊ยว หญิงสาวมีเวลามากพอที่จะออกเดินทางต่อ นางเองรู้สึกนึกถึงใครบางคนจนนึกขึ้นได้ว่าที่ซีเหอคดีนางเจิ้งเองก็ยังไม่ถึงหูนางเลยแม้แต่น้อย จึงคิดจะแวะไปที่นั่นเพื่อฟังข่าวคราวเสียบ้าง

          "เจ้าเอาอะไร ข้าเลี้ยง.."

          "ดูเจ้าจะอารมณ์ดีผิดปกติตั้งแต่ออกจากบ่อน้ำร้อนแล้วนะ" ซุนหยางกล่าวถามนางขณะรอให้เสี่ยวเออห์เดินมาหาถึงที่ เขาสั่งกุยช่ายหนึ่งชุดสำหรับตัวเองและหญิงสาว แล้วก็หันไปหาจ้าวเพ่ยอีกครั้ง

          "แช่น้ำร้อนใครบ้างจะไม่มีความสุข.. เจ้าประหลาดคนจริง" นางกล่าวทั้งยิ้มรับให้อีกฝ่าย หญิงสาวยกมือขึ้นเท้าคางขณะนั่งรอขนมกุ้ยช่ายเล็กน้อย ก่อนที่จะหรี่ตามองเสี่ยวเฮยตัวน้อยที่อยู่บนตักของซุนหยางไปด้วย

          "เจ้านั่นแหละ.. ประหลาดคน"

          "ชีวิตเจ้ามีแต่ความเครียดหรือไร.. คราวนี้ไปส่งข้าที่ซีเหอเสียหน่อย ข้าอยากจะรู้ข่าวคราวของแม่นางเจิ้งกับมือปราบน่ะ"

          จ้าวเพ่ยกล่าวขึ้นมา นางได้รับกุยช่ายจากเสี่ยวเออห์พอดีก็หยุดเงียบกันเพื่อกินซาลาเปาไปด้วย น้ำชากลิ่นหอมฉุยรินให้กับซุนหยางและนางสำหรับการพูดคุยเล็กๆน้อยๆระหว่างพักผ่อน จ้าวเพ่ยยกถ้วยชาขึ้นมาจิบอย่างชาๆ พลางมองลงไปเห็นดอกกุ้ยลอยบนผิวน้ำก็ไม่แปลกที่จะมีรสชาติหอมเสียขนาดนี้ ชาสีเหลืองอ่อนช่วยในการขับล้างลำไส้ได้อย่างดี จ้าวเพ่ยจึงได้อยากให้ทุกคนได้กินมัน

          "แล้วงานเลี้ยงเป็นอย่างไรบ้าง.. คงไม่ให้ท่าผู้ชายไปทั่วงานหรอกใช่หรือไม่"

          "ทำเช่นนั้นไปแล้วข้าจะได้อะไรเล่า.. อย่าลืมสิข้าใส่หน้ากากอยู่นะ" ได้ยินซุนหยางกล่าวถึงนางในแง่ลบก็ชักสีหน้าทันที นัยน์ตาคมกริบจ้องที่ซุนหยางหวังจะคาดโทษแต่นางหาได้โกรธจริงๆไม่.. เพียงแค่อยากได้คำขอโทษจากคนๆนี้เพียงเท่านั้น

          "ยิ่งใส่หน้ากากยิ่งไว้ใจไม่ได้ใหญ่.. ให้ท่าเสียสนุกเลยสิท่า" ซุนหยางพูดทั้งยกตัวเสี่ยวเฮยขึ้นมา เจ้าแมวตัวสีดำแยกฟันร้องแง๊วขึ้นมาตอบรับราวกับเปลี่ยนคนสนิทใหม่แล้วหลังถูกจ้าวเพ่ยทิ้งไปนานถึงหนึ่งวันเต็ม "เห็นไหม แม้แต่เสี่ยวเฮยยังว่าเช่นนั้นเลย"

          "แมวจะไปรู้เรื่องอะไร เจ้านั่นแหละ!"

          "อ๊ะๆ.. มีเรื่องทะเลาะวิวาทในร้านอาหารไม่ได้นะ" ซุนหยางกล่าวขัดจ้าวเพ่ยขณะที่นางจะลุกขึ้นจนต้องนั่งลงอีกครา เสี่ยวเฮยตัวน้อยๆร้องแง๊วง๊าวขึ้นมาราวกับต้องการเกี๊ยวตรงหน้าบ้างก็ถูกซุนหยางป้อนด้วยชิ้นเล็กๆแทน

          "รีบกินล่ะ.. แล้วข้าจะมา" จ้าวเพ่ยลุกขึ้นและหยิบถุงตำลึงเงินออกมาแล้วยื่นต่าใช้จ่ายอาหารให้ซุนหยางเก็บเอาไว้

          หญิงสาวเดินออกไปเพื่อจะขอพบกับเถ้าแก่ของที่นี่ขณะที่นางกำลังตั้งใจทำบะหมี่อย่างขมักเขม้น เมื่อเห็นจ้าวเพ่ยมาพร้อมเสี่ยวเออห์ก็ตกใจไม่น้อย

          "มีอะไรหรือ.. ถ้าบะหมี่รอสักครู่เจ้าค่ะ"

          "ไม่ใช่เจ้าค่ะ.. ข้าจะมาขอยืมครัวเพื่อทำอาหารเสียสักหน่อยได้หรือไม่"

          "เอ่อ.. แต่ครัวยุ่งมากนะเจ้าคะ.. ทั้งรกข้าเกรงว่า.." เถ้าแก่กล่าวกับจ้าวเพ่ยทั้งมองโรงครัวนี้ไปพลาง นางไม่อยากให้มีคนมาวถ่นวายในครัวเสียเท่าไหร่นัก

          "ข้าช่วยทำความสะอาดให้ได้เจ้าค่ะ.. หากมีคนสั่งบะหมี่มาแค่บอกข้า ข้าจะช่วยท่านทำให้ได้"

          "แต่สูตรบะหมี่มันจะไม่.."

          "เชื่อมือข้าเถอะเจ้าค่ะ.. ข้าไม่ไล่ลูกค้าท่านแน่นอน" จ้าวเพ่ยกล่าวทั้งโน้มน้าวทำให้เถ้าแก่ยอมที่จะยกห้องครัวให้จ้าวเพ่ยได้ยืม หญิงสาวเองก็คิดอยู่ว่าจะเริ่มทำอาหารอย่างไรดี ครั้นพอร่วมมือทำอาหารกับเถ้าแก่ที่นี่ก็ดีกว่าต้องทำคนเดียวบ้าง

          กลิ่นหอมขนมกุ๊ยช่าย อบอวลไปทั่วโรงครัวขณะจ้าวเพ่ยเองก็เริ่มทำในส่วนของนาง น้ำซุปหมูเองถูกตักชิมและปรุงรสพอให้สามารถทานได้ ก่อนนางจะหยิบแป้งในโรงครัวที่นี่มานวดเพื่อทำเป็นเส้นบะหมี่อีกครั้ง พอหั่นเป็นเส้นพอเหมาะแล้ว จ้าวเพ่ยก็นำคลุกกับแป้งพอให้เส้นไม่ติดกันแล้ววางทิ้งในถ้วยปิดฝาอย่างดี

          นางหยิบเอาเส้นบะหมี่ขึ้นมาลวกน้ำพอให้ยังแข็งอยู่บ้างเพื่อที่เวลาเดินทางจะได้ไม่ทำให้อืดได้ ก่อนจะจัดวางเครื่องข้างๆเคียงเส้นบะหมี่ กุ้งสดๆของร้านจะถูกจับลวกและตกแต่งตามไปติดๆ ก่อนนางจะตักน้ำซุปร้อนไปตั้งแยกเอาไว้อีกทีหนึ่ง

          เสร็จไปอีกหนึ่งจ้าวเพ่ยก็เริ่มทำอาหารอีกหนึ่ง หญิงสาวฮัมเพลงออกมาอย่างอารมณ์ดีขณะที่นำวัตถุดิบทั้งหมดจัดในกล่องอย่างปราณีต หวังว่าผู้ได้รับมันจะรู้ว่านางต้องการจะให้อะไรไป นางไม่ได้ลงมือทำมันเสียทั้งหมด แต่จะให้อีกฝ่ายที่ได้รับมันเอาเครื่องที่นางจัดเอาไว้ผสมรวมกันมากกว่า สุดท้ายเหลือเพียงแค่ข้าวและขนม จ้าวเพ่ยตักข้าวสารขึ้นมาหุงกับหม้อ และเดินไปทำขนมไหมเงินทันที

          ทันทีที่ทั้งหมดเสร็จเรียบร้อยดีแล้ว นางก็จัดทั้งหมดลงกล่องขนาดใหญ่แล้วยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย ก่อนจะหันไปหาเถ้าแก่แล้วนำเส้นบะหมี่ของนางไปลวกแล้ววางใส่ถ้วยพร้อมกับเครื่องอื่นๆ น้ำซุปราดบนเส้นและตั้งวางไว้เช่นนั้นก่อนจะนำเครื่องครัวที่นางทำเอาไว้ไปล้างทำความสะอาด ตากและเดินกลับมาหาเถ้าแก่อีกรอบ

          "ขอบคุณอีกครั้งเจ้าค่ะ.. ข้าจ่ายค่าวัตถุดิบข้างๆกับชามบะหมี่นะเจ้าคะ.. ลองชิมดูข้าหวังว่าท่านจะชอบมัน"

          จ้าวเพ่ยกล่าวทั้งเดินออกจากโรงครัวไป นางเดินผ่านซุนหยางทำให้เขาต้องรีบลุกและวิ่งตามนางทันที ราวกับว่านางรีบออกเดินทางเสียอย่างนั้น โดยไม่น่ามีอะไรต้องเร่งรีบเลยแม้แต่น้อย

←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
กระบี่ร้อยกฎ
มุกพณาหวาซวี
ม้าเหลียง
กลยุทธ์เล่ออี้
บทเพลงยิ้มเย้ยยุทธจักร
หน้ากากขาว
เกราะเกล็ดมังกร
ผ้าคลุมไท่หลง
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x2
x7
x4
x10
x10
x13
x13
x13
x12
x11
x202
x1
x1
x1
x11
x22
x15
x30
x1
x100
x100
x9
x2
x5
x6
x8
x10
x2
โพสต์ 2021-11-15 21:00:04 | ดูโพสต์ทั้งหมด
พานพบยอดดวงฤทัย

พ้นค่ำคืนแห่งการโดนลงโทษด้วยกฎของตระกูลอันเข้มงวด  ความเจ็บปวด รวดร้าวใด ย่อมมิเกินไปกว่าใจอันแสนปวดร้าวนี้  เฝ้าครุ่นคิด  ไตร่ตรองถ้วนถี่  อย่างไรพฤติกรรมของเขาหาได้ประพฤติผิดไปหาไม่  ความดันและความเครียดอันเกิดจากการยอมรับไว้เอง  มันจำต้องผ่อนและปรับมิเช่นนั้นได้ความดันขึ้นพอดี  หนนี้เฝ้าใคร่ครวญอยู่หลายวันคงไม่กลับมาเยี่ยมเยือนบ้านหลังนี้อีก  เว้นแค่โรงน้ำชาเยี่ยมหลี่หย่งเมี่ยวเพียงพอแล้ว  

        หลังจากพ้นการลงโทษอันหนาวเหน็บ  บิดาปล่อยตัวพ้นกำหนดการลงโทษ  ทว่าหลี่ซีซวนขออยู่เฝ้าศาลบรรพชน  ไม่กลับเข้าพักในบ้านตามที่ควรจะเป็น  เถ้าแก่หลี่เห็นดั่งนั้นไม่ห้ามทั้งไม่สนใจใยดีอีกด้วย  ระหว่างฟื้นฟูร่างกายน้องสาวตัวดีชวนลงเล่นหมากล้อม  ให้เหตุผลกับพี่ชายของนางว่าอยากทดลองอุบายกับกลหมากล้อมจากอดีตแม่ทัพผุ้เกรียงไกร  โดยมีท่านผู้เฒ่าสกุลหลี่นั่งชมอยู่ตรงกลาง  ด้วยรู้ตัวว่ายามนี้หลานสาวชำนาญกลหมากล้อมยากหาผู้ใดเปรียบ  เพียงมองดูครึ่งกระดานพิเคราะห์แล้วว่าเป็นกลหมากชี้แนะ  ขนาดหลานชายใช้กลหมากล้อมเจิงหลง เจิงหลง คือชื่อของค่ายกลหมากกระดานที่เฉลียวฉลาด  ไร้พ่าย   เป็นการเดินหมากแบบแผนซ้อนแผน  กลซ้อนกล  เมื่อเริ่มเล่นเมื่อใดจุดหมายปลายทางมีเพียงรุกฆาตเท่านั้น  มันจึงเป็นหมากสังหารโดยแท้แต่ใช้ปัญญาพิฆาตแทนใช้กำลัง  หลี่ซีซวนไม่ชำนาญในการใช้กลนี้  เพียงจดจำมาจากคราไปบ้านร้างตงฟาง  ย่อมลืมไปว่าผู้ที่กำลังประชันหมากล้อมด้วยคือยอดขุนศึกผู้เก่งในบุ๋นและบู๊  มิทันไรโดนน้องสาวย้อนกลหมากเจิงหลงล้อมสังหารจนสิ้นท่า

     "ฮ่า ฮ่า ฮ่า อดีตแม่ทัพผู้ชาญณรงค์ใยแพ้หมดรูปเช่นนี้  คิดใช้เจิงหลงพิชิตหย่งเมี่ยว แต่กลับเจอหย่งเมี่ยวซ้อนกลพิฆาตกลับ" ผู้เฒ่าหลี่นั่งหัวเราะสำราญใจอย่างถึงที่สุด  เห็นแล้วว่านางแสร้งแพ้  แล้วลอบสังหารซ้อนกล  จนสิ้นท่า

     "มิเป็นไรหรอก พี่ใหญ่  หมากล้อมเล่นเอาสนุก แค่พี่อย่ากลับไปรับราชการทหารอีกก็พอ" หลี่หย่งเมี่ยวเห็นพี่ชายตัวเองแล้ว  ไม่แปลกใจกับสิ่งที่บิดาได้พูดไว้เลย "ทำงานอื่นเถอะ ฝ่ายบุ๋นก็ยังดี"  นางยื่นกระบี่ที่ได้ทำการให้ช่างปรับปรุงขึ้นใหม่ตามคำแนะนำของนาง อย่างน้อยนี่เป็นผลงานที่จะให้พี่ใหญ่ของนางได้ระลึกถึงมันเสมอ  ให้มันเป็นดั่งสะพานเชื่อมความสัมพันธ์ของพี่น้องที่จางหายไปเนิ่นนาน
     "หย่งเมี่ยวใช้เวลาช่วงที่เจ้าสำนึกผิด ปรับปรุงกระบี่เล่มนี้ขึ้นมาใหม่ มันแข็งแรงไม่แพ้ดาบและเหมาะกับเจ้ามาก"  ผู้เฒ่าหลี่สะกิดให้หลานชายตัวดีรีบรับมัน  เห็นว่าหลานชายรับกระบี่กลับมาแล้ว  จับมันด้วยความคุ้นเคย  อดลุกขึ้นสวมกอดน้องสาวคนนี้ไม่ได้  พี่น้องที่ผ่านคืนวันทั้งสุขและทุกข์  ยอมรับโทษด้วยกันทั้งที่จะใช้ปัญญาเอาตัวรอดได้  แต่กลับยืนกรานรับโทษด้วยกัน  คืนวันผันผ่านไม่อาจพรากความเป็นพี่น้องให้ออกจากกันได้เลย  นิสัยต่างกันราวกับมิใช่พี่น้องท้องเดียวกัน  สายเลือดต่างหากที่ผสานใยนี้ไว้ด้วยกัน  นายผู้เฒ่าได้เป็นพยานในเหตุการณ์นี้แล้ว
        หลี่ซีซวนพำนักอยู่ที่ศาลบรรพชนมาได้ห้าวัน  ร่างกายฟื้นฟูกลับมาแข็งแรงเป็นปรกติ  ขออำลาเดินทางท่องเที่ยวต่อ  ออกควบม้าจากลานครฉางอัน  คำนับบรรพชนเป็นครั้งสุดท้ายด้วยใจคาราวะ  ไม่เคยหลงลืมว่าตัวตนมาจากที่ใด  เขาออกควบม้าเรื่อยมาผ่านด่านตงกวนเข้าเมืองหงหนงหยุดแวะพักเหนื่อยเพียงสองวัน  ผ่านเมืองเหอตงแวะทักทายคุณยายผู้เคยร่วมเดินทางมาด้วยกัน  ขึ้นเหนือเข้าภูมิภาคซีเหอ  ใช้เส้นทางผ่านเมืองเจียเหลียง  ก่อนจะมาหยุดพักนอกเมืองเจียซิ่ว
        จำได้ว่าเคยมาเที่ยวเล่นซีเหอหนหนึ่ง  เลือนลางว่าไปสำรวนบ้านร้างตงฟาง  หลี่ซีซวนหยุดพักบ้านบะหมี่ป้ายเขียนว่า 'ร้านบะหมี่สามหาว'  ชื่อแปลกพิกล  นั่งลงสั่งอาหาร  บริการนำบะหมี่มาเสริฟให้ที่โต๊ะ  พลันมีนักเดินทางกลุ่มหนึ่งน่าจะชำนาญการดนตรีพอสมควร  พวกมันเริ่มเล่นดนตรี  บรรเพลง  จากนั้นมีเสียงขับขานขึ้นมา

ทำเพียงถอนหายในย้อนมองคราก่อน

ยังจดจำท่านทุกข์มากแค่ไหน

สุรานี้ลิ้มกลืนไร้รสแยกไม่ออก

แค่เพียงถอนหายใจท่านเลือนลาง

ดวงใจอ่อนล้า ยามคราท่านทิ้งข้าให้เดียวดาย

ทั้งที่ข้ายอมมอบชีวิตให้ท่านไปเท่าไหร่

อวลกลิ่นแผ่วหวาน บางเบาแทบเลือนลางจางลงไป

ขอวอนอภัย ข้าที่แสนโง่เขลาอย่างนี้ ท่านอยู่ที่ไหนผู้วิไลดั่งบุปผา

เฝ้าคะนึงหาด้วยแววตาที่แสนระทม ร่ำร้องเพ้อหา ในคราราตรีที่เหงาตรอมตรม

เปลวเทียนดับลงและจมลงในความปวดร้าว

ท่านอยู่ที่ไหนผู้วิไลดั่งบุปผา เจ็บปวดหนักหนา ในช่วงเวลาหวังได้เจอ

ห้วงรัตติกาลอ้างว้างทั้วทั่งเส้นทางก้าวเดิน เกินทนแค่ไหน ยอมเดียวดายเพื่อท่านแล้ว
        หลี่ซีซวนนั่งปรบมือให้เป็นการให้กำลังใจและขอบคุณพวกเขา  เสียงเพลงขับขานไพเราะ  แม้เนื้อเพลงอาวรณ์ตัดพ้อถึงใครคนหนึ่งก็ตาม  ไม่นานสายตาก็เห็นสตรีชุดแดงนางหนึ่งเป็นใครไปไม่ได้นอกจากโจ่วซื่อที่แยกจากกันคราวนั้น  ไม่คิดไม่ฝันว่าพบกันอีกคราจะเป็นที่ภูมิภาคซีเหอ  เขาไม่ได้เข้าไปทักทายนาง  ปล่อยให้นางอยู่ในส่วนของนาง  เพียงได้พบคราวนี้ก็ทำให้เขามีกำลังใจ  ชุ่มชื้นหัวใจขึ้นมาได้บ้างแล้ว
     "..........." จ้าว
     "ไม่ทราบว่าแม่นางมีธุระอันใดกับชายพเนจร"  หลี่ซีซวนกำลังจะลุกจากโต๊ะ  จำต้องนั่งลงด้วยความสงสัย  ใบหน้ามุ่นคิ้วเล็กน้อย
     "........." จ้าว
     "ของกระนั้นหรือ? พบหน้ากันเพียงนำของมาให้ข้า  ข้าเดาว่าท่านคงนำมันมาขายข้ามากกว่ากระมัง"  การท่องพเนจรทั่วแผ่นดินย่อมบอกเขาว่าไม่มีสิ่งใดได้มันมาโดยไม่มีการซื้อขายหรือแลกเปลี่ยน
     "........" จ้าว
     "นี่เงินสำหรับของทั้งหมด  ขอบคุณแม่นางมาก" สายตามองดูสตรีผู้หนึ่งเดินจากไป  แล้วเห็นว่าโจ่วซื่อมองมาทางเขา  
     "ใยคุณชายมิตามหาข้าเลย นึกว่าลืมข้าไปเสียแล้ว"  โจ่วซื่อลุกเดินเข้ามาหาชายผู้เคยร่วมมีวีรกรรมด้วยกันมา
     "ข้าหาลืมท่านไม่ เพียงธุระรัดตัวเท่านั้น  แต่ข้าก็มาหาให้เจ้าเห็นหน้าแล้ว" ดึงมือของโจ่วซื่อขึ้นมาจุมพิตบางเบา ทำเอาคนมองกันทั้งร้านบะหมี่
     แล้วบทสนทนาลื่นไหลไปดั่งสายน้ำ  พุดคุยกันอย่างไม่หวงกิริยาและท่าทีของกันและกัน
ธาตุ-ปีนักกษัตร
ไม้-หยิน ปีมะเส็ง

เอฟเฟคหัว-หัวคลั่ง
+5 ความสัมพันธ์เมื่อเจอคนหัวชั่ว
+10 ความชั่วเมื่อเจอคนหัวชั่ว / หัวเลว






←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ตำราเลี่ยจื่อ
ม้าเฟิ่งหวง
กระบี่ร้อยกฎ
เตากำยาน
หน้ากากขาว
เกราะเกล็ดมังกร
ผ้าคลุมไท่หลง
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x55
x2
x4
x3
x1
x3
x8
x3
x15
x19
x20
x20
x10
x1
x1
x1
x1
x9
x6
x10
x1
x2
x30
x3
x10
x2
x1
x3
x15
x35
x2
โพสต์ 2021-11-18 19:53:37 | ดูโพสต์ทั้งหมด
          เดินทางมาก็ไกล ทั้งสองจึงอยากพักเสียครู่หนึ่งให้พอมีอะไรลงท้องบ้างระหว่างวัน ดูเหมือนคราวนี้จ้าวเพ่ยไม่อยากกินทั้งเกี๊ยวและบะหมี่สักเท่าไหร่ ทั้งคิดถึงคนไกลเสียอยากจะถึงซีเหอให้โดยไวมากกว่านี้

          "ข้าจะไปขอยืมครัว เจ้าอยากกินอะไรหรือไม่.." จ้าวเพ่ยลุกขึ้นทั้งมองเสี่ยวเฮยวิ่งเล่นอยู่ด้านนอกตัวโรงเตี้ยมก็นึกยิ้มออกมาน้อยๆ หญิงสาวดึงเอาสัมภาระมาอยู่กับตัวเพื่อจะเข้าไปหาเถ้าแก่เนี๊ยะของที่นี่

          "ทำอาหารอีกแล้วหรือ.. พอเถอะ เจ้าเป็นแม่ครัวหรือไง"

          "ข้าก็แค่จะทำให้คนอื่น ไม่ใช่เจ้าสักหน่อย เจ้าน่ะสั่งบะหมี่นั่งกินที่นี่ก็แล้วกัน" นางกล่าวก่อนจะเดินไปหาเถ้าแก่เนี๊ยะ

          สตรีอายุไม่มากนักเห็นจ้าวเพ่ยมาถึงที่นี่ก็นึกได้ว่านางคือคนที่มาขอเข้าครัวทางร้าน ริมฝีปากบางจะกล่าวทักทายแต่กลับถูกอีกสตรีกล่าวขัดขึ้นมาก่อน

          "ข้าขอยืมครัวท่านได้หรือไม่"

          "อีกแล้วหรือเจ้าคะ.." นางมองจ้าวเพ่ยเมื่อถูกขอยืมครัวในการทำอาหารอีกครา แม้ว่านางจะไม่ทำครัวรกไปมากกว่าที่เกินจะรับได้ แต่อย่างไร นางก็เป็นร้านอาหารร้านหนึ่ง ไม่ค่อยอยากจะให้คนนอกเข้าวุ่นวายด้านหลังครัวมากนัก

          "เพียงแค่ครู่เดียว ข้าแค่อยากจะทำอะไรอุ่นๆให้คนไกลเท่านั้นเอง" จ้าวเพ่ยพยายามคะนั้นคะยอเถ้าแก่ร้านบะหมี่สามหาวให้ได้ นางเคลื่อนตัวไปด้านหน้าเพื่อจะจับมือของเถ้าแก่มากุมแน่น "ข้าช่วยท่านทำบะหมี่ให้ได้นะเจ้าคะ.."

          อาหารถูกสั่งมาจากลูกค้าในร้านพอให้จ้าวเพ่ยยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย เถ้าแก่เองก็ไม่อยากจะปฏิเสธลูกค้าผู้เป็นสตรีนางนี้ก็ทำได้เพียงยอมพาจ้าวเพ่ยเข้าไปยังครัวเพื่อทำอาหาร โดยที่นางเองก็ทำบะหมี่สำหรับลูกค้าไปด้วย

          สายตามองสตรีงามดูมีความสุขดียามทำอาหารก็ไม่อยากขัดมากนัก อย่างไรจอนนี้ดูเหมือนจ้าวเพ่ยจะแค่ขอยืมครัวเท่านั้น วัตถุดิบอื่นๆนางจัดเตรียมมาเองอย่างดี หลันผู่เห็นนางหยิบนำปลาหิมะ ปลาหายากออกมาก็แทบจะไม่เชื่อสายตาว่าอย่างจ้าวเพ่ยจะทำอาหารอะไรออกมาได้

          "ข้าพอมีน้ำซุปบะหมี่อยู่ สามารถนำไปประกอบได้นะเจ้าคะ"

          "ขอบคุณเจ้าค่ะ" จ้าวเพ่ยกล่าวทั้งรอยยิ้ม หญิงสาวหยิบเครื่องปรุงขึ้นมาจัดเตรียมให้เรียบร้อย หญิงสาวน้ำปลาหิมะไปล้างสะอาดและสับให้เป็นชิ้นพอดีที่จะพอลงหม้อต้มได้

          หัวปลาถูกนำลงในน้ำร้อนพอแค่ลวกให้ไม่คาวและวางพักเอาไว้ ก่อนจะต้มน้ำซุปให้พอเดือดและนำหัวปลาลงต้ม จ้าวเพ่ยเองก็ทำโดยไม่ได้คิดอะไรมาก นางไม่ได้มีความควาดหวังอะไรมากอยู่แล้ว เพียงแค่ต้องการที่จะให้ออกมาพอกินได้เพียงเท่านั้น

          "ให้ข้าช่วย"

          หลังจากที่นำบะหมี่ไปให้ลูกค้าแล้ว กลับมาก็ยังคงเห็นจ้าวเพ่ยทำอาหารอยู่จึงออกปากเพื่อจะช่วยเหลือ ดูเหมือนคราวนี้จ้าวเพ่ยจะทำอาหารเซ็ทใหญ่ ทั้งขนมและน้ำชาก็ถูกทำด้วยเช่นกัน แม้ว่าจะเกิดความสงสัยอยุ่บ้างแต่จ้าวเพ่ยก็ไม่ได้กล่าวอะไรมากนักนอกจากต้องการทำเพื่อให้แก่คนไกล หลังจากเตรียมอาหารจัดใส่กล่แงจนสวยงาม หลันผู่เห็นสตรีงามแย้มรอยยิ้มราวกับคาดหวังอะไรอยู่

          กลิ่นหอมจากซุปหัวปลาโชยอบอวลทั่วครัวถูกตัดใส่ถ้วยและยื่นให้แก่จ้าวเพ่ย หญิงสาวพึ่งจะรู้ว่าน้ำซุปของทางร้านเข้ากับปลาได้ดียามได้กลิ่น แน่นอนว่าเธอไม่กินมัน เพราะอย่างไรจ้าวเพ่ยไม่ยอมเสี่ยงกับอะไรอย่างนี้แน่ๆ

          "ขอบคุณมากเจ้าค่ะ น่ากินมาก" เธอกล่าวทั้งยกอาหาร เซ็ทข้าวกล่องและขนมออกนอกครัวเพื่อนำมาวางตรงหน้าซุนหยาง ทั้งยิ้มกริ่มราวกับพอใจในฝีมือครั้งนี้ นางนั่งลงตรงข้ามผู้ติดตามทั้งโชว์ของทั้งหมดที่ทำ ยังคงร้อนกรุ่นๆราวกับว่าพร้อมจะเข้าปากใครสักคนแล้ว

          "ทำเสียบ่อย ทั้งยังเป็นซุปหัวปลา คิดว่าคนนั้นจะต้องการหรือไง"

          "แน่นอนอยู่แล้ว ซุปหัวปลาข้าตั้งใจทำเลยเชียว" ความภูมิใจของจ้าวเพ่ยมีอยู่แน่นเต็มการ หญิงสาวมองเกี๊ยวที่อีกฝ่ายสั่งตรงหน้ามากินไปพลาง

          "คงจะนำไปไม่ได้หรอก.."

          "หมายความว่าอย่างไร?" สตรีกัดเกี๊ยวคำเล็กๆได้ยินอีกฝ่ายพูดออกมาเช่นนั้นก็ชะงักเล็กน้อย ใบหน้างามขมวดคิ้วเข้าหากันอย่างไม่เข้าใจเมื่อมาถึงขนาดนี้แล้ว ทำไมนางจะนำไปไม่ได้กัน

          "อาหารพวกนี้.. มีน้ำ อย่างไรก็ต้องหกอยู่แล้วหากนำขึ้นม้า"

          "ไม่จริง.. ข้าทำมาถึงขนาดนี้เชียวนะ ทั้งปลาก็ราคาใช่ว่าจะน้อยๆ" จ้าวเพ่ยลืมคิดเรื่องนั้นไปเลย ซุนหยางเองก็ไม่คิดว่านายตนจะลืมเรื่องง่ายๆได้ขนาดนี้ แว่วเสียงเสี่ยวเฮยดังมาจากด้านนอกก็ทำให้นางเริ่มคิดหนักและเลื่อนซุปหัวปลาให้อีกฝ่ายทันที "เจ้ากินสิ.. หากนำไปไม่ได้ข้ายกให้"

          "ข้าไม่เอาหรอก ของชนชั้นสูงขนาดนี้ ข้ารู้ว่าเจ้าเสียดาย แต่กินไม่ได้ใช่ไหมล่ะ" ซุนหยางยิ้มกริ่มออกมาเมื่อเห็นว่าจ้าวเพ่ยหน้าเสียเล็กน้อย อาหารหรูเช่นนี้นางกินไม่ได้ นั่นคือเรื่องจริง แน่นอนว่าหากให้คนอื่นนางก็เสียดายปลาหิมะที่เป็นส่วนผสม หญิงสาวยกนิ้วชี้ขึ้นมาขบเบาๆราวกับใช้ความคิดก่อนจะหันไปหาเถ้าแก่เพื่อใช้ความคิดไปพลาง

          "เสี่ยวเฮยก็อาจจะกินได้อยู่นะ"

          "พอได้แล้ว.. ข้าจัดการเอง!" หญิงสาวลุกทั้งเก็บอาหารและกล่องขนมไว้เข้าด้วยกัน สายตาพลางสอดส่องหาคนในร้านหวังจะหาผู้โชคดีที่สามารถรับซื้ออาหารต่อจากนางได้โดยที่นางไม่คิดจะเสียดายปลาและวัตถุดิบทั้งหมดที่นำมาเลยแม้แต่น้อย

          บุรุษคนหนึ่งดูเหมือนจะนั่งอยู่ไม่ไกลจศกนี้ สายตามองไปยังสตรีงามในโรงเตี๊ยมราวกับต้องการเกี๊ยวพาราสี จ้าวเพ่ยหันไปมองซุนหยางหยิบเกี๊ยวเข้าปากเพื่อรอดูว่าจะทำอะไร เมื่อคัดสินใจดีแล้วสองเท้าก็ก้าวเข้าไปหาบุรุษคนนั้นเพื่อจะพูดคุยทักทายสักหน่อย พอเป็นการพบเจอที่จะทำให้ทุกอย่างราบรื่นไปด้วยดี

          "ไม่ทราบว่าแม่นางมีธุระอันใดกับชายพเนจร"  ชายผู้นั้นกำลังจะลุกจากโต๊ะ  จำต้องนั่งลงด้วยความสงสัย  ใบหน้ามุ่นคิ้วเล็กน้อย

          "ข้าทำอาหารมาพอดีว่ามันเกินมานิดหน่อย จึงอยากจะให้ท่านเจ้าค่ะ" จ้าวเพ่ยนั่งลงตรงข้ามอีกฝ่ายและวางเหล่าอาหารที่ทำมาทั้งผุดรอยยิ้มขึ้นมุมปากเล็กน้อย นางไม่ได้ตั้งใจจะให้ แต่ต้องการแลกเปลี่ยนมากกว่า

          "ของกระนั้นหรือ? พบหน้ากันเพียงนำของมาให้ข้า  ข้าเดาว่าท่านคงนำมันมาขายข้ามากกว่ากระมัง"  การท่องพเนจรทั่วแผ่นดินย่อมบอกเขาว่าไม่มีสิ่งใดได้มันมาโดยไม่มีการซื้อขายหรือแลกเปลี่ยน

          "ท่านก็มองคนออกนี่เจ้าคะ.. ใช่เจ้าค่ะ.. ข้าต้องการแลกเปลี่ยนกับตำลึงที่ท่านมีอยู่" จ้าวเพ่ยกล่าวเช่นนั้นทั้งนำกล่องข้าวและกล่องขนมมาด้วย อย่างไรก็ตามเพียงแค่ซึปหัวปลาอาจจะมองว่านางคงจะเอาอาหารมาย้อมแมวขายได้ หากนำอาหารหลากหลายมาเพิ่มด้วยจะยิ่งเพิ่มความน่าซื้อเข้าไปอีก "ซุปหัวปลาหิมะใช่ว่าจะหาได้บ่อยๆนะเจ้าคะ"

          "นี่เงินสำหรับของทั้งหมด  ขอบคุณแม่นางมาก"   

          "โอ๊ะ.. ได้ง่ายกว่าที่คิด" จ้าวเพ่ยหลุดออกมาขณะรับตำลึงเงินจากอีกฝ่ายมา อย่างไร สี่ตำลึงเงินมันก็เกินพอสำหรับค่าวัตถุดิบทั้งหมดแล้ว สตรีงามรีบย้ายก้นออกจากตรงนั้นแทบจะทันทีก่อนจะยกตำลึงเงินที่นางได้มาเพื่อทีาจะบอกอีกฝ่ายว่า นางเองก็ทำเงินได้ไม่น้อย

          ซุนหยางแทบจะส่ายหัวกับอีกฝ่ายที่โชว์แก่เขา แต่อย่างไรก็ดีถือว่าทำแล้วมีความสุขก็ปล่อยนางออกไป เขาลุกจากโต๊ะหลังจากที่ทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้ว เสี่ยวเฮยร้องเงี๊ยวง๊าวอยู่ด้านนอกเห็นนายหญิงมาก็กระโดดเหย็งๆเพื่จะเกาะขานางแทบจะทันที

          "นี่เจ้าทำอาหารเอาสนุกหรือไง"

          "ตำลึงเงินที่ได้มา ข้าไปทำที่บ้านของเขาก็ได้ ได้อาหารร้อนๆอุ่นๆกว่าด้วย" จ้าวเพ่ยอธิบายอย่างไรที่นางคิดเอาไว้ต้องไม่เข้าเนื้ออยู่แลเว หากจะซื้อขายก็ขายไปหมดเลย เหลือครึ่งๆกลางๆแล้วไปทำอาหารอีกรอบให้แก่คนนั้นก็ใช่เรื่อง "ข้าคิดเอาไว้หมดแล้ว"

←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
กระบี่ร้อยกฎ
มุกพณาหวาซวี
ม้าเหลียง
กลยุทธ์เล่ออี้
บทเพลงยิ้มเย้ยยุทธจักร
หน้ากากขาว
เกราะเกล็ดมังกร
ผ้าคลุมไท่หลง
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x2
x7
x4
x10
x10
x13
x13
x13
x12
x11
x202
x1
x1
x1
x11
x22
x15
x30
x1
x100
x100
x9
x2
x5
x6
x8
x10
x2
โพสต์ 2021-12-1 14:29:24 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Jinying เมื่อ 2021-12-1 16:46


แวะทานอาหาร
.
.
.

          เดินทางมาได้สักพักทั้งหมดก็แวะเวียนทานอาหารกันยังร้านบะหมี่สามหาวของเมืองเจียซิ่วกันเสียก่อน โดยที่ซูฮวาก็ขอให้ถานเจ๋อพาไปหาบิดามารดายังร้านซาลาเปา จนตอนนี้เหลือเพียงจิ้นอิ่งและเจิ้งหลันต่างอยู่ที่ร้านบะหมี่ด้วยกันอยู่สองคน ซึ่งแน่นอนว่าแม่นางเจิ้งได้เลือกสั่งบะหมี่ผัดเต้าหู้มาทาน โดยมีดรุณีน้อยร่วมโต๊ะที่เลือกสั่งแบบเดียวกันเพื่อที่อาหารจะได้ไม่รอนานเกินไป และเพราะมีของรองท้องทานเล่นเป็นกุ่ยช่ายตัวจิ้นอิ๋งที่ไม่ได้ทานขนมนี้นานแล้วจึงได้เอ่ยสั่งเพิ่มมาด้วย

          และก็คล้ายขนมรองท้องนั้นจะรสดีไม่น้อย แม้แต่เจิ้งหลันที่ตั้งท่าปฏิเสธก่อนหน้าเมื่อได้ลองทานแล้วก็แทบจะนั่งตั้งอกตั้งใจทานไปกับจิ้นอิ๋งเลยเชียว ดรุณีน้อยพลันหยุดหัวเราะใสพลางเลื่อนจานกุ่ยช่ายที่ยังเหลือเกินครึ่งส่งหาให้สหายแซ่เจิ้งผู้นั้นได้ทานอย่างเต็มที่

          " ทานเยอะ ๆ นะเจ้าคะ แผลจะได้หายไว ๆ " เสียงหวานเอ่ยหาอย่างนึกห่วงใยที่คล้ายอีกสตรีก็พอรับรูไ้ด้ แต่ก็อดที่จะเอ่ยแย้งหาไม่ได้ด้วยเพราะตัวนางก็มั่นใจถึงความแข็งแรงของตัวเองอยู่บ้าง

          " แผลข้าดีขึ้นมากแล้ว.. ไยเจ้าต้องคอยย้ำนัก เห็นข้ายังอ่อนแอหรืออย่างไร "

          จิ้นอิ๋งที่ได้ยินพลัยเร่งยกมือโบกปฏิเสธว่านางไม่ได้ตั้งใจจะให้คิดไปเช่นนั้น ก่อนที่ดรุณีน้อยจะเอื้อนเอ่ยอธิบายหาอย่างใจเย็น " ข้าไม่ได้คิดว่าแม่นางอ่อนแอนะเจ้าคะ ..เพียงแค่มันก็ดีกว่าไม่ใช่หรือเจ้าคะถ้าบาดแผลที่ยังเห็นอยู่พวกนี้หายไปจนหมดน่ะเจ้าค่ะ "

         จะได้ทำให้ท่านไม่หวนนึกถึงที่มาของบาดแผลไปด้วย อีกประโยคจิ้นอิ๋งได้แต่เก็บกลืนไว้ในใจด้วยกลัวจะทำให้สตรีตรงหน้าพลันนึกตามคำนางให้หวนถึงเวลาทุกข์ทรมานเหล่านั้น ถึงอย่างนั้นเจิ้งหลันก็ใช่ว่าจะไม่รู้ถึงความในที่เก็บซ่อน

          นางถอนหายใจใส่เด็กน้อยจอมยุ่งที่ยังห่วงผู้อื่นไปทั่วเช่นเดิมอย่างนึกระอา แต่ก็ไม่ได้นึกขึงโกรธมากไปกว่าผลักจานกุ่ยช่ายไปไว้กลางโต๊ะเช่นเดิมราวกับสื่อให้ทานด้วยกัน แค่เพียงเท่านั้นดรุณีน้อยก็แย้มยิ้มสดใสพลางเอ่ยขอบคุณขึ้นมา บรรยากาศบนโต๊ะก็คล้ายคลายลงเช่นเดิม พร้อมกับที่บะหมี่ผัดเต้าหู้ถูกนำมาเสิร์ฟให้แก่คนทั้งคู่ และทันทีที่ลงมือทานลงไปทั้งสองก็แทบสบสายตามองหน้านิ่งอยู่ชั่วขณะหนึ่ง

         ไม่อร่อย / ไม่อร่อยเลย..

          แทบจะเป็นความคิดเดียวกันที่ทั้งคู่ต่างนึกขึ้นมาอย่างไม่ได้นัดหมาย เจิ้งหลันจัดการทานต่ออีกสองสามคำก็พลันวางตะเกียบลงข้างถ้วยและหันไปสนใจกุ่ยช่ายเช่นเดิม ส่วนจิ้นอิ๋งที่คล้ายแอบผินมองไปยังเถ้าแก่เนี้ยที่ดูขมักเขม้นทำอาหารอยู่ภายในครัวก็ได้แต่หันกลับมานั่งกล้ำกลืนฝืนทานต่อจนหมดถ้วย เรียกแววตาชื่นชมในความพยายามจากแม่นางเจิ้งให้เด็กสาวแทบยู่ปากใส่ และนั่นทำให้สตรีแซ่เจิ้งแทบจะหลุดหัวเราะร่าออกมา

          " เดินทางกันต่อเถิดเจ้าค่ะ " ดรุณีน้อยเอ่ยเสียงระโหยหลังทานน้ำชาหมดไปเกือบสองถ้วย และพาเจิ้งหลันไปยังม้าของนหลังจ่ายอาหารค่าบะหมี่และกุ่ยช่ายจนเรียบร้อยแล้ว

          ซึ่งก็พอดีกับที่ซูฮวาและถานเจ๋อได้กลับมาเยือนยังร้านบะหมี่สามหาวนี้เช่นกัน โดยบุรุษผู้เดียวภายในกลุ่มก็ยังคงมีสีหน้าบูดบึ้งไม่คลายให้พอเดาได้ว่าไม่แคล้วตีกันกับเถ้าแก่เหมยมาอีกแน่ให้จิ้นอิ๋งเผลอหลุดรอยยิ้มขบขันออกมา

          " ทานข้าวกันแล้วใช่หรือไม่เจ้าคะ? " จิ้นอิ๋งที่ขึ้นม้าเฮยเซ่อมากับสตรีแซ่เจิ้งพลันเอ่ยถามถึงผู้ติดตามอีกสองที่พากันพยักหน้ารับตอบกลับมา เช่นนั้นแล้วนางจึงกระตุกบังเหียนให้เจ้าม้าออกตัววิ่งออกจากตัวเมืองเจียซิ่วไปเพื่อให้ทั้งสี่ได้เร่งเดินทางจนไปถึงยังเมืองลั่วหยางให้เร็วที่สุด


[144] มอบ บะหมี่ผัดเต้าหู้ ให้
.
ลักษณะแต่กำเนิดตัวหอม
+20 ความสัมพันธ์กับคนที่คุยด้วย
สถานะธาตุหลัก : -15 ความสัมพันธ์ [144] ธาตุน้ำ - เราข่มอีกฝ่าย
ค่าชื่อเสียง : -5 ความสัมพันธ์เมื่อเจอคนหัวคลั่ง
และ +10 ความโหดเมื่อเจอคนหัวมาร/หัวคลั่ง

←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
บทเพลงเฟิ่งฉิวหวง
ถุงหอมจูอวี๋
กระบี่
พู่หยกเลือดหงส์
กลยุทธ์เล่ออี้
ม้าเหลียง
หน้ากากขาว
เกราะเกล็ดมังกร
ผ้าคลุมไท่หลง
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x3
x3
x3
x3
x3
x3
x3
x5
x2
x2
x1
x2
x2
x2
x1
x1
x27
x2
x38
x40
x50
x50
x40
x40
x50
x3
x22
x19
x31
x10
x50
x5
x5
x5
x1
x12
x1
x2
x5
x2
x9
x1
x8
x6
x6
x1
x3
x2
x2
x1
โพสต์ 2022-6-6 15:55:07 | ดูโพสต์ทั้งหมด

          ยังคงเดินทางต่ออยู่คนเดียวเพียงลำพัง ในระหว่างทางแวะมาที่ร้านบะหมี่สามหาว ที่นี่มีผู้คนสัญจรผ่านไปมา “เอาบะหมี่เนื้อวัว หนึ่งชาม” กล่าวสั่งกับเสี่ยวเอ้อ ก่อนที่จะเลือกหาที่นั่ง เซียนซียืนมองพักนึง ครุ่นคิดถึงวิธีการเผยแพร่ เดินมาอยู่ตรงบริเวณทางเข้าหน้าร้าน เป็นจุดที่มีคนแวะผ่านมา ถึงที่นี่จะเป็นแถวนอกเมืองแต่ก็ยังมีคนสัญจรกันอยู่

          ส่วนมากจะเป็นนักเดินทางหรือไม่ก็พวกชาวบ้านที่มาเก็บของป่า ใช้กลอุบายในการวางแผนและเอ่ยพูดถึงเรื่องความเชื่อ “พวกท่านคิดว่าความรัก ที่เกิดขึ้นต้องเป็นบุรุษคู่กับสตรีอย่างเดียวใช่หรือไม่ ความรักจำเป็นต้องจำกัดอยู่ที่เพศอย่างเดียวจริงหรือ สตรีและสตรีมิอาจครองรักกันได้รึขอรับ หากแต่ความจริงแล้ว ความรัก มันไม่มีผิดไม่มีถูกหรอก เพราะหากทุกท่านคิดเช่นนั้น ทุกท่านที่มีความรักก็ต้องผิดหมดสิ จริงไหมขอรับ” หยิ่งทะนงในศักดิ์ศรีกอดอก

          เริ่มมีบางคนมามุงดูให้ความสนใจ บุรุษหนุ่มร่างสูงยังคงเอ่ยพูดต่อ อยากจะสร้างลัทธิสรวงสวรรค์ที่รวมความหลากหลายทางเพศ และทุกคนสามารถมีอิสระเสรีในความคิด “หากพวกท่านรักเขา ทุกท่านอย่ามองว่าเค้าเป็นเพศอะไร อย่ามองว่าเค้าเป็นคนที่ผิดแปลกไปจากคนอื่น เพียงแต่ควรมองที่หัวใจของคนที่ พวกท่านรักและเค้าก็รักก็พอ” หลังจากที่พูดจบแล้วก็ได้ยินเสียงปรบมือมาจากมุมนึง สิ่งที่พูดนั้นมันเป็นเหมือนเรื่องเล่า ต้องพูดซ้ำบ่อยๆจนกว่าจะกลายเป็นที่แพร่หลายอย่างแท้จริง เมื่อมองเห็นบางคนเหมือนจะมีแนวโน้มว่าคล้อยตามเขาจึงหันไปยิ้มให้เพียงเล็กน้อย

          เขาเดินกลับเข้ามาภายในร้านบะหมี่สามหาวอีกครั้ง เสี่ยวเอ้อยกชามบะหมี่เนื้อวัวมาหา “คุณชายจะนั่งตรงไหนรึขอรับ”

          กวาดสายตามองดูรอบๆ ที่นั่งส่วนใหญ่ในร้านก็มีคนนั่งกันเยอะแล้ว จึงชี้เลือกไปนั่งตรงมุมนึง ตรงโต๊ะนั้นเหมือนจะมีคนนั่งอยู่เพียงแค่คนเดียว "ตรงนั้น” พลางชี้นิ้วไปยังบริเวณโต๊ะที่มีบุรุษผู้นึงนั่งอยู่

          “ขอรับ

          เซียนซีเดินมาก่อน จะยกมือทั้งสองข้างขึ้นคารวะ “คุณชายข้าน้อย ขอนั่งร่วมโต๊ะได้หรือไม่” น้ำเสียงทุ้มละมุนนุ่มนวลเอ่ยกล่าวถาม ถ้าบุรุษผู้นั้นปฏิเสธเขาก็ยินดีที่จะย้ายโต๊ะไปนั่งตรงอื่นแทน

          “เชิญ” จางหยางกล่าว

          “อาจเป็นการรบกวน แต่ข้าจะใช้เวลาเพียงไม่นาน” หยิบไหเหล้าขึ้นมาวางไว้บนโต๊ะ เริ่มรับประทานบะหมี่ คอยสังเกตดูอีกฝ่ายเป็นระยะๆ เขากล่าวด้วยความนอบน้อมถ่อมตน “เหล้านี้ข้ามอบให้ เป็นค่าเสียเวลา” นัยน์ตาสีรุ้งมองด้วยแววตาสบายๆ

          “อันใดคือค่าเสียเวลา?”

          “การที่ข้าน้อยมานั่งร่วมโต๊ะอาจทำให้ท่านลำบากใจ”

          “ข้าไม่ได้ลำบากใจ เจ้าอย่าได้คิดมาก” เขาตอบกลับและรับไหเหล้ามา

          หลังจากพูดคุยกันเพียงไม่กี่ประโยคเขาก็ลุกขึ้นและขอตัวลากลับก่อนเพราะต้องไปส่งของที่เมืองจี้โจว ยังต้องเดินทางอีกไกลกว่าจะไปถึงที่หมาย ในระหว่างทางคิดว่าคงจะเผยแพร่ความคิดของตัวเองให้พวกชาวบ้านได้รับฟัง


เลื่อมใสศรัทธา
+25 ความศรัทธา ทุกครั้งที่โรลเผยแพร่ลัทธิ
+15 ความศรัทธา ทุกครั้งที่โรลเผยแพร่ลัทธิหรือ โรลเกี่ยวกับศาสนา

ถ่อมตน
+2 Point จากการโรลให้เกียรติอีกฝ่าย
+15 ความศรัทธา ทุกครั้งที่โรลเผยแพร่ลัทธิหรือ โรลเกี่ยวกับศาสนา
+15 ความสัมพันธ์กับคนที่มีนิสัยเดียวกัน

เจ้าเล่ห์/เสแสร้ง
+4 Point จากการโรลวางแผนใช้อุบาย
+30% คุ้มครองแผนการของคุณไม่ถูกเปิดโปง

อัจฉริยะ
+5 Point จากการโรลใช้แผนการและกลอุบาย
+5 Point จากการโรลเรียนรู้

สุรุ่ยสุร่าย
+2 Point จากการโรลหยิ่งทะนงในศักดิ์ศรี

หูดี
+5 EXP จากการโรลสร้างปฏิสัมพันธ์กับคนอื่น
+2 Point จากการโรลใช้แผนการหรือกลอุบาย
+20% มีโอกาสต้านทานแผนการที่ไม่เป็นมิตรต่อคุณ
+15 ความสัมพันธ์กับคนที่คุยด้วย

[037] จาง หยาง
ธาตุทอง เกื้อหนุน ธาตุน้ำ ได้รับความสัมพันธ์ +20
พูดคุยประจำวัน ได้รับความสัมพันธ์+5
+30 ความโหดเมื่อเจอคนหัวคลั่ง
มอบ เหล้า
หัวคลั่ง เจอ หัวดี -5 ความสัมพันธ์ / +10 คุณธรรมเมื่อเจอคนหัวดี

รวม 55 ความศรัทธา / 20 Point / +15 EXP
ระดับเริ่มต้น - คนจรเล่าเรื่อง
ทุกค่า EXP ที่ได้รับจากการโรลเพลย์ / +25 ความศรัทธา
X2 ศรัทธา





←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ซัวเหวินเจี่ยจื้อ
เตากำยาน
กลยุทธ์เล่ออี้
ม้าเหลียง
กระบองแปดทิศ
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x5
x5
x2
x1
x1
x50
x91
x300
x300
x300
x300
x300
x300
x600
x300
x45
x95
x90
x140
x2
x9
x84
x990
x84
x980
x90
x55
x80
x1000
x182
x200
x600
x200
x382
x16
x600
x860
x880
x100
x100
x60
x80
x20
x92
x196
x98
x93
x98
x1000
x11
x269
x17
x860
x27
x7
x442
x39
x44
x88
x36
x300
x11
x750
x1372
x430
x60
x60
x2128
x28
x336
x86
x828
x52
x75
x100
x52
x324
x40
x4
x962
x970
x1353
x4
x5
x18
x22
x21
x2
x3
x17
x1
x11
x32
x11
x9
x20
x610
x3
x3908
x1
x1
x4
x89
x477
x403
x20
x62
x86
x1010
x24
x19
x121
x1
x785
x3
x3
x3
x920
x2046
x1136
x1030
x103
x14
x10
x1
x31
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง เข้าสู่ระบบ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

อย่าลืมเข้าสู่ระบบนะจ๊ะ เข้าสู่ระบบตอนนี้ หรือ ลงทะเบียนตอนนี้

เว็บไซต์นี้ มีการใช้คุกกี้ 🍪 เพื่อการบริหารเว็บไซต์ และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานของท่าน (เรียนรู้เพิ่มเติม)

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้