[ซานเมืองลั่วหยาง] วัดไป๋หม่า

[คัดลอกลิงก์]
โพสต์ 2021-10-3 23:49:09 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย GeLi เมื่อ 2021-10-4 00:01

วันบูชาข้าวพระ



ตอนที่ 1 ทำบุญตักบาตร


เช้ามืดของวันนี้ เก้อหลี่ได้เดินทางมาถึงนครลั่วหยาง ด้วยเหตุผลที่ว่า เขาอยากจะแวะมาหาอะไรที่แปลกใหม่ที่เมืองหลวงแห่งนี้เสียก่อนจะเดินทางต่อ ดวงตาสีน้ำตาลของเขามองดูความยิ่งใหญ่อลังการอย่างสนอกสนใจแม้ว่าจะเป็นเวลาเช้ามืด แต่ก็มีผู้คนเดินคราคร่ำเป็นจำนวนมาก ชายหนุ่มร่างสูงโปร่งเดินไปเรื่อย ๆ ก็ชาวเมืองจำนวนมากกำลังยืนเข้าแถวอยู่เบื้องหน้าสถานที่แห่งหนึ่ง ซึ่งเท่าที่เขาจำได้ก็คงจะเป็นวัด ศาสนสถานของศาสนาพุทธ ซึ่งเขาเคยเห็นอยู่ที่หนึ่งตั้งอยู่ในเมืองที่เขาเกิด แต่นั่นก้็ไม่ได้ใหญ่โตและมีผู้คนมากมายเช่นนี้ ด้วยความสงสัยเขาจึงเดินตรงไปยังชาวเมืองกลุ่มนั้น เมื่อเขาเดินไปถึงก็เห็นบรรดาชาวเมืองที่ศรัทธาในศาสนาพุทธกำลังยืนรออย่างสงบเสงี่ยม เบื้องหน้าของพวกเขามีกล่องข้าวและเครือ่งดื่มพร้อมด้วยดอกไม้เครื่องหอมวางอยู่บนโต๊ะ


"พวกท่านกำลังทำสิ่งใดอยู่งั้นหรือ"


เสียงทุ้มนุ่มเอ่ยถามชายวัยกลางคนผู้หนึ่งซึ่งดูเหมือนว่าเขาจะมากับครอบครัวของเขาที่มีทั้งภรรยาและลูก ๆ ชายหญิงอีกสามสี่คนกำลังแกล้งแหย่กันจนคนเป็นแม่ต้องพยายามห้ามปรามให้อยู่ในความสงบ ชายวัยกลางคนผู้นั้นได้ยินคำถามก็หันไปส่งยิ้มให้ชายหนุ่มอย่างเป็นมิตรก่อนจะตอบเขาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน


"พวกข้ารอทำบุญตักบาตรน่ะพ่อหนุ่ม วันนี้เป็นวันบูชาข้าวพระน่ะ จะมีการทำบุญมากมายเลยล่ะ เจ้าคงพึ่งเดินทางมาถึงสินะ มาทำบุญตักบาตรร่วมกับพวกเรามั้ยล่ะ หากเจ้าไม่ได้เร่งร้อนไปทำธุระที่ใด"


ชายหนุ่มได้ยินคำตอบและคำเชื้อเชิญของอีกฝ่ายก็หยุดครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง พลางมองดูสิ่งของที่พวกเขาตระเตรียมมา ก็พยักหน้ารับเบา ๆ


"ย่อมได้ ว่าแต่ต้องเตรียมสิ่งใดบ้างหรือท่าน"


ชายวัยกลางคนได้ยินเช่นนั้นก็หัวเราะเบา ๆ ด้วยความเอ็นดูชายหนุ่ม แล้วส่ายหน้าเล็กน้อย


"มิต้องเตรียมสิ่งใดเลยพ่อหนุ่ม นอกจากทำจิตใจให้สงบ ส่วนการทำทานนั้นก็เอาที่เจ้าสะดวก การทำบุญนั้นจะต้องไม่ทำให้ทั้งเราและเขาเดือดร้อน มิฉะนั้นจะไม่ได้บุญ สุดแล้วแต่เจ้าจะนำไปใส่บาตรเลยพ่อหนุ่ม"


เก้อหลี่ได้ยินเช่นนั้นก็พยักหน้ารับแทนการบอกว่าเขาพอจะเข้าใจในการอธิบายของชายวัยกลางคนผู้นั้น ขึ้นอยู่กับความสะดวกของเรางั้นหรือ ชายหนุ่มคิดในใจพลางมองดูสิ่งที่ครอบครัวนี้เตรียมมา ก็เห็นจะมีข้าวกล่องและดอกไม้เครื่องหอม นั่นก็พอจะทำให้เขานึกได้ว่าพอจะมีสิ่งของเหล่านี้ในกระเป๋าย่ามที่เขาพกติดตัวมาตลอดการเดินทาง ชายหนุ่มหันไปใช้มือล้วงควานหาของบางอย่างในกระเป๋าย่าม ปรากฎว่า เป็นข้าวกล่องใบหนึ่งซึ่งบรรจุอาหารแห้งไว้ภายในกล่อง มีข้าวสาร ไข่เค็ม ผักดอง และน้ำผึ้งอย่างละเก้าชุด lใช้กล่องข้าว (อาหารแห้ง) x 1l


"พอดีข้ามีข้าวกล่องเตรียมไว้อยู่น่ะ ทำทานสักหน่อยไม่ลำบากนักหรอก เดี๋ยวข้าค่อยหาซื้อกินในตลาดหลังทำทานเสร็จละกันนะ"


เสียงทุ้มนุ่มเอ่ยพลางหันไปมองยังชายวัยกลางคนเพื่อถามความเห็น ซึ่งเขาไม่พูดอะไรนอกจากยิ้มกว้างแล้วพยักหน้าสองสามทีแทนการแสดงความเห็น นั่นทำให้ชายหนุ่มยิ้มออกมาบ้าง


ไม่นานหลังจากที่ทั้งสองคนพูดคุยกันจบ พระสงฆ์จำนวนหนึ่งก็ได้เดินออกมาจากประตูวัดด้วยท่าทางสงบเสงี่ยมดูน่าชื่นชมศรัทธายิ่งนัก พระสงฆ์กลุ่มนั้นค่อย ๆ เดินไปยืนหยุดยังครอบครัวชาวเมืองเพื่อรับบิณฑบาตรจากพวกเขา ชายหนุ่มชะโงกหน้ามองดูด้วยความสนใจ ถึงแม้ว่าเขาจะเคยได้เรียนรู้มาบ้างเกี่ยวกับศาสนาพุทธแต่ก็ไม่ได้ศึกษาอย่างลึกซึ้งมากนัก ดังนั้นนี่จึงถือเป็นสิ่งใหม่ที่เขาได้พบเลยทีเดียว พระสงฆ์ค่อย ๆ รับบิณฑิตบาตรจากชาวบ้านทีละครอบครัวจนมาถึงครอบครัวของชายวัยกลางคนที่เก้อหลี่อยู่ร่วมด้วย


"ถอดรองเท้าเสียก่อนนะพ่อหนุ่ม แล้วกล่าวบทสวดตามที่ข้าพูดละกันนะ"


ชายหนุ่มได้ยินที่ชายวัยกลางคนเอ่ยก็ก้มลงมองดูเท้าของชายวัยกลางคนและครอบครัวของเขาซึ่งปรากฎว่า พวกเขาถอดรองเท้าไว้ข้าง ๆ และยืนเท้าเปล่ากันเสียเมื่อไหร่แล้วก็ไม่รู้ เก้อหลี่แม้จะสงสัยแต่ก็ยอมทำตามแต่โดยดี สัมผัสของเท้าเปล่ากับพื้นทางเดินที่โรยด้วยกรวดทำให้เขารู้สึกแข็งตึงและปวดที่อุ้งเท้าเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้หนักหนาอะไรมากนัก ครั้นเมื่อเห็นว่าพระสงฆ์เริ่มเดินมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าพวกเขา ชายวัยกลางคนและครอบครัวก็พากันพนมมือไหว้พระสงค์เหล่านั้น ซึ่งชายหนุ่มก็พนมมือตาม ก่อนจะสวมดมนต์ตามชายวัยกลางคน


"นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ . . . นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ . . . นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ . . ."


ชายวัยกลางคนสวดมนต์นำ บทสวดของเขาฟังดูแปลก ๆ คงจะไม่ใช่ภาษาที่พวกเขาใช้พูดกัน เท่าที่จำได้คงเป็นภาษาจากดินแดนไกลที่พระสงฆ์ผู้เดินทางมาเผยแพร่ศาสนาได้นำมาเผยแพร่พร้อมกับหลักคำสอนด้วยนั่นเอง แม้จะฟังดูแปลก ๆ หูและไม่ค่อยเข้าใจความหมายนัก แต่เขาก็พยายามสวดตามพลางมองดูพระสงฆ์ที่ยืนฟังบทสวดของพวกเขาอย่างสงบนิ่งไม่ไหวติงอะไร ทำให้เขารู้สึกสงบตามเช่นกัน เมื่อพวกเขาสวดมนต์เสร็จแล้ว ชายวัยกลางคนพร้อมครอบครัวก็ยกข้าวกล่องพร้อมดอกไม้เครื่องหอมขึ้นเหนือศรีษะแล้วกล่าวบทสวด ซึ่งชายหนุ่มก็ทำตามด้วยความสนใจ


"สุทินนัง วะตะเม ทานัง อาสะวักขะยาวะหัง โหตุ"


เมื่อกล่าวจบชายวัยกลางคนก็ค่อย ๆ นำข้าวกล่องยื่นใส่ลงในบาตรพระ ขณะที่ภรรยาของเขาก็ได้ช่วยจับแขนของลูก ๆ ประคองให้พวกเขาถวายข้าวกล่องใส่บาตรด้วยเช่นกัน ชายหนุ่มยืนมองอยู่ครู่หนึ่งก็นึกได้ว่าตัวเองก็จะใส่บาตรด้วย จึงหันกลับไปมองพระสงฆ์ที่ยืนอยู่เบื้องหน้าแล้วยิ้มอ่อนเล็กน้อยแทนการกล่าวขออภัย แล้วค่อย ๆ ใช้มือใหญ่หยิบข้าวกล่องของตนใส่บาตร


"นัตถิเมสาระนังอัญยัง สังโฆเม สะระณังวะรัง เอเตนะสัจจะวัชเชนะ โสตถิเมโหตุสัพพะทา"


"อิทังเม ญาตินังโหตุ สุขิตาโหตุญาตะโย"


เมื่อชายวัยกลางคนกล่าวจบ พระสงฆ์ก็พูดบทสวดพร้อมกัน โดยที่ชายวัยกลางและครอบครัวก็พนมมือรับฟังอย่างสงบ ชายหนุ่มมองดูพลางพนมมือฟังด้วยเช่นกัน


"สัพพีติโย วิวัชชันตุ สัพพะโรโค วินัสสะตุ มา เต ภะวัตวันตะราโย สุขี ทีฆายุโก ภะวะอะภิวาทะนะสีลิสสะ นิจจัง วุฑฒาปะจายิโน จัตตาโร ธัมมา วัฑฒันติ อายุ วัณโณ สุขัง พะลัง"


"สาธุ"


ชายวัยกลางคนและครอบครัวกล่าวพร้อมกันพลางก้มหน้าให้หว่างคิ้วจรดนิ้วโป้ง ชายหนุ่มไหว้ตามครอบครัวนั้น เมื่อกล่าวจบ พระสงฆ์กลุ่มนั้นก็ได้เดินจากไป ชายหนุ่มมองดูพระสงฆ์ที่เดินจากไป ก่อนจะหันไปมองชายวัยกลางคนก็พบว่าเขากำลังช่วยภรรยาเก็บข้าวของและโต๊ะเพื่อจะกลับไปทำธุระที่บ้าน


"มีเพียงเท่านี้งั้นหรือท่าน"


"ทำบุญตักบาตรงั้นหรือ ใช่แล้วล่ะเสร็จสิ้นพิธีแล้ว แต่เดี๋ยวพวกข้าจะกลับไปที่บ้านเสียก่อน เตรียมข้าวของไปร่วมพิธีบูชาข้าวพระที่วัดน่ะ เจ้าจะไปร่วมพิธีก็ได้นะแต่อีกหนึ่งชั่วยามน่ะ ระหว่างนี้เจ้าก็ไปทำธุระของเจ้าเสียก่อนก็ได้ แล้วเราค่อยไปพบกันที่วัดก็ได้นะ"


เก้อหลี่ได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกสนใจ ดวงตาของเขาฉายแววประกายออกมา เขายิ้มพลางพยักหน้าเบา ๆ


"เช่นนั้นข้าจะไปรอพวกท่านที่วัดละกันนะ"


ว่าแล้วชายวัยกลางคนก็ได้พาครอบครัวเดินแยกไปจากชายหนุ่ม ชายหนุ่มยืนมองดูวัดที่อยู่เบื้องหน้าช่างน่าสนใจจริง ๆ หวังว่า จะมีสิ่งที่น่าสนใจไว้อย่างที่เขาคิดนะ




ตอนที่ 2 ฝึกนั่งสมาธิ


ช่วงเวลาสองยามหลังจากที่แยกจากครอบครัวของชายวัยกลางคน เก้อหลี่ก็ได้ตรงมายังวัดทันทีที่เขาทำธุระเสร็จซึ่งธุระของเขาก็ไม่ได้มีอะไรมากมายนักเพียงแค่เดินไปยังตลาดเพื่อเดินดูสินค้าต่าง ๆ และไปพูดคุยกับนักปราชญ์ในสำนักขงจื้อที่เผอิญพบเจอพร้อมด้วยนักปราชญ์อีกคนที่นับถือศาสนาพุทธ นั่นทำให้เขาได้รับความรู้เกี่ยวกับศาสนาพุทธเพิ่มเติม ซึ่งน่าจะทำให้เขาสามารถร่วมพิธีกับชายวัยกลางคนผู้นั้นได้สะดวกมากขึ้น ชายหนุ่มร่างสูงโปร่งได้เดินเข้าไปภายในวัดซึ่งพบว่า เริ่มมีชาวบ้านจำนวนหนึ่งได้พากันมายังวัดแล้ว บางส่วนก็พากันหยิบเอาไม้กวาดมากวาดทำความสะอาดลานวัด และที่เขาสนใจคือ กลุ่มคนที่สวมชุดเสื้อผ้าสีขาวผู้ซึ่งกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่นิ่ง ๆ กันใต้ร่มไม้ใหญ่อยู่ราว ๆ สิบกว่าคน มีทั้งชายและหญิง ทั้งหนุ่มสาวและแก่แล้ว เขาเดินไปดูด้วยความสนใจ เมื่อเดินไปถึงก็เห็นพวกเขากำลังนั่งหลับตาอย่างสงบนิ่ง นี่คงจะเป็นการนั่งสมาธิสงบจิตใจกระมัง ที่นักปราชญ์ผู้นั้นบอกไว้คร่าว ๆ ฟังดูมันก็คล้าย ๆ กับการตั้งจิตกรรมฐานของบรรดานักปราชญ์ลัทธิเต๋ากระมังที่ให้จิตใจสงบเพื่อที่มีสมาธิในการเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ได้ ว่าแล้วเขาก็เดินไปนั่งรวมกับกลุ่มชาวบ้านที่สวมใส่ชุดปกติที่นั่งสมาธิกันอยู่ด้านหลังกลุ่มคนที่นุ่งขาวห่มขาว


ชายหนุ่มนั่งลงมองดูชายที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ก่อนจะปรับท่านั่งตาม โดยนั่งให้ขาขวาทับขาซ้าย และวางมือขวาลงบนมือซ้าย แล้วค่อย ๆ หลับตาสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะผ่อนลมหายใจออกอย่างช้า ๆ


"อุกาสะ ณ โอกาสบัดนี้ ข้าขอสมาทานเอาซึ่งพระกรรมฐาน ขอขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธิ และวิปัสสนาญาณ จงบัดเกิดขึ้นในขันธสันดานของข้า ข้าจะตั้งสติกำหนดไว้ที่ลมหายใจเข้าออก ลมหายใจเข้ารู้ ลมหายใจออกรู้ สามหนและเจ็ดหน ร้อยหนและพันหน ด้วยความไม่ประมาท ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป . . ."


เก้อหลี่ตั้งจิตภาวนาไว้ในใจโดยมิได้เปล่งออกมาเป็นคำพูดใด ๆ ดังที่นักปราชญ์ผู้นั้นได้เอ่ยแนะนำเขาไว้ ว่าสิ่งที่เขากำลังกระทำอยู่นั้นเรียกว่า การทำวิปัสสนากัมมัฎฐาน ที่สอนให้คนนั้นเกิดปัญญาได้จากการตั้งสติไว้ที่การกำหนดลมหายใจเข้าออก ซึ่งสิ่งเหล่านี้นั้นทำให้จิตใจตื่นรู้เสมอ และช่วยให้สามารถเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ได้เร็วขึ้น เมื่อเรามีสมาธิที่จะจดจ่อกับการกระทำหรือการเรียนรู้ในสิ่งนั้นอย่างตั้งใจนั่นเอง


"ยุบหนอ . . . พองหนอ . . . ยุบหนอ . . . พองหนอ . . ."


ชายหนุ่มพูดพลางกำหนดลมหายใจเข้าออกช้า ๆ อย่างสงบ อยู่พักใหญ่ ๆ ทันใดนั้นเอง . . . 


เต๊ง . . . เต๊ง . . . เต๊ง . . .


เสียงระฆังถูกตีสามทีเกิดเสียงดังก้องไปทั่วบริเวณ เมื่อสิ้นเสียงระฆังจู่ ๆ ก็มีมือมาสะกิดเบา ๆ ที่ไหล่กว้าง ทำให้ชายหนุ่มต้องลืมตาหันไปดูบุคคลผู้นั้น ซึ่งเป็นชายที่นั่งสมาธิอยู่ข้าง ๆ เขานั่นเอง


"ถึงเวลาไปทำพิธีบูชาข้าวพระแล้วล่ะท่าน"


ชายคนนั้นเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม เก้อหลี่ได้ยินเช่นนั้นก็นึกขึ้นได้จึงพยักหน้ารับ แล้วค่อย ๆ ลุกขึ้นยืน เขาเดินออกมาจากบริเวณนั้นก็พบกับชายวัยกลางคนที่เขาได้ทำบุญตักบาตรเมื่อตอนเช้าตรู่นั่นเอง แน่นอนว่าเขามาพร้อมกับครอบครัว ชายวัยกลางคนผู้นั้นโบกมือเรียกเขา นั่นทำให้ชายหนุ่มเดินเข้าไปหาโดยทันที


"มานานแล้วหรือพ่อหนุ่ม"


ชายวัยกลางคนเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม เก้อหลี่ทำมือโค้งคำนับชายผู้นั้นและภรรยา แล้วยิ้ม


"มาได้สักพักแล้วน่ะท่าน พอดีระหว่างที่่รอพวกท่านมา ข้าก็ลองไปนั่งสมาธิดู มันทำให้จิตใจสงบจริง ๆ นะ"


"ฮ่า เช่นนั้นเองหรือ ดีแล้วล่ะนะ เอาล่ะเราขึ้นไปยังศาลาเถิด พิธีจะเริ่มแล้วเดี๋ยวจะไม่ทันเอา . . ."


ว่าแล้วชายวัยกลางคนก็หิ้วข้าวของที่ภรรยาของเขาได้เตรียมไว้ถวายพระนำครอบครัวของตนไปยังศาลาที่ตั้งอยู่กลางวัด ซึ่งขณะนี้ก็มีชาวบ้านจำนวนมากกำลังเดินขึ้นไป ชายหนุ่มมองดูอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเดินตามไป



ตอนที่ 3 ปฏิบัติธรรม บูชาข้าวพระ ถวายภัตตาหารสังฆทาน


หลังจากที่พบกับครอบครัวของชายวัยกลางคนอีกครั้ง เก้อหลี่ก็ได้ตามพวกเขามายังศาลาของวัด ซึ่งในเวลานี้คราคร่ำไปด้วยชาวเมืองจำนวนมากซึ่งส่วนใหญ่ก็มากันเป็นครอบครัว ชายวัยกลางคนพาครอบครัวไปนั่ง โดยที่เก้อหลี่ก็ได้ตามไปนั่งลงข้าง ๆ


"เจ้าได้เตรียมสิ่งของเพื่อทานถวายเป็นสังฆทานรึเปล่า"


ชายวัยกลางคนหันไปเอ่ยถามเก้อหลี่


"สังฆทาน อ้อ !"


ว่าแล้วชายหนุ่มก็หันไปเอามือล้วงควานหาสิ่งของบางอย่างจากกระเป๋าย่ามของตน เพียงชั่วครู่เขาก็นำสิ่งของออกมาเป็นข้าวกล่องอีกชุดหนึ่ง ซึ่งชุดนี้ดูจะมีอาหารและเครื่องดื่มเยอะกว่าเมื่อเช้า เนื่องด้วยเขาได้ทราบเกี่ยวกับพิธีบูชาข้าวจากนักปราชญ์ว่า จะมีการถวายสังฆทานด้วย จึงได้เตรียมข้าวกล่องเพิ่มอีกชุดนึงเพื่อจะถวายเป็นสังฆทาน คราวนี้เป็ดอาหารเจ อันประกอบไปด้วย ข้าวสวย ผัดผักเก๋าฮะไฉ่ น้ำแกงเม็ดบัวเห็ดหูหนูขาว ฟักเชื่อมแผ่น ข้าวพอง และชาโม่ลี่ฮวาฮาอย่างละ 1 ชุด


"หลังจากที่แยกไปจากพวกท่านเมื่อตอนเช้ามืดข้าก็ได้ไปพบกับนักปราชญ์ที่นับถือพุทธเช่นเดียวกับท่านน่ะ เขาบอกเล่าถึงพิธีกรรมต่าง ๆ ให้ฟัง ข้าจึงได้แวะไปตลาดเพื่อจัดเตรียมข้าวกล่องชุดใหม่ขึ้นมาน่ะท่าน"


เก้อหลี่เอ่ยปากพูดพร้อมรอยยิ้ม พลางยื่นกล่องข้าวชุดนั้นให้ชายวัยกลางคนดู ทั้งชายวัยกลางคนและภรรยาต่างหันไปมองหน้ากันแล้วยิ้ม ก่อนจะหันไปพยักหน้าให้กับชายหนุ่มด้วยความเอ็นดู


ไม่นานนักบรรดาพระสงฆ์ก็ได้เดินแถวขึ้นมายังศาลาอย่างสงบเสงี่ยม ชายวัยกลางคนสะกิดไหล่กว้างให้ชายหนุ่มพนมมือตามเขา ซึ่งชายหนุ่มก็พนมมือตามแต่โดยดีพลางมองดูท่าทางอันสงบของพระสงฆ์เหล่านั้น เมื่อพระสงฆ์ทั้งหลายได้ขึ้นไปนั่งอาสนะที่จัดเตรียมไว้ให้อยู่สูงกว่าชาวเมืองที่มาร่วมพิธีเล็กน้อย ก็พากันกราบไหว้พระพุทธรูปพร้อมเพรียงกัน ครั้นเมื่อเรียบร้อยแล้ว ภายในศาลาก็อยู่ในความเงียบที่ไม่ใช่ความเงียบที่ดูวังเวงนัก 


"เอาล่ะ ๆ ในเมื่อพระสงฆ์ได้มาถึงแล้ว ให้ทุกคนพนมมือแล้วไหว้พระสวดมนต์พร้อมกับข้านะ"


ชายชราผู้หนึ่งที่สวมเสื้อผ้าสีขาวได้เอ่ยปากบอกด้วยน้ำเสียงแแหบแห้ง บรรดาชาวบ้านก็พากันพนมมือแล้วสวดมนต์ตามชายชราผู้นั้น เก้อหลี่ก็พนมมือและพยายามเอ่ยปากสวดมนต์ตามเช่นเดียวกัน ถึงแม้ว่าจะตะกุกตะกักบ้างก็ตามที


"อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ ภะคะวา พุทธัง ภะคะวันตัง อภิวาเทมิ . . ."


เมื่อสวดจบทุกคนก็พากันก้มลงกราบ แล้วสวดมนต์ต่อ


"สวากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม ธัมมังนะมัสสามิ . . ."


เมื่อสวดจบทุกคนก็พากันก้มลงกราบ แล้วสวดมนต์ต่อ


"สุปะฏิปปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ สังฆัง นะมามิ . . ."


เมื่อสวดจบทุกคนก็พากันก้มลงกราบ แล้วสวดมนต์ต่อ


"นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ . . . นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ . . . นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ . . ."


"มะยัง ภันเต วิสุง วิสุง รักขะนัตถายะ ติสะระเณนะสะหะ ปัญจะ สีลานิยาจามะ"


"ทุติยัมปิ มะยัง ภันเต วิสุง วิสุง รักขะนัตถายะ ติสะระเณนะสะหะ ปัญจะ สีลานิยาจามะ"


"ตะติยัมปิ มะยัง ภันเต วิสุง วิสุง รักขะนัตถายะ ติสะระเณนะสะหะ ปัญจะ สีลานิยาจามะ"


เมื่อสวดมนต์จบแล้ว พระสงฆ์ผู้หนึ่งซึ่งดูจะอาวุโสที่สุดได้เอ่ยปากสวดมนต์บทต่อไปด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่ม


"นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ . . . นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ . . . นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ . . ."


"นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ . . . นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ . . . นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ . . ."


"พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ"


"พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ"


"ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ"


"ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ"


"สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ"


"สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ"


"ทุติยัมปิ พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ"


"ทุติยัมปิ พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ"


"ทุติยัมปิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ"


"ทุติยัมปิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ"


"ทุติยัมปิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ"


"ทุติยัมปิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ"


"ตติยัมปิ พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ"


"ตติยัมปิ พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ"


"ตติยัมปิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ"


"ตติยัมปิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ"

 

"ตติยัมปิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ"

 

"ตติยัมปิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ"

 

"ติสะระณะคะมะนัง นิฏฐิตัง"

 

"อามะ ภันเต"

 

"ปาณาติปาตา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ"

 

"ปาณาติปาตา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ"

 

"อะทินนาทานา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ"

 

"อะทินนาทานา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ"

 

"กาเมสุ มิจฉาจารา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ"

 

"กาเมสุ มิจฉาจารา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ"

 

"มุสาวาทา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ"

 

"มุสาวาทา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ"

 

"สุราเมระยะมัชชะปะมาทัฏฐานา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ"

 

"สุราเมระยะมัชชะปะมาทัฏฐานา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ"

 

"อิมานิ ปัญจะสิกขาปะทานิ สีเลนะ สุคะติง ยันติ"

 

"สาธุ"

 

"สีเลนะ โภคะสัมปะทา"

 

"สาธุ"

 

"สีเลนะ นิพพุติง ยันติ ตัสมา สีลัง วิโสธะเย"

 

"สาธุ"

 

ชาวบ้านทุกคนพากันกราบพร้อมกันเมื่อสวดจบเป็นอันจบบทสวดพระรัตนตรัย อารธนาศีล จากนั้นชายชราผู้นั้นก็กล่าวบทสวดอาราธนาพระปริตร

 

"วิปัตติปะฏิพาหายะสัพพะปัตติสิทธิยา สัพพะทุกขะวินาสายะ ปะริตตัง พรูถะ มังคะลัง วิปัตติปะฏิพาหายะสัพพะปัตติสิทธิยา สัพพะภะยะวินาสายะ ปะริตตัง พรูถะ มังคะลัง วิปัตติปะฏิพาหายะสัพพะปัตติสิทธิยา สัพพะโรคะวินาสายะ ปะริตตัง พรูถะ มังคะลัง"

 

พระสงฆ์ผู้อาวุโสจุดเทียนน้ำมนต์แล้วพระสงฆ์ก็เริ่มสวดมงคลสูตร

 

"นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ . . . นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ . . . นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ . . ."

 

"อะเสวะนา จะ พาลานัง ปัณฑิตานัญจะ เสวะนา ปูชา จะ ปูชะนียานัง เอตัมมังคะละมุตตะมัง . . . รูปะเทสะวาโส จะ ปุพเพ จะ กะตะปุญญะตา อัตตะสัมมาปะณิธิ จะ เอตัมมังคะละมุตตะมัง . . . พาหุสัจจัญจะ สิปปัญจะ วินะโย จะ สุสิกขิโต สุภาสิตา จะ ยา วาจา เอตัมมังคะละมุตตะมัง . . . มาตาปิตุอุปัฏฐานัง ปุตตะทารัสสะ สังคะโห อะนากุลา จะ กัมมันตา เอตัมมังคะละมุตตะมัง . . . ทานัญจะ ธัมมะจะริยา จะ ญาตะกานัญจะ สังคะโห อะนะวัชชานิ กัมมานิ เอตัมมังคะละมุตตะมัง . . . อาระตี วิระตี ปาปา มัชชะปานา จะ สัญญะโม อัปปะมาโท จะ ธัมเมสุ เอตัมมังคะละมุตตะมัง . . . คาระโว จะ นิวาโต จะ สันตุฏฐี จะ กะตัญญุตา กาเลนะ ธัมมัสสะวะนัง เอตัมมังคะละมุตตะมัง . . . ขันตี จะ โสวะจัสสะตา สะมะณานัญจะ ทัสสะนัง กาเลนะ ธัมมะสากัจฉา เอตัมมังคะละมุตตะมัง . . . ตะโป จะ พ๎รัห๎มะจะริยัญจะ อะริยะสัจจานะ ทัสสะนัง นิพพานะสัจฉิกิริยา จะ เอตัมมังคะละมุตตะมัง . . . ผุฏฐัสสะ โลกะธัมเมหิ จิตตัง ยัสสะ นะ กัมปะติ อะโสกัง วิระชัง เขมัง เอตัมมังคะละมุตตะมัง . . . เอตาทิสานิ กัต๎วานะ สัพพัตถะมะปะราชิตา สัพพัตถะ โสตถิง คัจฉันติ ตันเตสัง มังคะละมุตตะมันติ . . ."

 

“เอาล่ะต่อไปจะเป็นการสวดบูชาข้าวพระนะ ให้ทุกคนพนมมือแล้วกล่าวตามข้า”

 

ชายชราเอ่ยก่อนจะพนมมือ ซึ่งชาวเมืองทุกคนรวมถึงเก้อหลี่ก็พนมมือตามด้วยเช่นกัน

 

"อิมัง สูปะพยัญชะนะสัมปันนัง สาลีนัง โภชะนัง อุทะกัง วะรัง พุทธัสสะ ปูเชมิ"

 

เมื่อชายชราพูดจบทุกคนก็พูดตามพร้อมกันโดยทันที เมื่อเสร็จแล้วชายชราก็กล่าวบทสวดต่อไป

 

"ต่อไปจะเป็นการถวายภัตตาหารและเครื่องธรรม กล่าวพร้อมกันนะ . . . นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ . . . นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ . . . นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ . . . อิมานิมะยัง ภันเต ภัตตานิ สะปะริวารานิ ภิกขุสังฆัสสะ โอโณชะยามะ สาธุโน ภัณเต ภิกขุ สังโฆ อิมานิ ภัตตานิ สะปะริวารานิ ปะฏิค คัณหาตุ อัมหากัง ทีฆะรัตตัง หิตายะ สุขายะ"

 

เมื่อสวดมนต์เสร็จแล้ว ชายวัยกลางคนก็สะกิดบอกเก้อหลี่ให้นำสิ่งของที่เตรียมมาถวายภัตตาหารแก่พระสงฆ์ ซึ่งเก้อหลี่ก็พยักหน้าก่อนจะคลานเข่าไปประเคนกล่องข้าวเกือบเจ ให้กับพระสงฆ์รูปหนึ่ง ซึ่งท่านก็รับกล่องข้าวชุดนั้นด้วยความเมตตา เมื่อชาวเมืองพากันประเคนถวายภัตตาหารและเครื่องธรรมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว พระสงฆ์ก็ได้ทำการสวดมนต์กล่าวลาข้าวพระพุทธ

 

"เสสัง มังคะลัง ยาจามิ . . ."


เป็นอันจบพิธีการบูชาข้าวพระ ชายวัยกลางคนและครอบครัวชวนให้เก้อหลี่ทานอาหารร่วมกันระหว่างที่รอพระสงฆ์ฉันข้าว


“เดี๋ยวช่วงบ่าย ท่านซือเหวินจิ้งจะมาเทศนาธรรม หากเจ้ามีเวลาก็มานั่งฟังได้นะ ว่าแต่มาทำบุญด้วยกันแต่เช้าแล้วยังมิรู้จักนามรู้จักแซ่เจ้าเลย บอกหน่อยสิ”


ชายหนุ่มนึกขึ้นได้ก็หัวเราะออกมาเล็กน้อยแล้วพยักหน้าเบา ๆ อย่างเป็นมิตร


“ข้าชื่อเก้อหลี่ เป็นชาวเมืองอู๋เว่ย พอดีข้าไปร่ำเรียนที่สำนักปราชญ์ขงจื้อกำลังจะเดินทางกลับเมืองเกิด ก็ได้แวะมายังนครลั่วหยางแห่งนี้ ก็มาเจอพวกท่านนี่ล่ะ”


ชายวัยกลางคนได้ยินเช่นนั้นก็พยักหน้าเบา ๆ พร้อมยิ้มกว้างอย่างเอ็นดูชายหนุ่มราวกับเป็นน้องชายของตน พวกเขานั่งทานอาหารกันจนพระสงฆ์ฉันเพลจนแล้วเสร็จก็ได้กราบลาพระเป็นอันจบพิธีในตอนเช้า . . .




ลักษณะนิสัยรักสงบ

-10 ลดความเครียด

-15 ความเครียดเมื่อโรลนั่งสมาธิ


ลักษณะนิสัยหลังตรง

+15 EXP จากการโรลสร้างความน่าเคารพศรัทธาต่อผู้พบเห็น


←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ตะกร้าสาน
เกราะเกล็ดมังกร
ม้าเหลียง
กลยุทธ์เล่ออี้
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x2
x2
x10
x9
x30
x1
x1
x5
x30
x12
x4
x4
x4
x1
x1
x2
x10
โพสต์ 2021-10-4 00:02:05 | ดูโพสต์ทั้งหมด
โรลซื้อของช่วยแม่นางคนหนึ่ง



"เห้องั้นพวกเรา5คนก็ไปเดินเที่ยวภายในงานกันเถอะนะข้าอยากจะลองดูว่าสิ่งของภายในงานนี้นั้นมันจะมีสิ่งใดน่าสนใจอยู่บ้างของดีๆแบบนี้ไม่ใช่จะมีได้ง่ายๆนะ"

"ฮ่าๆเอาเลยข้าก็ไม่ได้ขัดอะไรอยู่แล้วเผื่ออาจจะได้อาวุทดีๆบ้าง"

"ท่านเหยวนเฮ่านี้มันงานมงคลจะมีของแบบนั้นได้เช่นไรกันแต่ก็ไม่แน่ถ้าได้ของแบบที่ท่านพูดข้าอาจจะหาตำรามาให้ท่านหยวนเฮ่าสักเล่มดีหรือไม่ท่าน?"

"ไม่ต้องหาตำรามาให้ข้าหรอกนะเอาล่ะพวกเราไปเดินดูซื้อของกันอาจจะได้ของดีติดไม้ติดมือบ้าง"

พร้อมที่ขบวนของจีเทียนเต๋านั้นเริ่มออกเดินทางกันเพื่อที่จะไปเดินซื้อของกันก่อนที่จะไปเดินเที่ยวในงานกันแบบนี้ หลังจากที่พวกของตนเองนั้นเดินมาได้สักพักก็มาพบเจอกับเสียงโหวกเวียกโวยวายกันของพ่อค้ากับลูกค้าที้ดังไปทั่วบริเวณนี้นั้น

"เหมือนจะมีปัญหาหรือเปล่าวตรงนั้นพวกเราเข้าไปช่วยเหลือกันดีหรือไม่?"

"ข้าคิดว่ามันก็ไม่ใช่เรื่องแย่นะท่านจีเทียนเต๋าพวกเราเข้าไปดูก่อนก็แล้วกันนะ"

พร้อมกับที่ขบวนนั้นเข้าไปฟังใกล้ๆก็ได้ยินถึงปัญหาที่พ่อค้ากับลูกค้าคนนั่นกำลังมีพอดีที่มีปัญหาในการเหมือนเรื่องเงินๆทองๆนั้นเองโดยที่กลัวว่าจะมีปัญหาที่ร้ายแรงกว่านี้นั้น จีเทียนเต๋าก็ได้เข้าไปแทรกก่อน

"ใจเย็นกันก่อนนะพวกท่านมีปัญหาอะไรถึงได้เสียงดังกันแบบนี้กันพวกท่านไม่รู้หรอว่านี้เป็นตลาดเป็นงานมงคลกันจะมาทำเสียงโวยวายได้เช่นไร แล้วท่านเป็นผู้ชายฉไหนต้องข่มเหงสตรีด้วยมีปัญหาอะไรบอกข้าได้ข้าอาจจะช่วยได้"

"แม่นางผู้นี้โกงของข้าขอรับ"

"ข้าไม่ได้โกง ตำลึงทองที่ข้าให้ครบถ้วนดีทุกอย่าง ท่านนั่นแหละโกงข้าเพื่อจะนำตำลึงของข้าไปใช่หรือไม่!!"

จีเทียนเต๋าที่มองไปยังทั้งคู่ก่อนที่จะคิดหาวิธีเจรจาอยู่นั้นก็เห็นว่าตนพอจะช่วยเหลือได้อยู่จึงเรียกศิทย์ของตนเอาถุงเงินมาให้กับตนเอง

"เอาละแม่นางคนนี้ต้องการมุกนี้ส่วนข้าก็ต้องการค้อนนั้น ถ้างั้นส่วนของแม่นางที่ขาดไปเท่าใดท่านก็คิดมาก่อนเลยเดี่ยวข้าจะจ่ายให้แม่นางคนนี้เองส่วนราคาค้อนเราค่อยว่ากันอีกที"

พร้อมกับที่จีเทียนเต๋านั้นหยิบเงินที่พ่อค้าผู้นั้นบอกถึงจำนวนที่ขาดไปของราคาก่อนจะยื่นเงินให้กับอีกฝ่ายไปก่อนที่แม่นางคนนั้นจะยื่นมุกมาให้ตนเองคงคิดว่าตนเองซื้อต่อมากระมังแต่มุกนี้ตนเองจะเอาไปทำอะไรยังไม่รู้เบย

"เอาไปเถอะแม่นางข้าไม่ได้ต้องการมุกนั้นหรอกข้าเพียงเพิ่มเงินไปในส่วนที่ขาดเท่านั้นเอง ดูแลตัวเองด้วยนะแม่นางเราเจอใครเดือดร้อนก็ต้องช่วยเหลือผู้นั้น ขอให้พระเจ้าคุ้มครองท่าน"

ก่อนที่แม่นางคนนั้นจะขอบคุณจีเทียนเต๋าแล้วก็ก่อนจะแนะนำตัวเองว่าชื่อ จ้าวเพ่ย หลังจากจัดการเรื่องนี้เสร็จจีเทียนเต๋าก็ซื้อค้อนที่ดูมันน่าสนใจมากกลับไปด้วยโดยที่ไม่ลืมใช้คนละครึ่งของพ่อค้าหวังที่ตนเองมี

ซื้อ มุกพนาหวาชวี  629 ตำลึงทอง ใช้คนละครึ่ง
ค้อนมหามงคล 399 ตำลึงทอง ใช้คนละครึ่ง
@Webmaster






←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ชุดไท่หมินลู่
เบ็ดตกปลา
คัมภีร์ไท่หมินลู่
ไก่ฟ้าทองแดง
หวีเซียวเฉิน
กลยุทธ์เล่ออี้
ม้าขาว
หน้ากากขาว
ผ้าคลุมไท่หลง
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x108
x8
x800
x800
x800
x70
x470
x100
x100
x4
x3
x3
x1
x7
x25
x860
x10
x790
x490
x200
x1
x100
x100
x100
x10
x1
x2
x1
x3
x4
x10
x920
x291
x494
x5
x388
x5
x6
x77
x100
x30
x900
x68
x1
x82
x98
x1
x96
x98
x1
x6
x2
x1000
x2
x3
x3
x3
x7
x8
x3
x100
x4
x100
x26
x24
x24
x26
x14
x600
x96
x100
x60
x100
x100
x440
x25
x2
x376
x11
x492
x9
x4
x99
x80
x79
x28
x2
x379
x75
x196
x571
x167
x100
x100
x50
x100
x100
x250
x50
x86
x13
x13
x7
x74
x6
x19
x5
x1150
x324
x17
x11
x10
x10
x490
x10
x2
x42
x62
x38
x1
x108
x35
x96
x99
x85
x505
x1
x598
x3
x3
x1
x8
x24
x404
x4
x102
x6
x24
x491
x288
x39
x90
x154
x8
x1
x10
x75
x10
x93
x500
x250
x150
x250
x550
x250
x3
x500
x242
x36
x18
x465
x1015
x164
x804
x804
x804
x804
x493
x314
x13
x36
x7
x498
x1
x10
x1
x2561
x628
x320
x260
x100
x15
x1
x6
x6
x150
x9999
x2
x7
x18
x5
x2
โพสต์ 2021-10-29 16:06:15 | ดูโพสต์ทั้งหมด
    นัดพบที่วัดม้าขาว



  รุ่งขึ้นเว่ยปินนั่งรถม้ามาถึงวัดตามก่อนเวลาเล็กน้อย เมื่อมาถึงฉากตรงหน้าเว่ยปิน คือสำนักสงฆ์ที่ใหญ่โตหลังคากระเบื้องถูกทำเป็นสีเหลือง มีการแบ่งสัดส่วนและพื้นที่มากมาย  



"พวกเจ้ารอข้าอยู่นอกวัดหากไม่มีเสียงข้าเรียกไม่ต้องเข้าไป" เว่ยปินกล่าวกับผู้ติดตามของตนไม่ใช่เพราะเขาเคารพสถานที่แต่เขาไม่ต้องการให้ใครรู้เรื่องที่เขาคุยกับคนปริศนาผู้นี้ เว่ยปินเดินเข้าไปในตัววัดก็ก็เจอกับรูปปั้นม้าที่ทำอย่างวิจิตรตั้งอยู่ที่กลางลานวัด เขาเปิดกระดาษจดหมยนัดอีกครั้งเพื่อตรวจดูสถานที่กับเวลา



"หวังว่าจะไม่มีใครกล้ามาเล่นตลกกับข้านะ" ระหวังที่เว่ยปินยืนอยู่ใต้ต้นไม้สักพักก็มีก็มีภิกษุเดินเข้ามาทักทาย



"อามิตตาพุทธ"

  

เว่ยปินมองหลวงจีนที่อยู่เบื้องหน้า เขายังดูหนุ่มมากดูอบอุ่นอ่อนโยนยิ้มแย้มอย่างสำรวม อ่อนโยนดุจกระแสน้ำที่พร้อมจะดับความร้อนรุ่มในจิตใจคนรอบข้าง เว่ยปินเก็บท่าทางถือตัวก่อนจะคำนับพระภิกษุ



"คำนับหลวงจีนน้อย ไม่ทราบหลวงจีนน้อยมีธุระอะไรกับข้าหรือไม่" เว่ยปินคำนับและถามธุระกับหลวงจีนน้อยตรงหน้า เขาสงสัยว่าหรือคนที่ส่งจดหมายมาจะเป็นเขา แต่ภิกษุรูปนั้นกลับยิ้มอบอุ่นก่อนจะกล่าวแนะนำตัว



"อาตมา เป็นเจ้าอาวาสวัดแห่งนี้นาม เหวินจิ้ง อาตมาได้เห็นประสกมายืนอยู่ตรงนี้มาสักพักแล้วจึงเข้ามาถามธุระของประสก"



เว่ยปินตกใจเล็กน้อยที่เด็กหนุ่มอายุแค่นี้จะก้าวมานั่งในตำแหน่งเจ้าอาวาสได้



"ที่แท้ก็ไต้ซือเหวินจิ้งข้าน้อยเสียมารยาทแล้ว ข้ามารอพบสหายเก่าไต้ซืออย่าได้เป็นกังวล ไปทำกิจของท่านเถิด" เว่ยปินไม่ได้ศัทธาในศาสนาพุทธเท่าไหร่ เขานั่งอยู่ในตำแหน่งที่จะใช้สันติวิธีไปเจรจากับใคร  ไต้ซือเหวินจิ้งได้ยินดังนั้นก็เตรียมตัวจากไป แต่เขาก็หันมายิ้มก่อนพูดสิ่งที่ทำให้เว่ยปินขมวดคิ้ว



"เส้นทางที่ประสกเลือกเดิน ต้องอาบด้วยเลือดผู้บริสุทธิ์อีกมากมาย ขอให้ประสกตรองดูเถิดก่อนที่จะทำอะไรลงไป" หลังจากกล่าวจบไต้ซือเหวินจิ้งก็เดินจากไป ทิ้งเว่ยปินให้นิ่งคิดกับคำพูดของตน



  สิ่งที่ข้าทำมันบาปขนาดนั้นเลยหรือ? นั่นทำให้เขานึกถึงคำนึงที่จางยรั่งเคยกล่าวกับคำสมัยเป็นขันทีน้อย 'ถ้าเป็นกษัตริย์ แล้ว ไม่โลภ ก็ เป็นกษัตริย์ ที่ดีไม่ได้ ถ้าเป็นนักบวชแล้วโลภ ก็ เป็นนักบวช ที่ดีไม่ได้' ไต้ซือเส้นทางของข้ากับท่านต่างกันสิ่งที่ข้าทำมันคือการมีชีวิตรอด ทุกอย่างก็เพื่ออำนาจมีแค่ข้าที่สามารถบอกได้ว่ามันผิดหรือถูก จากนั้นเว่ยปินก็ไล่ความคิดในหัวแล้วยืนรอคิด ถึงการก้าวไปยืนอยู่ข้างบัลลัง



เจ้าเล่ห์/เสแสร้ง

+4 Point จากการโรลวางแผนใช้อุบาย

ประจบสอพลอ

+2 Point จากการโรลใช้กลอุบาย

ขันที

+3 Point เมื่อโรลใช้แผนและกลอุบาย

หูดี

+2 Point จากการโรลใช้แผนการหรือกลอุบาย
+15 ความสัมพันธ์กับคนที่คุยด้วย
อัจฉริยะ
+5 Point จากการโรลใช้แผนการและกลอุบาย







←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
รถม้าใหญ่
กระบี่
ซัวเหวินเจี่ยจื้อ
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x3
x1
x1
x1
x2
x6
x2
x20
x3
x1
x1
x17
x16
x2
x1
x4
x4
x1
x8
x40
x10
x3
โพสต์ 2021-10-29 18:21:47 | ดูโพสต์ทั้งหมด
ของขวัญขอขมา





  เว่ยปินหลับตายืนรอไม่นานก็มีชายหนุ่มเดินเข้ามาหาเว่ยปิน



     "ข้ากัวฟ่งเสี้ยว คารวะเว่ยกงกงขอรับ"


   เว่ยปินลืมตาขึ้นมาพบชายตรงหน้าเป็นแค่เด็กหนุ่มดูก็ว่าพึ่งพ้นวัยปักปิ่นมาไม่นาน รูปร่างหน้าตาหล่อเหลา โตไปคงจะเป็นที่หมายปองของสาวๆเป็นแน่ เว่ยปินยิ้มก่อนจะแสดงความอัธยาศัยดี



   " เด็กน้อยเจ้าเรียกไม่ต้องพิธีรีตรองมากก็ได้ เรามาเข้าเรื่องกันเลยดีกว่าเจ้ากับข้าไม่ได้รู้จักกันเป็นส่วนตัวแต่เจ้านัดข้ามาพบมีเรื่องอันใด"



   เว่ยปินสำรวจเด็กหนุ่มยิ้มหวานตรงหน้า  ดูเหมือนอีกฝ่ายจะมีบางอย่างซ่อนเร้นภายใต้รอยยิ้มนั่น คนผู้นี้เก็บสีหน้าได้อย่างดียิ่งนัก ภายนอกดูอ่อนโยนแต่ภายในลึกลับยากคาดเดา



   "ข้าน้อยอยากเป็นตัวแทนแม่นางกู่ขอขมาท่านเว่ยกงกงที่ล่วงเกินท่านด้วย นางเป็นเด็กสาวไม่ประสีประสา อ่อนต่อโลกย่อมไม่รู้ผิดชอบชั่วดี หากนางมีกริยาที่ทำให้เว่ยกงกงต้องขุ่นเคือง ข้ากัวฟ่งเสี้ยวต้องขอขมาด้วย ไว้ข้าจะดุนางให้ท่านเอง ขอเพียงท่านไม่ถือสาเอาความ นี่ของขวัญที่ข้าอยากมอบเป็นสินน้ำใจให้ท่านเว่ยกงกงที่เป็นคนใจกว้างไม่ถือสาเด็กสาวไร้เดียงสาธรรมดา ๆ คนหนึ่ง



กัวเจี่ยกล่าวก่อนยื่นห่อผ้านึงให้อีกฝ่าย ภายในเป็นมุกราตรีสีเขียวเม็ดนึง และ 60 ตำลึงทอง กัวฟ่งเสี้ยวหยิบของที่เขาขอช่วยจากสหายจื่อเค่อเพื่อมาให้เว่ยกงกง แม้เขาจะไม่ชอบเท่าไหร่ที่ต้องใช้วิธีนี้แต่เพื่อสวัสดิภาพอิ๋งเอ๋อห์  เว่ยปินเห็นของในห่อผ้าก็เปลี่ยนไปทันที



" อันข้าก็ไม่ใช่คนไร้เหตุผล ในเมื่อนางทำไปโดยไม่ได้ตั้งใจข้าก็จะไม่ถือสาเอาความ ส่วนของนี่ตามจริงเจ้าไม่ต้องเอามาให้ข้าก็ได้ แต่ในเมื่อเจ้าอุส่านำมาข้าก็ไม่ขัดความประสงของเจ้าละกัน"



พูดจบเว่ยปินก็ยื่นมือไปรับของกำนัลทั้งสองจากมือกัวเจี่ยมา เมื่อเว่ยปินเห็นว่าธุระหมดแล้วก็เตรียมจะขอตัวกลับ แต่กัวเจี่ยก็กล่าวขึ้น



  "ใต้เท้าเว่ย ความจริงข้ามีบางอย่างจะบอกท่าน"



เว่ยปินเหลียวหลังกลับไปแสดงสีหน้าว่ามีอะไร กัวเจี่ยยิ้มเจ้าเล่ห์ก่อนเอ่ยออกมา



"หากวันหน้ามีเรื่องขอความช่วยเหลือจากตู่จิ้นกงถึงสิบขันทีใหญ่ ข้าอยากให้ท่านลองตรองให้ดี คนผู้นี้เขาหน้าไหว้หลังหลอก ภายหน้าทำดีต่อสิบขันทีแสวงผลกำไร แต่ลับหลังเขากลับแสวงผลประโยชน์จากสิทธิที่ท่านกงกงทั้งสิบมอบให้ แต่กลับคบหากับใต้เท้าติง ผู้ว่าเมืองจินหยาง (ติงหยวน)"


เว่ยปินได้ยินกัวเจี่ยพูดเสร็จ เขาก็กลายเป็นระมัดระวังทันที 'เด็กน้อยคนนี้กลับรู้เรื่องในราชสำนักเป็นอย่างดีไม่น่าใช่เด็กน้อยธรรมดา กลับไปข้าคงต้องสืบภูมิหลังมันเสียหน่อย หากว่ามีภูมิหลังที่เป็นภัยกับข้าก็คงต้องฆ่าทิ้งซะ'


"ท่านน่าจะรู้จักชื่อเสียงใต้เท้าติงอย่างดี ข้าเชื่อว่าความปรีชาเว่ยกงกงคงคาดเดาได้ว่าข้าจะบอกอะไร"



ก่อนจากกันกัวเจี่ยมอบให้กับเว่ยปินพร้อมกำชับ



"จดหมายนี้หากท่านกลับไปถามมหาขันทีว่าปีนี้ใต้เท้าตู่จิ้นกงส่งส่วยมาให้ราชสำนักหรือไม่ หากท่านมหาขันทีตอบว่า ใต้เท้าตู่จิ้นกงไม่สามารถทำได้ ปีนี้แถบซีเหอเกิดภัยแล้ง ให้ท่านเปิดจดหมายข้าน้อย"



เว่ยปินรับจดหมายมาเงียบๆ แล้วอำลากัวเจี่ยเล็กน้อยก่อนจากไป



เจ้าเล่ห์/เสแสร้ง

+4 Point จากการโรลวางแผนใช้อุบาย

ประจบสอพลอ

+2 Point จากการโรลใช้กลอุบาย

ขันที

+3 Point เมื่อโรลใช้แผนและกลอุบาย

หูดี

+2 Point จากการโรลใช้แผนการหรือกลอุบาย
+15 ความสัมพันธ์กับคนที่คุยด้วย

อัจฉริยะ
+5 Point จากการโรลใช้แผนการและกลอุบาย



  



←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
รถม้าใหญ่
กระบี่
ซัวเหวินเจี่ยจื้อ
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x3
x1
x1
x1
x2
x6
x2
x20
x3
x1
x1
x17
x16
x2
x1
x4
x4
x1
x8
x40
x10
x3
โพสต์ 2022-6-7 22:31:40 | ดูโพสต์ทั้งหมด

-ทำงานพาร์ทไทม์-
รู้เขารู้เรา
♦ • ♦ • ♦ • ♦ • ♦ • ♦ • ♦ • ♦

            ถือคติในการไม่เลือกงานไม่ยากจนด้านของเสิ่นโม่เสวียนปฎิบัติตนตามหลักผู้มั่งคั่งในอนาคตได้อย่างดีงาม ร่างในอาภรณ์ครามนั่งนับตำลึงเงินในถุงอันเป็นค่าจ้างจากโรงเตี้ยมด้วยความสุขุม ‘ยังไม่พอ.. จำนวนเท่านี้ใช้ไม่กี่วันก็หมด’ เขาต้องการงานที่คุ้มค่าเหนื่อย ได้รับค่าลงแรงเป็นก้อนมากกว่างานยิบย่อยเช่นนี้

            เดิมทียังคิดหาช่องทางรับจ้างคุ้มกันหรือวิจารณ์บทความ น่าเสียดายทั้งสองสิ่งหนึ่งต้องการยุทโธปกรณ์เพื่อปกป้องชีวิต สองต้องการชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับยิ่งงานให้ค่าตอบแทนสูง ตัวเขาต้องมีทั้งคนรับรองและหลักประกันที่มั่นคงพอ

            ตอนนี้จึงไม่มีทางเลือกทำได้แค่คว้าใบประกาศแล้วอาสาบากหน้าไปรับงานตามกิจการห้างร้านต่างๆ ด้วยตนเอง รอวันที่ชื่อเสียงถูกเล่าขานปากต่อปาก เมื่อนั้นทั้งค่าแรงค่าความสามารถเรียกลมเรียกฝนได้ดั่งใจ

            ยามนี้สองเท้าก้าวเข้ามาถึงยังอารามไป๋หม่า หากถามว่าทำไมคนไร้ศาสนาอย่างเขาถึงสนใจวิหารของพุทธ

            ตอบได้ง่ายมาก..

            มาเรียนรู้วิถีพุทธ นำเอาคำสอนที่พอใช้ได้ไปปรับใส่ในหลักนิติธรรมเตรียมเผยแพร่ต่อในแบบฉบับของตนเองอย่างไรล่ะ!!

            หลังคิดอ่านวางแผนอุบายในการเรียนรู้สิ่งใหม่ไปปรับใช้ประโยชน์ เชื่อว่าทางพุทธเองย่อมยินดีที่คำสอนของศาสดาตนนั้นมีคุณค่าพอให้ลัทธิอื่นเหลือบแล โม่เสวียนก้าวไปหาเณรน้อยเพื่อให้เขานำทางไปพบเจ้าอาวาส

            “ประสกมีสิ่งใดหรือถึงต้องการพบอาตมา”

            “นมัสการไต้ซือ.. เมื่อครู่ข้าไปที่หอตำราค้นพบคำสอนทั้งพุทธและเต๋าจึงเกิดความสนใจ ทว่าศึกษาด้วยตนเองนั้นอย่างไรก็ไม่ลึกซึ้งเท่าผู้ชำนาญ ท่านพอจะอธิบายหลักธรรมข้อนี้เพิ่มเติมให้ข้าฟังได้รึไม่” นัยน์ตาคู่ฟ้าทรงกลดยิ้มแย้มเป็นมิตร ทั้งความปลอดโปร่งของเขาบ่งบอกว่าเป็นผู้แสวงหาความรู้คนหนึ่ง มีหรือเจ้าอาวาสจะปฎิเสธ

            “จากบรรทัดนี้หรือ… ได้สิ มีผู้สนใจทางธรรมอาตมายินดีให้การช่วยเหลือยิ่งหาได้ลำบากอันใด”

            ทั้งสองอาศัยอาสนะใต้ต้นโพธิ์ต่างห้องเรียน ด้านหนึ่งอธิบายอีกด้านจดบันทึกทั้งยังเอ่ยคำถามเป็นระยะดูใฝ่รุ้ใฝ่เรียนราวกับตั้งใจมาบวช “ขันติ ก็คือความอดทนอดกลั้น อดทนต่อสิ่งที่คนทั่วไปไม่สามารถทนได้ อดกลั้น ต่อการเปลี่ยนแปลงไปตามปัจจัยสิ่งเร้ารอบด้าน”

            “เช่นนั้น ขันติ ก็คือการควบคุมจิตใจตั้งมั่น ควบคุมการแสดงออกทั้งทางสีหน้า กิริยา วาจา ใช่ไหมขอรับ”

            ไต้ซือผู้เมตตาเอ้นดูทุกสรรพชีวิตพยักหน้าสักพักก็ส่ายหน้า “ควบคุมได้คือผู้ที่ฝึกจิตจนรู้จักตนเอง ข่มกลั้น คือการฝึกจิตประเภทหนึ่งเสมือนฝึกม้าพยศที่ดุร้าย ธรรมชาติของใจมนุษย์เปลี่ยนแปลงชั่วพริบตา จะคุมให้อยู่นิ่งสงบ การสำรวมตนนั้นไม่ง่ายเลย”

            “เข้าใจแล้วขอรับ ขอบคุณไต้ซือที่ช่วยสละเวลาอันมีค่ามาชี้แนะสั่งสอนเสิ่นโหม่ว”

            หลังเรียนรู้หลักธรรมแล้วย่อมมีสิ่งที่เขาเลือกใช้ตอบแทนน้ำใจของไต้ซือ ชายหนุ่มร่างสูงเดินไปแบ่งไม้กวาดจาดเณรน้อยจากนั้นก็ร่วมกวาดใบไม้ออกจากลานวัด ทำความสะอาดสถูปเจดีย์รวมไปถึงเติมน้ำมันตะเกียง เขาได้เรียนรู้ว่ากลื่นของธูปหอมที่ลอยอ้อยอิ่งนั้นสร้างความสงบใจขยานหนึ่งอันพิเศษให้ตน ยามพลบค่ำก็เข้าโรงเจไปยืนช่วยคนครัวในการตักข้าวต้มแจกจ่ายหมั่นดถวให้กับผู้มีจิตศรัทธาและมาถือศีลรักษาอุโบสถทำงานในวัดไปเสียเลย



♦ • ♦ • ♦ • ♦ • ♦ • ♦ • ♦ • ♦



(เลื่อมใสศรัทธา)
+3 Point จากการโรลทำงาน
(ทะเยอทะยาน)
+2 Point ทุกครั้งที่โรลเรียนรู้
+2 Point ทุกครั้งที่โรลใช้กลอุบาย
(ฉลาด)
+5 Point จากการโรลใช้แผนการและกลอุบาย
+5 Point จากการโรลเรียนรู้
(หูดี)
+2 Point จากการโรลใช้แผนการหรือกลอุบาย
(เห็นอกเห็นใจ)
-2 Point เมื่อใช้อุบายแผนการ
(นักวิชาการ)
+4 Point เมื่อโรลเพลย์เรียนรู้


(เห็นอกเห็นใจ)
+20 EXP ทุกครั้งที่โรลเห็นอกเห็นใจช่วยเหลือผู้อื่น หรือ ทำงานช่วยเหลือ
(อัจฉริยะ)
+30 EXP จากการโรลทำงาน
(หูดี)
+5 EXP จากการโรลสร้างปฏิสัมพันธ์กับคนอื่น
+14 EXP จากการทำงานพาร์ทไทม์



+21
+69

-20 สูญเสียความเครียดเมื่อโรลทำงาน (เลื่อมใส)
+20% มีโอกาสต้านทานแผนการที่ไม่เป็นมิตรต่อคุณ (หูดี)
+15 ความศรัทธา ทุกครั้งที่โรลเผยแพร่ลัทธิหรือ โรลเกี่ยวกับศาสนา


←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
เกาทัณฑ์พิชิตมังกร
ม้าฮั่นเสีย
ชุดเซิ่งชางจวิน
มุกเสวียนอู่
เสินหนงเปิ่นเฉาจิง
ตลับผงชาด
กลยุทธ์เล่ออี้
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x8
x20
x1000
x2
x4
x1
x200
x80
x2
x2
x53
x10
x5
x1
x5
x1
x28
x70
x3
x3
x3
x5
x15
x30
x8
x2
x6
x30
x62
x101
x101
x20
x444
x50
x40
x50
x1200
x9
x30
x3
x2
x1
x104
x92
x6
x350
x12
x2
x300
x60
x60
x4
x1
x3
x2
x1
x22
x1
x980
x19
x26
x1
x14
x18
x2
x2
x5
x5
x11
x10
x230
x44
x1
x4
x2
x16
x2
x2
x10
x8
x22
x48
x6
x150
x190
x270
x300
x530
x90
x50
x50
x50
x50
x1319
x100
x450
x100
x400
x140
x3
x10
x1
x11
x100
x60
x113
x130
x30
x8
x7
x4
x12
x20
x16
x27
x26
x1150
x200
x100
x1
x1
x1280
x12
x160
x18
x120
x25
x230
x10
x10
x18
x13
x10
x9
x30
x6
x12
x10
x20
x35
x18
x8
x129
x20
x10
x4
x118
x30
x19
x5
x23
x39
x8
x7
x25
x15
x53
x217
x5
x14
x96
x3
x82
x5
x22
x7
x10
x11
x829
x7
x27
x1
x3
x11
x14
x196
x694
x129
x7
x143
x484
x22
x1
x4
x1
 เจ้าของ| โพสต์ 2022-6-8 12:10:40 | ดูโพสต์ทั้งหมด
  
.: แขกที่สัญจรมา :.

กติกาการโรลเพลย์สนทนาทำความรู้จักขุนพลสัญจรผ่านมา
(1) 1 โรลเพลย์ สามารถเจอได้แค่ 1 คนเท่านั้น ยกเว้นมีระบุว่า xx นั่งกับ xx
(2) ในโรลเพลย์สร้างสถานการณ์พบเจอครั้งแรกได้อิสระ โดยไม่แหกนิสัย NPC
(3) นอกจากทำความรู้จัก พูดคุย ใน 1 โรลเพลย์สามารถมอบของขวัญให้ 1 ชิ้นเท่านั้น
(4) การชักชวนเข้ากองกำลัง บาง NPC ไม่จำเป็นต้องหัวใจเต็ม 10 ดวงเสมอไป นอกจากอยู่ที่การให้ของแล้ว การพูดคุย โรลทิ้งท้ายไว้ และ กำกับว่า "ชักชวน"
ทางทีมงานจะมาคอมเม้นท์ว่าชวนสำเร็จหรือไม่ ถ้าสำเร็จคุณจะได้โต้วาทีกับเขา ถ้าชนะแสดงว่าเขายอมรับใช้คุณ


ความสำคัญก่อนโรลสร้างความสัมพันธ์ NPC
(1) สำคัญมาก ที่คุณจะต้องตรวจเช็ค (ลักษณะนิสัยขัดแย้งกันหรือไม่ สามารถเช็คได้จากที่นี่ คลิก)
(2) รองลงมา ตรวจเช็ต ธาตุวันเกิด และ ปีนักษตร ชงกันหรือไม่ สามารถเช็คได้ที่นี่ (คลิก)
(3) ทุก ๆ การโรลเพลย์ที่มีความขัดแย้งในด้านนิสัย และ ธาตุหรือปีนักษัตรชงกัน เนื้อหาโรลเพลย์คุณจะต้องสร้างให้สมเหตุสมผล
เมื่อความสัมพันธ์ต้องลบลงในโรลเดียวกับจีบ ที่ความสัมพันธ์เพิ่ม โดยการครีเอทสร้างสถานการณ์โรลเพลย์ไม่ถึงกับทะเลาะ ขัดแย้งกัน
แต่ให้คุณเผลอทำอะไรที่ไม่ดี หรือใช้คำพูด หรือ บางอย่างเกี่ยวกับนิสัย ตัวคาร์คุณในโรลนั้นด้วย เพื่อให้มีความเมคเช้นส์ในการลดความสัมพันธ์


[002] เหอหวงโฮ่ว (เหอซือ)
ระยะเวลาอยู่ที่นี่: 8 มิถุนายน - 12 สิงหาคม 2565




←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x1
x2
x12
x5
x636
x241
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง เข้าสู่ระบบ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

อย่าลืมเข้าสู่ระบบนะจ๊ะ เข้าสู่ระบบตอนนี้ หรือ ลงทะเบียนตอนนี้

เว็บไซต์นี้ มีการใช้คุกกี้ 🍪 เพื่อการบริหารเว็บไซต์ และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานของท่าน (เรียนรู้เพิ่มเติม)

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้