แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Jinying เมื่อ 2021-10-14 15:48
❀ เทศกาลฉงหยาง ❀วันเทศกาล : พักชมทัศนีย์บนยอดเขา . .
เพราะเป็นเขาที่ค่อนข้างสูงและมีบันไดต้องขึ้นราวหกหมื่นขั้น กว่าจะพากันหายเหนื่อยได้ก็ใช้เวลาราวสองเค่อ จนในตอนที่ทั้งหมดสามารถมานั่งเรียงชมวิวเบื้องหน้ากันได้หมดแล้ว จิ้นอิ๋งถึงเอ่ยถามถึงประเพณีที่มักทำร่วมกับกันผู้อาวุโสต่อ
" จะมี.. เล่าเกี่ยวกับตำนานเทศกาลฉงหยางให้ฟังหรือไม่เจ้าคะ.. ไม่เล่าให้ข้าฟังก็ได้ แต่ถือว่าเล่าให้แม่นางน้อยหวังดีหรือไม่เจ้าคะ "
ดรุณีพลันเอ่ยหาทั้งดวงตาเป็นประกาย โดยมีลูกคู่เป็นเด็กหญิงตัวน้อยที่กำลังนั่งจิ้นอิ๋งพยักใบหน้ารับไปด้วยอย่างกระตือรือร้น ไหนจะมองเลยทั้งสองไปยังเด็กหนุ่มที่คล้ายมองนิ่งยังทิวทัศน์ตรงหน้าทว่ามีเอียงใบหน้าเงี่ยหูฟังอยู่ หลิวจื่อกงก็ได้แต่ยกยิ้มยอมแพ้ขึ้นมา แม้ในใจยังนึกตะขวงไม่น้อยว่าตนก็อายุอานามเพียงยี่สิบเอ็ดเท่านั้น ดันได้มาเป็นผู้อาวุโสให้เด็กถึงสามคนเช่นนี้รู้สึกเหนือคาดไม่น้อยเลยเชียว
" ก็.. สำหรับเทศกาลฉงหยางมีประเพณีสืบทอดที่นิยมทำกันเรื่อยมา นั่นคือ การปีนที่สูง ทั้งนี้ในการปีนที่สูงไม่ได้มีข้อกำหนดว่าต้องไปปีนสถานที่ใด ทำให้ส่วนมากนิยมไปปีนเขาหรือปีนขึ้นเจดีย์สูง... ทั้งนี้การปีนที่สูง มิใช่เพียงเพราะความเชื่อว่าการปีนที่สูงจะทำให้ชีวิตได้ก้าวขึ้นไปสู่ที่สูง หรือหน้าที่การงานเจริญก้าวหน้ามีตำแหน่งใหญ่โต.. แต่การปีนที่สูงนั้นทำให้ได้สัมผัสกับธรรมชาติ ได้ชมความงามของดอกไม้ป่า ต้นไม้ป่า ใบไม้แดง ได้ผสานตนเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ ดั่งที่เราได้ทำการปีนมาเมื่อครู่ " . " เช่นนั้นแล้วจุดมุ่งหมายสำคัญที่แฝงอยู่ในการปีนที่สูง คือ การทำจิตใจให้ชื่นมื่น สบายใจและเพิ่มความแข็งแรงของสุขภาพร่างกายและจิตใจ ...เจ้ารู้สึกแข็งแรงขึ้นจริงหรือไม่ คุณชายกัว "
เอ่ยลงท้ายด้วยการชวนคนที่ดูเหนื่อยหอบที่สุดคุยขึ้นมา พลันเรียกรอยยิ้มของอีกสองสตรีให้วาดออกอย่างขบขัน โดยที่กัวเจียก็ไม่ได้ถือสามากไปกว่าตอบรับด้วยการพยักหน้ารับแผ่วทั้งรอยยิ้มดูพึงใจ ทว่าก็ไม่รู้พึ่งใจที่ตัวเองรู้สึกร่างกายแข็งแรงขึ้นหรือได้รับการดูแลจากบางคนเช่นกัน
ซึ่งหลังจากคลายบรรยากาศเก้อกระดากที่ต้องมาเล่าตำนวนให้เด็กทั้งสามลงได้แล้ว หลิวจื่อกงก็เล่ารายละเอียดต่อ โดยเริ่มเข้าสู่เนื้อหาที่เป็นตำนานให้ฟังหลังจากเกริ่นที่มาที่ต้องพากันมาปีนเขาเสร็จสิ้น
" ส่วนตำนวนเกี่ยวกับเทศกาลฉงหยาง.. ได้เล่าสืบต่อกันมาถึงเรื่องราวของปีศาจร้ายที่ปรากฏตัวยังแม่น้ำหรูเหอ แค่เพียงมันปรากฏกาย แต่ละบ้านต้องมีคนล้มป่วย ทุกวันต้องมีคนล้มตาย " . " พ่อแม่ของบุรุษหนุ่มนาม เหิงจิ่ง ก็ตกเป็นเหยื่อเช่นกัน แม้แต่ตัวบุรุษหนุ่มเองก็เกือบเอาชีวิตไม่รอด ด้วยเหตุนี้หลังจากฟื้นตัวเหิงจิ่งตัดสินอำลาภรรยาและบ้านเกิด ดั้นด้นเสาะแสวงหาผู้วิเศษ เพื่อร่ำเรียนวิชาปราบมาร ในที่สุดก็ได้พบผู้วิเศษบนภูเขาที่เก่าแก่ที่สุดทางทิศตะวันออก "
" หลังจากฝึกวิชาได้พักใหญ่ อยู่มาวันหนึ่งท่านเซียนก็เอ่ยกับเหิงจิ่งว่า พรุ่งนี้เป็นวันที่ 9 เดือน 9 ปีศาจจะออกอาละวาดอีกครั้ง บัดนี้เจ้าฝึกฝนวิชาจนแตกฉาน ถึงเวลากลับไปกำจัดมารร้ายปัดเป่าทุกข์ให้ชาวบ้านแล้ว ท่านเซียนยังได้มอบใบจูอี๋ว์และเหล้าแช่ดอกเบญจมาศ 1 ไห และถ่ายทอดเคล็ดลับปราบมารให้ด้วย " . " เหิงจิ่งอำลาอาจารย์และขี่นกกระเรียนเซียนกลับมายังหมู่บ้าน ในเช้าตรู่ของวันที่ 9 เดือน 9 นั่นเอง เหิงจิ่งทำตามที่อาจารย์แนะนำ... นำพาชาวบ้านอพยพขึ้นไปบนเขาที่ใกล้เคียง แล้วแจกจ่ายใบจูอวี๋และเหล้าแช่เบญจมาศให้ชาวบ้านเป็นเครื่องป้องกันตัว เมื่อปีศาจได้กลิ่นหอมของใบจูอวี๋และเหล้าเบญจมาศก็ล่าถอย เหิงจิ่งไม่ปล่อยโอกาสให้หลุดมือตามลงไปสังหารปีศาจสำเร็จ ประเพณีขึ้นเขาเพื่อหลีกหนีจากความชั่วร้ายและโรคภัยไข้เจ็บจึงได้เริ่มอุบัติขึ้นนับตั้งแต่นั้นมา "
. " ว้าว~ ที่มาของปีนเขาคือเช่นนี้นี่เอง! แต่ทำไมต้องให้เป็นสุราด้วยล่ะเจ้าคะ เป็นชาแทนไม่ได้หรือเจ้าคะ " หวังอี้พลันแสดงความคิดเห็นขึ้นมาทั้งสีหน้าครุ่นคิดหนัก เท่าเอารับรู้ได้โดยไม่ต้องเอ่ยว่าเด็กน้อยคงไม่ใคร่ชอบสุรานักแน่ ทำเอาเรียกเสียหัวเราะใสจากจิ้นอิ๋งให้ดังขึ้นอยากเอ้นดู พร้อมกันนั้นก็กอดโยกเด็กหญิงตัวน้อยที่นั่งตักไปมาราวอยากปลอบโยน
" เพราะดอกเบญจมาศมักนำมาหมักเป็นสุราน่ะเจ้าค่ะ แล้วในฤดูใบไม้ร่วงที่อยู่ในช่วงเทศกาลดอกเบญจมาศจะบานสะพรั่งพอดี อีกอย่างอากาศในฤดูนี้ยังหนาวเย็นไม่น้อย.. การร่ำสุราเบญจมาศที่มีดีกรีไม่แรงนักก็ช่วยในเรื่องให้ร่างกายอบอุ่น เลือดลมไหลเวียนด้วยนะเจ้าคะ "
จิ้นอิ๋งพยายามเอ่ยให้เด็กสาวเห็นอีกด้านของสุรา ซึ่งเด็กสาวก็พลันยกริมฝีปากขึ้นน้อย ๆ อย่างครุ่นคิด ก่อนสุดท้ายจะยอมผงกศีรษะเล็กราวกับรับฟังเอาไว้ให้จิ้นอิ๋งยิ่งกระชับอ้อมกอดหาอย่างให้รางวัลเลยเชียว
" อืม.. อย่างที่แม่นางกู่ว่า แต่นอกจากร่ำสุราก็มีมอบขนมอย่างที่ชาวฮั่นชอบทำกัน อีกอย่างที่ทำตามในตำนานอีกหนึ่งก็คือเก็บใบจูอวี๋ เจ้าจะลองเก็บไว้เสียหน่อยดีหรือไม่หวังอี้ ต้นจูอวี๋ก็อยู่ไม่ไกลนี้นี่เอง "
หลิวจื่อกงเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนลงหลายส่วนหลังจากรู้สึกผ่อนคลายลงไม่น้อยหลังได้ลองแลกเปลี่ยนบทสนทนากับคนที่เคยให้ความช่วยเหลือ ความเกร็งจากความไม่สนิทใจต่าง ๆ ดูจะจางลงไม่น้อยระหว่างที่พยิดใบหน้าให้สองสตรีเห็นต้นจูอวี๋ไม่ไกล ซึ่งหลังจิ้นอิ๋งมองตามก็เร่งลุกจูงมือเด็กหญิงตัวน้อยให้มาเก็บผลและใบของต้นจูอวี๋ร่วมกันอย่างกระตือรือร้น
" ไม่ไปเก็บกับพวกเขาด้วยเล่า " จอมยุทธ์หลิวที่สังเกตเห็นอีกบุรุษของกลุ่มไม่ยอมไปเก็บก็พลันมองอย่างนึกสงสัย แต่กัวเจียกลับส่งรอยยิ้มบางมาให้ก่อนเอ่ยคำพูดติดอารมณ์ขันที่ทำเอาหลิวจื่อกงต้องหลุดหัวเราะออกมา
" ไม่ล่ะขอรับ ข้าเก็บแรงไว้ลงเขาเสียดีกว่า.. "
. ใช้เวลาราวหนึ่งเค่อจิ้นอิ๋งกับหวังอี้ถึงกลับมาพร้อมผลและใบจูอวี๋บางส่วน ก่อนทั้งสองจะมองหน้ากันน้อย ๆ และวางแผ่ลงตรงหน้าราวกับจะให้ทั้งสองบุรุษได้รับไปไว้ด้วย
" ท่านอาจารย์เลือกเก็บไว้ได้เลยเจ้าค่ะ! ปีศาจจะได้ไม่มากร่ำกราย "
" อาเจียด้วยนะเจ้าคะ "
จิ้นอิ๋งพลันเอ่ยเสริมรับหวังอี้ไปด้วย เรียกรอยยิ้มของสองบุรุษให้เผยออกก่อนจะบอกให้ทั้งคู่เตรียมอาหารมาทานดีกว่า ด้วยอย่างไรก็จะยามอู่แล้ว กระนั้นระหว่างที่จิ้นอิ๋งกำลังจะหยิบเอากล่องข้าวออกมาแจกจ่ายให้แต่ละคนได้นั่งทานร่วมกัน หลิวจื่อกงก็พลันเอ่ยท้วงถึงประเพณีอีกหนึ่งสิ่งด้วยน้ำเสียงที่ฟังเรียบเรื่อยแต่ก็ดูคาดหวังไม่น้อย
" แม่นางกู่ไม่มีบทกวีลำนำชมเขาหวงซานให้ฟังกันเลยหรือ? เมื่อครู่ข้าพึ่งฟังจากคุณชายกัวไป ไพเราะไม่น้อย " สิ้นประโยคกัวเจียก็พลันเอ่ยหาอีกหนให้จิ้นอิ๋งและหวังอี้ยกมือปรบหาอย่างชื่นชม
ดรุณีที่อยากเปลี่ยนเรื่องให้เร่งทานอาหารเที่ยง ในยามนี้กลับมีสายตามองกดดันมาถึงสามคู่ สุดท้ายจิ้นอิ๋งก็ได้แต่เก็บกลืนคำชวนทานข้าวเป็นมองสิดส่ายรอบตัวเพื่อคิดบทกวีขึ้นมา ดวงหน้านวลแทบอยากจะเบะร้องไห้แต่ก็คล้ายร้องไม่ออก แม้นางจะชอบร้องรำทำเพลง แต่ให้คิดกวีลำนำกลอนสดออกจะเหนือความสามารถนางไปเสียหน่อย ในยามที่เอ่ยกวีที่คิดได้ออกมานั้น เสียงหวานจึงสั่นไม่น้อยเลย
" อันยอดเขาหมอกล้อมอ้อมประดับ ตะวันรับฉายแสงระยับใส มวลหมู่เมฆซับแสงสะท้อนไป ชวนตรึงใจยามรับสดับมอง . เพลานี้ฉงหยางพลันเวียนผ่าน ระลึกกาลตอบแทนพระคุณสนอง ได้ร่วมเดินขึ้นเขาระลึกตรอง หากปรองดองยามกลับคงสุขใจ "
จบคำแก้มนวลก็ฝาดสี ทั้งนึกอายจากกลอนที่เพิ่งแต่ง ไหนจะมีความนัยในเนื้อหาที่อยากสนิทสนมกับอีกฝ่ายขึ้นมาให้ได้เพราะอย่างไรก็เป็นผู้มีพระคุณแก่ตน แต่ด้วยเพราะความรู้สึกไม่ถูกโฉลกในบางอย่างทำให้ตัวจิ้นอิ๋งพลอยคิดมาอยู่เสมอว่าตนกับจอมยุทธ์หลิวผู้นั้นมักมีกำแพงเข้าหากัน ในยามนี้นางก็ได้แต่คาดหวังให้งานเทศกาลฉงหยางที่ได้ชวนอีกฝ่ายมาเป็นผู้อาวุโสจะช่วยเปิดใจให้ทั้งสองนึกอยากสนิทกันจนเป็นมิตรภาพขึ้นมาได้
. ซึ่งหลังทั้งหมดได้รับฟังไป หวังอี้ก็พลันตรงมานั่งตักจิ้นอิ๋งเช่นเดิมและเอ่ยชมไม่หยุด กัวเจียก็ยิ้มรับดูชื่นชมให้กำลังใจอยู่ในที ส่วนหลิวจื่อกงก็เพียงพยักใบหน้ารับไม่รู้ความหมาย แต่อย่างน้อยก็ไม่ได้นิ่วหน้านิ่วคิ้วให้นึกใจเสีย ก่อนในที่สุดทั้งสามจะได้รับประทานอาหารที่ดรุณีได้เตรียมมาให้ โดยของสำหรับผู้อาวุโสของงานเป็นกล่องข้าวชุดฮวาเจียวที่จิ้นอิ๋งตั้งใจเตรียมมาให้เป็นอย่างดี ส่วนทางเด็กสาวตัวน้อยเป็นปลาเปรี้ยวหวานซีหู และของกัวเจียและนางเป็นไก่ขอทาน
หลังได้อาหารครบถ้วนทั้งสี่ก็นั่งทานอาหารเที่ยงกันเงียบ ๆ มีแลกบทสนทนาเกี่ยวกับแบ่งอาหารให้ทานร่วมกันเล็กน้อยจนเสร็จสิ้นทั้งหมดก็กลับคืนที่ยังเพิงหินต่อโดยที่มีต้นเบจญมาศประดับด้านหลังพอให้ได้ร่มเงาไม่ร้อนไปยามบ่าย ภาพมวลเมฆที่แผ่ล้อมยังให้ความรู้สึกเหมือนลอยขึ้นมาที่สูงดั่งยามเช้าที่เฝ้ามอง
" ถ้าไม่ร่ำสุราในยามนี้ก็คงไม่จบเทศกาลฉงหยางสินะเจ้าคะ "
จิ้นอิ๋งเอ่ยกลั้วขำขึ้นมาเมื่อเห็นวิวบนยอดเขาเช่นนี้ก็พาลคิดไปว่าหากได้ทานขนมเคล้าสุราชมทัศนีย์คงรู้สึกดีไม่น้อย นางจึงเอาขนมที่ทำมาแจกจ่ายให้ทุกคนในยามนี้ พร้อมกันนั้นสุราเบญจมาศก็ถูกส่งหาให้ทั้งสองบุรุษรวมถึงตัวจิ้นอิ๋งเองด้วย สำหรับเด็กหญิงตัวน้อยเพียงหนึ่ง นางได้เตรียมของพิเศษไว้ให้เป็นชาโมลี่ฮวาฉาให้ตัวหวังอี้ไม่รู้สึกน้อยหน้า
ซึ่งก็ดูเหมือนเด็กสาวจะชอบใจไม่น้อยเลยเชียวที่ได้ของคล้าย ๆ กับคนอื่นให้รอยยิ้มแทบวาดออกกว้างเสียน่าเอ็นดูไม่น้อย
จนเข้าสู่ยามเซินที่แดดเริ่มลดลงเต็มทีและขนมสุราที่พร่องหาย ทั้งสี่ก็พากันเดินลงจากเขากันมาในที่สุด และแน่นอนว่าระยะทางลงแม้จะยาวเท่ากันกับยามขึ้น แต่ก็เบาแรงได้มากกว่า เมื่อเหยียบถึงยังตีนเขา กัวเจียจึงมีท่าทางที่ดูดีกว่ายามอยู่บนยอดเขาช่วงแรกให้จิ้นอิ๋งพลอยยิ้มโล่งใจขึ้นมา . . " ขอบพระคุณท่านจอมยุทธ์หลิวมากเจ้าค่ะที่วันนี้อุตส่าห์สละเวลามาเป็นผู้อาวุโสให้กู่จิ้นอิ๋งผู้นี้ได้พาปีนเขาตอบแทนคุณช่วงเทศกาลฉงหยางเจ้าค่ะ "
ก่อนจากจิ้นอิ๋งก็ไม่ลืมยกมือคารวะหาแก่อีกบุรุษอย่างนอบน้อม ลำตัวโค้งโน้มหาดูสุภาพไม่น้อยให้หลิวจื่อกงที่เห็นต้องค้อมตามกลับตามมารยาทไปด้วย กระนั้นแม้ทำกลับตามมารยาทแต่ก็ดูจริงใจอยู่หลายส่วนเนื่องจากในการตอบแทนคุณของอีกสตรีในวันฉงหยางนี้อีกฝ่ายสัมผัสได้ถึงความจริงใจในทุกการกระทำที่มอบให้มาไม่น้อยจนรู้สึกสนิทใจขึ้นมากกว่าช่วงที่เคยพบพานกันมาไม่น้อยเลย
" ขอบคุณที่เชิญข้ามาเป็นผู้อาวุโสของเจ้าด้วยเช่นกันแม่นางกู่.. อย่างไรก็เที่ยวเทศกาลกันในยามเย็นให้สนุกกันทั้งคู่นะขอรับ ที่หมู่บ้านหงชุนใกล้ ๆ นี้มีงานจัด.. พวกท่านสามารถไปได้ ยามกลับก็ระมัดระวังกันด้วย ส่วนพวกข้าคงต้องขอตัวลา "
สิ้นประโยคหลิวจื่อคงก็โค้งลาเตรียมจาก โดยมีหวังอี้ตัวน้อยคารวะลาจิ้นอิ๋งและกัวเจียเช่นเดียวกัน ซึ่งทั้งคู่ก็โค้งลารับหาและเอ่ยย้อนคืนอวยพรให้ศิษย์อาจารย์เดินทางกลับปลอดภัยด้วยกันทั้งคู่เช่นกัน ก่อนทั้งหมดจะได้พากันแยกย้ายไปในที่สุด.. กิจกรรมช่วงเทศกาล ❀ มอบกล่องข้าวที่คุณจัดมาด้วยใจแก่ผู้อาวุโส ❀ ขับขานบทกวีแต่งเองให้ผู้อาวุโสฟัง ❀ ชมดอกเบญจมาศ ดื่มเหล้าแช่ดอกเบญจมาศ (เก็กฮวย) ทานขนมฉงหยาง และเก็บผลและเก็บใบจูอวี๋ไว้ ❀ ฟังเรื่องเล่าตำนานของเทศกาลฉงหยางจากผู้อาวุโส ❀ แยกกับผู้อาวุโส อำลาอย่างนอบน้อม |
กู่จิ้นอิ๋ง เก็บผลและใบจูอวี๋ กัวเจีย | หลิวจื่อกง | หวังอี้ | [028] มอบของเทศกาลให้ ขนมฉงหยางและสุราเบญจมาศ | [102] มอบของเทศกาลให้ กล่องข้าว ขนมฉงหยางและสุราเบญจมาศ | [146] มอบของเทศกาลให้ ขนมฉงหยางและชาโมลี่ฮวาฉา | สถานะธาตุหลัก : +10 ความสัมพันธ์ [028] ธาตุดินและปีนักษัตรเหมือนกัน ค่าชื่อเสียง : +10 ความโหดเมื่อเจอคนหัวมาร/หัวคลั่ง
| สถานะธาตุหลัก : -15 ความสัมพันธ์ [102] ธาตุน้ำ - เราข่มอีกฝ่าย สถานะปีนักษัตร : -15 ความสัมพันธ์ [102] ปีเถาะ - ไม่ถูกโฉลก ค่าชื่อเสียง : +10 ความโหดเมื่อเจอคนหัวมาร/หัวคลั่ง | [146] มอบ ปลาเปรี้ยวหวานซีหู ให้ . สถานะธาตุหลัก : +20 ความสัมพันธ์ [146] ธาตุไฟ - เกื้อหนุนเรา สถานะปีนักษัตร : +20 ความสัมพันธ์ [146] ปีมะโรง - ถูกโฉลก ค่าชื่อเสียง : +10 ความโหดเมื่อเจอคนหัวมาร/หัวคลั่ง -10 ความสัมพันธ์นิสัยตรงข้าม |
|